คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Part 7 ::: The lost things [100%]
บรรยากาศในที่ทำงานช่วงนี้มันช่างมาคุเสียเหลือเกิน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ชวนอึดอัด หดหู่ หวาดกลัวสิ้นหวังไปซะหมด นี่ไม่ต้องพูดถึงหลังบานประตูไม้สีดำนั่นเลยนะ สยองเสียยิ่งกว่าสยอง ดีไม่ดีได้โดนเหวี่ยงงานลงพื้นหมด ทำอะไรก็ไม่ถูกใจซักอย่าง จะเสนอความคิดอะไรก็ไม่ได้ แม้แต่เพื่อนสนิทอย่าง เพคฮยอนก็ยังรู้สึกเสียวสันหลังวาบไม่แพ้กัน
“เอ่อ เอาตารางกับความก้าวหน้ามาให้ดูน่ะ” เพคฮยอนวางกระดาษเอสี่ที่เย็บติดกันเป็นปึกไม่หนานักลงบนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่เจ้าของมันกำลังสวมใส่แว่นตากรอบสีดำขนาดใหญ่จ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยความเคร่งเครียด พอได้ยินเสียงเจ้าตัวก็ปรายตาหันไปมองที่กองกระดาษเล็กน้อย
‘คริสอู๋ x โอเซฮุน’
“มึงคุมไปเลย กูไม่ยุ่งด้วยแล้ว กูอนุญาตให้มึงจัดการแล้วก็ทุกอย่างแทนกูไปได้เลย ไม่ต้องรายงานกู ไม่ต้องอะไรทั้งนั้น แล้วก็ออกไปได้และ” ชานยอลพูดรัวๆโดยไม่หันไปมองที่เพื่อนรักสักนิด พูดเสร็จหน้าจอคอมต่อ เพคฮยอนที่ได้ยินแบบนั้นก็อดสงสัยไม่ได้
“ห๊า หมายความว่าไงวะ”
“เอ๊า ก็กูบอกว่าให้มึงจัดการเองไปเลยไง กูอนุญาตให้มึงทิ้งงานอื่นไปทำได้เลย งานที่มึงทำค้างๆไว้มึงให้คนอื่นทำต่อเลย” ชานยอลพูดเหวี่ยงๆอีกครั้งก่อนจะกลับไปสนใจกับหน้าคอมต่อ
“เอางั้นเหรอ ก็เห็นตอนแรกมึงอยากทำจะตายยย” เพคฮยอนพอจะเข้าใจทุกอย่างขึ้นมาบ้างแล้ว เลยส่งเสียงเหน็บแนมตามไป จนชานยอลต้องหันไปมองเพื่อนสนิทตาขวาง
“น่าเบื่อว่ะเชี่ย” ชานยอลสบถออกมาอย่างเสียงไม่ได้ อึดอัดจะแย่ เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงได้หงุดหงิดและอารมณ์เสียขนาดนี้
“อืม กูก็เบื่อมึงเหมือนกันแหล่ะ ไอ้ปากแข็ง ผีเข้าหรือไงช่วงนี้ ดุอย่างกะหมา”
“มึงออกไปเลย” ชานยอลหันไปตวาดเพคฮยอนเสียงดังลั่น เพคฮยอนยักไหล่น้อยๆ ก่อนจะเดินมาหยิบปึกกระดาษบนโต๊ะของชานยอลแล้วทำท่าจะเดินออกจากห้อง ชานยอลมองตามแผ่นหลังน้อยนั้นไป ด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบาย
“อ้อ มีอย่างหนึ่งเผื่อมึงอยากจะรู้ ...” เพคฮยอนหันหลังกลับมาพูดก่อนจะปิดประตูห้องลง
“กำหนดงานแต่งวันที่ 29 นะ อีก 17 วันต่อจากนี้ ...”
“...” ชานยอลทำเป็นไม่สนใจ พยายามจะจดจ่อสมาธิตัวเองไปที่หน้าจอคอม ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ตอนนี้หัวใจเขาเต้นแรงยิ่งกว่าบุเรงนองลั่นกลองรบ งานแต่งอีกแค่ 2 อาทิตย์กว่าๆเองเหรอ
“หึ ทำเป็นเงียบไปเถอะ เตรียมตัวรับการ์ดไว้แล้วกัน” เพคฮยอนละเหนื่อยกับการไร้ปฏิกิริยาตอบรับของชานยอล เขาส่ายหัวนิดหน่อยแล้วปิดประตูลง ปล่อยให้ชานยอลจมอยู่กับความคิดตัวเอง
ชานยอลมองไปที่ประตูสีดำหน้าห้องอีกครั้ง เพคฮยอนเดินออกไปแล้ว แต่คำพูดสุดท้ายของเพคฮยอนที่พูดเอาไว้ยังดังก้องอยู่ในหัว งานแต่งงาน เขากำลังต้องไปงานแต่งงาน มันควรจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากกว่าที่คนที่เขา ‘รัก’ ถึงสองคนได้แต่งงานในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันเลยนะ
...ใช่แล้วแหล่ะ งานแต่งของคนที่เขารัก งานแต่งของพี่สาวและงานแต่งของเซฮุน กับคนอื่น ที่ไม่ใช่เขา ...
-------------------------------------------------
เซฮุนกำลังนั่งทำการ์ดแต่งงานอยู่ เขากำลังใช้โปรแกรมที่เขาชำนาญออกแบบการ์ดหลายๆรูปแบบ หลายๆสี ระหว่างที่รอคริสมาหาที่คอนโด ทำมาหลายแบบแล้วก็ยังไม่ถูกใจซักที เขาตั้งใจไว้ว่าจะห้การ์ดของงานแต่งเป็นสีน้ำเงิน ตัวอักษรสีเงิน แต่แต่งงานทั้งทีจะให้รูปแบบกดาร์ดมันธรรมดาๆไป ก็คงเสียชื่อนักออกแบบแบบเขาหมด เขาต้องทำให้ดีที่สุด ... ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ถนัดจัด Layout แบบนี้สักเท่าไหร่ก็ตาม
… ถ้าเป็นแต่ก่อน คนที่ถนัดงานแบบนี้มากที่สุดก็ต้องเป็นชานยอล ...
น่านสินะ ชานยอลเก่งเรื่องพวกนี้มากๆ ไม่ว่าจะออกแบบอะไร ชานยอลก็มักจะทำออกมาได้สวยงาม สมบูรณ์แบบ จนทุกๆคนให้ความไว้วางใจ จนบริษัทมีชื่อเสียงขึ้นมา บริษัทที่ชานยอลตั้งขึ้นนั่นก็มาจากน้ำพักน้ำแรงของชานยอลเองทั้งหมด จากตอนแรกที่เช่าห้องเล็กๆอยู่กันในตึก ก็พอมีเงินพอออกมาตั้งสำนักงานเอง เซฮุนก็อยู่ในเหตุการณ์มาด้วยตลอด ชานยอลกับเพคฮยอนช่วยกันออกแบบตึก ส่วนตัวเขาเป็นคนตกแต่งภายนอกและภายในทั้งหมด เขายังจำได้ดี ราวกับว่ามันเพิ่งผ่านไปเมื่อวาน วันที่เปิดใช้ตึกสำนักงานวันแรก แล้วชานยอลขอเขาเป็นแฟนที่หน้าตึก ... ตรงทีๆเขากับชานยอลยืนเทลาะกันเมื่อไม่กี่วันก่อนตอนจะไปร้านเสื้อนั่นแหล่ะ
“ที่รัก เหม่ออะไรอยู่เหรอครับ” เซฮุนสะดุ้งสุดตัวทันทีที่รู้สึกได้ถึงสัมผัสร้อนบริเวณไหล่ทั้งสองข้าง และลมอุ่นๆบริเวณต้นคอ ไล่เรื่อยไปบริเวณซอกหูและขมับ เซฮุนรีบกระถดคอหนีด้วยความจั๊กกะจี้
“โอ๊ย พี่คริสครับ อย่าเพิ่งสิครับ”
“คิดถึงมากเลย ทำไมตัวหอมแบบนี้ล่ะ” คริสไม่หยุดกระทำตามคำขอของเซฮุน กลับกันคริสสอดมือเข้าไปใต้รักแร้สองข้างของคนรักแล้วดึงไปนั่งที่โซฟาซึ่งสามารถทำอะไรได้ถนัดกว่า
“อื้ม พี่คริส” เซฮุนตัวอ่อนปวกเปียกเพราะการจู่โจมของคนรักที่นั่งซ้อนหลังอยู่ มือสองข้างที่แสนซุกซนลูบไล้ไปทั่วสัดส่วนของร่างกาย เขาเองก็ไม่รู้จัดทัดท้วงยังไง เวลาโดนจูบแบบนี้ทีไร เล่นเอาเขาหมดแรงทุกที
“คิดถึงจังเลย” พูดแล้วก็ย้ำรอยจูบลงไปบนไหล่เนียนที่เริ่มโผล่พ้นเสื้อเชิ้ตสีขาวออกมา
“พี่คริสโอ๊ย อย่าเพิ่งสิครับ ผมอยากให้ดูการ์ดก่อน” เซฮุนใช้มือทั้งสองข้างแกะมือเหนียวๆของคริสออกจากตัว ยากลำบากแต่ก็ต้องทำ ไม่งั้นคืนนี้คงไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นต่อแน่ๆ
“เอาไว้ก่อนได้ไหมล่ะ พี่คิดถึงเซฮุนจะแย่แล้วนะ”
“ไว้ดูการ์ดเสร็จก่อนก็ได้ครับ นะครับ” เซฮุนส่งแววตาออดอ้อน ก่อนจะเลื่อนหน้าเข้าจูบไปสันกรามของคนรักเบาๆ
“เอางั้นก็ได้ครับ” คริสปล่อยตัวเซฮุนให้เป็นอิสระ เซฮุนเดินตรงไปที่คอมพิวเตอร์ก่อนจะเริ่มเปิดรูปภาพที่เขาทำไว้ให้คนรักดูทีละรูป
“ตอนแรกผมคิดว่าทำเป็นการ์ดหน้าเดียวก็ดี แต่ที่จริงทำเป็นแบบเปิดได้สองด้านก็สวย ผมอยากให้พี่คริสช่วยเลือกด้วย”
“เซฮุนก็รู้ว่าพี่ไม่ค่อยมีหัวด้านนี้นะ เซฮุนชอบอันไหนพี่ก็เอาอันนั้นแหล่ะครับ” คริสแทบจะไม่ได้สนใจรูปบนหน้าจอคอมเลย วันนี้เขาทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน อยากจะกอดเซฮุนให้ชื่นใจมากกว่า เขาจรดริมฝีปากลงไปบนกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มอีกครั้งพร้อมกับสูดหายใจเข้าปอดอีกฟอดใหญ่
“อื๊ม พี่คริส ดูการ์ดก่อนสิ จะได้รีบสั่งทำไงครับ นี่ List ชื่อแขกในงานก็ยังไม่เสร็จเลยน้า”
“อันไหนพี่ก็ชอบทั้งนั้นแหล่ะ ขอแค่เซฮุนชอบ จริงๆนะครับ” ใบหน้าเข้มตอนนี้ดูอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาสีเข้มส่งแววตาออดอ้อนคนรักให้รีบๆกลับมาทำกิจกรรมแสดงความรักทางร่างกายกันต่อ เซฮุนยิ้มเขินจนตาหยี หลบสายตาอีกฝ่ายที่กำลังจ้องมองมาที่เขาอย่างเว้าวอน
“พี่คริสเลือกก่อนสิครับ” พูดทั้งๆที่ยังก้มหน้าจนคางแทบจะชิดกับอก คริสที่เห็นว่าคนรักขอร้องมาก็ต้องทำตามใจไป
“พี่ชอบอันที่เป็นหน้าเดียวมากกว่านะ ดูคลาสสิคดี” พูดเสร็จตัวของเซฮุนก็ลอยขึ้นกลางอากาศในอ้อมแขนของอีกฝ่ายที่กำลังพาเขาตรงไปในห้องนอน หลังจากนั้นทั้งสองก็ลืมเรื่องการ์ดแต่งงานไปสนิท
-------------------------------------------------------------
อีกฟากหนึ่งของเมือง บนคอนโดสุดหรูสูงเสียดฟ้า ชานยอลกำลังนั่งดูดบุหรี่อยู่ที่ระเบียงของห้อง ช่วงนี้เขาสูบมันบ่อยขึ้น แทบจะทุกชั่วโมง หมดแล้วก็สูบอีก พอสูบบุหรี่ก็จะขาดเหล้าไปไม่ได้ เขาแทบจะขนเอาทุกขวดที่เก็บอยู่ในตู้ออกมาวางไว้ข้างๆ ขวดแล้วขวดเหล้าที่กินเข้าไป เขาพยายามกินเพื่อให้ตัวเองเมาแล้วหลับ แต่มันก็ไม่ได้ผล เขาปวดหัวและมีเรื่องคั่งค้างอยู่ในหัวมากเกินไป
“ชานยอล มึงมันบ้าจริงๆ ไอ้โง่ ไอ้คนโง่” ชานยอลพูดพร้อมกับปิดเปลือกตาลงช้าๆ นึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาตลอดช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมา พลันภาพรอยยิ้มของใครบางคนก็แล่นเข้ามาในหัวสมอง ... ห่าเอ๊ย เมื่อไหร่จะหลุดไปจากหัววะ ชานยอลกระชากแก้วเหล้าขึ้นมาซดจนหมดด้วยความโมโห จากนั้นก็เทเหล้าลงแก้วแล้วก็ยกขึ้นซดอึกๆแบบที่ไม่กลัวจะตับแข็งตาย
ความรู้สึกหนึ่งที่เคยหายไปนานเริ่มกลับมากวนใจของชานยอลอีกครั้ง ความรู้สึกทั้งด้านดีและด้านร้ายๆที่เคยพยายามผลักออกจากตัวไปให้ได้มากที่สุด แต่แล้วมันก็วนกลับมา พร้อมกับใครบางคนที่ทำให้รู้สึกได้ทั้งดีที่สุดและแย่ที่สุดในคราวเดียวกัน ชานยอลเคยเชื่อ เชื่อว่าครั้งหนึ่งเขาลืมเซฮุนได้แล้วจริงๆ แต่พอมาวันนี้ ความรู้สึกเจ็บแปลบที่อกมันทำให้เขารู้ว่า นั่นไม่จริงเลย นั่นก็แค่เป็นเรื่องหลอกตัวเอง เขาไม่เคยลืมเซฮุนเลย ไม่แม้แต่จะรักน้อยลง ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว แค่ช่วงเวลาที่ได้กลับมาเจอเซฮุนแค่ไม่กี่วันมันจะทำให้เขาแทบคลั่งได้ขนาดนี้เลยเหรอ
ยิ่งคิดก็ยิ่งกระดกแก้วขึ้นดื่ม แต่จนแล้วจนรอด ชานยอลก็ยังไม่หลับ เขากินเหล้าเข้าไปจนรู้สึกมึนหัว เพราะคิดว่ามันจะทำให้ลืมได้ แต่ก็ไม่ทำไมมันติดแน่นหนึบแบบนี้ ทั้งๆที่เขาเคยลืมภาพนั้นไปได้แล้วแท้ๆ ทำไมฟ้าถึงเล่นตลกร้ายกับเขาแบบนี้ ส่งคนๆนั้นกลับมาอีกทำไม
ชานยอลแบกหัวอันหนักอึ้งไปที่ห้องนอนตัวเอง เขาเปิดลิ้นชักตู้หัวเตียงออกก่อนจะล้วงมือเข้าไปควานหาอะไรบางอย่างออกมา มันคือกระปุกทำจากพลาสติกสีน้ำตาลเข้มอันไม่ใหญ่มากนัก ชานยอลยกขวดนั้นขึ้นมาพิจารณาอย่างช้าๆ ก่อนจะตัดสินใจเปิดฝากระปุกนั้นออก แล้วเขย่าเอาเม็ดกลมๆสีขาวๆออกมาหนึ่งเม็ด เขารีบใส่มันเข้าไปในปากแล้วกลืนลงไปโดยไม่มีน้ำเปล่าช่วยแม้แต่หยดเดียว ขอให้คืนนี้เขาได้พักผ่อนเยอะๆทีเถอะ พักเยอะๆ เอาให้ลืมทุกอย่างไปเลย ลืมทุกอย่างไปให้หมด ลืมใครคนนั้นไปจากใจเสียที
----------------------------------------------------------------------------
วันนี้บรรยากาศในการทำงานที่บริษัทรับจัดงานแต่งของชานยอลดูสดใสขึ้นมาหน่อย เพราะ บอสใหญ่ไม่มาปรากฏตัวเลยตั้งแต่เช้า เพคฮยอนเองก็ดีใจอยู่นิดๆที่ไม่มีไอ้หน้าบูดอยู่ในบริษัท รู้สึกทำงานสะดวกมากขึ้น สบายใจมากขึ้นด้วย จนถึงช่วงใกล้เที่ยง ไอ้ชานยอลก็ยังไม่ปรากฏตัวซักที ไม่มีแม้แต่จะโทรศัพท์มา ซึ่งผิดวิสัยการทำงานของมันมากจริงๆ ปกติต่อให้ไม่สบายใกล้ตาย ไอ้คนนิสัยบ้างานอย่างชานยอลก็ต้องโทรมาถามงาน สั่งงาน คุยโน่นนี่นั่นบ้าง แต่นี่ไม่มีซักแอะ ถามทุกคนในบริษัทก็ไม่มีใครรู้ ... เป็นไปได้ไงวะ
- RRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRR -
ระหว่างนั่งออกแบบอะไรไปเพลินๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เพคฮยอนหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า หวังว่าจะเป็นไอ้ชานยอลโทรมาหา แต่เบอร์และชื่อที่ขึ้นโชว์บนหน้าจอนั้น ทำให้เพคฮยอนต้องเบิกตาออกกว้าง !!! โอ้โห แม่เจ้าโว๊ย พี่คริสโทรมา พี่คริสโทรมา !!! เพคฮยอนทำท่าลุกลี้ลุกลน พยายามจัดผมเผ้าตัวเองให้เข้าที่ ทั้งๆที่ก็ไม่ใช่ว่าจะเจอหน้ากันสักหน่อย แล้วทำไมเขาต้องตื่นเต้นขนาดนี้นะ
พอก่อนเพคฮยอน ต้องตั้งสติ เขาหายใจเข้าออกสองสามที เป่าลมในปากที่หลายครั้ง กระแอมคออีกหน่อย กะว่าอยากจะให้เสียงตัวเองออกมาใสไพเราะสุดๆ ก่อนจะบรรจงนิ้วโป้งลงไปกดปุ่มสีเขียวรับสายโทรศัพท์บนหน้าจอ
“สวัสดีครับ” เพคฮยอนกรอกเสียงลงไปในสาย พยายามควบกล้ำทุกครับให้ชัดเจนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เฝ้ารอเสียงที่กำลังจะตอบมาใจจดใจจ่อ
“เพคฮยอนๆ สวัสดี” แต่เสียงที่ตอบกลับมาทำเอาเพคฮยอนแทบจะเอาหัวโขกกับโต๊ะ เป็นเสียงของเซฮุนนั่นเอง โธ่ วันหลังก็เอาเบอร์ตัวเองโทรมาสิ ไปใช้เบอร์พี่คริสทำไม
“เอ้อ ว่าไงเซฮุน” เพคฮยอนพยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปกติ
“คือ เมื่อคืนฉันทำการ์ดไว้น่ะ อยากจะให้นายช่วยดูหน่อย ถ้าโอเคก็จะได้พิมพ์การ์ดแจกเลย นี่ฉันก็ลิสท์รายชื่อแขกไว้เรียบร้อยแล้วแหล่ะ”
“อื๊มมม นายก็ส่งเข้าเมล์ฉันเลยสิ เดี๋ยวดูให้ แล้วก็คุยกันทางเมล์ จะได้รีบส่งแบบกันเลย เดี๋ยวไม่ทัน”
“แต่ฉันอยากเจอนาย วันนี้ว่างมั๊ย ออกมาเจอกันหน่อยสิ ฉันอยากจะแก้งานด้วยอ่ะ” เซฮุนยังคงพูดจ้อต่อไป พอลืมตาตื่นขึ้นมาปุ๊ปสิ่งแรกที่ทำก็คือหยิบโทรศัพท์มาโทรหาเพคฮยอนทันที
“อ้า เดี๋ยวคิดก่อนนะ” เพคฮยอนทำท่าคิดหนัก ที่จริงเขาก็ยังมีงานอยู่ ไม่ค่อยอยากจะออกไปข้างนอกซักเท่าไหร่
“แล้ว ...” เพคฮยอนเว้นจังหวะไปนิดนึงก่อนจะพูดต่อ “พี่คริสจะไปด้วยหรือเปล่าล่ะ เผื่อว่าจะได้ดูด้วยกันแล้วทำให้เสร็จไปเลย” แหม่ ช่างน่าภูมิใจในตัวเองจริงๆนะเพคฮยอนที่หัวไวแบบนี้นะ จะออกไปทั้งทีก็เผื่อว่าจะได้เจอพี่คริสด้วย ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็ จะให้เขาบึ่งออกไปตอนนี้เลยก็ยังได้
“อ่อ พี่คริสเหรอ เดี๋ยวขอถามก่อนนะ ...พี่คริสครับๆ ตื่นเถอะครับ” เสียงเซฮุนที่เรียกพี่คริสชัดเจนอยู่ในโทรศัพท์ทำให้เพคฮยอนรู้ว่า พี่คริสอยู่ไม่ไกลจากเซฮุนเลย
“หืม อะไรเหรอครับ ตื่นแล้วเหรอครับที่รัก” เสียงของพี่คริสดังเล็ดลอดเข้ามาในสาย พร้อมกับเสียงร้อง อื๊มมม ยาวๆ และเสียงกุกกักๆ กับเสียงกระแทกดังตุ๊บเข้ามาในสาย คล้ายเซฮุนทำมือถือหล่นลงกับพื้น
“พี่คริสเดี๋ยวก่อนครับ มือถือหล่นแล้ว เพคฮยอนอยู่ในสาย ปล่อยมือก่อ ...” เสียงของเซฮุนที่พยายามออกปากห้ามอีกฝ่าย เริ่มทำให้เพคฮยอนนึกภาพออกว่าตอนนี้สองคนนี้กำลังทำอะไรกันอยู่ แล้วไหนที่ปลุกให้พี่คริสตื่นนั่นอีก ไม่ต้องคิดอะไรมากเขาก็รู้ว่าทั้งสองคนนี้อยู่บนเตียง ก็ไม่เห็นน่าแปลกใจนี่ ก็เขาเป็นแฟนกัน นอนด้วยกันก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน
แล้วทำไมถึงได้รู้สึกเจ็บหัวใจด้วย
“เอ้อๆ เพคฮยอนยังอยู่ในสายหรือเปล่า” เสียงของเซฮุนปลุกให้เพคฮยอนตื่นจากภวังค์ เพคฮยอนยกมืออีกข้างขึ้นมาตบหน้าตัวเองให้ตื่น ก่อนจะกลับมาทำหน้าจริงจังต่อ
“เพคฮยอน พี่คริสไปไม่ได้น่ะ ฉันคงต้องไปเอง เจอกันที่ร้านกาแฟร้านเดิมได้มั๊ยล่ะเพคฮยอน”
“ถ้างั้นฉันว่านายมาหาฉันที่บริษัทดีกว่า จะได้ใช้คอมที่นี่ทำเลย จะได้เสร็จทีเดียว” เพคฮยอนตอบไปด้วยเสียงไม่สู้ดีเท่าไหร่ พอรู้ว่าพี่คริสมาด้วยไม่ได้ เขาก็เกิดอาการไม่อยากจะกระดิกตัวออกไปไหนเลยต่อจากนี้
“ที่บริษัทนายเหรอ” เซฮุนทำเสียงไม่มั่นใจ “แล้วชานยอลล่ะ”
“ชานยอลไม่อยู่” เพคฮยอนพูดเสียงห้วนๆ “ให้พี่คริสมาส่งที่บริษัทเลยนะ” พูดเสร็จเพคฮยอนก็ตัดสายไปในทันที เขาไม่ปฏิเสธว่ารู้สึกหงุดหงิด ทำไมเขาถึงเป็นคนแบบนี้ ทำไมถึงได้รู้สึกไม่ชอบเซฮุนขึ้นมาเสียอย่างนั้น เพราะว่าเซฮุนคือคนที่พี่คริสรักงั้นเหรอ ให้ตายเถอะเพคฮยอน นายต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ
.
.
.
ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เพิ่งเข้ามาในบริษัทใหม่ๆ โอเซฮุนก็ยังเป็นแค่คนขี้อายมากคนหนึ่ง เวลาทำงาน เขามักจะชอบกางกระดาษแผ่นใหญ่ไว้บนโต๊ะแล้ววาดทุกสิ่งอย่างพร้อมทั้งเขียนรายละเอียดงานลงไปจนเต็ม มันคือความสุขที่ได้ทำแบบนั้น เพราะมันทำให้เขาคิดงานทุกอย่างได้ลื่นไหลมากที่สุด ตอนแรกเซฮุนไม่เคยสังเกตเลยว่าทุกครั้งที่เขาทำแบบนั้น จะมีใครสักคนที่อยู่บริเวณนั้นเฝ้ามองการกระทำของเขาไม่วางตา แต่ใช่ว่าเซฮุนไม่รู้สึกอะไร ก็พอจะจับสัมผัสของดวงตาคู่หนึ่งได้อยู่ ตอนแรกเขาพยายามไม่คิดอะไรทั้งสิ้น ก็คิดแค่ว่า เจ้านายของตัวเองคงแค่เฝ้ามองตัวเองทำงานมากกว่า แต่พอหลังจากนั้น ความรู้สึกว่ามีคนจ้องมองก็ไม่ได้มีแค่ช่วงทำงานแล้ว แต่เริ่มรู้สึกได้ทุกครั้งที่เขาเดินเข้ามาในบริษัท รู้สึกได้ทุกครั้งที่ลุกเดินไปไหนมาไหน จนกระทั่งสายตาคู่นั้นก็ค่อยๆขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็เข้ามาใกล้เสียจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่แก้ม ความรู้สึกในดวงตาที่อยู่ห่างจากหน้าไปไม่ถึงคืบ ความรู้สึกที่เซฮุนเรียกมันว่า ‘ความรัก’ พร้อมกับคำพูดที่ชวนให้ละลายที่ข้างๆหู
ร่างบางยกมือขึ้นมาตบหน้าตัวเองสองสามที เรียกสติตัวเองให้กลับมาสู่ปัจจุบัน นี่เขาคิดไปไหนต่อไหนอีกแล้ว เซฮุนหายใจเข้าลึกๆ ถอนหายใจอีกสองสามที ก่อนจะเดินตรงเข้าไปในบริษัท บรรยากาศภายในบริษัทไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมมากเท่าไหร่ ทั้งบริษัทเป็นห้องกว้างๆ ส่วนของโต๊ะทำงานถูกแบ่งออกเป็นซ้ายขวา ตรงกลางมีโคมไฟคริสตัลห้อยลงมาจากเพดานที่เป็นสีงาช้าง บนพื้นไม้สีน้ำตาลตรงกลางมีโซฟากำมะหยี่สีน้ำเงินขนาดใหญ่สองตัววางอยู่ ระหว่างโซฟามีโต๊ะที่ทำจากกระจกเป็นรูปสี่เหลี่ยมตั้งไว้พร้อมแจกันดอกไม้สีขาวบนนั้น ผนังโดยรอบยังคงเป็นสีงาช้างเหมือนสีเพดานเหมือนเดิม จะเว้นก็เสียแต่ผนังด้านลึกสุดที่กลายเป็นสีดำทะมึนจนดูน่ากลัว
“อ้าว เซฮุน” หญิงสาวคนหนึ่งที่เพิ่งเดินเข้ามาในออฟฟิสเหมือนกันร้องทักขึ้น เซฮุนหันกลับไปมองตามเสียงก็พบว่าเป็นเพื่อนร่วมงานเก่าของเขาคนหนึ่ง
“เฮ๊ยย ว่าไง” เซฮุนโผเข้าไปกอดร่างนั้นทันทีที่ได้พบหน้ากับหญิงสาว จากนั้นไม่นานพนักงานในที่ทำงานก็เริ่มทะยอยกันเดินเข้ามาหาเซฮุน พูดคุยเฮฮากันลั่นบริเวณ
“อืม ดีใจนะที่ได้เจอนายอีก นึกว่าจะไม่กลับมาซะแล้ว พอกลับมาถึงก็แต่งงานเลยนะ”
“อืมม น่านสิ แถมยังให้บริษัทเราจัดงานแต่งให้อีกด้วยเนอะ ตลกชะมัด” เพื่อนร่วมงานชวนเสวนากันไปเรื่อยเปื่อย ส่วนเซฮุนก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ เขาก้ไม่ได้จงใจให้เป็นออกมาแบบนี้หรอกนะ เฮ้อ
“อืม ว่าแต่เพคฮยอนอยู่ไหนเหรอ” เซฮุนที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองตั้งใจจะมาทำอะไรที่นี่ถามขึ้นมา
“อ่อ อยู่ในห้องบอสแน่ะ” ผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นมา พร้อมกับชี้ไปที่ประตูสีดำที่ตั้งอยู่ตรงกำแพงที่ถูกทาเป็นดำนั่น เซฮุนมองแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว ห้องของชานยอลเหรอ ประตูไม้สีดำนั่นน่ะเหรอ เขาจำสถานที่ตั้งของห้องได้ดี แต่จำไม่ได้จริงๆว่าประตูห้องไม้มันเป็นสีดำ ..
.
“ทำไมประตูห้องกลายเป็นสีดำล่ะ แต่ก่อนมันเป็นสีขาวนี่นา” เซฮุนหันกลับไปถามผู้หญิงคนนั้น เธอยิ้มนิดๆก่อนจะเริ่มพูดต่อ
“ก็ตั้งแต่เธอลาออกไป บอสก็ทาผนังด้านนั้นเป็นสีดำหมด รวมทั้งประตูห้องด้วย ออฟฟิสด้านนั้นก็เลยดูทะมึนแบบนั้นแหล่ะ”
“งั้นเหรอ ...” เซฮุนจ้องมองไปที่ประตูไม้สีดำนั่นอย่างไม่เข้าใจ ชานยอลเกลียดสีดำ เขาเคยบอกว่ามันเป็นสีที่ทำให้จิตใจห่อเหี่ยวและทำให้โลกเราแคบลง แล้วการทาสีดำไว้ในบริษัทที่รับจัดงานแต่งแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยสักนิด
เซฮุนพาตัวเองไปยืนอยู่หน้าประตูห้องทำงานของชานยอลที่แต่ก่อนเขาเข้าไปในห้องนี้บ่อยครั้ง เขาเคาะประตูสองสามครั้งก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้อง ก็พบกับโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ เพียงแต่คนที่นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ใช่ชานยอลแต่เป็นเพคฮยอนแทน
“อ้าว มาแล้วเหรอ เดินเข้ามาเลย” เพคฮยอนที่เห็นว่าใครเพิ่งเดินเข้ามาก็ส่งเสียงเรียกให้เดินมาที่โต๊ะ เพคฮยอนกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานสีดำขนาดใหญ่ ที่เซฮุนจำได้ดีว่าแต่ก่อนมันก็ไม่ใช่สีนี้ ข้าวของภายในห้องก็แลดูจะเปลี่ยนเป็นสีทะมึนๆไปหมดทั้งห้อง
“ทำไมห้องมันกลายเป็นสีดำไปแบบนี้ล่ะ แต่ก่อนมันไม่ใช่แบบนี้นี่นา” เซฮุนพูดพร้อมกวาดตามองไปรอบๆห้อง โซฟาตัวเล็กตรงมุมห้องก็ถูกเปลี่ยนเป็นสีเทา ชั้นวางหนังสือข้างผนังห้องก็กลายเป็นสีดำไปแล้ว
“ไอ้ชานยอลนั่นแหล่ะ พอมันเลิกกับนายก็เกิดบ้าเปลี่ยนห้องเป็นสีดำหมดเลย โต๊ะทำงานก็ซื้อใหม่เป็นสีดำ มันบอกเหมาะกับชีวิตของมันดี”
“หลังจากเลิกกับฉัน” เซฮุนยกนิ้วขึ้นชี้ตัวเอง ทำหน้าสงสัย
“อืม ใช่ แล้วก็ย้ายออกจากบ้านด้วยนะ ออกไปอยู่คอนโดแทน ก็ไม่ค่อยเข้าใจมันเหมือนกันว่าทำไม” เพคฮยอนพูดต่อไป โดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่ายิ่งพูดสีหน้าของเซฮุนก็ดูจะแย่ลงเรื่อยๆ
“ชานยอลขายบ้านนั้นต่อเหรอ…”
“อันนี้ไม่รู้แฮะ เพราะฉันก็ไม่ได้ถามมันเหมือนกัน เห็นมันบอกอยู่ไปก็ยิ่งรู้สึกแย่”
“…”
“โอ๊ย ฉันขอโทษ เซฮุน ฉันพูดมากไปหน่อย ฮือออ” เพคฮยอนยกมือขึ้นตบปากตัวเองผัวะๆ เอาอีกแล้ว ไอ้นิสัยพูดมากของเขานี่มันแย่จริงๆ ทำลืมไปสนิทเลยว่ามันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากในตอนนี้
“ฉันไม่ได้เป็นไรหรอก” เซฮุนพูดปด พร้อมกับยิ้มบางๆ พยายามทำให้ตัวเองดูร่าเริงขึ้น เขาพาตัวเองเข้าไปนั่งข้างๆเพคฮยอนแล้วหยิบเอาแฮนดี้ไดรฟ์ออกมาจากกระเป๋าของตัวเอง
“อ่ะ นี่แบบการ์ดนะ มาดูกันเถอะ” เซฮุนฝืนยิ้มให้อีกฝ่าย ยอมรับว่ารู้สึกแย่ที่ได้ยินแบบนั้น นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของชานยอลบ้างหลังจากเขาสองคนเลิกกัน ใจหนึ่งเซฮุนก็อยากจะซักถามเพคฮยอนต่อ แต่อีกใจหนึ่งเขาก็กลัวกับคำตอบ กลัวว่ามันจะทำให้คนทนไม่ไหวขึ้นมา
“อ้าว เพคฮยอน ตามหาตั้งนาน” ระหว่างที่เพคฮยอนกับเซฮุนช่วยกันแก้ไขการ์ดอยู่ก็มีแขกอีกคนเปิดประตูเข้ามาในห้อง พร้อมกับม้วนกระดาษขนาดใหญ่ในมือหลายแผ่น
“เย็นนี้จะไปเจอบอสหรือเปล่า ฝากนี่ไปให้หน่อยสิ เมื่อกี้โทรหาแล้วบอสบอกว่าให้ฝากเพคฮยอนเอาไปให้ที่คอนโด” คนๆนั้นนำม้วนกระดาษมาวางไว้บนโต๊ะ เพคฮยอนเกาหัวแกรกๆจ้องมองที่ม้วนกระดาษนั้นด้วยความงง ใครมันจะไปคอนโดไอ้ชานยอลมันล่ะวะ
“เฮ้ย ชานยอลว่าอย่างนั้นเหรอ ไม่ได้นัดกับมันไว้เลยนะ”
“อ้าวเหรอ แต่บอสบอกมาแบบนั้นน่ะ บอสบอกว่าวันนี้ไม่สบายเลยมาไม่ไหว แต่งานก็ต้องพรู๊ฟวันนี้ด้วยสิ ไม่งั้นไม่ทันส่งพรุ่งนี้แน่ๆเลย”
“เออ งั้นก็ได้ๆ” เพคฮยอนพยักหน้ารับแบบงงๆ ชานยอลไม่สบายเหรอ ทำไมไม่เห็นโทรบอกเขาเลยล่ะ แล้วนี่ยังให้เอางานไปให้อีก โคตรงง
“ชานยอลไม่สบายเหรอเพคฮยอน” เซฮุนตั้งคำถามขึ้นทันที่ที่เพื่อนพนักงานคนนั้นเดินออกจากห้องไป เพคฮยอนหันไปส่ายหน้ากับคนที่ตั้งคำถาม เพราะเขาเองก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น
“นี่ก็เลิกงานละ สงสัยต้องรีบไปแล้วแหล่ะ นี่เดี๋ยวฉันเอาการ์ดไปทำต่อให้ที่บ้านนะ ถ้านายยืนยันแบบตามนี้พรุ่งนี้ก็คงเสร็จ” เพคฮยอนเก็บของลงกระเป๋า แต่เพราะงานที่เพคฮยอนต้องขนไปให้ชานยอลที่คอนโดมีค่อนข้างเยอะ เซฮุนเลยอาสาจะช่วยเพคฮยอนขนไปที่รถให้
“นายกลับบ้านเลยก็ได้นะ เดี๋ยวฉันขนไปเองได้” เพคฮยอนเอ่ยปากบอกกับเซฮุนที่กำลังช่วยเขาจัดของในรถอย่างขะมักเขม้น เซฮุนส่ายหน้าพร้อมกับอมยิ้มน้อยๆว่าเขาเต็มใจจะทำให้จริงๆ รถของเพคฮยอนยังรกเหมือนเดิม ขืนยัดๆแบบเข้าไปในเบาะหลังแบบที่ชอบทำ แบบคงยับยู่ยี่ไม่ก็ฉีกขาดก่อนถึงมือของชานยอลแน่ๆ
“เอาน่า ฉันอยากช่วย”
“แล้วนี่นายจะกลับยังไงล่ะ เดี๋ยวฉันไม่ส่งมั๊ย” พอจัดของเสร็จ เพคฮยอนก็เอ่ยปากชวนให้เซฮุนโดยสารรถไปด้วยกัน ตอนแรกเซฮุนดูจะลังเลเพราะว่าเพคฮยอนต้องเอาของไปส่งที่บ้านชานยอลก่อน
“แต่ว่านายต้องเอาของไปส่งที่คอนโดชานยอลก่อนหรือเปล่า งั้นเดี๋ยวฉันไปเองก็ได้” เพคฮยอนฟังแบบนั้นก็ได้แต่ยิ้มน้อยๆ เขาเข้าใจว่าทำไมเซฮุนถึงไม่อยากไปด้วย เขาคลี่ยิ้มออกอีกครั้งก่อนจะพูดว่า
“นายก็รออยู่ในรถสิ”
.
.
.
“นายเจอกับพี่คริสที่เกาะเชจูเหรอ” หลังจากออกรถมาได้สักพักทั้งสองคนก็ชวนคุยอะไรกันไปเรื่อยๆ เพคฮยอนชวนเซฮุนคุยเรื่องพี่คริสไปเพราะเขานึกไม่ออกแล้วว่าจะชวนคุยเรื่องอะไรดี (จริงๆนะ) พอยิ่งได้ฟังเรื่องพี่คริสเขาก็ยิ่งรู้สึกอารมณ์ดี
“ใช่ เจอกันบนเรือ ตอนพี่คริสใช้กล้องไม่เป็นเลยมาขอให้ฉันช่วยดูให้น่ะ”
“งั้นเหรอ น่ารักดีเนอะ” เพคฮยอนเผลอหลุดยิ้มอย่างลืมตัวเมื่อนึกภาพตาม คนตัวยโตๆมาดเท่ห์ๆอย่างคุณคริส ทำท่าทางเจี๋ยมเจี้ยมขอความช่วยเหลือเรื่องกล้องให้หน่อย คงน่าหยิกแก้มมากๆ
“แต่ตอนนั้นฉันขำมากเลยนะ คนอะไรใช้กล้องโปรไม่เป็นก็ยังจะซื้อมาใช้อีก”
“ยิ่งน่ารักเข้าไปใหญ่เลย” เพคฮยอนยังคงพูดไปอย่างลืมตัว ส่วนเซฮุนก็ไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่าการชื่นชมธรรมดาๆ
“ใช่เลยแหล่ะ ยิ่งตอนยิ้มเก้อๆเขินๆนี่น่ารักที่สุดเลย”
“น่ารัก ...” เพคฮยอนตาเชื่อมเป็นประกาย ริมฝีปากอมยิ้มน้อยๆ ห้วงความคิดปรากฏภาพของเขากำลังยืนอยู่ข้างๆคริส โดยที่มือทั้งสองข้างของตัวเองจับอยู่ที่กล้องตัวใหญ่ที่มีสายคล้องอยู่ที่คอของอีกฝ่าย ใบหน้าของทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก มากเสียจนเพคฮยอนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆทุกครั้งยามที่เขาเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ...
“เพคฮยอน นายเหม่ออะไรน่ะ” เซฮุนที่เห็นว่าเพคฮยอนเงียบไปนาน เอื้อมมือไปสะกิดให้อีกคนรู้สึกตัว เพคฮยอนทำตาโต นี่เขาเหม่อไปได้ขนาดนั้นเลยเหรอ แค่ฟังเรื่องพี่คริสแค่นี้ก็ทำเขาเหม่ออะไรได้ไปไหนต่อไหนแล้ว
“นายเป็นอะไรหรือเปล่าเพคฮยอน ให้ฉันขับรถแทนมั๊ย” เซฮุนที่สังเกตว่าเพคฮยอนดูหน้าถอดสีไปพูดขึ้นมา อีกฝ่ายรีบหันไปสั่นหน้าว่าไม่เป็นไร สบายมากๆ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วหัวใจของเขากำลังสั่นรัวเหมือนกลองรบ
“ฉันก็เห็นนายเงียบไปเลย เงียบอย่างเดียวไม่พอ ฉันเรียกก็ยังไม่ได้ยิน นั่งยิ้มค้างอยู่แบบนั้น ฉันก็นึกว่านายน็อกไปแล้วซะอีก” เพคฮยอนยิ้มเขินๆกับคำบอกเล่าของเซฮุน แล้วเขาจะตอบว่าอะไรดีล่ะ ตอบว่ากำลังคิดถึงว่าที่เจ้าบ่าวของนายไง อย่างนี้เหรอ
“ช่วงนี้ฉันชอบคิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ ขอโทษนะ กำลังขับรถอยู่ด้วย” เพคฮยอนเปลี่ยนเป็นพูดขอโทษแทน เซฮุนส่ายหน้าไปมา
“ไม่เป็นไรหรอกเพคฮยอน” เขาคลี่ยิ้มออกบางๆ จากนั้นทั้งสองคนต่างก็เงียบไป จนกระทั้งเพคฮยอนเลี้ยวรถเข้าไปในซอย แล้วเลี้ยวอีกทีเข้าไปในบริเวณของ คอนโดที่ปลูกอยู่รวมกันหลายๆตึก
“อ่ะ ถึงแล้ว เซฮุนนายจะขึ้นไปด้วยกันมั๊ย” หลังจากเพคฮยอนจอดรถเสร็จก็หันไปถามคนที่นั่งข้างๆ เซฮุนทำท่าลังเล ใจหนึ่งเขาก็ไม่อยากขึ้นไป อีกใจเขาก็อยากจะขึ้นไปเหมือนกัน มันเป็นความรู้สึกที่ปฏิเสธไม่ลงว่าอีกในใจลึกๆแล้วเขาก็ยังคงอยากจะรับรู้เรื่องราวต่างๆของชานยอลอยู่ดี
“นายขนของขึ้นไปเองได้ใช่มั๊ย” แต่สุดท้ายแล้วเซฮุนก็พ่ายแพ้ให้กับความกลัวของตัวเอง ไม่ว่าจพยังไงก็ตามเขาก็ยังกลัวที่จะต้องเจอกับชานยอลอยู่ดี ...
“อืม ได้ งั้นนายรออยู่ในรถนะ ฉันจะติดเครื่องไว้แล้วกัน ไม่นานหรอก” เพคฮยอนพูดเสร็จก็เดินลงจากรถเพื่อไปเปิดกระโปรงหลังแล้วขนเอาของทั้งหมดที่ท้ายรถออกมาถือ แต่แค่เห็นของก็เริ่มเครียดแล้วเพราะไม่ใช่น้อยๆเลย ขนาดเมื่อกี้ตอนออกมาจากบริษัทยังให้เซฮุนช่วยถือมาอยู่เลย แต่เอาเถอะ เขาก็เข้าใจสถานการณ์ของชานยอลและเซฮุนดี ก็ไม่อยากจะเซ้าซี้ให้ช่วยถือไปด้วยกัน
เพคฮยอนแบกทุกอย่างขึ้นมาในอ้อมแขน ส่วนมืออีกข้างก็ถือถุงใส่แฟ้มขึ้นมาแบบเก้ๆกังๆ นี่ไอ้ชานยอลไม่มาทำงานวันเดียวนี่งานค้างเยอะขนาดนี้เชียวเหรอ นี่เขาก็เพิ่งรู้เหมือนกันนะเนี่ย เขาหันกลับไปมองกระบอกใส่แบบอีกหลายอันที่ต้องเอาไปด้วย โอ๊ย ไม่ใช่เบาๆเลยนะ ไอ้ชานยอลแม่ง ขึ้นไปถึงจะโยนงานอัดหน้าแม่งเลยคอยดู
เพคฮยอนแบกทุกอย่างขึ้นมาด้วยความทุลักทุเล เขาเดินผ่านรถไปแบบช้าๆเพราะไม่อยากให้ของทุกอย่างตก เซฮุนที่นั่งอยู่ในรถเห็นแบบนั้นก็ชั่งใจอย่างหนักว่าจะทำยังไงดี
“เพคฮยอน มาฉันช่วย” เซฮุนตัดสินใจลงจากรถแล้ววิ่งไปหาเพคฮยอนที่เดินไปเกือบจะถึงทางเข้าคอนโดอยู่แล้ว
“อ้อ ดีเลย มันหนักมากเลย” เพคฮยอนยิ้มกว้าง นึกขอบคุณที่เซฮุนยอมลงมาช่วย เพราะเมื่อกี้ของที่อยู่ในมือเขาก็ทำท่าจะตกแหล่ไม่ตกแหล่อยู่แล้ว
“แต่ฉันขอรอหน้าห้องนะ” เซฮุนพูด เพคฮยอนพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะรีบแบ่งของให้เซฮุนบางส่วนแล้ววิ่งตรงไปที่ลิฟท์ของคอนโด
.
.
.
หลังจากที่เมื่อคืนชานยอลเมาจนหัวทิ่มก็สลบไปนานจนเย็น เขาลืมตาตื่นขึ้นมาหลายรอบแล้วแต่รู้สึกปวดหัวมากจนลุกไม่ไหว มาตื่นอีกทีก็ตอนที่ ลูกน้องที่บริษัทโทรมาหาหลายรอบมากจนเขาต้องพยายามกระเสือกกระสนลุกขึ้นมารับ จากนั้นเขาก็นอนหลับต่อเพราะความปวดหัวที่ยังไม่หายไปซักทีจากนั้นชานยอลก็หลับไปนานอีกเท่าไหร่ไม่รู้ จนกระทั่งมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีเสียงกริ่งหน้าห้องดังขึ้นมา
“อืม ... “ ชานยอลสะลึมสะลือ เขาพยายามลืมตาขึ้นแต่ก็รู้สึกว่ามันทำได้ยากมาก แต่แล้วเสียงกริ่งที่ดังต่อเนื่องไม่ยอมหยุด(เพราะฝีมือของเพคฮยอน)ก็ทำให้ชานยอลต้องงัดตัวเองขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปที่ประตู
“ใครแม่งมาวะ” ชานยอลบ่นอย่างหัวเสีย เขาเดินไปที่ประตู หลับตาข้างหนึ่งเพื่อส่งดูคนนอกห้องตรงตาแมว ใช้เวลาอยู่นานพอสมควรก็พอจะรวบรวมสติกลั่นกรองออกมาได้ว่าคนที่ยืนอยู่หน้าห้องคือไอ้เพคฮยอนเพื่อนรัก(?)ของเขานั่นเอง
“ทำไมไม่ออกมาซักทีวะ หรือว่ามันจะออกไปข้างนอก” เพคฮยอนหงุดหงิดเป็นหมีกินผึ้ง เขาเอานิ้วกดออดค้างไว้นานมากแต่ก็ยังไม่มีใครมาเปิด ลองกดโทรศัพท์เข้าไปก็ไม่มีใครรับ
“แต่ใต้ประตูมีแสงไฟนะ น่าจะอยู่ในห้องแหล่ะ” เซฮุนที่สังเกตเห็นว่าช่องแคบๆใต้ประตูยังพอจะเห็นแสงไฟอยู่พูดขึ้นพร้อมชี้ให้เพคฮยอนดู
“หรือว่ามันอาจจะลืมเปิดไฟทิ้งไว้” เพคฮยอนเถียงอีก แต่เซฮุนส่ายหน้า
“ชานยอลไม่เคยลืมปิดไฟเลยนะ เขามักจะเดินดูรอบๆบ้านก่อนจะออกไปไหนเสมอแหล่ะ” เซฮุนพูดออกไปตามเคยชิน นึกแปลกใจเหมือนกันที่ตนเองยังจำทุกรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของชานยอลได้ดี
“อ้อเหรอ ...” เพคฮยอนพยักหน้านิดๆเป็นเชิงเข้าใจ จากนั้นก็ทำท่าจะหันไปกดกริ่งเรียกต่อแต่ยังไม่ทันได้กดประตูก็ถูกเปิดออกเสียก่อน
“กดเชี่ยไรวะ ไอ้เพคฮยอน” ชานยอลเริ่มต้นด่าไอ้เพื่อนเวรทันทีที่เปิดประตูออก แต่พอเห็นว่าเพคฮยอนไม่ได้มาคนเดียว คำด่าทั้งหมดที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะพ่นใส่หน้าเพคฮยอนก็ถูกกลืนหายลงไปในลำคอ เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาขยี้ตาตัวเองแรงๆอีกสองสามที เผื่อว่าจะตาฝาด จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นตบหน้าตัวเองอีกสองสามครั้ง แต่ภาพของคนตรงหน้าก็ยังไม่หายไป เซฮุนยืนอยู่หน้าห้องของเขาจริงๆ นี่เขาคงต้องยอมรับความเป็นจริงแล้วสินะ ว่าต่อให้กินเหล้าเมามายมากแค่ไหนก็ทำให้เขาหนีหายไปจากแฟนเก่าที่ชื่อว่าเซฮุนคนนี้ไม่ได้
เซฮุนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก็ตกใจเหมือนกัน ทั้งชานยอลและเซฮุนต่างจ้องหน้ากันนิ่ง เพคฮยอนเองที่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสองก็ได้แต่มองหน้าสองคนสลับกันไปมา แล้วเพคฮยอนเองก็ไม่ได้โง่เกินไปที่จะไม่รู้ว่าแววตาที่ทั้งสองคนมองกันมีความรู้สึกบางอย่างแฝงอยู่
“เอ่อ ... กูว่า เราเอาของเข้าไปวางก่อนมะ แม่งหนักว่ะ” เพคฮยอนพูดทำลายความเงียบขึ้นมา ชานยอลที่ตั้งสติได้ก็รีบเปิดประตูออกกว้างเพื่อให้ทั้งสองคนก้าวเข้ามา เพคฮยอนเดินเข้ามาก่อน แต่เซฮุนกลับยืนนิ่งอยู่หน้าห้อง
“อ้าว ไม่เข้ามาล่ะเซฮุน” เพคฮยอนหันไปเรียกเซฮุนที่ยังคงยืนอยู่หน้าห้อง เซฮุนพยักหน้าน้อยๆแล้วก็ยอมเดินตามเข้ามาแต่โดยดี ร่างบางเดินตามเพคฮยอนเข้าไปที่โซฟากลางห้องที่ถูกตู้โชว์กั้นไว้เป็นห้องนั่งเล่น ชานยอลปิดประตูลงช้าๆ ทั้งห้องกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง แขกทั้งสองคนที่หอบของเข้ามาค่อยๆเอาของทั้งหมดวางลงบนโต๊ะกลางห้อง
“พวกแบบอยู่ในกระบอกนะ นอกนั้นเป็นพวกแฟ้มงานรอมึงเซ็น แล้วก็มีแบบใน CD อีกสองสามแผ่นนะ พวกงานในกระบอกนี่รีบพรูฟก่อนแล้วส่งอีเมล์เลยนะ เดี๋ยวจะไม่ทันส่งลูกค้า” พอวางของเสร็จ เพคฮยอนก็หันไปสาธยายงานทั้งหมดให้ชานยอลฟัง ชานยอลพยักหน้าหงึกๆสองสามทีว่าเข้าใจ เขาหลับตาลงทั้งๆที่ยังยืนอยู่ จากที่หลับมาทั้งวันแล้วต้องมาลืมตาสู้หลอดไฟกับยืนฟังไอ้เพื่อนเวรสั่งงานแล้วมันก็ชวนให้รู้สึกปวดขมับมากกว่าเดิม
“อืม กูรู้แล้วแหล่ะ ...” ชานยอลลืมตา(บวมๆ)ของตัวเองขึ้นมา เขาเหลือบตามองไปที่เซฮุนแว๊บนึงก่อน ด้วยความรู้สึกลังเลและอึดอัด เซฮุนเองก็จ้องกลับไปเช่นกัน เขาไม่รู้ว่าควรจะทักทายอะไรชานยอลดี หรือควรจะยืนอยู่เฉยๆแบบนี้ไปเรื่อยๆ
“แล้วนี่มึงมีอะไรอีกมั๊ย” ปากพูดกับเพคฮยอน แต่สายตาของชานยอลยังคงเหลือบมองเซฮุนอยู่เป็นระยะ ที่จริงจะรีบๆไล่ให้กลับไปเลยก็ได้ แต่ทำไมถึงไม่คิดจะทำแบบนั้นเลยก็ไม่รู้
“อืม แล้วก็มีเรื่องการ์ดของเซฮุน แต่กูทำเกือบเสร็จแล้วแหล่ะ อ๊ะๆ มึงอย่าเพิ่งด่ากูนะ กูแค่รายงานให้มึงทราบไว้ก่อน” เพคฮยอนยกมือขึ้นห้ามชานยอลไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้พ่นอะไรออกมา ชานยอลตั้งท่าจะด่าแล้วในตอนแรก แต่แล้วสายตาเจ้ากรรมก็ดันเหลือบไปมองคนที่ถูกเอ่ยชื่อในบทสนทนาเข้าอีกจนได้ โว๊ะ จะเหลือบมองอะไรกันนักกันหนาวะตัวเขาเนี่ย
“เออ มีแค่นี้ใช่มั๊ย” ชานยอลถามอีกครั้ง พยายามจ้องไปที่หน้าเพคฮยอน
“อืม ก็คงมีแค่นี้แหล่ะ ว่าแต่มึงเถอะ ทำไมวันนี้ไม่ไปทำงาน” เพคฮยอนตั้งคำถามกลับไปบ้าง ชานยอลไม่ตอบ เขาจับผมตัวเองแล้วดึงขึ้นเพราะกลัวว่าตัวเองจะล้มฟุบลงไป เพราะเขามีความรู้สึกว่ายิ่งยืนโลกก็ยิ่งจะหมุนเร็วขึ้นๆเรื่อยๆ
“เมื่อคืนกูแดกเยอะไปหน่อย ตื่นไม่ไหว” พูดเสร็จ สายตาของชานยอลก็เหลือบไปมองตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องกระดกเหล้าเข้าไปเป็นโอ่ง และทั้งๆที่ก็ไม่ได้อยากเจอ แต่ก็ดูเหมือนว่าสวรรค์จะไม่เคยรับฟังคำขอร้องของเราเลยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนจะลงโทษเขาเพิ่ม ด้วยการส่งมาหาถึงที่ !!
‘กินเหล้าวันทำงาน คนอย่างนายเนี่ยนะ’ เซฮุนมองหน้าชานยอล แล้วก็ได้แต่เก็บความคิดไว้ในใจ อยากจะถามออกไปเหลือเกิน ... ที่จริงมีคำถามในใจอีกเยอะที่อยากจะถาม แต่เขาก็ไม่กล้า
“แดกจนเมาแอ๋ขนาดนี้เนี่ยนะ กลิ่นเหล้าในห้องก็หึ่งเลย ไหนว่ามึงเลิกแล้วไง” เพคฮยอนพูดเสียงดังขึ้นกว่าเดิม ชานยอลจ้องหน้าเพื่อนรัก(?)อย่างหงุดหงิด
“….” ชานยอลไม่ตอบอะไร แต่เขากลับรู้สึกว่าตอนนี้บ้านมันหมุนติ้วมากขึ้นเรื่อยๆ มากซะจนเขายืนแทบไม่ไหว ลืมตาก็ไม่ขึ้น และก่อนที่เขาจะคิดอะไรได้มากกว่านั้น ทุกอย่างที่เขากินเข้าไปกำลังจะพุ่งออกมา
“ไอ้หยา” เพคฮยอนเบือนหน้าหนี เมื่อชานยอลล้มลงกับพื้นพร้อมกับกองอ๊วก ทำไมเพื่อนสนิทของเขามันถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้ เอะอะเป็นลม เอะอะล้ม ชีวิตดูอ่อนแอเหลือหลายจนน่าจะเหยียบให้ตายไปซะตอนนี้เลย
“แค่กๆ อูแหวะ” ชานยอลยังคงอ๊วกออกมาไม่หยุด เซฮุนที่เห็นแบบนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปประคองให้ชานยอลลุกขึ้น ตัวของชานยอลร้อนจนน่ากลัว
“ทำไมนายตัวร้อนจังเลย เพคฮยอน ช่วยฉันพาชานยอลไปที่ห้องน้ำหน่อยสิ” เซฮุนประคองแขนข้างหนึ่งของชานยอลไว้ เพคฮยอนมองแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า
“ปล่อยๆ” ชานยอลที่ยังรู้สึกตัวพอเห็นว่าทั้งสองคนเข้ามาประคองตัวเองก็พยายามสะบัดมือออกอย่างแรง
“อย่าดิ้นสิ อยู่เฉยๆ” สัมผัสอ่อนโยนที่แขนและเสียงที่นุ่มเบาบริเวณข้างหูของเซฮุน ทำให้ชานยอลสงบ เขาจ้องใบหน้าขาวนั้นที่อยู่ห่างจากเขาไม่ถึงคืบ มือของเซฮุนที่กุมมือเขาไว้แน่นตอนนี้ทำให้ใจของเขาเริ่มเต้นแรงขึ้น หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ ร้องไห้ที่ตัวเขาไม่อาจฝืนอะไรได้เลย แม้กระทั่งหัวใจของตัวเอง
“ซวยกูแท้ๆ” เพคฮยอนที่กำลังช่วยเซฮุนลากชานยอลไปที่ห้องน้ำ พยายามกลั้นหายใจ กลิ่นเหล้า อ๊วกนี่มันเหม็นจริงๆให้ตาย ไอ้ชานยอลมึงก็นะ ปีนี้ขอขึ้นเงินเดือนอีกเท่าตัวนึงเลยได้มั๊ย !!!
“เพคฮยอน นายไปหาผ้าเช็ดตัวให้ผืนสิ อ่อ ขอกางเกงกับเสื้อตัวใหม่ด้วยนะ” เซฮุนเอ่ยปากขอร้องให้เพคฮยอนไปทำตาม เพคฮยอนก็จัดแจงหาของมาให้จนครบ เซฮุนถอดเสื้อที่เปื้อนของชานยอลออกแล้วเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่ พร้อมกับล้างหน้าให้ จากนั้นก็พากันประคองไปส่งที่ห้องนอน เซฮุนทำทุกอย่างคล่อง แคล่วจนเพคฮยอนนึกแปลกใจ สงสัยว่าแต่ก่อนตอนยังคบกับไอ้ชานยอลอยู่ก็คงต้องทำแบบอยู่บ่อยเหมือนกันล่ะมั๊ง
“ชานยอล อย่าเพิ่งนอน กินน้ำร้อนก่อน” เซฮุนที่หายตัวไปพักหนึ่งกลับเข้ามาในห้องพร้อมกับแก้วกาแฟแก้วใหญ่ที่ข้างในมีน้ำร้อนเติมอยู่จนเกือบเต็ม ชานยอลค่อยๆลุกขึ้นมาจากเตียงเหมือนเด็กที่กำลังป่วยลุกขึ้นมากินยา เขารับแก้วน้ำจากเซฮุนไปนั่งจิบ
“เป็นไงล่ะมึง กลายเป็นหมาหงอยไปและ” พอเห็นว่าทุกอย่างเข้าสู่ภาวะปกติ เพคฮยอนก็เริ่มแซะชานยอลอีกครั้ง ชานยอลเงยหน้ามองเพคฮยอนอย่างเอาเรื่อง
“จะไปไหนก็ไปเถอะไป” ชานยอลพูดเสียงเบาแล้วก็ก้มหน้าลงจิบน้ำร้อนต่อ พอได้กินของร้อนๆแบบนี้ก็รู้สึกดีขึ้นจริงๆ
“เออ ไปแน่ แต่กูขอเข้าห้องน้ำก่อน ในห้องนอนมึงนี่มีห้องน้ำใช่มั๊ย ขอเข้าก่อนนะ เหม็นอ๊วกมึงจะแย่” เพคฮยอนทำจมูกฟุดฟิดพร้อมกับทำหน้าสะอิดสะเอียน ชานยอลที่นึกหมั่นไส้ทำท่าจะสาดน้ำร้อนในมือใส่เพคฮยอนจนอีกฝ่ายต้องรีบวิ่งแจ้นหายเข้าไปในห้องน้ำ แต่พอนึกได้ว่าใครเป็นคนที่เอาแก้วน้ำนี้เข้ามาให้ก็ต้องหยุดชะงักไป
“กินเข้าไปให้หมดเลยนะ” เซฮุนคอยกำกับชานยอลไว้เหมือนคนเป็นแม่กำกับให้ลูกกินยาเวลาป่วย ชานยอลก็ทำตามอย่างว่าง่าย
“หมดแล้ว” พอชานยอลกินน้ำร้อนจนหมดก็ส่งแก้วคืนให้เซฮุน ร่างบางรับแก้วมาถือไว้ในมือแล้วหย่อนตัวลงนั่งข้างๆชานยอลบนเตียง
“นายโอเคแล้วใช่มั๊ย ปวดหัวอยู่หรือเปล่า” เซฮุนถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง ทุกอย่างที่ทำก่อนหน้านี้เป็นไปด้วยสัญชาตญาณ พอเห็นชานบอลล้มลงไปเขาก็รีบเข้าไปช่วยทันที จากนั้นก็พาไปล้างหน้าเปี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ทุกอย่าง ... บอกได้เลยว่าทำแบบนี้บ่อย เพราะแต่ก่อนเวลาชานยอลออกไปกินเลี้ยงแล้วกลับมาสภาพก็ไม่ต่างจากนี้เท่าไหร่
“ไม่แล้วแหล่ะ ... ขอบใจนะ” ชานยอลกลายเป็นลูกหมาน้อยไปแล้วจริงๆ เขาพูดเสียงอ่อนแล้วก็นั่งตัวห่อๆ เซฮุนพยักหน้าแล้วก็ยิ้มบางๆ เวลาที่ป่วยหรือไม่สบายชานยอลจะกลายสภาพเป็นเด็กน้อยไปในทันที หรือบางทีก็จะขี้อ้อนให้ทำโน่นทำนี่ไปเรื่อย
“ไม่เป็นไร ว่าแต่ทำไมนายกินเหล้าเยอะแบบนี้ล่ะ ปกตินายไม่กินเหล้าวันทำงานนี่นา” เซฮุนได้โอกาสถามในสิ่งที่สงสัย
“นายจะมาเป็นห่วงฉันทำไม” ชานยอลแค่นยิ้ม ได้แต่นึกสมน้ำหน้าตัวเอง สมน้ำหน้าเวรกรรมของตัวเอง และที่สำคัญที่สุดคือสมน้ำหน้าหัวใจของตัวเองที่ยังคงลืมคนที่นั่งอยู่ข้างๆไม่ได้ซักที
“ก็ฉัน...”
“เพราะฉันมันน่าสมเพชใช่มั๊ย” ชานยอลพูด ใครมาเห็นสภาพเขาตอนนี้ก็ต้องสมเพชทั้งนั้นแหล่ะ
“ไม่ใช่แบบนั้นซักหน่อย” เซฮุนเงียบไปชั่วครู่ เขาไม่ได้นึกสมเพชคนที่นั่งอยู่ข้างๆเขาเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เขากลับเป็นห่วงชานยอลจริงๆ หลังจากที่วันนี้ได้ยินเรื่องราวของชานยอลมาหลายเรื่องจากเพคฮยอน หัวใจของเขาก็เริ่มรู้สึกโหวงๆแปลกๆ เขายอมรับว่าเป็นห่วง ยอมรับว่าอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนๆนี้ ในช่วงเวลาที่เขาหายไป
“...”
“เพราะว่าฉันเป็นห่วง” เซฮุนพูดออกมา ชานยอลจ้องหน้าเซฮุนด้วยความไม่เข้าใจ ภายในใจสับสนกับคำพูดและแววตาของอีกฝ่าย ทั้งๆที่ก็ควรรู้สึกดีที่มีคนเป็นห่วง แต่ถ้าเป็นความห่วงใยจากคนๆนี้บางทีเขาก็ไม่ต้องการเท่าไหร่นัก ...
เพราะบางทีมันอาจจะทำให้เขาคิดไปไกล
“ฉันอยากนอนแล้ว” ชานยอลล้มตัวลงนอน ส่วนเซฮุนก็รีบลุกขึ้นแล้วช่วยห่มผ้าห่มให้ จากนั้นเขาก็รีบวิ่งออกไปนอกห้องเพื่อหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำมาให้คนที่นอนซม
“เอาแปะไว้บนหัว จะได้รู้สึกสบาย” เซฮุนค่อยๆวางผ้าลงบนหน้าผากของชานยอล ดวงตากลมโตมองการกระทำนั้นไม่วางตา เขาหลับตาพริ้มตอนนี้สองมือของเซฮุนลูบวนตรงหน้าผากเขาแผ่วเบา สัมผัสแบบที่ทำให้หัวใจเขารู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย ที่เขาเฝ้าคิดถึงมานานมากแล้ว
“เสร็จแล้ว พักผ่อนเยอะๆนะ” เซฮุนยิ้มตาหยี ทำท่าจะผละมือออกไปแต่ก็ถูกชานยอลดึงมือเอาไว้เสียก่อน
“ขอบคุณนะ” ชานยอลจ้องตาเซฮุน พูดเสียงเข้ม กระชับมือตัวเองให้แน่นขึ้นกว่าเดิม
“เอ่อ...ไม่เป็นไร” เซฮุนก้มหน้างุด ใบหน้าร้อนผ่าว แต่ก็ไม่ได้คิดจะดึงมือตัวเองออกจากกกอบกุมของอีกฝ่าย หัวใจเริ่มเต้นแรง เขาไม่รู้ว่าชานยอลจะจับมือตนไว้ทำไม ใจหนึ่งก็อยากให้ชานยอลปล่อยมือไวๆ แต่อีกใจก็ไม่อยากให้ปล่อยเลย
“อะแฮ่ม เอ่อ กลับบ้านกันยังล่ะ” เพคฮยอนที่ออกมาจากห้องน้ำมาเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่พอดีส่งเสียงกระแอบกระไอทำลายบรรยากาศลง ชานยอลจำใจต้องปล่อยมือนั้นไป สีหน้าดูหงุดหงิดที่โดนขัดจังหวะ เซฮุนรีบกระเด้งตัวออกไปห่างเตียงทันที
“กลับสิกลับ” เซฮุนรีบเดินออกจากห้องไปในทันที โดยมีชานยอลมองตามแผ่นหลังบางนั้นไปอย่างนึกเสียดาย
“ร้ายจริงนะมึง” เพคฮยอนชี้หน้าชานยอลอย่างคาดโทษ ชานยอลเบะปากออกไม่ใส่ใจ
“กลับไปได้แล้วไปไป๊” ชานยอลเอ่ยปากไล่ เมื่อเพคฮยอนยังจ้องหน้าเขาไม่เลิก เพคฮยอนยักไหล่เบะปากบ้าง นี่เขาคิดผิดคิดถูกที่ให้เซฮุนตามขึ้นมาที่ห้องด้วยนะ เหมือนโยนเนื้อเข้าปากเสือชัดๆ
“ให้มันน้อยๆนะมึง เขากำลังจะแต่งงาน มึงอย่าลืมนะ” เพคฮยอนพูดก่อนจะเดินออกไปนอกห้อง แต่ก็ไม่ลืมที่จะปิดฟปิดประตูให้ให้เจ้าของห้องมันด้วย ... ชานยอลยังระลึกถึงข้อนั้นดี ว่าเซฮุนกำลังจะแต่งงาน แต่บางทีการทำตามหัวใจตัวเองเสียบ้างก็คงไม่ผิดอะไรใช่มั๊ย
ก็กลัวแต่ว่าจากนี้ไปจะไม่ได้ทำตามหัวใจแค่นิดๆหน่อยๆเนี่ยสิ
TBC.
[Talk] ยาวหน่อย แต่ก็อยากให้อ่านกันนะคะ ^^
ในที่สุด ... ไชโย !!!! ครบ 100% แล้วค่ะ ดูแล้วไม่น่าแต่งนาน แต่เป็นตอนที่ เขียนแล้วลบเขีบนแล้วลบ
บ่อยมากเลยค่ะ *ร้องไห้* สุดท้ายก็บอกตัวเองว่า เอาวะ สู้ แล้วมันก็จบลง TvT
ในตอนนี้ พี่ชานยอลคนปากแข็งเริ่มโอนอ่อนลงนิดๆและ คงจะเพราะยอมจำนนในโชคชะตาตัวเองเสีย
แล้วว่ายังไงก็คงหนีเซฮุนไม่พ้นหรอก แต่จากนี้โชคชะตาจะเล่นตลกอะไรมากกว่านี้อีกไหม ต้องคอยติดตามกันนะคะ
ใบ้ว่า เซฮุนก็เริ่มหวั่นไหวมากขึ้น เพคฮยอนก็เริ่มสองจิตสองใจมากขึ้น ส่วนพี่คริส อืมมม อย่าลืมตัวละครที่ชื่อ
พี่คริสเด็ดขาดค่ะ ดูแล้วจะเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดในฟิคเรื่องนี้ แต่จริงๆแล้ว พี่คริสไม่น่าสงสารขนาดนั้นนะ ...
ฮรี่ๆ ใบ้แค่นี้พอ *โดนตบ* 555
อย่างไรก็ตาม ขอบคุณทุกๆ comment เลยนะคะ รวมถึงคนที่กดเข้ามาอ่าน มา Fav ฟิคไว้ อะไรก็ตาม ขอบคุณมากๆจริงๆการที่ได้เห็น ยอด view เพิ่มขึ้นเราก็ดีใจแล้วนะ เดี๋ยวไว้จะมาตอบเมนชั่นฟิคนะคะ ^_______^
คิดเห็นยังไงกับฟิคเรื่องนี้จะคอนเมนท์บอกไว้หรือ ติดแท็ก #ฟิคคนเคยรัก หรือ #มดอ ไว้ในทวิตเตอร์ก็ได้นะคะ(#มดอ นี่ไว้เผื่อพิมพ์ง่ายๆเนอะ 555)
สัญญาว่าจากนี้จะมาต่อให้เร็วกว่านี้ (หลังจากที่ก่อนหน้านี้เดือนละตอน แถมยังมาทีละ 10%)
จะพยายามรีบปั่นค่ะ เพิ่งเปลี่ยนงานใหม่มา แต่ตอนนี้เริ่มลงตัวมากขึ้น ยังไงก็ขอฝากฟิคเรื่องนี้ไว้ในอ้อมใจ
ทุกคนต่อไปจนจบเลยนะคะ
อ่อ อีกหน่อย หลังจากกลับไปอ่านฟิคเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นอีกรอบ ก็มีความรู้สึกว่า เนื้อหาในบางตอนยัง
ดูไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่ เลยตัดสินใจว่าจะนั่ง Re-write ใหม่บางตอน (ทุกคนคงบอกจะไป Re-write อีกเหรอ
แค่ต่อตอนใหม่ก็ใช้เวลานานแล้วไหมนาง) เอาน่า *ออดอ้อน* เพื่อความสนุกที่เพิ่มมากขึ้น ฮูเร ~
ไปแล้วค่ะ ชักจะเริ่มเยอะเกินไป 555 ขอบคุณทุกคนอีกครั้งนะคะ แล้วเจอกันค่ะ -3-)/
ความคิดเห็น