Short story on my crime scene  no.2 - ให้รักสุดท้าย เป็นดั่งความประทับใจ - - Short story on my crime scene  no.2 - ให้รักสุดท้าย เป็นดั่งความประทับใจ - นิยาย Short story on my crime scene  no.2 - ให้รักสุดท้าย เป็นดั่งความประทับใจ - : Dek-D.com - Writer

    Short story on my crime scene  no.2 - ให้รักสุดท้าย เป็นดั่งความประทับใจ -

    ..มีเพียงความเงียบงันภายใต้ความเคยชิน เวลาของคนสองคนที่เคยหมุนเคียงกัน ในวินาทีนี้ เวลาของอีกคนต้องหยุดนิ่งไปตลอดกาล หากแต่ของอีกคนยังคงหมุนไปข้างหน้า ตามกฏของเวลา..

    ผู้เข้าชมรวม

    177

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    177

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  27 ก.ย. 65 / 09:37 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    ให้รักสุดท้าย เป็นดั่งความประทับใจ’

    ___________________________________

    ดึกดื่นเที่ยงคืนเข็มนาฬิกาค่อยๆ เดินไปจนเกือบจะตีหนึ่ง ฉันที่กำลังจะล้มตัวลงนอนก็ได้รับสายเรียกเข้า หน้าจอโทรศัพท์แสดงชื่อ “เคสรับแจ้ง” ฉันถอนหายใจยาวๆ เฮือกใหญ่ก่อนจะกดรับสาย เสียงปลายสายที่ยังคงสดใสอยู่แม้ในยามนี้ แจ้งเป็นเคสชรามีโรคประจำตัว

    ในเวลาตีหนึ่งกว่าๆ แบบนี้ ถนนสองข้างทางที่ดูโล่ง รถราที่ดูบางตา เสียงเพลงยุคเก้าศูนย์จากคลื่นวิทยุเปิดคลอเอื่อยๆ ทุกคนในรถต่างหลับสนิท เหลือเพียงพี่คนขับรถที่คงตั้งตาตั้งตาขับรถเพื่อไปยังจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย

    “ถึงแล้วครับ” เสียงปลุกเบาๆ จากพี่คนขับก็ทำให้ทุกคนในรถสะดุ้งตื่นขึ้นมา ตั้งสติกันชั่วครู่หนึ่งจึงก้าวลงจากรถ

    เบื้องหน้าเป็นบ้านทาวเฮ้าส์สภาพใหม่ เหมือนจะเป็นหมู่บ้านใหม่ที่เพิ่งเปิดให้เข้ามาอยู่ไม่นานเท่าไหร่นัก รถกู้ภัยที่ตอนนี้มาจอดประจำอยู่เรียบร้อยแล้ว ทุกคนลงจากรถและกล่าวทักทายกับทีมกู้ภัยอย่างเป็นกันเองอย่างปกติ

    ไม่นานนักก็มีญาติคนหนึ่งเดินออกมา “สวัสดีค่ะคุณหมอ” หญิงอายุไม่เกินสี่สิบปี บุคลิกและการแต่งตัวดี เดินออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนกล่าวทักทายด้วยใบหน้าเป็นมิตร ก่อนจะเดินนำเข้าบ้านไป

    |

    ภายในบ้านมีชั้นวางหนังสือไม้สีอ่อน หนังสือปกหนา ปกบางวางเรียงรายเต็มอยู่เต็มชั้น บนโซฟาสีเบจภายในห้องรับแขกนี้ คุณยายคนหนึ่งลุกขึ้นด้วยท่าทีเงอะงะหลังค่อมเล็กน้อยตามวัย และอัลไซเมอร์ที่ค่อยๆ กลืนกินความทรงจำ คุณยายยกมือสวัสดีด้วยแววตาเป็นมิตร พร้อมทั้งยิ้มทักทายจนเห็นเหงือกที่ปราศจากซี่ฟัน

    ลึกเข้าไปทางด้านขวาของห้องรับรับแขก คุณตาวัยเก้าสิบสองปีนอนเสียชีวิตด้วยท่าทางสงบอยู่บนเตียงนอนขนาดสามฟุตครึ่ง ร่างกายซูบผอมตามระยะเวลาที่นอนติดเตียง ด้วยอาการป่วยจากโรคเส้นเลือดในสมองแตกจากการล้มกระแทกพื้นเมื่อสองปีก่อน ผิวหนังที่เหี่ยวย่นและขาวซีด สภาพภายนอกไม่พบร่องรอยการทำร้าย พบเพียงแผลกดทับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

    ตลอดเวลาที่คุณหมอชันสูตรพลิกศพคุณตา คุณยายจะมายืนดูอยู่ไม่ห่าง พลางส่งสายตาด้วยความเป็นห่วงและเคียงข้างอยู่ตลอดเวลา

    หลังจากออกหนังสือรับรองการตายให้ทางญาติเรียบร้อยแล้ว คุณยายที่นั่งอยู่บนโซฟา ก็นั่งมองการทำงานของทีมอย่างตั้งใจด้วยสายตาของความเศร้าสร้อยอีกครั้ง

    พร้อมกับเล่าให้คุณหมอและฉันฟัง พลันสายตาที่มีนัยน์ตาบริสุทธิ์ของคุณยายก็สบเข้ากับสายตาของฉัน

    “.....ยายน่ะ อยู่ไม่ได้แน่ๆ หลังจากนี้จะอยู่อย่างไร ตาไม่อยู่แล้ว คนเราเคยอยู่กันมาทั้งชีวิต” คุณยายพูดพลางหัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย

    สายตาของคุณยายยังคงส่งมาให้ฉันตลอดทุกคำพูดที่ถ่ายทอดออกมา ฉันที่ทำได้แค่ ฝืนยิ้ม ยิ้มที่เป็นเพียงกำลังใจให้คุณยาย ภายในที่พยายามกลั้นน้ำตาไว้ ไม่ให้ไหลออกมา

    สายตาละห้อยโหยหาของคุณยาย และน้ำเสียงที่อบอุ่นด้วยความคิดถึง คุณยายยังคงเปล่งออกมาเป็นคำพูด ประหนึ่งเป็นการเล่าให้ลูกหลานฟัง

    “ยายอยู่ได้สิ” คุณหมอพูดขึ้นมาอย่างค่อยๆ

    “ยายอยู่ไม่ได้หรอก ยายจะคุยกับใคร กลางวันก็อยู่กันสองคน” คุณยายตอบกลับคุณหมอทันที

    “แล้วตลอดเวลาสองปีกว่า ตาคุยกับยายตลอดเลยหรอคะ” คุณหมอถามต่อ

    คุณยายยิ้มหัวเราะออกมาแล้วตอบอย่างไร้เดียงสา

    “ไม่”

    คุณยายพูดต่อ

    “ตาปล่อยให้ยายพูดคนเดียว มาสองปีแล้ว” พร้อมกับยิ้มและหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง

    “มีบางวันตาก็พูดขึ้นมา ยายก็อยากให้ตาพูดกับยายบ่อยๆ แต่ตาคงจะเหนื่อย ยายเข้าใจ ....

    ....แต่ตาหนะ พูดกับยายก่อนที่ตาจะเสียว่า

    .... ยายต้องอยู่คนเดียวให้ได้นะ ตาจะไม่มาให้เห็น ...

    ตอนนั้นยายก็ได้แต่บ่นว่า ตานี่พูดอะไรแบบนี้ ใครจะไปไหน แล้วตาก็พูดแบบนี้ตลอดสองสามวันก่อน แล้วตาก็จากไปจริงๆ”

    บรรยากาศในบ้านเหมือนถูกรายล้อมด้วยความสูญเสีย กลิ่นไอของความอบอุ่น ความคิดถึงอย่างใจหาย การยอมรับถึงความสูญเสียแต่ใช่ว่าจะลดทอนความคิดถึงให้น้อยลงได้เสียนี่

    คุณหมอและฉันยังคงตั้งใจฟังคุณยายและให้เวลาคุณยายเล่าต่อ

    “.....ผู้ชายมันก็พูดได้สิ ว่าให้เราอยู่ให้ได้ เราเป็นผู้หญิงนะ” พลางหันมาส่งยิ้มให้ฉันด้วยแววตาใสซื่อนั่นอีกครั้ง

    “คุณยายต้องอยู่ให้ได้นะคะ เข้มแข็งไว้ คุณตาแกจากไปอย่างสงบแล้ว แกอยู่มานานแล้ว แล้วแกก็เก่งมากแล้วด้วย” คุณหมอพูดปลอบใจ

    “ยายว่ายายต้องอยู่ไม่ได้แน่ๆ กลางวันยายจะคุยกับใคร ยายจะป้อนข้าวให้ใคร แล้วกลางคืนยายต้องนอนคนเดียว”

    ผู้เป็นลูกสาวก็พูดแทรกติดตลกมาทันทีเช่นกันว่า “แม่ หนูก็อยู่นะ หนูกลับมานอนบ้านทุกคืนนะแม่”

    คำพูดของผู้เป็นลูกทำให้คุณยายระเบิดหัวเราะออกมาได้อีกครั้ง ... นั่นซึ่งหมายรวมถึงฉันด้วย

    น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อยแต่ปราศจากซึ่งหยดน้ำตาแม้เพียงหยดเดียว มีเพียงแววตาที่โหยหา เว้าวอน ... คิดถึงสุดหัวใจอย่างใจหาย

    มีเพียงความเงียบงันภายใต้ความเคยชิน เวลาของคนสองคนที่เคยหมุนเคียงกัน ในวินาทีนี้ เวลาของอีกคนต้องหยุดนิ่งไปตลอดกาล หากแต่ของอีกคนยังคงหมุนไปข้างหน้า ตามกฏของเวลา

    ฉันและคุณหมอกล่าวลาคุณยายก่อนจะเดินออกมาจากบ้านสีขาวหลังนี้

    | ทิ้งบรรยากาศที่อบอวลด้วยความรักและความคิดถึงไว้เบื้องหลัง

    | ทิ้งสายตาความคะนึงหาอันบริสุทธิ์ของคุณยายไว้ตรงชั้นวางหนังสือ

    | ทิ้งความรัก ‘รักสุดท้าย ของคุณยายไว้ตรงเตียงนอนสามฟุตครึ่งตรงนั้น

    .....

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×