ผลัดตะวัน
“นิยายเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่สมมติขึ้น ไม่เกี่ยวข้องกับผู้คนหรือสถานที่ใดโดยเฉพาะ หากมีเนื้อหาหรือใจความไปข้องเกี่ยวกับบุคคล หรือสถานที่ ก็เป็นความบังเอิญ ไม่ใช่ตั้งใจ ***อยากขอโอกาส เปิดใจให้นิยายที่ใช้ภาษาแบบนี้สักหน่อยน้า****
“ ผลัดตะวัน ภาค 1 "หงส์ร่อน มังกรรำ" เป็นเรื่องราวความรักระหว่างสองคน ที่ต่างก็เป็นเหมือนพระจันทร์พระอาทิตย์ที่โคจรหมุนเวียน แต่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันได้ เนื่องจากความรักของราชวงศ์ที่แม้จะสิ้นอำนาจไม่เหลือบัลลังก์ หากแต่ศักดิ์และศรีนั้นไม่แปรเปลี่ยน การจะรักกับใครนั้นจึงไม่ง่าย โดยเฉพาะพวกเศรษฐีใหม่
ที่ถูกมองว่าคอยลิดรอนและดูแคลนคนจำพวกผู้ดี…แต่ไม่มีเงิน! ไร้ซึ่งอำนาจ!”
พื้นเพของพวกเขา...
นริศ นริศวงศ์ ณ เวียงแก้ว เป็นทายาทปลายสายของราชวงศ์ที่ยังไม่ได้ล่มสลายทางสายเลือด หากแต่ไร้ซึ่งอำนาจและราชบัลลังก์ ภายหลังจากที่เจ้าปู่ของนริศหรือ “เจ้าโคตรแก้ว” ได้ถูกทูลเชิญมาประทับในกรุงเทพฯ ในปลายรัชสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ซึ่งอำนาจของเจ้านายฝ่ายเหนือถูกลิดรอนจนหมดลงในเวลาไม่ถึงร้อยปี นับจากนั้นเจ้าปู่ของนริศไม่ได้มีโอกาสเสด็จกลับหอแก้ว แห่งเมืองเวียงแก้วอีกเลย จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ พระศพได้ถูกอัญเชิญกลับไปประกอบราชพิธีตามศักดิ์ของเจ้าปู่ คือในฐานะกษัตริย์ที่เข้าพิธีราชาภิเษกองค์สุดท้ายของเวียงแก้ว คราวนั้นนริศเดินทางตามเสด็จในขบวนนี้ด้วย แต่ด้วยวัยเพียงสองขวบปี เขาจึงมิอาจจะจำความได้ ในรุ่นพ่อของนริศ ไม่ได้ใช้”เจ้า” เป็นสร้อยหน้าพระนาม เวียงแก้วถูกลืมเลือนไปในเวลาสั้นๆหลังจากเจ้าโคตรวงศ์กษัตริย์องค์สุดท้ายที่ได้รับการยอมรับสิ้นพระชนม์ พ่อและนริศซึ่งมีเลือดเจ้าอยู่ จึงยังเป็นทายาทสายตรงเพียงสายเดียวของราชวงศ์เวียงแก้วที่สาบสูญ คงเหลือแต่นาม ณ เวียงแก้ว เท่านั้น ที่แสดงให้เห็นว่า เขาสืบเชื้อสายมาจากผู้ใด!
โอภาส กอปรกิตติศัพท์ เป็นทายาทต้นสายของ ตระกูลชาวจีนอพยพ ที่พึ่งจะเปลี่ยนชื่อสกุลจากแซ่มาเป็น นามสกุลอย่างไทยๆ เมื่อหลานชายคนนี้เกิด เนื่องจากปู่ทวดของเขานั้น ต้องการให้หลานชายเป็นไทยอย่างเต็มตัว ในยุคที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวเจริญจนแทบจะถึงขีดสุด ย้อนกลับไปราวๆเกือบร้อยปีปู่ทวดอพยพหนีแล้งมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ มาพึ่งใบบุญในรัชกาลก่อนสมัยของเจ้าปู่ของนริศ ปู่ทวดของโอภาสร่ำรวยขึ้นเพราะทำการค้าได้ถูกทางคือการค้าไม้ สัมปทานป่าไม้ โอภาสไม่ได้มีโอกาสได้จำความใดๆกับปู่ทวดของเขา นอกจากกำไลมังกรทองคู่หนึ่ง เป็นฝีมือช่างจีนชั้นสูง ที่สลักนามสกุลใหม่เขาเอาไว้ขอบด้านในของกำไลคู่งาม นั่นเป็นความทรงจำเดียวที่เขามีอยู่เกี่ยวกับหรือปู่ทวดของตน ในตัวโอภาสมีเลือดจีนอยู่เต็มเปี่ยมเนื่องจากพ่อของเขาได้แต่งงานกับบุตรสาวของชาวจีนแผ่นดินใหญ่เพื่อบุกเบิกธุรกิจครอบครัว ปู่ของโอภาสนั้นไม่ค่อยมีบทบาทนักในธุรกิจครอบครัวเนื่องจากเป็นบุตรชายคนโตที่เจ็บป่วยกระเสาะกระแสะและเสียไปก่อนพ่อตัวเองหรือปู่ทวดของโอภาสด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากปู่ทวดของนริศนั้นมีลูกคนนี้กับย่าทวดตั้งแต่ยังหนุ่มสาวเพียง 19 ปีเศษ ทำให้ทันเห็นเหลนในวัยแรกเกิดจนถึงสี่ขวบ โอภาสเคารพปู่ทวดมาก แม้ความทรงจำนั้นรางเลือนเหลือเกิน เขาจำได้แม่นยำว่า ก่อนจะลาจากโลก ปู่ทวดเรียกให้ไปพบ และกระซิบข้างหู น้ำเสียงแผ่วเบาแต่ทว่าหนักแน่นนั้นทุ้มในหู สลักลงไปในความทรงจำ “ถ้าลื้อจะเป็นมังกร ลื้อจะต้องหาแก้ววิเศษให้พบ!”
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น