ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ˋ SF -( the LEE Family | HAEEUN | )

    ลำดับตอนที่ #3 :

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 222
      0
      26 ต.ค. 55

     

     ( fic ) SFˋA THOUSAND YEAR

    Autor : Khreegaimantian

    Story : Messenger 

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

     

     

     

     

    คง อาจจะดี ถ้ามันเป็นคำที่ฉันนั้นบอกเอง

    ออกจากใจอย่างที่ฉันคิดไว้....

     

     

     

     

    “ฮยอกแจ”

     

     

    “หืม?”

     

     

    “พี่ซีวอนฝากมาให้” ดอกกุหลาบช่อโตถูกวางลงตรงหน้าอีกคนเหมือนเช่นทุกวัน จากมือของคนคนเดิมเหมือนเช่นทุกวัน ประโยคเหมือนเดิมทุกวัน และรอยยิ้มสดใสจากร่างบางเหมือนเช่นทุกวัน

     

     

    “หอมจังเลยทงเฮ”

     

     

     

     

     

     

     

    “เหรอ?”

     

     

     

     

     

     

     

    “เราไปเข้าเรียนก่อนนะ” ผมเลือกที่จะตัดบทออกมาเอง เพราะความอึดอัด อึดอัดที่จะเห็นสีหน้าอันมีความสุขของเขา ผมเหยียดรอยยิ้มให้กับตัวเองหลังจากที่นั่งลงที่โต๊ะแล้ว

     

     

    ผมก็เป็นแค่เมสเซนเจอร์ หรือบุรุษไปรษณีย์ หรือไม่ก็แค่อาจจะเป็นแค่ธาตุอากาศสำหรับฮยอกแจเท่านั้น ตลกนะครับ ที่ผมยอมเป็นสะพานให้คนอื่นจีบคนที่ตัวเองชอบมากขนาดนี้ พี่ซีวอนไม่ใช่คนแรกหรอกครับที่ใช้ผมเป็นสะพานไปถึงตัวฮยอกแจ แต่เป็นคนที่นับไม่ถ้วนแล้วต่างหาก

     

     

    ผมชอบฮยอกแจมา 17 ปีได้แล้วล่ะมั้งครับ เท่าอายุของผม แล้วผมก็เป็นเพื่อนกับเขามา 17 ปีเช่นเดียวกัน เวลายิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่ ความรู้สึกชอบก็ยิ่งชัดเจนเท่านั้น แต่...ความกล้า ก็หดหายไปตามกาลเวลาเช่นเดียวกัน

     

     

    เราชอบฮยอกแจนะ.....

     

     

    ชอบมาก....ชอบที่สุด.....

     

     

     

     

     

    ...........เป็นแฟนกับเรานะ

     

     

     

    “โว้ยยยยยยยยยย” ผมตะโกนออกมาอย่างสุดจะทน เมื่อไหร่เรื่องบ้าๆพวกนี้จะผ่านพ้นไปสักที่ครับ เมื่อไหร่ที่ผมจะทำใจเรื่องเขาได้ เมื่อไหร่ที่ผมจะยอมรับ ว่าผมเป็นได้เพียงแค่เพื่อนเท่านั้น

     

     

    แต่มันคงยากล่ะครับ ตราบใดที่บ้านของเรายังอยู่ติดกันแบบนี้

     

     

    “มึงเป็นไรมากป่ะทงเฮ นั่งเหมือนคนคลุ้มคลั่งไอ้เชี่ย”

     

     

    “...............”

     

     

    “เรื่องฮยอกแจอีกแน่กูว่า อาการแบบนี้”

     

     

    “เสือก”

     

     

    “กูก็ไม่ได้อยากยุ่งหรอกโว้ย แต่กูเห็นมึงเป็นแบบนี้แล้วกูสมเพช คิดจะเด็ดดอกฟ้าก็ต้องกล้าหน่อยดิวะ ฮยอกแจทั้งน่ารัก ทั้งเรียนห้องโครงการ ไม่มีคนชอบสิแปลก ถ้ามึงชอบมึงก็ลุย ดีกว่าเป็นแบบนี้”

     

     

    ผมฟุบหน้าลงกับโต๊ะ เอามืออุดหูไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น จริงอย่างที่ไอ้คยูบอก มันจริงทุกอย่าง จริงที่ผมไม่กล้าพอ จริง ที่ผมไม่ดีพอสำหรับฮยอกแจ ทุกสิ่งที่อย่างมันเลยเป็นแบบนี้

     

     

    ได้แค่นี้ก็ดีแค่ไหนแล้วทงเฮ

     

     

     

     

     

     

     

     

    ผมรีบเข็นจักรยานคันเก่ามาหน้าตึกสามเหมือนเช่นทุกวันที่เคยทำ รอยยิ้มที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าทุกครั้ง ไม่ว่าในใจจะรู้สึกเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่เพียงแค่เห็นหน้าของเขาความรู้สึกเหล่านั้นก็มลายหายไปได้ง่ายๆ

     

     

    จักรยานคันเก่าถูกจอดลง พร้อมๆกับคนที่ยืนรออยู่ที่หันมาทำหน้างอง้ำใส่ผม ก็เป็นแบบนี้ตลอด

     

     

    “มารับช้า!

     

     

    “โทษที วันนี้ยองมินแม่งให้อยู่ซ่อมท่อบทกวีน่ะ ขึ้นมาสิ” สิ้นเสียงฮยอกแจก็กระทืบเท้าปึงปังมานั่งซ้อนบนจักรยานของผมแบบไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ มือบางที่โอบกอดเอวของผมไว้แน่นเหมือนกับทุกๆครั้ง ถ้าผมจะบอกว่า ผมมีความสุขกับเรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้จะมีใครว่าอะไรไหมครับ

     

     

    “คราวหลังบอกยองมินนะ ถ้าปล่อยช้าฉันจะไปงับหัวมัน”

     

     

    “เฮ้ ยองมินเป็นอาจารย์นะ”

     

     

    ผมเหลียวหลังไปมองคนที่นั่งทำปากยื่นปากยาวอยู่ด้านหลัง มือข้างหนึ่งของเขาโอบเอวของผมอยู่ แต่อีกมือ......เขาถือดอกกุหลาบช่อโตที่ผมเป็นคนเอามาให้เมื่อตอนเที่ยง

     

     

    “ยังเก็บดอกกุหลาบนั่นไว้อีกเหรอ” หัวใจของผมกระตุกวูบ ราวกับมีคนเอาเข็มนับพันเล่มมากระหน่ำแทงอย่างนั้น ใช่ครับ...ผมรู้เสมอว่าคนที่กำลังซ้อนจักรยานอยู่ไม่ได้เป็นของผม ผมรู้เสมอว่าความสุขของผม มีได้เพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น

     

     

    “บ้าเหรอแก? สวยขนาดนี้ทิ้งไปก็เสียดายแย่ดิ”

     

     

    “ฮ่ะๆ นั่นสิเนอะ” ดอกกุหลาบแพงขนาดนั้น ทิ้งไปก็คงน่าเสียดายไม่น้อย นั่นสินะครับ

     

     

    “เออแก พรุ่งนี้พี่ซีวอนชวนฉันกินข้าวเที่ยงด้วยกันแหละ”

     

     

    แล้วไม่กินกับเราแล้วเหรอฮยอกแจ.....

     

     

    “ฟินจังน้า อิอิ”

     

     

    ฮยอกแจเอนหัวกลมๆมาพิงหลังของผม พลางหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข อยากทานข้าวกับมันมากเลยเหรอฮยอกแจ? ทานข้าวกับคนที่ทั้งหล่อ รวย เก่ง ขนาดนั้น คงจะอร่อยกว่านั่งทานข้าวกับคนไม่มีอะไรเลยอย่างเราเป็นไหนๆ ฮยอกแจ เหมาะสมกับผู้ชายคนนั้นมาก

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    มันเป็นความคิดถึงที่ใครเขาอยากให้เธอรู้

    ฝากให้เธอรับ ฉันก็แค่เพียงคนที่ส่งมา........

     

     

    “พี่ซีวอนฝากมาให้”

     

     

    ช็อกโกเลตราคาแพงกล่องโต ที่ถูกคาดด้วยริบบิ้นอย่างสวยงาม ถูกวางลงตรงหน้าร่างบาง ด้วยคนคนเดิมเหมือนเคย ฮยอกแจเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม ที่ผมเองก็อดที่จะเจ็บปวดไม่ได้

     

     

    “เขาบอกว่าขอโทษ เที่ยงนี้อาจารย์เรียกประชุมด่วนไม่ว่างมากินข้าวกับนาย”

     

     

    “...............”

     

     

    “ทนกินกับเราไปก่อนแล้วกันนะ” ผมทิ้งตัวลงนั่งด้านตรงข้ามของอีกคน ก่อนจะพยายามจ้วงอาหารตรงหน้าเข้าปากไม่ยั้ง ไม่อยากจะเงยหน้าขึ้นมามองฮยอกแจ ไม่อยากรับรู้ว่าตอนนี้ฮยอกแจรู้สึกยังไง หรือทำสีหน้าแบบไหน

     

     

    “อ้าวฮยอกแจ ทำไมไม่ยอมกินข้าวล่ะครับ”

     

     

     

     

     

    “พี่ซีวอน” ผมเงยหน้าขึ้นไปมองผู้มาใหม่ ผู้ชายคนนั้นกำลังยืนอยู่ข้างๆฮยอกแจ แล้วยังลูบผมสีบลอนด์สลวยนั่นด้วย ผมนิ่งงันกับภาพที่เห็นตรงหน้า ในเมื่อมันมากมายเหลือเกิน มากมายเกินกว่าที่ผมจะทนไหว

     

     

    “อ้าว ทงเฮจะรีบไปไหนล่ะยังกินไม่เสร็จเลย” ผมจะรีบวิ่งกลับไปนั่งทันทีครับ ถ้ามันเป็นเสียงหวานๆของฮยอกแจ แต่มันไม่ใช่ มันไม่ใช่...

     

    ผมคงจะดูเป็นคนโง่มากเลยงั้นสิครับ ที่ผมยอมทำเพื่อเขาทุกอย่างมากขนาดนี้ ถึงแม้ว่ามันจะเหยียบย่ำความรู้สึกของตัวเอง ฮยอกแจตอนนี้คงจะมีความสุขมาก คงจะนั่งกินข้าวอย่างสบายใจกับผู้ชายคนนั้น ดีนะครับ เขามีความสุขผมก็ดีใจ

     

     

    แต่ทำไมล่ะครับ ทำไมน้ำตาของผมถึงไหลออกมาแบบนี้ ผมยืนพิงต้นไม้สวนหลังตึกอย่างหมดแรง ลมเย็นๆ กับดอกไม้ใบหน้าที่ส่งกลิ่นหอมสดชื่นไม่ได้ช่วยให้จิตใจของผมดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ผมเองก็รู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ไม่ว่ายังไงผมก็ลืมเขาไปไม่ได้

     

     

    ยิ่งเห็นฮยอกแจผมก็ยิ่งเจ็บปวด เจ็บจนแทบจะขาดใจอยู่แล้ว  ยิ่งหลับตาก็ยิ่งเห็นภาพที่ผู้ชายคนนั้นแตะต้องคนที่ผมรัก เห็นรอยยิ้มที่สดใสของคนที่ผมรัก เพียงแต่ว่า เขาไม่ได้มอบมันให้กับผม

     

     

    ทำไมครับ ทำไมผมถึงไม่กล้าพอ ไม่กล้าแม้แต่จะสู้เพื่อความรักของตัวเอง

     

     

    อาจจะเป็นเพราะว่าผมไม่ดีพอมั้งครับ อาจจะเป็นเพราะว่า ลึกๆในใจแล้วผมก็อยากจะดูแลฮยอกแจอยู่อย่างนี้ ดูแลไปเรื่อยๆ และมีความสุขที่เห็นรอยยิ้มของเขา

     

     

    ผมแค่นยิ้มให้กับตัวเองอย่างยากลำบาก ถ้าหากว่าความสุขของผมคือรอยยิ้มของฮยอกแจล่ะก็ ผมก็ต้องยิ้มให้ได้ใช่ไหมครับ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นรอยยิ้มที่เปื้อนด้วยคราบน้ำตาก็ตามที

     

     

     

     

     

     

     

     

    “มารับช้าอีกแล้วนะ” น้ำเสียงกระแทกถูกส่งมาจากคนน่ารักคนเดิม แต่ผมทำได้เพียงแค่เทียบราชรถคันเก่าด้านหน้าของอีกคน และส่งรอยยิ้มบางๆให้เท่านั้น ไม่ได้ฉีกยิ้มอย่างมีความสุขเหมือนเช่นทุกครั้ง

     

     

    สีหน้าของฮยอกแจเองก็ไม่สู้ดีนักเหมือนกัน ดวงตาบวมช้ำราวกับคนร้องไห้ เขาอาจจะทะเลาะกับพี่ซีวอนก็เป็นได้ แต่ผมไม่อยากถามหรอกครับ เพราะผมไม่อยากรับรู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขาอีกแล้ว แค่นี้มันก็มากเกินพอแล้วสำหรับผม

     

     

    จักรยานจอดเทียบลงหน้าบ้านของฮยอกแจให้ร่างบางได้ลง ก่อนที่ผมจะเข็นเข้าประตูรั้วบ้านผมไปเช่นเดียวกัน บ้านของเราอยู่ติดกันแล้วเราก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่มีเรื่องไหนของผมที่ฮยอกแจไม่รู้ แล้วก็ไม่มีเรื่องไหนของฮยอกแจที่ผมไม่รู้เช่นเดียวกัน แต่อาจจะมีเพียงเรื่องเดียวของผมที่ฮยอกแจไม่รู้ก็ได้

     

     

    เราชอบฮยอกแจนะ......

     

     

    เป็นเพียงเรื่องเดียวที่ผมไม่เคยบอก และไม่เคยคิดจะบอก กลัวไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง กลัวว่าเราจะเปลี่ยนไป กลัวว่าฮยอกแจจะเกลียดผม กลัวว่าตัวเองไม่ดีพอ กลัวโดนหัวเราะเยาะ หึ คิดแล้วก็น่าสมเพชอย่างที่ไอ้คยูมันพูดไว้จริงๆ ผมไม่กล้า แม้แต่จะต่อสู้เพื่อความรักของตัวเอง

     

     

    มันก็สมควรแล้วล่ะครับ ฮยอกแจสมควรจะได้เจอในสิ่งที่ดีกว่า

     

     

    ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ก่อนจะหยิบอัลบัมรูปบนหัวเตียงที่ผมมักจะมาเปิดดูเสมอๆ ด้านในเป็นรูปของฮยอกแจตอนเผลอ ที่ผมเก็บเอาไว้ตั้งแต่อยู่ประถม ข้างๆรูปมีเขียนกำกับเอาไว้ทั้งหมดว่ามันเกิดขึ้นตอนไหน อย่างไร น่าแปลก ที่ผมยิ้มออกมาได้ง่ายๆเมื่อเห็นรอยยิ้มที่สดใสของเขา

     

     

    ฮยอกแจเปลี่ยนไปมาก เมื่อก่อนฮยอกแจยิ้มง่าย แล้วก็ร่าเริง อะไรที่ทำให้เขาเปลี่ยนไปล่ะครับ? อาจจะเป็นเพราะเขากำลังเบื่อที่จะเห็นหน้า เบื่อที่จะนั่งซ้อนจักรยานโกโรโกโสของผมก็เป็นได้

     

     

    ให้ตายสิ ผมกำลังคิดฟุ้งซ่านอีกแล้ว ผมปิดอัลบัมรูปลงก่อนจะเหม่อมองเพดานห้องอยู่อย่างนั้น น้ำใสๆไหลลงมาเปรอะเตียงนอนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ น่าแปลก คนที่แข้มเข็งอย่างผมกลับต้องมานอนร้องไห้เป็นเด็กๆเพราะผู้ชายคนหนึ่ง

     

     

     

     

     

     

     

     

    ดอกไม้ที่เธอได้รับ กับข้อความที่ได้เห็น

    กับยิ้มของเธอแบบนั้น มันปั่นป่วนหัวใจ....

     

     

    “พี่ซีวอนฝากมา”

     

     

    ดอกกุหลาบสวยที่แนบมากับการ์ดสีสดถูกยื่นให้ร่างบางเหมือนเดิม ถ้าสังเกตดีๆล่ะก็ จะเห็นว่าการ์ดใบนั้นมีรอยยับเล็กน้อย ที่เกิดจากการคว้างทิ้งถังขยะของผมเอง แต่สุดท้ายคนที่ไปเก็บมันขึ้นมาก็คือผมเอง

     

     

    คงจะดีถ้าผมไม่ต้องเป็นอีทงเฮในวันนี้ คงจะดี ถ้าผมไม่เห็นมัน

     

     

    วันนี้กลับบ้านด้วยกันนะครับ เจ้าหญิงของผม

     

     

    ทำไมผมถึงรู้สึกเจ็บปวดมากขนาดนี้ เจ็บปวดที่เห็นรอยยิ้มของฮยอกแจ ผมเสียใจครับ ที่ผมไม่สามารถเข้มเข็งได้ เสียใจที่ผมไม่สามารถอวยพรให้ฮยอกแจได้อย่างสนิทใจ

     

     

    บางที มันอาจจะหมดหน้าที่ของผมแล้ว....

     

     

    บางที มันอาจจะถึงเวลาที่ผมต้องปล่อยฮยอกแจแล้วก็เป็นได้

     

     

     

     

     

     

     

     

    “มึงทนไปได้ยังไงทงเฮ มึงบ้าป่ะวะ”

     

     

    “...............”

     

     

    “ไอ้ทงเฮ มึงจะนั่งเป็นซากผีอยู่อย่างนี้อีกนานป่ะวะ กูรำคาญแล้วนะ” นี่มันคงจะเป็นประโยคที่ร้อยแล้วมั้งครับที่ไอ้คยูฮยอนมันตะคอกด่าผมอยู่แบบนี้ แล้วผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงไม่ตะโกนด่ามันไปเหมือนที่สมควรจะทำบ้าง

     

     

    “มึงยอมแพ้ให้คนอย่างไอ้พี่ซีวอนได้ยังไงทงเฮ” น้ำเสียงที่แปรเปลี่ยนเป็นจริงจังทำให้ผมต้องเบือนหน้าไปมอง สีหน้าของคนขี้เล่นอย่างคยูฮยอนตอนนี้กำลังจ้องผมเขม็ง ดวงตาที่แน่วแน่แต่แฝงแววจริงจังทำให้ผมต้องมองอยู่อย่างนั้น

     

     

    “มึงจะไม่สู้เพื่อฮยอกแจจริงๆเหรอ?”

     

     

    “..................”

     

     

    “มึงจะไม่ทำอะไรเพื่อคนที่มึงแอบรักมาตลอด 17 ปีเลยหรือไง?”

     

     

     

     

     

    “กูสู้ไม่ไหวแล้วว่ะ”

     

     

     

     

     

    “มึงไม่เคยสู้ต่างหากทงเฮ”

     

     

    “....................”

     

     

    “มึงทนขับรถจักรยานตามหลังบีเอ็มตลอดไปได้จริงๆเหรอ? ทงเฮ”

     

     

    “..................”

     

     

    “บางที ฮยอกแจอาจจะชอบจักรยานซอมซ่อของมึงก็ได้ ทงเฮ” หึ ฮยอกแจหน่ะเหรอจะชอบจักยานคันนั้น ถ้าใช่ แล้วทำไมต้องทำหน้าอารมณ์เสียทุกครั้งที่ไปรับล่ะ

     

     

    แต่ทำไม ทุกครั้งที่ผมเห็นฮยอกแจยืนรอรถอยู่หน้าตึก ผมถึงอดที่จะแอบหวังว่าฮยอกแจจะยืนรอผมอยู่ไม่ได้ แม้ว่าสุดท้ายแล้ว จะมีบีเอ็มคันหรูไปจอดเทียบรับฮยอกแจกลับบ้านทุกวันก็ตามเถอะ

     

     

    แล้วถ้าเกิดผม อยากจะลองสู้กับความรักของตัวเองดูบ้าง ผมจะทำผิดหรือเปล่า?

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    หยาดฝนที่กำลังโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย ยิ่งทำให้ผมหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ ผมถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่ล้านของวัน วันนี้ผมอุตส่าห์ลงทุนโดดเรียนคาบบ่ายไปสู้เพื่อความรักของตัวเองแบบที่ไอ้คยูว่า ไปสู้รบปรบมือกับเตาอบเค้กมา -_____-

     

     

    ผมพึ่งรู้ก็วันนี้แหละครับ ว่าไอ้เค้กสตรอเบอร์รี่ที่ฮยอกแจชอบจริงๆนี่มันทำยากมากขนาดนี้ ให้ตาย! กว่าจะเสร็จล่อไปซะดึก ตอนนี้ก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว ผมเลือกจะทิ้งจักรยานฝากไว้ที่บ้านซองมินที่กรุณาสอนผมทำเค้ก แล้วก็เดินกลับบ้านเองเพราะฝนตกหนัก ผมคงไม่มีความสามารถปั่นจักรยาน กางร่ม แล้วก็ดูแลเค้กไปได้ในเวลาเดียวกันหรอกครับ

     

     

    เส้นทางระหว่างบ้านซองมินมาบ้านฮยอกแจมันก็ไกลเอาเรื่อง ใช่ครับ ผมกำลังจะไปหาฮยอกแจที่บ้าน แล้วก็บอกความจริงให้เขารู้

     

     

    บอกในสิ่งที่อยากจะบอกมานาน
     

     

    ผมยิ้มอย่างอารมณ์ดีพลางก้มมองเค้กในมือของตัวเอง มันเป็นเค้กชิ้นแรกในชีวิตของผม หน้าตาอาจจะดูไม่ได้เพราะผมไม่ใช่พวกเคะที่จะมานั่งประดิษฐ์ปะดอยของพวกนี้ได้นานๆ ยิ่งใกล้ถึงบ้านฮยอกแจ หัวใจผมก็เต้นแรงราวกับจะหลุดออกมาอย่างนั้น

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    สายฝนที่โหมกระหน่ำมาอย่างไม่ขาดสาย ก็พอจะช่วยปกปิดน้ำตาของผมได้บ้าง ผมยืนอยู่ตรงมุมถนน ข้างตัวมีกล่องเค้กที่ล้มระเนระนาดอยู่และผมก็ไม่คิดสนใจจะไปเก็บมันขึ้นมา ส่วนร่มผมเองก็ไม่แน่ใจว่ามันปลิวหายไปตั้งแต่ตอนไหน ในเมื่อสายตาของผมตอนนี้ กำลังจดจ้องอยู่ที่ภาพตรงหน้าเท่านั้น

     

     

    ผู้ชายสองคนที่ยืนติดฝนกันอยู่ในตู้โทรศัพท์แคบๆ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมสนใจหรอกนะครับ เพราะสิ่งที่ผมเห็น คือพวกเขาจูบกัน

     

     

    หึ ผมแค่นรอยยิ้มให้กับตัวเอง รู้สึกสมเพชตัวเองขึ้นมาทันที ผมทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร? ต่อสู้เพื่อความรักงั้นเหรอ? ตลกชะมัด ไหนล่ะ? ความรักของนาย อีทงเฮ ? ผมจะเห็นก็แค่ ความรักของอีฮยอกแจกับชเวซีวอนต่างหาก ไหนล่ะอีทงเฮ ไหนล่ะที่ว่างที่นายจะสามารถเข้าไปได้

     

     

    ผมโง่เกินไปงั้นเหรอครับ? โง่ที่คิดนั่นคิดนี่เหมือนคนบ้า วิ่งเต้นตามไอ้คยูบ้า คิดว่าเขาอาจจะรักผมบ้าง แต่เปล่าเลยครับ ก็เห็นกันอยู่ว่าอะไรมันคืออะไร ทงเฮมันก็แค่ไอ้โง่ของนายเท่านั้นแหละฮยอกแจ แค่คนขับรถที่พานายไปโรงเรียน หรือพานายกลับบ้านเวลาที่ไม่มีใคร แค่คนที่นั่งกินข้าวเป็นเพื่อนตอนเที่ยง แค่คนนี้คอยเป็นสะพานให้นายกับคนที่นายชอบ

     

     

    “พี่ซีวอนเท่ห์จังเลยอ่ะทงเฮ เป็นกัปตันทีมบาสด้วย ทั้งสูงทั้งเท่ห์เลย”

    “ชอบเหรอ?”

    “ชอบดิ้ -/////////////////-

     

     

    เป็นแค่คนโง่คนหนึ่ง ที่ชอบนาย...

     

     

    “ฝนตกหนักจังอ่ะทงเฮ”

    “หนาวไหม?”

    “หนาวดิถามได้ ทงเฮเขยิบมาใกล้ๆหน่อยดิ หนาวนะ”

     

     

    “ง่วงจังทงเฮ ยืมไหล่หน่อยนะ”

     

     

    คนที่เก็บเรื่องเล็กๆน้อยๆที่นายพูด มาคิดเสมอ

     

     

    “ทงเฮ แน่ใจเหรอว่าตัวเองเมะ เป็นเมะมันต้องสูงๆ กล้ามบึกๆดิ เหมือนพี่ซีวอนไง”

     

     

    ผมพิงหลังตัวเองกับกำแพงหันหลังให้กับสองคนนั้น ผมไม่อยากจะเห็นภาพพวกนั้นอีกแล้ว ไม่อยากจะรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นอีกแล้ว แม้แต่แรงจะยืนตอนนี้ผมก็แทบจะไม่มีอยู่แล้วครับ ปล่อยให้สายฝนเย็นๆสาดล้างหัวใจของผมลงได้บ้าง

     

     

    เรื่องราวในอดีตยังคงหลั่งไหลเข้ามาในโสตประสาทของผมอย่างไม่ขาดสาย ทุกๆเสียงหัวเราะ ทุกๆรอยยิ้มของฮยอกแจ ผมจำได้ดี แล้วผมก็จะจดจำมันตลอดไป ถึงแม้ว่ามันจะเจ็บปวด เจ็บจนไม่รู้จะพูดออกมายังไง

     

     

    เป็นเวลานานที่ผมได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ฝนที่ยังคงตกอยู่และไม่มีท่าทีว่าจะหยุด เสียงฟ้าผ่าดังคำรามไปทั่วทำให้ผมนึกถึงเรื่องในอดีตมากมาย ฮยอกแจกลัวเสียงฟ้าผ่า แล้วไม่มีผมแบบนี้ เขาจะกระโดดกอดใครกันนะ

     

     

    “อ๊ากกกกกกกกกกกก” ผมกรีดร้องออกมสุดเสียง ไม่อายอะไรอีกต่อไป ไม่กลัวว่าใครจะมาได้ยืน เสียงฝนที่ยังคงโหมกระหน่ำราวกับจงใจจะแข่งกับเสียงร้องของผม ทำไมผมถึงไม่สามารถลืมได้ ทำไมทุกๆเรื่องราวของฮยอกแจ ทุกภาพทุกตอน ผมยังคงจำติดตา

     

     

    ทำไมหัวใจของผมมันถึงเจ็บได้มากขนาดนี้ ราวกับมันกำลังจะแหลกสลายได้ในไม่ช้า

     

     

     

     

    ผมเดินออกมาเรื่อยๆ จนผมพาตัวเองมาถึงสนามเด็กเล่นที่ผมมักจะมานั่งเล่นกับฮยอกแจบ่อยๆตอนไหนก็ไม่รู้ อาจจะเป็นเพราะว่าผมไม่อยากกลับบ้านในตอนนี้ ไม่อยากเห็นหน้าต่างบ้านข้างๆ ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น

     

     

    “อ๊ากกกกกกกกกกกก” ผมตะโกนออกมาราวกับคนบ้า ก่อนจะกระหน่ำต่อยเข้ากับเสาเหล็กในสนามจนเกิดเสียงดังไปหมด เลือดสีสดไหลซึมออกจากหลังมือปะปนกับหยาดน้ำฝนที่ช่วยชะล้างคราบเลือดจนทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับใจของผม ความเจ็บปวดแค่นี้ไม่ได้ 1 ใน 10 ของความเจ็บปวดในใจผมด้วยซ้ำ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เกือบอาทิตย์แล้วที่ผมหลบหน้าฮยอกแจอยู่แบบนี้ แต่ฮยอกแจเองก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่หรอกครับ เพราะยุ่งกับการไปไหนมาไหนกับพี่ซีวอนมากกว่า จากเหตุการณ์วันนั้นมันทำให้ผมเป็นไข้หวัดอย่างรุนแรงมาจนถึงวันนี้

     

     

    “ฮัดเช้ยยยยยยยย!!!!!

     

     

    “ทงเฮมึงจะตายปะเนี่ย”

     

     

    “เออ” ผมพึ่งรู้ครับว่าเป็นโรคหวัดมันทรมานแบบนี้ ปรกติเห็นฮยอกแจเป็นบ่อยๆ แต่ไอ้คนเข็งแรงบึกบึนอย่างผมก็ไม่เคยเป็นสักที ให้ตายสิ ผมคิดถึงฮยอกแจอีกแล้วอย่างนั้นเหรอครับ

     

     

    “เออ กูได้ข่าวฮยอกแจตามหามึงอยู่นี่ จะหลบหน้าเขาอีกนานป่ะวะ”

     

     

    “......................”

     

     

    “แล้วเรื่องย้ายบ้าน จะไม่บอกเขาจริงดิ?”

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ไม่อ่ะ”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    Hyukjae’s part (นางเอกไม่มีบทเลย เดี๋ยวน้อยใจ)

     

     

    “ขอบคุณนะพี่ซีวอน” ผมโค้งให้รุ่นพี่ทีหนึ่งก่อนจะหันหลังกลับไปเข้าห้องเรียนของตัวเอง วันนี้เป็นวันที่ห้าแล้วที่ผมไม่เห็นหน้าทงเฮ ไม่เห็นแม้แต่จักรยานคันเก่าเลยนะ ไปหาที่บ้านแม่ก็บอกไม่อยู่บ้างล่ะ ไม่สบายกินยาหลับไปแล้วบ้างล่ะ แล้วจะให้ผมทำยังไงเล่า

     

     

    ผมตามหาทงเฮทั้งโรงเรียนมาตลอด แต่ก็ไม่เห็นวี่แววหมอนั่นเลย ใจร้ายชะมัด ใจร้ายๆๆๆ

     

     

    พูดถึงเรื่องพี่ซีวอน เราตกลงกันว่าจะเป็นพี่น้องกันแล้วล่ะ ตั้งแต่วันไหนน้า อ๋อ วันที่เราติดฝนด้วยกันในตู้โทรศัพท์ แต่ติดฝนกับพี่ซีวอนไม่ยักกะตื่นเต้นเหมือนติดกับทงเฮเลยแหะ

     

     

    ขนาดพี่เขาจูบผมเข้าด้วยนะเนี่ย -////-

     

     

    ไม่ได้ๆ จะไปเขินได้ยังไง เดี๋ยวไอ้เตี้ยจะหาว่านอกใจมัน 555555555555 พอแซวนิดแซวหน่อยว่าตัวเล็กเหมือนเคะนี่ก็แจ้นไปกินนมเพาะกายทันที น่ารักชะมัด ถ้าหมอนั่นชอบผมได้สักครึ่งหนึ่งที่ผมชอบมันก็คงจะดี แต่มันคงไม่ได้ชอบผมหรอกครับ

     

     

    เพราะไม่อย่างนั้น มันก็คงไม่หลบหน้าผมแบบนี้ คงไม่มีใครทนนิสัยผมได้นานหรอก

     

     

    End Hyukjae's part












    {Khree. TALK!}  ..
    เอาไปก่อน ไปนอนละ ไม่ไหวแล้วว คร่อกกกกกกก _ _zZZ
    ทำไมเดี๋ยวนี้อินี่ชอบมาเป็น เปอร์เซ็นๆ -w- คำตอบง่ายๆ ขี้เกียจ !
    เรื่องนี้มันกากมากอ่ะ พล๊อตก็ธรรมดาๆ -_____________-


    เดี๋ยวเรื่องหน้าจะมาแนวแปลกประหลาดละ จริงๆ = =


    แปปนึงเนอะ เดี๋ยวมาต่อ พักก่อนขี้เกียจ =[ ]=!!


    ฟิคกาก โปรดอย่าฆ่าเรา เราก็กากกกกกกกก TT TT



    LOVE YOU ALL <3




    vo. yage
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×