เมื่อไรควรจะไปสปา |
"สปา" หรือวารีบำบัด เริ่มต้นมาจากแนวคิดการทำให้สุขภาพดีด้วยน้ำ จนกระทั่งพัฒนามาเป็นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ที่ให้ความสนใจกับความสมดุลของร่างกายและจิตใจโดยวิถีธรรมชาติสปาในปัจจุบันจึงผสมผสานวารีบำบัดเข้ากับวิธีการดูแลสุขภาพและความงามในรูปแบบต่างๆ ตามภูมิปัญญาของแต่ละท้องถิ่น โดยหันมาเน้นการเตรียมความพร้อมของร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงมีภูมิคุ้มกันสูง มากกว่าการดูแลบำบัดโรคหรือฟื้นฟูสุขภาพตามแนวคิดเดิมในอดีต
สำหรับบางคนการใช้บริการสปาจึงหมายถึงช่วงเวลาที่จะได้สัมผัสกับความรู้สึกโล่ง เบา ปลอดโปร่ง ผ่อนคลาย เกิดความสงบภายใน ขณะเดียวกันก็ได้รับความสุขความเพลิดเพลินและการฟื้นฟูสุขภาพไปพร้อมกัน
ตามที่ได้บอกแต่แรกแล้วว่า รากศัพท์ในภาษาละตินของคำว่า SPA มาจากคำว่า "Sanus Per Acqua" หมายถึง การมีสุขภาพดีด้วยน้ำ (Health through water) จัดเป็นการดูแลรักษาสุขภาพด้วยการใช้น้ำบำบัด เช่น อาบน้ำในบ่อน้ำพุร้อนแช่ตัวในน้ำแร่ แช่น้ำนม อบตัว อบผิวด้วยไอน้ำ บำรุงผิวด้วยผลิตภัณฑ์นานาชนิด เป็นต้น
ดังนั้น ท่านที่เคยใช้บริการสปาเป็นประจำจึงมักจะพบว่าบริการอาบน้ำแร่ แช่น้ำนม อบตัว ขัดผิว บำรุงผิว ดังกล่าว จัดเป็นบริการพื้นฐานที่สปาแทบทุกแห่งต้องมี โดยเฉพาะการอบตัวประเภทอบเซาน่าและอบไอน้ำที่คนไทยนิยมมากในระยะหลังนี้
เวลาจินตนาการถึงสปา เราจึงมักนึกถึงห้องอบตัวจำพวกห้องเซาน่า ห้องอบไอน้ำ กับอ่างอาบน้ำใหญ่ๆ มีกลีบกุหลาบหรือลั่นทมหอมกรุ่นลอยฟ่องสำหรับแช่ตัวเพื่อผ่อนคลายมากกว่าอย่างอื่น แต่อันที่จริงแล้วบริการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมของสปาที่ได้มาตรฐานมีมากกว่านั้นค่ะ
เป็นต้นว่า มีแพทย์ทางเลือกประจำสปาเพื่อให้คำแนะนำด้านการดูแลรักษาสุขภาพที่ถูกต้อง รวมทั้งมีนักโภชนาการคอยให้คำปรึกษาด้านอาหารการกินที่เป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นอาหารมีวิตามินแร่ธาตุครบถ้วน หรืออาหารพลังงานต่ำ กากใยสูงเพื่อควบคุมน้ำหนัก บางแห่งอาจจะเน้นการรับประทานอาหารแบบแมคโครไบโอติก หรือแม้กระทั่งอาหารแบบสปาคิวซีน (Spa Cuisine) ที่กำลังฮิตติดลมบนอยู่ยามนี้ด้วยซ้ำไป
ในทรีตเมนต์เรื่องความงามก็จะต้องมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญคอยอธิบายให้คำแนะนำต่างๆ ตอบข้อสงสัยแก่ผู้ใช้บริการได้ทุกอย่าง ไม่ใช่แค่ให้พนักงานนวดตัวทำตามโปรแกรมไปด้วยความเคยชิน เช่น ในเรื่องการทำสปาผิวหน้าซึ่งหมายถึงการทำความสะอาดและเสริมอาหารบำรุงให้ลึกถึงผิวชั้นในนั้นมีวิธีการแบบไหนบ้าง อะไรจะได้ผลดีกว่ากันระหว่างการนวดมือ การบำบัดด้วยน้ำ หรือการใช้กระแสไฟฟ้า ซึ่งส่วนมากแล้วการทำสปาเพียงครั้งเดียวกับร่างกายและผิวพรรณโดยรวมมักจะไม่ค่อยเห็นผลชัดเจนหรอกค่ะ ต้องไปทำซ้ำหลายครั้ง อย่างต่อเนื่องเป็นประจำ เหมือนกับการที่เราต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์
คนที่ยังไม่เคยใช้บริการสปาอาจมีคำถามว่าทำไมจะต้องไปเสียเงินแพงๆ กับการอาบน้ำ นวดตัว บำรุงผิวพรรณมากมายขนาดนั้น เพราะบริการหลายอย่างในสปาก็ทำที่บ้านได้
ใช่ค่ะ! หากบ้านใครมีความพร้อมพอที่จะทำเองได้ขอสนับสนุนเต็มที่ บางบ้านอาจจะมีอ่างอาบน้ำอยู่แล้วก็ใช้ได้ บางบ้านหรูหน่อยอาจเป็นอ่างน้ำวนหรืออ่างจากูซี่
ยิ่งถ้ามีตู้อบเซาน่าด้วยก็แจ๋วไปเลย เดี๋ยวนี้เขามีตู้อบตัวแบบสำเร็จรูปขายอยู่มากมาย ราคาก็ถูกลงกว่าเดิมมาก จะอบเช้าอบเย็นก็ลุยกันเต็มที่แบบไม่ต้องเกรงใจใคร
บางบ้านมีเด็กรับใช้ที่มีฝีไม้ลายมือเรื่องนวดตัวอยู่บ้างก็เจ๋งไปเลย
แบบนี้เขาเรียกว่าสปาที่บ้านหรือ "โฮมสปา" ค่ะ รายละเอียดจะทำให้สนุกได้ยังไงนั้นจะเล่าให้ฟังคราวหลัง
แต่ถ้าหากท่านไม่สะดวกจะทำเองและอยากไปลองใช้บริการสปาดูก็ขอบอกว่า สิ่งที่ท่านจะได้จากบริการสปาทั้งหลายอย่างน้อยน่าจะมีองค์ประกอบ 4 R ด้วยกัน ได้แก่
1. Time to Rejoice ได้รับความสดชื่นเบิกบานตั้งแต่เหยียบย่างเข้าไปในอาณาบริเวณของสปาผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ซึ่งสปาทุกแห่งมักจะให้ความสำคัญกับการสร้างบรรยากาศของความสดชื่นเบิกบาน เพื่อให้ผู้ใช้บริการได้รับความเพลิดเพลินเจริญตาเจริญใจในความงดงาม สงบเงียบของสถานที่ ซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจรุงใจของไม้ดอกหอมนานาพรรณตามธรรมชาติหรือกลิ่นหอมบำบัด คลอด้วยเสียงดนตรีเบาๆ ไพเราะ ในอากาศเย็นฉ่ำ จากนั้นก็จิบเครื่องดื่มสมุนไพรรสดีก่อนจะเข้าสู่กระบวนการนวดหน้านวดตัว ขัดสีฉวีวรรณ
2. Time to Relax ได้รับความผ่อนคลายจากการใช้บริการ ทำให้ความตึงเครียดลดลง คือไม่ว่าจะเข้าไปทำอะไรในสปาก็ตาม ในช่วงเวลาสั้นๆ แค่หนึ่งหรือสองชั่วโมงนั้น อย่างน้อยที่สุดท่านควรจะได้รับความรู้สึกผ่อนคลาย สบายตัว สบายใจ สมองที่เครียดเขม็งด้วยเรื่องปวดหัวสารพัดควรจะเบาสบายและโล่งขึ้น ถือว่าเป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่ง
3. Time to Reflect เมื่อความตึงเครียดลดลงแล้ว ความกังวลใจในเรื่องต่างๆ ก็ย่อมมลายหายไปเป็นธรรมดา จากนั้นท่านก็จะล่วงเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งภวังค์ความเงียบสงบ มีสมาธิสูงสามารถนึกย้อนกลับไปถึงสิ่งแวดล้อมเก่าๆ ที่มีความสุขในอดีต ความทรงจำรำลึกในห้วงเวลาอันแสนสุขจะย้อนกลับมาสู่ภาวะจิตอันเงียบสงบได้ไม่ยาก
4. Time to Revitalise เติมพลังชีวิตใหม่ให้เข้มแข็งขึ้นจากจิตใจที่เป็นสุขในภวังค์แห่งความสงบตามธรรมชาติ เมื่อร่างกายแข็งแรงจิตใจเข้มแข็ง พลังชีวิตที่สมบูรณ์ย่อมเกิดแก่ทุกคน
เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกอ่อนล้า อยากได้กำลังวังชากลับคืนมาพร้อมกับความรู้สึกผ่อนคลายสบายใจก็ลองไปใช้บริการสปาดู แต่จะไปที่ไหนก็ควรดูให้แน่ใจเสียก่อนว่ามีบริการตามที่ต้องการหรือไม่
แม้องค์กรสปาระหว่างประเทศ (ISPA) จะจัดแบ่งสปาออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ถึง 7 กลุ่ม ด้วยกัน แต่สปาในไทยส่วนใหญ่แล้วมีเพียง 4 กลุ่ม หลักๆ ได้แก่
เดย์สปา โรงแรมและรีสอร์ตสปา เดสทิเนชั่นสปา และเมดิคอลสปา
เดย์ สปา เป็นประเภทของสปาที่เปิดบริการมากที่สุดในเวลานี้ มักจะเน้นเรื่องความงามและการบำบัดให้คลายเครียดในเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่ชั่วโมง ไม่ต้องเข้าคอร์สปรับเรื่องโภชนาการ อาหารการกินหรือการออกกำลังกาย เป็นธุรกิจที่ขยายตัวค่อนข้างสูงในระยะ 5 ปี ที่ผ่านมา เนื่องจากใช้เงินลงทุนไม่มากเหมือนธุรกิจสปาประเภทอื่น อาจใช้อาคารสำนักงานหรือบริเวณบ้านที่ร่มรื่นดัดแปลงเป็นเดย์สปาได้ไม่ยาก มีโปรแกรมให้บริการช่วงเวลาสั้นๆ ตั้งแต่ 30 นาที ถึง 1-2 ชั่วโมง จึงมีลูกค้าหมุนเวียนมาใช้บริการในปริมาณมาก
เดย์สปาหลายแห่งมีจุดเด่นเรื่องทรีตเมนต์ความงาม นวดหน้า ขัดผิว อบตัว ซึ่งบางแห่งอาจมีเครื่องสำอางสมุนไพรเฉพาะของตัวเองไว้บริการ ส่วนการบำบัดคลายเครียดนั้นใช้ทั้งอโรมาเธอราปี้ในการนวดน้ำมันหอมระเหย และการนวดแผนไทยยืดเส้น
โรงแรม และ รีสอร์ตสปา มีกระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคตามโรงแรมและรีสอร์ตใหญ่ๆ ในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ เชียงราย สมุย พัทยา หัวหิน ฯลฯ เน้นให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ให้ความสำคัญกับการนวดตัวมากกว่าทรีตเมนต์เรื่องความงาม เพราะผู้ใช้บริการมักเป็นแขกโรงแรมและรีสอร์ต ซึ่งเป็นลูกค้าชั่วคราวที่ไม่มีโอกาสกลับมาใช้บริการซ้ำ ทรีตเมนต์ความงามนั้นจะได้ผลดีต้องใช้บริการซ้ำหลายๆ ครั้ง
เดสทิเนชั่นสปา หรือ "รีทรีต สปา" ในไทยมีตัวอย่างที่โด่งดังไปทั่วโลกคือ "ชีวาศรม" ซึ่งเป็นทั้งรีสอร์ตและสปาในเวลาเดียวกัน และยังเป็นสถานฟื้นฟูสุขภาพที่ได้รับการยอมรับ ยกย่องชื่นชมจากนานาชาติ ขึ้นชั้นสปาระดับสุดยอดของโลกแห่งหนึ่ง มีการใช้วารีบำบัดมาช่วยฟื้นฟูสุขภาพควบคู่ไปกับการฝึกโยคะ ขณะเดียวกันก็เข้มงวดเรื่องอาหารการกิน ในการฟื้นฟูสุขภาพต้องปรับโภชนาการใหม่ เน้นการรับประทานผักสด ผลไม้สด เนื้อปลา งดเนื้อสัตว์ใหญ่ งดบุหรี่-แอลกอฮอล์
เมดิคอลสปา เป็นที่นิยมในต่างประเทศมานานแล้ว แต่เพิ่งได้รับความนิยมในไทย โดยพัฒนาจากสปาเพื่อความงามมาเป็นสปาเพื่อสุขภาพและการบำบัดรักษาสำหรับกลุ่มที่ต้องการรักษาหรือบำบัดสุขภาพควบคู่ไปกับการรักษาโรค โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงาน ผู้สูงอายุ และกลุ่มผู้เกษียณจากการทำงาน เป็นหลัก ทั้งนี้ เมดิคอลสปาจะผสมผสานองค์ความรู้ระหว่างการแพทย์ที่ทันสมัยแบบตะวันตก กับศาสตร์ทางการแพทย์แบบตะวันออก เพื่อเสริมสร้างการดูแลรักษาสุขภาพแนวใหม่ เน้นแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของการเกิดโรค ตลอดจนการรู้จักดูแลตนเอง เลือกใช้ศาสตร์ที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายในกรณีที่มีโรคประจำตัว โดยอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะทาง เมดิคอลสปาที่เปิดบริการในไทยมักเป็นส่วนหนึ่งของคลีนิคเอกชนหรือในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ เช่น "เอส เมดิคัล สปา" เมดิคอลสปาที่โรงพยาบาลวิภาวดี และ โรงพยาบาลนครธน เป็นต้น
มีตัวเลขที่อยากบอกให้รู้ว่า ผู้ที่ไปใช้บริการสปาถึง 90% เป็นผู้หญิงค่ะ ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยที่ทรีตเมนต์เรื่องความงามของสปาจึงเป็นแรงดึงดูดที่สำคัญกว่าอย่างอื่น ให้คุณสาวๆ ควักกระเป๋าออกมาใช้จ่ายเพื่อเสพสุขในโลกแห่งสปาโดยไม่รู้สึกเสียดมเสียดายอะไรนัก
คลายเครียดด้วย “อโรมาเธอราปี” |
การนวดด้วยน้ำมันแบบ “อโรมาเธราปี” Aromatherapy ให้ประโยชน์จากกลิ่นระเหยของน้ำมันหอมบำรุงประสาทจะเน้นการบำบัดรักษาด้วยกลิ่นหอมของน้ำมัน เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนต่างๆ ออกมา ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้จะไปก่อให้เกิดปฏิกริยาหลากหลายรูปแบบขึ้นมาในร่างกายเกิดการตื่นตัว การนวดน้ำมันหอมนี้ สามารถช่วยได้อย่างมากในแต่ละกรณี โดยเฉพาะขณะกำลังเกิดความเครียด ในทันทีหลังจากได้รับการนวดจะเกิดความรู้สึกผ่อนคลาย หลังจากผ่อนคลายแล้ว กลิ่นของน้ำมันหอมจะช่วยให้จิตใจของคุณสงบเยือกเย็นลงได้โดยง่าย
ส่วนประกอบเคมีที่สกัดจากพืชพรรณชนิดต่างๆ ที่อยู่ในรูปของ น้ำมันหอมระเหย จะสามารถเข้าสู่ร่างกายโดยผ่านระบบทางเดินหายใจได้ 2 วิธีด้วยกัน คือ
1. ซึมเข้าสู่กระแสเลือดและระบบการหมุนเวียนโลหิตของร่างกาย โดยเข้าไปกับออกซิเจนที่ขณะหายใจ 2. จะเข้าผ่านทางระบบประสาทส่วนกลาง ส่งต่อไปยังศูนย์กลางรับความรู้สึกในสมองของร่างกาย ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการทรงจำ การรับรู้กลิ่น ซึ่งมีผลกับการทำงานขออวัยวะต่างๆ ของร่างกาย
คุณสามารถเปรียบเทียบความแตกต่างของการนวดด้วยน้ำมันธรรมดาทั่วไป กับการ นวดด้วยน้ำมันหอม แบบ “อโรมาเธราปี” ดังนี้:
น้ำมันทั่วไปไม่ได้สกัดจากสารธรรมชาติ 1. ช่วยให้เกิดการหล่อลื่น 2. มีคุณค่าไม่มาก น้ำมันบางชนิดอาจเป็นอาหารของผิวบ้าง 3. เป็นน้ำมันประเภท Petroleum oil หรือ Mineral oil ซึ่งมีลักษณะเหนียวเหนอะหนะ เพราะโมเลกุลของน้ำมันเป็นคนละชนิดกับน้ำมันธรรมชาติในผิว จึงทำให้ไม่สามารถซึมลงสู่ใต้ผิวได้
น้ำมันอโรมาเธราปี 1. ช่วยให้เกิดการหล่อลื่น 2. มีคุณค่าทางการบำบัดด้วยกลิ่นหอม 3. เป็นน้ำมันประเภทหอมระเหย (Essencial oil) สกัดจากส่วนต่างๆ ของพืชพรรณ และดอกไม้นานาพันธุ์ให้สายซึ่งเป็นเคมีธรรมชาติ 4. โมเลกุลของน้ำมันหอม และน้ำมันในผิวคนเป็นชนิดเดียวกัน จึงสามารถซึมซาบเข้าสู่ผิวขณะนวดได้ โดยไม่ทิ้งความเหนียวเหนอะหนะให้เป็นที่น่ารำคาญ |
|
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น