มรสุมรัก
ความรัก...คำสั้นๆแต่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดให้ใครๆรับรู้ได้และ"ความรัก"ก็ไม่ได้ทำให้คนเรามีความสุขเสมอไป..อาจจะมีทั้งทุกข์ เศร้า เหงา หรืออาจจะทำให้คนดีคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปเลยก็ได้...
ผู้เข้าชมรวม
182
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
มรสุมชีวิต
ในบางช่วงชีวิตหนึ่งของคนเราก็ถึงขั้นเวลาของอายุที่ทำให้สามารถเกิด...ภาวะตัณหากลับได้ ซึ่งภาษานี้นิยมใช้กันในหมู่ชาวบ้านแถวบ้านของเรา และพ่อกับแม่ของฉันก็อยู่ในช่วงชีวิตนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นวัยกลางคน เป็นวัยที่เริ่มเข้าสู่วัยเริ่มแรกสูงอายุ เป็นวัยที่ต้องเผชิญภาวะวิกฤติทางกาย อารมณ์ สังคมและจิตใจ ซึ่งหากปรับตัวไม่ทันเพราะขาดความรู้ ความเข้าใจของสภาพธรรมชาติ ของร่างกาย อารมณ์ สังคมและจิตใจประจำวันแล้วก็มักจะทำให้ชีวิตวัยกลางคนเป็นช่วงชีวิตที่สับสนอลเวง ไร้ความสุข ที่สำคัญยิ่งก็คือ คนวัยกลางคนมักเป็นบุคคลซึ่งต้องมีความรับผิดชอบอันสูงยิ่งต่อการเป็นอยู่ของครอบครัว ญาติพี่น้องและพ่อแม่ของตนเอง
...พ่อกับแม่ฉันคงไม่เข้าใจถึงทฤษฎีต่างๆ เกี่ยวกับจิตวิทยานี้มากหรอก เพราะท่านทั้งสองมีเวลาในวัยเด็กนักเรียนที่ต้องใช้ชีวิตการเรียนหนังสือในโรงเรียนแค่ 4 ปีเอง ซึ่งในสมัยนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่ต้องเรียนหนังสือกันจบป.4 ซึ่งแตกต่างจากสมัยนี้ลิบลับถ้าบอกว่ามีความรู้แค่ชั้นป.4 คงจะมีคนหัวเราะเยาะเป็นแน่ ! และถ้าไปสมัครงานก็คงไม่มีงานอะไรให้ทำมากนักหรอกนอกจากงานจำพวกที่ต้องใช้แรงงานแต่เงินเดือนต่ำๆ และการที่มีความรู้น้อยนี่เองที่เป็นสาเหตุทำให้พ่อของฉันไม่เข้าใจธรรมชาติของตนเองจึงเกิดภาวะตัณหากลับขึ้นกับพ่อ พ่อคงไม่อยากแก่ อยากจะมีความสุขแบบคนหนุ่มและมีความเชื่อว่าตนเองยัง “ เตะปี๊ปดัง ” อยู่เป็นกันแน่ ถึงได้ทำเรื่องที่ผิดต่อแม่ และเรื่องนี้มันก็เกือบทำให้ครอบครัวของฉันไม่เป็นครอบครัวไปเสียแล้ว...แม่เสียใจ แม่ทนรับพฤติกรรมของพ่อไม่ได้ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าพ่อแอบนอกใจแม่ หรือภาษาชาวบ้านก็คือ “ มีชู้ ” แม่ก็ยังทนอยู่ได้ แต่ฉันไม่รู้เรื่องนี้เลยว่ามันเกิดขึ้นกับครอบครัวฉันได้ยังไงเพราะ /// พ่อของฉันเป็นพระเอกในใจฉันตลอดเวลา พ่อเป็นคนดี รักแม่ ซื่อสัตย์ต่อแม่ เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีถึงแม้ว่าบางครั้งพ่อกับแม่จะทะเลาะกันบ้างก็ตามแต่สุดท้ายพ่อก็เป็นลูกผู้ชายกลับมาขอโทษแม่และง้อขอคืนดีกับแม่ แม่ก็ให้อภัยพ่อทุกที คงเป็นเพราะคำว่า “ รัก ” มั้ง ฉันเข้าใจอย่างนั้น..
และแล้ว...ก็มาถึงวันนั้น วันที่แม่อดทนต่อพฤติกรรมของพ่อไม่ไหว ชาวบ้านข้างเคียงต่างพากันนินทาว่าแม่ต่างๆ นานา เพราะแม่ได้ทำการขับไล่พ่อออกจากบ้านขนเข้าของเสื้อผ้าของพ่อทั้งหมดไปกองไว้ตรงประตูหน้าบ้าน...แม่คงทนพ่อไม่ไหวจริงๆ .......ฉันคิดว่าความรักทำได้ทุกสิ่งแต่ความโกรธก็ทำให้คนหมดความอดทนเหมือนกันทั้งสองสิ่งรุนแรงและมีอิทธิพลต่อการกระทำของมนุษย์พอๆ กัน และนี่เองที่เป็นสาเหตุให้ชาวบ้านได้รับรู้ถึงเรื่องภายในครอบครัวของเรา แต่ฉันเพิ่งมารู้ตอนที่พ่อออกจากบ้านนี่เอง มีคนโทรมาบอกฉันเพราะฉันไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ ฉันเรียนหนังสืออยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในเมืองห่างไกลจากบ้านฉันมากนัก ถ้าเดินทางโดยรถประจำทางก็กินเวลาสักประมาณ 2 ชั่วโมงเห็นจะได้ พอฉันทราบข่าวคราวทางบ้าน ฉันถึงกับร้องไห้ถึงแม้จะคุยโทรศัพท์อยู่ก็ตาม ฉันเสียใจ...ฉันอาย อายคนที่โทรมาบอกฉันทั้งๆ ที่เป็นเรื่องในครอบครัวของฉันแท้ๆ ฉันกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ฉันใช้เวลาถึงสามวันเต็มๆ ในการตัดสินใจว่าควรทำอย่างไรต่อไป ฉันนั่งอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ที่มืดเพราะไม่ได้เปิดผ้าม่าน หน้าต่างใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งมันเป็นห้องพักของฉันเอง ฉันไม่อยากรับรู้เรื่องภายนอกใดๆ เลย ฉันเก็บตัวเงียบ นั่งคิด นั่งร้องๆไห้ บางครั้งก็กดโทรศัพท์โทรหาญาติพี่น้องที่อายุไล่เลี่ยกันพอจะพูดคุยกันได้ ฉันไม่ได้ไปเรียนหนังสือเลย บางครั้งก็ไม่ได้กินข้าวเลยเพราะไม่รู้ว่าจะกินลงหรือเปล่า../// ท้ายสุดฉันก็กดโทรศัพท์ไปหาแม่ของฉัน แม่ฉันรับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงดีเหมือนเดิม ไม่มีน้ำเสียงส่อถึงความเป็นทุกข์เลยแม้แต่น้อย พอฉันเอ่ยถึงเรื่องที่ได้ทราบมา.....แม่ก็ปลดปล่อยความรู้สึกต่างๆ ให้ฉันฟังอย่างหมดเปลือก “ แม่ร้องไห้ ” คราวนี้แม่ถึงกับร้องไห้คงเป็นเรื่องร้ายแรงเลยทีเดียวหล่ะ เพราะแม่ของฉันเป็นคนเข้มแข็ง เป็นวีระบุรุษหญิงคนหนึ่งเลยหละ ฉันปลอบแม่ทั้งๆ ที่ขณะนั้นฉันอยากจะร้องไห้ให้ดังๆ ด้วยซ้ำ คงเป็นเพราะสงสารแม่ไม่อยากให้แม่ต้องมาคิดถึงฉัน เป็นห่วงฉัน ฉันบอกกับแม่ทางโทรศัพท์ว่า พรุ่งนี้จะกลับบ้าน...แล้วฉันก็กดวางโทรศัพท์อย่างเร็ว ปิดเครื่องเพื่อไม่ให้แม่ตอบโต้การตัดสินใจของฉัน ฉันรู้ว่าฉันเป็นแค่เด็กคนหนึ่งในสายตาของพ่อกับแม่ แต่เด็กน้อยอย่างฉันก็คงจะรู้เรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยาดีกว่าแม่เราเพราะฉันได้เรียนเกี่ยวกับมันมา ฉันคิดว่าฉันเข้าใจพ่อ แต่ฉันก็สงสารแม่ ถ้าผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ความยุ่งเหยิงของครอบครัวเราคงจะหมดไป ฉันคิดอย่างนั้น......
ฉันถึงบ้านของฉันในตอนเช้า แม่ถามฉันว่า “กินข้าวรึยังลูก” ฉันตอบว่าถ้าแม่กินข้าวลูกก็จะกินแต่ถ้าแม่ไม่กินลูกก็ไม่กิน ฉันตอบเหมือนบังคับให้แม่กินข้าวด้วยเพราะรู้ว่าแม่เป็นห่วงฉัน แม่ต้องยอมกินแน่ แม่ก็คงเป็นห่วงฉันมากเช่นกัน รีบจัดแจงอาหารขึ้นโต๊ะอาหารแล้วเราสองแม่ลูกก็นั่งทานข้าวท่ามกลางบรรยากาศที่เศร้าหมองต่างคนต่างฝืนกินเพื่อกันและกัน ฉันสังเกตเห็นใบหน้าและแววตาของแม่///แม่ร้องไห้จนตาบวมแดง/// แม่ดูซูบผอมลง...กินข้าวเสร็จฉันถามถึงพ่อ กับแม่ แม่ตอบว่า ...พ่อไปพักอาศัยอยู่กับป้าที่บ้านของป้าเองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านฉันมากนัก...
ฉันรีบรุดไปหาพ่อที่บ้านป้าโดยไม่ฟังเสียงของแม่เลย ฉันคิดว่าฉันจะจัดการเรื่องนี้ได้เอง เพราะฉันรู้ว่าถึงยังไงพ่อกับแม่ก็รักฉัน คงไม่อยากให้ฉันเสียใจจนเสียคนหรอก... ฉันคุยกับพ่ออย่างเปิดใจ คุยถึงเรื่องวิชาจิตวิทยาเกี่ยวกับคนวัยกลางคนอย่างพ่อกับแม่จนหมดไส้หมดพุงและปิดท้ายด้วยคำว่า “ลูกเข้าใจพ่อและแม่ก็ให้อภัยพ่อเสมอ พ่อเลิกได้ไหม? เลิกการกระทำที่พ่อทำอยู่แล้วเห็นว่ามันไม่ดีไม่ควร....เลิกเสียนะพ่อ..แล้วกลับมาอยู่เป็นครอบครัวของเราเหมือนเดิม ” จากนั้นฉันก็นิ่งอยู่สักพัก ความเงียบเข้ามา หัวใจฉันเต้นแรง ต่อมน้ำตาเริ่มทำงานหยดน้ำใสๆ ไหลออกมาจากเบล้าตาเสียงสะอึกสะอื้นก็เริ่มไปกระทบโสตประสาทหูของพ่อ พ่อกอดฉัน รัดฉันจนแน่น แล้วบอกกับฉันว่า “พ่อขอเวลาสงบ สติ อารมณ์ สักพักนะลูกแล้วพ่อจะกลับบ้านของเราเอง ฝากบอกแม่ด้วยว่าพ่อขอโทษ”
ช่วงนั้นของชีวิตที่ยุ่งเหยิงเริ่มมีความสุข...ฉันกลับไปบ้าน..จู่ๆ ก็มีเด็กข้างบ้านอายุไล่เลี่ยกันกับฉันมาสาธยายความเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับครอบครัวของฉันที่เขารับรู้ให้ฉันฟังทั้งหมด เขาบอกว่า...พ่อกับแม่ของฉันทะเลาะกันเสียงดังและรุนแรงถึงขั้นทำร้ายร่างกายกันด้วย และยังจะเลิกหรือหย่าร้างกันนั่นเอง....
ฉันรู้เรื่องแล้วก็คิดกับตัวเองว่า ฉันคงคิดถูกแล้วที่ตัดสินใจทำทุกอย่างโดยเร็วเท่าที่เด็กน้อยอย่างฉันซึ่งก็อยู่ในช่วงวัยรุ่นแล้วจะทำได้ และถ้าตามหลักจิตวิทยาแล้ววัยรุ่นอย่างฉันจะมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย มีการขาดการยั้งคิด ติดเพื่อน รักสนุก สังสรรค์ เฮฮา แต่ข้อดีของอารมณ์วัยรุ่นก็มีเช่นกัน นั่นคือ การยึดเอาตัวเองเป็นที่ตั้งและความใจร้อนนี่เอง ซึ่งมันเกิดกับฉันมาแล้ว ฉันได้ใช้มัน ตามหลักมันเป็นข้อเสีย มันเป็นปัญหาทางด้านอารมณ์ของวัยรุ่น แต่ฉันคิดว่ามันเป็นข้อดีต่างหาก ไม่งั้นชีวิตของฉันก็คงจะไม่มีคำว่า “ครอบครัว” อีกแล้ว
ฉันกลับมาเรียนหนังสือในเมืองตามเดิม เพราะฉันกำลังปฏิบัติหน้าที่ตามทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์ก ในระดับที่ 2 อยู่นั่นก็คือ ขั้นทำตามความเห็นชอบของผู้อื่นและขั้นหลักการทำตามหน้าที่...ฉันมาเรียนตามหน้าที่ที่พ่อกับแม่มอบหมาย ฉันรู้ว่าท่านทั้งสองต้องการให้ฉันเรียนจบปริญญาตรี แล้วมีงานทำ มีหลักฐานของชีวิตแล้วก็มีครอบครัว ใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์โลกธรรมดาทั่วไป ดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆ โดยปราศจากคำว่า “ความทุกข์” พ่อกับแม่ของฉันอยากเห็นฉันสบาย ได้ดี มีความสุข ฉันก็อยากเห็นท่านทั้งสองมีความสุขเช่นกัน
ต่อมาอีกวันแม่ก็โทรศัพท์มาคุยกับฉันบอกว่า “พ่อกลับมาแล้ว พ่อกับแม่เข้าใจกันดีแล้ว” ฉันดีใจ มีความสุข ความยุ่งเหยิงต่างๆ เหล่านี้ได้หายไปหมดแล้วชั่วชีวิตของฉันอย่าได้มีเรื่องนี้เข้ามาอีกเลย ถึงแม้ว่าความแน่นอนจะอยู่บนรากฐานของความไม่แน่นอนก็ตาม
.............จบบริบูรณ์...............
ผลงานอื่นๆ ของ คนของความฝัน ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ คนของความฝัน
ความคิดเห็น