สถานีต่อไป...ปลายทางความฝัน - สถานีต่อไป...ปลายทางความฝัน นิยาย สถานีต่อไป...ปลายทางความฝัน : Dek-D.com - Writer

    สถานีต่อไป...ปลายทางความฝัน

    เรื่องสั้นที่ได้แรงบันดาลใจจากประสบการณ์การสอบเข้ามหาวิทยาลัย ช่วงเวลาที่ทำให้เรารู้ว่า มิตรภาพของเพื่อนงดงามเพียงใด

    ผู้เข้าชมรวม

    269

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    269

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    2
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  18 พ.ย. 56 / 21:22 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    เรื่องสั้นเรื่องนี้ ได้รับการตีพิมพ์ลงนิตยสารประจำคณะหนึ่ง 

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      สถานีต่อไป...ปลายทางความฝัน

                      “กรี๊ด!

                      เสียงร้องที่แทบจะทำให้คนทั้งหมู่บ้านได้ยิน ดังออกมาจากบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านทาวน์เฮ้าส์หลังไม่ใหญ่ไม่เล็ก มีรถเก๋งสีครีมจอดอยู่หน้าบ้าน เจ้าของเสียงกำลังนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ภายในห้องนั่งเล่น ใบหน้าของเธอแสดงอาการตกตะลึง มือค้างอยู่ที่ปากซึ่งอ้าค้างอยู่ คิ้วที่ขมวดกันแสดงว่าเจ้าตัวกำลังมึนงงกับอะไรบางอย่าง ไม่กี่วินาทีต่อมา น้ำใสๆ ก็เริ่มไหลออกจากดวงตาของเด็กสาวที่อายุไม่น่าเกิน 18 มีนกำลังร้องไห้

                      สิ่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์คือผลสอบคณะแพทย์ที่มีนไปสอบมาเมื่อเดือนที่แล้ว สิ่งที่ทำให้มีนร้องกรี๊ดออกมาคงจะเป็นตัวหนังสือขนาดใหญ่สีแดง เขียนว่า “สอบไม่ผ่าน”

      ความฝันของมีนคือการเป็นหมอ นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่มีนสอบไม่ติด เมื่อนึกย้อนไปการประกาศผลสอบครั้งแรก ใครเห็นก็คงคิดว่ามีนเสียสติไปแล้วแน่ ๆ ตอนนั้นเธอร้องไห้ฟูมฟายราวกับญาติของเธอเสีย นอนไม่หลับไปหลายวันจนตาแดงก่ำและบวมเป่ง พ่อแม่ของมีนทนไม่ไหว แทบจะส่งเธอไปหาจิตแพทย์ด้วยซ้ำ

      “อีกแล้วเหรอเนี่ย! สอบไม่ติดอีกแล้ว” มีนพูดเสียงดัง ใบหน้ายังเต็มไปน้ำตาที่ยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดไหล เธอรู้สึกโกรธตัวเอง โกรธที่ตัวเองทำไม่ได้อีกแล้ว ทั้ง ๆ ที่เธอก็อ่านหนังสือเยอะมากจนแทบอ้วก แต่สุดท้ายเธอก็สอบไม่ติด นี่ยังไม่รู้เลยว่า ถ้ามีนบอกป๊ากับแม่ พวกท่านจะทำหน้าอย่างไร

      “หรือเรามันไม่ได้เรื่องนะ” มีนพึมพำ ดวงตาหลุบต่ำ เหมือนกำลังครุ่นคิดคำพูดของตัวเอง เธอรู้อยู่เต็มอกว่าคณะนี้สอบยากเพียงใด บางทีเธออาจจะไม่เก่งพอก็ได้ เด็กทั่วประเทศนับแสนอยากเข้าคณะนี้ เธอจะมีอะไรไปสู้ด้วย

      “แต่มันเป็นความฝันของเรานี่” เสียงหนึ่งในใจแย้ง “นั่นสินะ ชั้นยังยอมแพ้ไม่ได้หรอก ยังมีโควตาเหลืออยู่อีกที่ ยังไงชั้นก็ต้องทำให้ได้” มีนปลอบใจตัวเองว่าเธอยังมีโอกาสอยู่ โอกาสที่ทำให้ความฝันของเธอเป็นจริง ทั้งเพื่อตัวเธอเอง และเพื่อใครอีกคนที่อยู่ห่างไกล...

       

      เช้าวันถัดมา มีนไปโรงเรียนตั้งแต่เช้าตามปกติ บรรยากาศวันนี้ดูเงียบเหงา ท้องฟ้ามืดครึ้มมาตั้งแต่เช้ามืด ทำทีว่าฝนจะตก แต่ก็ไม่ตกซักที อากาศร้อนอบอ้าว ไม่มีลม พาลให้อารมณ์ของมีนในวันนี้แย่ลงไปอีก

      “จริงเหรอเนี่ยก้อย เธอติดหมอจริงๆ เหรอ โหย ชั้นกำลังจะมีเพื่อนเป็นหมอแล้ว!” เสียงแหลม ๆ แสดงอาการดีใจระคนตื่นเต้นดังออกมาจากห้องเรียนของมีนเมื่อเธอเดินไปถึง ภายในห้อง มีนเห็นภาพเพื่อนร่วมห้องของเธอหลายคนกำลังออกันอยู่หน้าห้อง และยืนล้อมเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง หน้าตาของทุกคนปรากฏรอยยิ้ม แสดงความยินดีกับคนที่อยู่ตรงกลาง แค่มองไกล ๆ มีนก็รู้แล้วว่าเป็นใคร เธอคนนั้นคือก้อย คนที่เคย เป็นเพื่อนรักของมีน

      “จ้า ขอบใจมากนะ ตอนรู้ผลเราก็ช็อกไปเหมือนกัน พ่อกับแม่ตะโกนลั่นบ้านเลย” ก้อยพูดกับเพื่อนๆ แกมหัวเราะ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มกว้างอย่างคนที่ดีใจสุดขีด

      “ก้อยเก่งสุดยอดไปเลยเนอะ”

      “ใช่ ๆ หมอคนแรกของโรงเรียน ชั้นไม่อยากจะนึกเลยว่าครูแนะแนวจะทำหน้ายังไง ฮ่าฮ่า”

      “นั่นน่ะสิ ชั้นว่าคงจะหน้าเหวอไปเลยล่ะ”

      “นี่ ๆ เย็นนี้เราไปเลี้ยงฉลองให้ยัยก้อยกันมั้ย เพื่อนติดหมอทั้งทีนะแก”

      “เออ ดี ๆ ไปกันให้หมดห้องเนี่ยแหละ”

      เสียงพูดคุยดังเซ็งแซ่อย่างต่อเนื่อง ก่อนที่มีนซึ่งยืนอยู่หน้าห้องจะส่งเสียงกระแอมเบา ๆ

      “อื้อ หื้ม”

      จู่ ๆ เสียงที่ดังอยู่เมื่อครู่ก็เงียบสนิท เหมือนไม่เคยดังมาก่อน สายตาทุกคู่ต่างจับมาที่เจ้าของเสียง

      “ขอโทษนะ เราขอทางหน่อย”

      มีนพูดด้วยสีหน้าเฉย ๆ ไร้อารมณ์ เธอแทรกกลุ่มคนเข้าไปในห้อง เดินตรงไปยังโต๊ะเรียนของเธอ

      ทุกคนยังยืนนิ่งอยู่ ต่างคนต่างมองหน้ากัน พวกเขารู้ดีว่ามีนเองก็สอบหมอ แต่ดูจากสีหน้าแล้ว ก็คงเดาผลได้

      “มีน เป็นไงบ้างจ๊ะ สอบติดมั้ย”

      คนที่ทำลายความเงียบคือก้อยนั่นเอง

      มีนมองหน้าก้อย ในความคิดของมีนแล้ว คำถามของก้อยเหมือนเหยียดหยามเธอชัด ๆ ใบหน้ายิ้ม ๆ บวกกับดวงตากลมโตเหมือนเด็กไร้เดียงสาชวนให้มีนรู้สึกหงุดหงิดและหมั่นไส้

      “ไม่ติด”

      มีนตอบห้วน ๆ ก่อนจะหยิบหนังสือเรียนขึ้นมาอ่าน เหมือนเป็นการแสดงว่า เธอไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก มีนรู้สึกเกลียดขี้หน้าก้อยจริง ๆ ก็ครั้งนี้แหละ อันที่จริงแล้วเธอทั้งสองคนเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่มอหนึ่ง พวกเธอมักจะตัวติดกันเหมือนปาท่องโก๋ ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ไม่ว่าจะกินข้าวกลางวัน ทำการบ้าน อ่านหนังสือ เรียกได้ว่า ถ้าเจออีกคนก็ต้องเจออีกคนด้วย แต่พอขึ้นมอหก ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็แทบจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

      ก้อยหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบปรับสีหน้าใหม่ เธอยิ้มให้มีนและพูดว่า

      “นี่ มีน ไหน ๆ เราก็ติดแล้ว มันก็ว่างใช่มั้ย ทำไมเราไม่ไปติวหนังสือด้วยกันล่ะ”

      “ติว ติวอะไร ก็เธอสอบติดไปแล้วนี่ ยังต้องติวอะไรอีกล่ะ”

      มีนตอบกลับด้วยน้ำเสียงงง ๆ ปิดท้ายด้วยคำดูถูกที่เธอไม่คิดว่าจะหลุดออกมาจากปากได้ “หรือได้หมอแล้วยังไม่พออีก”

      “เปล่า เราก็ติวให้เธอไง ยังเหลืออีกโควตานึงนี่ เธอเคยบอกว่าเธอไม่เก่งฟิสิกส์ไม่ใช่เหรอ เราติวให้ได้นะ เราจะได้เข้าไปเรียนหมอด้วยกันไง”

      ก้อยตอบกลับเหมือนไม่สะทกสะท้าน ดวงตาฉายแววจริงใจ

      มีนไม่เข้าใจว่าก้อยกำลังคิดอะไรอยู่ ก้อยจะเสียเวลามาติวให้เธอทำไมกัน มีนหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ เธอจ้องหน้าก้อยเพื่อจับผิด แต่สิ่งที่เห็นกลับไม่ใช่ใบหน้าเจ้าเล่ห์หรืออะไรที่แย่ ๆ มันกลับเป็นแววตาซื่อ ๆ ที่เพียงมองก็รู้ว่า คนตรงหน้าเธอเป็นคนปากตรงกับใจ แต่มีนคิดว่า “ทำไมชั้นต้องไปติวกับเธอด้วย ชั้นอ่านหนังสือคนเดียวไม่ดีกว่าเหรอ เสียเวลาเปล่า”

      แต่ทันใดนั้นเอง ก่อนที่มีนจะพูดปฏิเสธไป ภาพบางอย่างก็ปรากฏขึ้นในหัวของมีน

      ...ผู้หญิงวัยประมาณ 50 กำลังนอนอยู่บนเตียงขาวสะอาด สีหน้าดูซีดเซียว ข้าง ๆ เตียงมีเครื่องมือมากมายตั้งอยู่... คุณป้าของมีนกำลังนอนหายใจรวยริน รอคอยวาระสุดท้ายที่กำลังจะมาถึง

      “หนูจะเป็นหมอให้ได้ค่ะ คุณป้า หนูสัญญา หนูจะไม่ยอมให้ใครมาตายไปต่อหน้าต่อตาอีก”

      เสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและเด็ดเดี่ยวดังขึ้น มีนรู้ว่ามันออกจากปากของเธอเอง

      “ใช่สิ เราสัญญากับคุณป้าไว้แล้ว อืม ถ้าไปติวกับก้อย อาจจะทำให้เราเก่งฟิสิกส์ขึ้นก็ได้นะ ลองไปดูหน่อยก็ไม่เสียหายนี่”

                      เมื่อมีนคิดได้ดังนั้น เธอจึงตอบก้อยไปว่า

                      “ก็ได้ งั้นเริ่มตอนนี้เลยละกัน”

       

                      มีนลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่ปรากฏต่อสายตาของเธอคือหลอดไฟนีออนสีขาวสว่างจ้า แสงของมันทำให้เธอต้องหรี่ตาลง แผ่นหลังสัมผัสได้ถึงความเย็นที่แผ่ออกมาจากแผ่นกระเบื้อง เธอลุกขึ้นนั่งและมองไปรอบ ๆ ตอนนี้เธอกำลังนั่งอยู่บนทางเดินสีขาว มีประตูมากมายขนาบไปตามทางเดิน เธอยืนขึ้นและเริ่มเดินไปตามทางนั้น พลางมองไปที่แต่ละประตู ทุกประตูมีป้ายเขียนชื่อแปะอยู่ เธอนึกออกแล้ว ที่นี่คือโรงพยาบาลนั่นเอง แล้วทำไมเธอจึงมาอยู่ที่นี่ และเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

                      มีนยังคงเดินทอดน่องไปอย่างช้า ๆ ดวงตาก็เหลือบไปดูป้ายหน้าห้องทั้งสองข้างตลอด จนในที่สุด สายตาของเธอก็ไปสะดุดกับป้าย ๆ หนึ่ง ชื่อบนป้ายช่างคุ้นเหลือเกิน... “ชื่อของคุณป้านี่”มีนคิด และทันใดนั้น ภาพความทรงจำในวัยเด็กก็ไหลเข้ามาในหัวสมองมีนเหมือนสายน้ำ... ภาพคุณป้ากำลังนอนหายใจรวยริน ตามตัวมีสายระโยงระยางติดอยู่ มีนไม่รอช้า เธอผลักประตูเข้าไปที่ห้องนั้น ภาพที่ปรากฏสู่สายตาของเธอไม่ต่างอะไรกับในความทรงจำ คุณป้าผู้เป็นที่รักกำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียงผู้ป่วย บนใบหน้าขาวซีดมีเครื่องช่วยหายใจอยู่ ข้าง ๆ เตียงเป็นเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ เสียง “ติ๊ด” ดังตามจังหวะช้า ๆ แสดงสัญญาณของการมีชีวิต

                      คุณป้าของเธอป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ภาพที่เธอเห็นในหัวนั้น เป็นช่วงเวลาก่อนที่คุณป้าจะเสีย ความรู้สึกของมีนในตอนนี้แทบจะไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ น้ำตาของเธอไหลพลั่งพรูออกมา เนื้อตัวสั่นสะท้านไปหมด ขาของเธออ่อนแรงจนแทบจะยืนไม่ไหว แต่เธอก็ยังพยายามพยุงตัวเองเดินเข้าไปใกล้ ๆ คุณป้า จับมือของท่านไว้ มีนร้องไห้ซบหน้าลงกับมือท่าน

                      คุณป้าใจดีกับมีนมาก ตอนมีนยังเด็ก ๆ ท่านมักพามีนไปเที่ยวเสมอ ซื้อขนมให้ ซื้อของเล่นให้ ช่วงปิดเทอมมีนก็จะไปค้างบ้านคุณป้าเป็นประจำ และนอนกอดท่านทุกคืน เธอสนิทกับคุณป้ามากกว่าคุณแม่ด้วยซ้ำ

                      และภาพที่มีนเห็นในวันนี้มันช่างบาดใจเหลือเกิน สภาพของคุณป้าที่กำลังจะสิ้นใจด้วยโรคมะเร็ง เหมือนเธอถูกควักหัวใจทั้งเป็น มีนเจ็บปวดเหลือเกิน

                      ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เสียงสัญญาณที่เคยดังเป็นจังหวะ ก็เปลี่ยนเป็นดังยาวอย่างต่อเนื่อง คุณป้าของเธอจากไปแล้ว จากไปตลอดกาล

                      มีนยังคงซบมือของคุณป้าอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนที่ลุกขึ้น ครั้งนี้ขาของเธอไม่สั่นอีกแล้ว หยาดน้ำตาบนใบหน้าเริ่มแห้ง ดวงตาของมีนฉายแววมุ่งมั่นอย่างคนที่ตัดสินใจบางอย่างได้ เธอมองไปที่ร่างไร้วิญญาณของคุณป้า และพูดว่า

      “หนูจะเป็นหมอให้ได้ค่ะ คุณป้า หนูสัญญา หนูจะไม่ยอมให้ใครมาตายไปต่อหน้าต่อตาอีก”

                      มีนสัญญากับคุณป้าและตัวเอง “ไม่เอาอีกแล้ว” มีนคิด “ฉันไม่อยากเห็นใครตายอีกแล้ว” เธอคิดว่าความสงสาร ความเศร้าเสียใจต่อการตายของคุณป้า คงเป็นแรงใจสำคัญที่ทำให้เธอคิดอยากเป็นหมอ เธอรู้ตัวดีว่าการจะเป็นหมอมันยากลำบากแค่ไหน แต่เธอจะไม่มีวันท้อเด็ดขาด เพราะเธอได้สัญญากับคนที่เธอรักมากที่สุดไว้แล้ว

                      “เฮือก”

                      มีนสะดุ้งตื่นจากฝัน

      “เมื่อกี้เราฝันไปเหรอเนี่ย” มีนพึมพำกับตัวเอง เธอยกแขนเสื้อขึ้นปาดคราบน้ำตาและเหงื่อออกจากใบหน้า เธอลุกขึ้นและเดินไปหยุดอยู่หน้ากระจกใบใหญ่ ตอนนี้เป็นเวลาเช้าแล้ว แสงอาทิตย์สีทองที่ส่องทะลุมาทางหน้าต่างทำให้มีนเห็นเงาตัวเองได้อย่างชัดเจน

      “ชั้นต้องเป็นหมอให้ได้” มีนพูดกับเงาในกระจก และยิ้มให้ตัวเอง รอยยิ้มและแววตาของเธอฉายแววมุ่งมั่น

       

      หลังจากวันที่ก้อยบอกว่าจะติวหนังสือให้มีน ทั้งสองคนก็เหมือนย้อนเวลากลับไปสมัยก่อน ช่วงเวลาที่ยังไปไหนมาไหนด้วยกัน เวลาก้อยกับมีนอยู่โรงเรียน พวกเธอจะอยู่ด้วยกันตลอด เพื่อนร่วมห้องเริ่มจะชินตากับภาพที่ทั้งสองเดินถือหนังสือเล่มโตไปพลางท่องสูตรฟิสิกส์ไปพลาง มีนกับก้อยกลายเป็นคู่ปาท่องโก๋อีกครั้ง ช่วงเวลานั้นดูเหมือนจะเรียกความรู้สึกเก่า ๆ ของมีนกลับมาด้วย เธออธิบายไม่ถูกว่ามันคืออะไร เธอแค่รู้สึกดีที่มีคนอยู่ข้าง ๆ คอยพูดคุยด้วย เดินไปที่ไหนด้วยกัน คอยเตือนเวลาเธอท่องสูตรผิด คอยตรวจแบบฝึกหัดที่เธอลองทำ

      ก้อยและมีนใช้เวลาเดือนเศษ ๆ ก่อนโควตาสุดท้ายจะมาถึงติวหนังสือกัน ไม่ว่าจะที่โรงเรียนหรือที่บ้าน มีนรู้สึกว่าเธอเริ่มเข้าใจวิชาฟิสิกส์มากขึ้น เมื่อก่อนเธอไม่เคยทำข้อสอบวิชานี้ได้เลย แต่ตอนนี้ เวลาทำข้อสอบเก่า ๆ มีนจะได้คะแนนเกิน 70 % แทบทุกครั้ง หลาย ๆ ครั้งที่เธอไม่เข้าใจบทเรียน ก้อยก็จะอธิบายอย่างใจเย็น พูดด้วยภาษาง่าย ๆ ทำให้มีนเข้าใจมากขึ้น บางครั้งที่เธอท้อ ก้อยก็จะคอยให้กำลังใจตลอด ก้อยมักพูดเสมอว่า “เราจะได้ไปเรียนหมอด้วยกันไง”

      “บางที ชั้นอาจจะคิดผิดจริง ๆ ก็ได้ ที่คิดว่าอ่านหนังสือคนเดียวดีกว่า” มีนคิด “การที่เราจะสอบติด มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราคนเดียวซักหน่อย เรายังมีเพื่อน เรายังมี...ก้อย”

      มีนเข้าใจมาตลอดว่า จะสอบติดหรือไม่ติด มันอยู่ที่ตัวเธอคนเดียว ถ้าเธออ่าน เธอก็ติด แต่ผลสอบสองครั้งก็พิสูจน์แล้วว่าเธอคิดผิด เธอยังมีเพื่อนที่จะคอยช่วยเหลือ คอยสอนเธอในเรื่องที่ไม่เข้าใจ คอยเป็นกำลังใจ เธอไม่จำเป็นต้องอยู่คนเดียวเลย

       

      เมื่อวันสอบมาถึง อากาศวันนี้ช่างแจ่มใส ดวงอาทิตย์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า ส่องแสงแดดอ่อน ๆ เหมือนชี้ชวนให้ทุกคนอยากออกจากบ้าน

      มีนเดินทางมาถึงสถานที่สอบก่อนเกือบชั่วโมง มีก้อยมาเป็นเพื่อนด้วย ทั้งสองคนนั่งอยู่ด้วยกันเงียบ ๆ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา

      “อากาศวันนี้สดชื่นดีจัง” ก้อยพูดทำลายความเงียบ มีนหันไปมองคนข้างตัวซึ่งกำลังแหงนหน้าพร้อมส่งรอยยิ้มให้ท้องฟ้า ก้อยหันมายิ้มให้มีน

      “วันนี้เหมือนอากาศเป็นใจเลยเนอะ สงสัยต้องทำข้อสอบได้แน่ ๆ เลย”

      ก้อยพยายามให้กำลังใจมีน เธอสังเกตจากสีหน้าของมีนว่าเธอคงกำลังกังวลอยู่แน่ ๆ

      มีนกำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเอง เธอยอมรับว่าเธอกังวลมาก เพราะโควตานี้เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่เธอจะเป็นหมอได้ ถ้าพลาด ทุกอย่างจบ แต่คำพูดของก้อยก็กลับสะดุดใจของเธออย่างแรง “ชั้นจะมานั่งเครียดอยู่อย่างนี้ไม่ได้ ต้องทำใจให้สงบไว้สิ เวลาทำข้อสอบจะได้คิดออก”

      มีนเงยหน้ามองท้องฟ้า ก้อนเมฆสีขาวสะอาดตาลอยอยู่ทั่ว ลมเบา ๆ พัดสัมผัสผิวกาย ทำให้มีนรู้สึกเย็นสบาย เธอยังได้ยินเสียงนกร้องเบา ๆ มีนหลับตาเพื่อซึมซับกับบรรยากาศรอบตัว เธอเริ่มยิ้ม “อ่านหนังสือก็อ่านแล้ว แถมก้อยยังมาติวมาให้อีก ยังต้องกลัวอะไรอีก”

      มีนหันไปตอบก้อยพร้อมรอยยิ้มกว้างที่ก้อยไม่ได้เห็นมานาน

      “นั่นสิ อาการดีจริง ๆ ด้วย ตอนทำต้องคิดออกแน่ ๆ ”

      พอได้เห็นอย่างนั้น ก้อยก็รู้สึกเบาใจลง เธอเข้าใจว่ามีนคงหายกังวลแล้ว ก้อยเอื้อมมือไปแตะที่ไหล่มีนเบา ๆ และพูดด้วยเสียงหนักแน่นว่า

      “เราเชื่อว่ามีนทำได้ ยังไงเราก็ต้องได้เรียนหมอด้วยกันแน่นอน”

       

      หนึ่งเดือนต่อมา

      “เฮ้อ  วันนี้แล้วเหรอเนี่ย” มีนเอ่ยกับตัวเองเบา ๆ ขณะนี้เป็นเวลาตีห้า เมื่อคืนมีนนอนแทบไม่หลับ เธอตื่นเต้นมาก ใจเต้นรัวจนไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ กว่าจะได้นอนก็เกือบตีสาม วันนี้เป็นวันประกาศผลสอบโควตาแพทย์ของมีน

      มีนไม่มั่นใจเลยว่าจะสอบติด จริง ๆ  แล้วเธอก็ทำข้อสอบได้แหละ แต่เธอก็ไม่รู้ว่าที่ทำไปมันถูกหรือเปล่า จะว่าไป การติวของก้อยก็ช่วยมีนได้เยอะมากเลย เธอทำข้อสอบฟิสิกส์ได้ดีขึ้นมาก ก้อยเก็งข้อสอบถูกตั้งหลายข้อ

       “หมอฟันเหรอ ไม่เอาอะ ชั้นไม่ชอบเห็นขี้ฟันคน”

      “อักษรเหรอ ไม่มีทาง ชั้นโง่อังกฤษจะตาย”

      มีนคิดกลับไปกลับมาจนปวดหัวไปหมด ตอนนี้เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ถ้าเธอสอบไม่ติดเธอจะทำยังไง

                     

                      เวลาหกโมงเย็น

                      ถ้าใครมองเข้ามาในบ้านของมีน ก็คงจะสงสัยว่า คนสี่คนที่อยู่ในบ้านทำไมสีหน้าเคร่งเครียดจัง ทุกคนกำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ในห้องนั่งเล่น ไม่มีเสียงใดหลุดรอดออกมาจากปากใครเลย หน้าตาทุกคนเหมือนตั้งหน้าตั้งตารอคอยอะไรซักอย่าง ผู้ชายคนเดียวในกลุ่มนั้น ลักษณะเป็นชายวัยกลางคน อายุไม่น่าเกิน 50 กำลังนั่งกอดอกและสั่นขาอยู่ ส่วนผู้หญิงอีกคนที่อายุไม่น่าห่างจากคนแรกมากนัก กำลังนั่งเอาสองมือปิดปาก หายใจแรง น้ำตาเริ่มคลอเบ้า ส่วนอีกสองคนที่เหลือเป็นเด็กผู้หญิง วัยประมาณ 18-19 คนแรกกำลังนั่งกัดเล็บ เอามือเท้าคาง คิ้วขมวด ส่วนอีกคนนั่งหลังตรง หายใจแรง มือจับค้างอยู่ที่เมาส์ และกดปุ่มเมาส์แทบจะทุก ๆ 10 วินาที  และทุกครั้งที่กด เธอก็จะถอนหายใจเหมือนโล่งอก

                      มีน ป๊า แม่ และก้อย กำลังนั่งรอผลอย่างใจจดใจจ่อ บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ เพราะตามกำหนดการแล้ว ผลจะออกตอนหกโมงเย็น และตอนนี้ก็หกโมงแล้ว ผลก็ยังไม่ออกซักที

                      มีนยังคงกดปุ่มรีเฟรชไปเรื่อย ๆ พอเห็นว่าผลยังไม่ออก เธอบอกไม่ถูกว่าเธอโล่งใจหรือเสียใจกันแน่

      อีกหนึ่งนาทีต่อมา มีนกดปุ่มรีเฟรชเหมือนอย่างที่เธอทำมาตลอดหนึ่งชั่วโมงแต่ครั้งนี้ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอกลับเปลี่ยนไป มันขึ้นเป็นช่องให้ใส่รหัสผู้สอบ โควตาประกาศแล้ว

                      ทันทีที่ทุกคนเห็นภาพนั้น โดยไม่ได้นัดหมาย ทั้งสี่ต่างส่งเสียงร้องอุทานออกมาพร้อมกัน “ว้าย!/เฮ้ย!

                      มีนมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ดวงตาของเธอเบิกโพลง ริมฝีปากสั่นระริก น้ำลายในคอหนืดจนเธอแทบจะกลืนไม่ลง คนอื่น ๆ ก็เช่นกัน แม่เริ่มร้องไห้ ส่วนพ่อก็หยุดสั่นขา ดวงตาเบิกโพลงเช่นกัน ส่วนก้อยก็หยุดกัดเล็บ เอามือมาจับพนักเก้าอี้ของมีน และชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ ๆ จอ

                      มีนค่อย ๆ บรรจงพิมพ์รหัสลงไปทีละตัว เมื่อกรอกครบหมดแล้ว เธอเลื่อนเมาส์ไปที่ปุ่ม “ตกลง” แต่ก่อนที่เธอจะกด เธอหันไปมองหน้าคนอื่น ๆ

                      พ่อ แม่ และก้อยพยักหน้าให้มีน เมื่อมีนเห็นทุกคนส่งสัญญาณว่าพร้อมแล้ว เธอก็พยักหน้ากลับ ริมฝีปากเม้มจนบางเฉียบ เธอหันกลับไปที่หน้าจอ และกดเมาส์ลงไป

                      คลิก

      ไม่ต้องรอนาน ภาพบนหน้าจอเปลี่ยนไปทันที

      นางสาวณัฐชา ภักดีตระกูล

      เลขประจำตัวสอบ 7000075

      สอบผ่าน

                     

      “กริ๊ด! หนูติดแล้ว”

      นั่นเป็นเสียงแรกที่หยุดออกจากปากของมีน หลังจากที่ทุกคนนั่งอึ้งกับผลไปเกือบสิบวินาที

      เหมือนคนอื่น ๆ เพิ่งรู้สึกตัว พ่อเริ่มกระโดดโลดเต้นไปทั่วห้องเหมือนลืมว่าตัวเองปวดหลังอยู่ ส่วนแม่ก็ร้องไห้ฟูมฟายเหมือนตอนคุณป้าเสียไม่มีผิด เสียงสะอึกสะอื้นดังลั่นห้อง หลังจากนั้น ทั้งสองก็เข้ามากอดมีน ทั้งสามเริ่มร้องไห้

      “เก่งจริง  ๆ ลูกแม่”

      “พ่อภูมิใจในตัวหนูมากนะ”

      เสียงป๊ากับแม่ทำให้มีนร้องไห้กว่าเดิม

      มีนดีใจเหลือเกิน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอทุ่มเทมา มันส่งผลกับเธอแล้ว

      ความฝันของเธอเป็นจริงแล้ว

      “คุณป้าคะ หนูทำสำเร็จแล้วนะคะ” มีนนึกถึงคุณป้า น้ำตานองหน้า แต่ปากกลับปรากฏรอยยิ้มกว้าง

      นานเกือบนาที ในที่สุดมีนก็หลุดออกมาจากอ้อมแขนของป๊ากับแม่ เธอมองหน้าพวกท่าน ใบหน้าของทั้งสองยังมีน้ำตาอยู่เลย แต่รอยยิ้มที่ส่งมา ทำให้เธอรู้ว่าพวกท่านภูมิใจมากแค่ไหน

      มีนหันไปหาอีกคน คนที่กำลังส่งรอยยิ้มกว้างให้ ใบหน้าของก้อยยังเต็มไปด้วยน้ำตา

       “สำเร็จแล้วนะ มีน เราจะได้ไปเรียนหมอด้วยกันแล้ว” ก้อยพูดจบก็โถมเข้าไปกอดมีน

      มีนแทบพูดไม่ออก เธอรู้สึกขอบคุณก้อยเหลือเกิน เธอรู้ว่าถ้าไม่มีก้อย เธอไม่มีวันสอบติดแน่ ๆ เธอไม่มีวันทำฟิสิกส์ได้แน่ ๆ มีนพยายามส่งเสียงออกมา น้ำเสียงของเธอสั่นเครือและแหบพร่าจนแทบจะฟังไม่รู้เรื่อง แต่เธอพยายามส่งผ่านความรู้สึกลงไปในคำพูดนั้น เพื่อให้ก้อยรับรู้ว่าเธอซาบซึ้งในบุญคุณของก้อยมากแค่ไหน และเธอจะไม่มีวันลืมเลย

      “ขอบคุณมากนะ ก้อย”

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×