ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (EXO FIC) dear you, kaisoo

    ลำดับตอนที่ #3 : 02 ' faith

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.03K
      25
      24 ต.ค. 60









    02 ‘ Faith

     

     




    ความบังเอิญ โชคชะตาหรืออะไรก็ตามแต่


    ผมเริ่มศรัทธา

     


     


                “อุดมการณ์หนักแน่นดีนะ แต่มันไม่เข้าท่าเลย”

     

                “คนอื่นเขาก็คิดแบบกูทั้งนั้นอ่ะ”

     

                “นี่มึงสร้างอำนาจเหรอโบกอม”

     


                สองเสียงของเพื่อนสนิทกำลังเถียงกันไปมาโดยมีแบล็คกราวด์คือเสียงหัวเราะและสายตาฟาดฟันของทั้งคู่ ในขณะเดียวกันผมก็นั่งเท้าคางด้วยใบหน้าที่ไม่ยินดียินร้ายนัก เพราะอะไรน่ะเหรอครับ? วันนี้ผมมีเรียนหลายตัวและจุดเริ่มต้นของมันคือเจ็ดโมง

     


                “เอาล่ะๆ พักสามสิบนาทีแล้วค่อยมาคุยกันต่อ”

     

                “ครับ/ค่า”

     

                โบกอมกับจีซูที่เถียงกันไปมาลุกขึ้นแล้วเดินตรงดิ่งมาทางผม สภาพของแต่ละคนในวันนี้คือหยิบอะไรก็ใส่ตัวนั้น มันเป็นการเดาสุ่ม เช่นผมที่เป็นเสื้อยืดสีเทาทับด้วยเสื้อคลุมไหมพรมอีกที พยากรณ์อากาศบอกว่าคืนนี้อากาศจะหนาวเย็นและอาจมีฝนตก ไม่เข้าท่าเลยแบบนี้

     


                ดูเหมือนวันนี้แพลนที่จะไปรอดูดาวตกคงแห้วซะแล้ว

     


                “ป่ะ ไปหาไรกินกัน” เป็นจีซูที่เดินมาดึงผมขึ้น พวกเราเดินคู่กันออกไปตามทาง

     

                “ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลยไม่ใช่เหรอ”

     

                “ยังเลย หิวเป็นบ้า” ตีหน้ายุ่งใส่เพื่อนทั้งสองคน ฮือ ผมหิวจริงๆ เลยไม่มีแรงมาเถียงกับเขาเลย

     

                “เจ้าตัวน้อยโดงั้นเดี๋ยวฉันไปซื้อข้าวมาให้ ส่วนมึงพาคยองซูไปหาที่นั่ง”

     

                “จ้าๆสองมาตรฐานใส่กูตลอด”

     

               

                จีซูวิ่งนำไปที่โรงอาหารก่อนเพื่อต่อแถวซื้อข้าว เหลือเพียงผมกับโบกอมค่อยๆเดินไปอย่างเชื่องช้า ใต้ตึกคณะตอนนี้เพราะเป็นช่วงสายเริ่มมีคนมาก ในที่สุดผมก็เดินมาถึงหน้าโรงอาหารของคณะ เสียงจอแจของคนหลายคนดังวุ่นวาย โบกอมชี้นิ้วแล้วดึงมือผมไปทางโต๊ะที่ยังว่างอยู่ ใครหลายคนเริ่มให้ความสนใจมุ่งมาที่พวกผมสองคน

     


                “ฉันไปซื้อน้ำนะ เหมือนเดิมใช่มั้ย”


                “อื้อ เหมือนเดิม”

     

                พยักหน้ารับก่อนที่อีกฝ่ายจะลุกขึ้นเดินหายกลืนไปกลับฝูงคน

     


                คุณคงสงสัยว่าผมไปสนิทกับสองคนนั้นที่ดูเผินๆแล้วไม่น่าเข้ากับผมได้เลย จีซูเป็นเพื่อนคนแรกของผมตอนปีหนึ่งยาวไปจนจบเทอมแรก หลังจากนั้นโบกอมก็เข้ามา เขาเป็นเพื่อนร่วมเซค วิชาส่วนใหญ่ลงเรียนเหมือนผมเลยเจอกันบ่อย ไปๆมาๆก็สนิทกัน พวกเขาใจดี และเข้าใจผมในเรื่องอื่นๆได้ดี

     


              ยังไม่ทันที่ผมเลือกจะฟุบหลับระหว่างรอ อะไรบางอย่างก็ลอยมาชนหัวผม อย่างจัง

     


                ผมกวาดสายตามองหาเจ้าของกลุ่มก้อนกระดาษที่ยับยู่ยี่  ผ่านใบหน้าของหลายๆคนที่ผมไม่รู้จัก และหนึ่งอึดใจต่อจากนั้น ห่างจากผมเพียงแค่หนึ่งโต๊ะไม้ตัวยาว ผมที่มัวแต่มองไปไกลๆโดยไม่สนใจบางสิ่งที่อยู่ใกล้ คนตัวสูงนั่งเท้าคางและส่งยิ้มมุมปากมาให้ผมอย่างมาดนิ่ง เบื้องหน้าของเขามีจานเปล่าๆใบหนึ่ง

               


                ภาพเหตุการณ์เมื่อวานไหลวนกลับมา หลังจากนั้นผมหลุดพึมพำชื่อของเขา

     


                “...คิมจงอิน”

     

                “ครับ”

     


                เขาก็ยังเป็นเขา เจ้าของน้ำเสียงทุ้มใหญ่อ่อนโยน สายตาเหมือนเด็กที่กำลังเรียนรู้เพื่อที่จะเติบโต ผมหวังว่าสรรพสิ่งรอบตัวของเขาจะยังคงอยู่เหนือเส้นกาลเวลา ไม่เปลี่ยนไป จนท้ายที่สุดเขาที่อยู่ตรงนั้นจะไม่กลายเป็นผู้ใหญ่แสนใจร้าย

     


                อือ ผมเอ็นดูเขา

     


                “พี่มีเรียนเช้าเหรอ”

     


                “นายรู้จักฉันเหรอ”

     


                ผมไม่ตอบคำถามและเลือกจะตั้งคำถามกลับไป มันเป็นนิสัยของเด็กคณะผมโดยพื้นฐานอยู่แล้ว ตั้งคำถามกับทุกสิ่ง วิเคราะห์ และอย่าลืมเชื่อมั่นในอุดมคติแนวคิดของตัวเอง คิมจงอินไม่ตอบอะไรกลับมา แต่กลับลุกมานั่งตรงหน้าผมแทน

     


                ฉับพลันเหมือนทุกอย่างรอบตัวถูกเสกให้เงียบสนิท

     


                คิมจงอินขยับมุมปากจนกลายเป็นรอยยิ้มอบอุ่น

     


                หนึ่งครั้ง -- ผมแอบเก็บรอยยิ้มของเขาใส่ขวดโหลในอกข้างซ้าย

     


                “นั่งตรงนี้ได้ใช่ไหม”


                “ก่อนที่พวกเขาจะมา” ผมได้ยินเสียงเล็กๆของตัวเองตอบกลับไป

     

                “เย็นนี้พี่ว่างมั้ยครับ”

     

                “หืม ฉันเหรอ? เอ่อ ก็ว่าง” ผมคาดเดาอะไรกับความคิดของคนตรงหน้าไม่ได้เลย

     

                “ไปเดทกับผมมั้ย”

     


                แค่ก!

     


                ให้ตายสิ เดี๋ยวก่อนนะ สมองผมเริ่มประมวลอะไรตามไม่ทันเด็กนี่ซะแล้ว

     


                นี่เราเป็นกลุ่มก้อนความสัมพันธ์แบบไหนกัน

     


                “นายหมายถึงอะไรนะ เฮ้ นี่นายรู้จักชื่อฉันรึเปล่าเถอะ” เผลออ้าปากค้างใส่อย่างน่าเกลียด เขาหัวเราะ แววตาเป็นประกายยิ่งกว่าหมู่ดาวบนท้องฟ้ากลางคืน หยดน้ำใสระยิบระยับจนผมอดคิดไม่ได้ว่าเขาเคยร้องไห้บ้างมั้ย ทำไมดวงตาคู่นั้นถึงเปี่ยมไปด้วยความสุข ความหวัง  มันทำให้ผมนึกถึงช่วงวัยเด็กที่ไม่สมบูรณ์แบบนัก

     


                หรือถ้าไม่อย่างนั้น คิมจงอินอาจเป็นคนที่เคยผ่านความเจ็บปวดมามากมายเหลือเกิน



                จนกลายเป็นนักซ่อนความรู้สึก เขากดมันไว้ใต้ผิวหนังใต้แผ่นอก ลึกลงไปหลุมดำสนิทที่ผมคงต้องใช้เวลาอีกซักหน่อยในการค้นหา

     


                “พี่คยองซู รัฐศาสตร์ปีสาม”

     


                และโดคยองซูเล่นซ่อนหาไม่เก่งเลยซักนิด

     


                “ผมมีรายงานเกี่ยวกับรัฐศาสตร์และผมไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย”

     

                “แล้วไงต่อ”

     

                เขาเท้าแขนกับโต๊ะ แนบแก้มลงบนฝ่ามือหนา ดวงตาคู่สวยยังคงจับจ้องมาที่ผม

     

                “ผมอยากให้พี่ช่วย”

     

                “แค่นั้น? นายเข้าใจว่ามันคือเดทเหรอ”  เขาตีหน้ามึนเหมือนหมีใส่ผม เม้มปากแล้วคลายออก เขาเหมือนกับกำลังเรียบเรียงอะไรบางอย่างในความคิด ทันใดนั้นก็ ปุ้ง! เขาฉีกยิ้มกว้างเหมือนนึกอะไรดีๆออก

     

                “อันที่จริงผมอยากรู้จักพี่”

     

                “ฉันไม่มีอะไรให้นายค้นหาหรอกนะ”

     

                “ผมเปล่า เปล่าเลย ผมอยากรู้จักพี่จริงๆ”

     

                “เมื่อวานเราบังเอิญเจอกันที่เนินตรงนั้น พี่ลืมไปแล้วเหรอครับ” เขายังคงยืนยันที่จะอธิบายต่อไปและผมก็พวกยึดแนวคิดของตัวเองซะด้วยสิ

     

                “ฉันไม่เชื่อในความบังเอิญ”

     


                คนตัวสูงกว่าโน้มหน้าเข้ามาใกล้ เขาเอ่ยแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ

     


                “ถ้าวันนี้เราบังเอิญเจอกันสามครั้ง พี่ต้องไปเดทกับผมนะ”

     


              ผมจรดสายตาเพ่งมองไปที่ใบหน้าคมคายได้รูป ใกล้ชิดจนได้ยินเสียงลมหายใจ ก่อนจะเลี้ยวหลบเหมือนนักบินที่เริ่มเสียการควบคุม กระแอมไอสองสามทีกลบอาการร้อนผะแผ่วบนแก้มสองข้าง เจ้าเด็กตรงนี้นี่มันใคร

     


                คิมจงอินทำผมเสียการควบคุมไปชั่วขณะ เขาเป็นชั้นบรรยากาศอันตรายต่อนักบินฝึกหัดอย่างผม

     


                “เอาล่ะ ตกลง”


                “นะครับ”

     

                “รู้แล้วน่า”

     


                สามครั้ง -- พื้นที่ว่างในขวดโหลของผมยังเหลืออยู่เยอะมั้ยนะ ผมรำพึงกับตัวเองเพราะเขามีอำนาจมากมายเหลือเกินในรอยยิ้มนั่น

     

                “ผมไปก่อนล่ะ”

     


                รอยยิ้มอ่อนโยนแต้มอยู่บนมุมปาก

     


                ลุกขึ้นแล้วเดินจากไป แผ่นหลังกว้างๆของเขาคล้ายจะเป็นหมอก หรือละอองของแดนดิไลออน

     


                ฟุ้งกระจาย หายไปราวกับสิบวินาทีสุดท้ายก่อนจะตื่นจากความฝัน

     

     


                “ปีหนึ่งเหรอ? ใครอ่ะ” โบกอมที่เดินมาพร้อมกับจีซูฉุดเรียกผมออกจากภวังค์ความคิด

     

                “ไม่มีอะไรหรอก บังเอิญน่ะ” ท้ายประโยคเบาหวิวแต่ก้องชัดในความคิด

     



    ยังไงกันนะคยองซู


    นายจะให้เขาเข้ามาเปลี่ยนแปลงนายรวดเร็วขนาดนี้ไม่ได้

     

     




     

                เป็นไปได้ผมอยากย้อนเวลา อือ ไม่น่าเดินผ่านมาทางนี้เลยจริงๆ

     

                “ฝากด้วยนะ”

     

                “ครับอาจารย์” อาจารย์สาวไหว้วานให้ผมแบกกองชีทเป็นตั้งไปยังคณะข้างๆ

     



                เด็กนิติกับเด็กรัฐอย่างผม เราสนิทกันมากกว่าที่คุณคิด แต่ตอนนี้ผมเหนื่อยล้าจากกว่าเรียนมาราธอนตั้งแต่เช้า โบกอมกับจีซูขอลาโลกไปนอนเอาแรงที่ห้อง การบ้านท้ายชั่วโมงยังเป็นสิ่งที่พวกผมคุ้นชิน ผ้าใบสีครีมคู่เดิมขยับก้าวไปข้างหน้า สายลมอ่อนๆหยอกเย้ากับดอกไม้ข้างทาง กลิ่นหอมหวานจากเกสรลอยขึ้นมาแตะจมูก

     


                ระหว่างทางไปคณะนิติต้องผ่านน้ำพุแห่งความโชคดีก่อน ดูเหมือนมหาลัยผมจะมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หลายที่

     


                ผมละสายตาจากกองชีทมหาศาล น้ำพุหินอ่อนรูปเทพเจ้ากรีกอะไรสักอย่าง เสียงน้ำไหลเอื่อยๆเป็นจังหวะ ไอแดดตอนเที่ยงวันไม่ได้ทำให้อากาศตรงนี้ร้อนอบอ้าอย่างที่ควรจะเป็น ผมมองและนึกถึงคำพูดของคอนลินน์ เพื่อนต่างชาติร่วมเซค

     


                ฉันผ่านวิชาอาจารย์อีมาได้ก็เพราะโยนเหรียญขอพรที่นี่แหละ!’

     


                ผมถอนหายใจอีกครั้ง

     


                ก้าวต่อไปแต่จดจ่ออยู่กับตัวเอง สายลมเย็นพัดมาอีกระลอกจนกระดาษสีขาวบนสุดลื่นไหลไปตามแรงลม ผมส่ายหน้าเลิ่กลั่กเพราะตรงนี้ไม่มีใครออยู่เลย กระดาษมันปลิวไปด้านหน้า ผมขยับตาม ตัดสินใจค่อยๆย่อลงวางข้าวของไว้กับพื้นอิฐ

     


                ทันทีเงยหน้าผมรู้สึกเหมือนหูโดนอัดด้วยคลื่นสึนามิลูกใหญ่

     


                “เจอกันอีกแล้วนะครับ”

     


                ผมเป็นนักเซิร์ฟที่ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ

     


                คิมจงอินยืนอยู่ตรงนั้น ห่างจากผมไม่เกินสิบก้าว ส่งรอยยิ้มมาให้พร้อมกับชูกระดาษเจ้าปัญหา เขามาถึงตัวผมรวดเร็วในวินาทีสั้น ๆ ผมยกมือเกาจมูกแบบทุกที ดันแว่นทรงกลมที่ตกลงมาบนสันจมูก ผมคิดว่าคิมจงอินเป็นสิ่งที่ผมนิยามไม่ได้เลย

     


                ยากจังแฮะ

     


                “ไม่ต้องทำหน้าดีใจขนาดนั้นหรอก”

     

                “เหลืออีกสองครั้งพี่จะได้ไปเดทกับผมไงครับ” นั่น ยังจะยิ้มล้อเลียนใส่ผมอีก

               

                “ฉันไม่เชื่อใน--

     

                “ผมรู้ พี่ไม่เชื่อในโชคชะตาแต่ยังไงวันนี้พระเจ้าก็เข้าข้างผมอยู่ดี”

     


                ยักคิ้วให้เหมือนผู้ชนะ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เถียงไม่ออก เขารู้ดีว่าตัวเองเป็นคนโปรดของพระเจ้า พระเจ้าพร้อมจะอยู่เคียงข้างเขาเสมอ คิมจงอิน เด็กนี่มันร้ายกาจ

     


                “ขอตัว”

     

                “แล้วเจอกันอีกครับ J

     



                สักครู่ใหญ่ที่ผมรอให้เขาเดินสวนไปก่อน ผมกลับมามีสภาพพะรุงพะรัง แต่น้ำเสียงเคลือบน้ำตาลของเขายังคงเป็นสิ่งที่ผมนึกถึง บางสิ่งค่อยๆซึมเข้าไปในหัวใจ มันอุ่น และแม้ว่าผมจะปฏิเสธกับตัวเองมากแค่ไหน

     


                ผมก็อดยิ้มออกมาไม่ได้อยู่ดี ดูเหมือนผมจะเป็นภูมิแพ้ซะแล้ว

     

     






                13 : 20 PM

     


                กลับมาสิงตัวอยู่ที่ห้องสมุด มีหนังสือหลายเล่ม ปากกาที่เปิดฝาทิ้งไว้ ความหนาวเย็นเยียบเข้ากระดูก

     


                “เหนื่อยเหรอวันนี้”

     

                “ในหัวผมมีแต่คำว่าทำไมอยู่เต็มไปหมด”

     


                อ้อ ยังมีใครบางคนนั่งอยู่กับผมด้วยในตอนนี้ รุ่นพี่คนเดียวที่ผมสนิท เจ้าของเรือนผมละเอียดเหมือนสายไหม เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะทั้งโต๊ะจะกลับมาเงียบเหมือนเดิม ผมใช้เวลาอ่านหนังสืออีกครั้ง วนไปวนมาจนกว่าจะเข้าใจและรู้ในสิ่งที่พวกนักวิชาการสงสัย

     


                เอาจริงๆ ผมสงสัยว่าทำไมพวกเขาถึงสงสัยอะไรขนาดนั้น

     


                อือ สมองผมไม่รับรู้อะไรแล้วตอนนี้

     


                “นี่คยองซู ว่างมั้ย” รุ่นพี่หมอปีสี่เอ่ยถาม

     

                “มีอะไรรึเปล่า”

     

                “ฝากเอานี่ไปให้คนๆหนึ่งทีสิ ฉันต้องไปเรียนต่อ”

     

                “ได้ครับ”

     


     

               

                ผมรู้สึกว่าตัวเองเรียนหนักจนเพี้ยน

     


                เพราะว่าผมเห็นคิมจงอินยืนทำหน้างงๆเช่นเดียวกับผมอยู่หน้าห้องสมุด รุ่นพี่ของผมฝากแฟลรไดรฟ์มาให้กับรุ่นน้องคนหนึ่ง เขาบอกว่าไปยืมมาแล้วยังไม่ได้เอาไปคืน

     



                “ผมไม่ใช่สตอล์คเกอร์นะบอกไว้ก่อน”

     

                “ฉันก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน”

     


                พึมพำกับตัวเอง คิมจงอินหัวเราะร่า เขาเอื้อมมือมารับแฟลชไดร์ฟจากมือผมไป สายตากรุ่มกริ่มจนผมนึกอยากจะเขกหน้าผากแรงๆสักหนึ่งที รุ่นพี่ของผมไม่ได้บอกว่ารุ่นน้องคนนั้นคือคิมจงอิน เรายืนมองหน้ากันซักพักก่อนที่ระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมกัน

     


                “เรียนหนักเหรอครับ”

               

                “ซิ่วมาเรียนคณะฉันดูไหมล่ะ”

     

                “พักบ้างนะครับพี่คยองซู”  น้ำเสียงต่ำหากแต่อ่อนโยนจนผมลืมวิธีหายใจไปชั่วขณะ เขาเอื้อมมือมาลูบเบาๆบนศีรษะผม สัมผัสเบาบางราวกับขนนก

     



                เขาวาดรอยยิ้มละมุน ผมที่ตัวแข็งทื่อมองเข้าไปนัยน์ตาสีดำสนิท ผมเห็นภาพตัวเองปรากฏอยู่ในนั้น

     


                กลายเป็นกฎสามสิบวินาทีระหว่างเรา และผมพ่ายแพ้เขาอย่างราบคาบ

     


                “ทำไมนาย...” ทำไมเขาถึงเรียนรู้วิธีหลอมละลายคนอื่นด้วยน้ำเสียง แววตา .. เขาเป็นเจ้าของบางสิ่งที่มีตัวตนอยู่ในเส้นขนานเดียวกันกับผม เพียงแต่ที่ผ่านมาเราอาจเหลื่อมล้ำ เผลอสัมผัสกันแผ่วเบาโดยที่ผมไม่รู้ตัว

     


                ผมเพียงแต่คิดซ้ำไปซ้ำมาในหัว คิมจงอินเป็นใครกันแน่

     

                “คิ้วผูกติดกันโบว์แล้วนะครับ”

     

                “หยุดยิ้มเดี๋ยวนี้เลย” พูดไปอย่างนั้น แต่ผมห้ามเขาได้ซะที่ไหนกันล่ะ

     

     




    -





     

                “พี่ชอบกินไอศกรีมรสอะไร”

     

                “ฉันวานิลลา”

     

                “ผมช็อคโกแลต”

     



                เป็นแบบนี้มาได้ซักพักแล้ว เขาเดินตามผมออกมาทั้งๆที่ตัวเองผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจุดหมายปลายทางมันคือที่ไหน รอบๆตัวเราเป็นตึกสูงของคณะอื่น ถ้าผมจำทางไม่ผิดมันเป็นทางออกจากมหาลัย เราพูดคุยกันบ้าง หยุดมองขึ้นไปบนฟ้า สลับกันก้มมองปลายทางของตัวเอง เป็นการเดินทางที่ไม่เงียบเหงา

     


                “นายยังไม่ได้บอกฉันว่าเรียนคณะอะไร” ผมเป็นฝ่ายเอ่ยถามเขาบ้าง หลังจากที่ปล่อยให้ถามผมมานานสองคน คนตัวสูงที่สวมเพียงเสื้อยืดสีดำแขนสั้นกับกางเกงผ้าสีดำพับถึงข้อเท้า รองเท้าหุ้มส้นหนังสีดำเตะนู่นเตะนี่ไปเรื่อย เขาครางงืมงัมในลำคอเหมือนใช้ความคิด

     

                “พี่คิดว่าผมเรียนอะไรล่ะ”

     

                “สินกำ”

     

                “เฮ้ย ได้ไง” เขาอุทานเสียงดัง ผมทำเพียงไหวไหล่ จงอินรีบเดินเข้ามาขวางทาง ใบหน้าคมคายฉายความไม่พอใจเล็กน้อย

     

                นี่ผมแค่เดาเล่นๆเอง ใครจะไปคิดว่าคิมจงอินจะเรียนศิลปกรรมจริงๆล่ะ

     

                “พี่แอบสืบเรื่องผมเหรอ”

     

                “ฉันเดาสุ่มเก่งต่างหาก”

     


                จงอินย่นจมูก เขาเดินถอยหลังไปเรื่อยๆในขณะที่ผมก้าวไปข้างหน้า

     


                ใบไม้สีแดงร่วงอยู่ตามทางเดิน ผมค่อยๆเหยียบลงที่พื้น กดปลายเท้าให้เกิดเสียงเงียบเชียบที่สุด และคนที่จ้องผมอยู่ตลอดทุกฝีก้าวจดจ่อกับทุกจังหวะการก้าวขยับของผม เขายิ้ม และผมพยายามอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อที่จะไม่เผลอยิ้มออกมา

     



                ระหว่างผมกับเขามันแปลก

     


                ครั้งแรกที่เจอเราไม่แม้แต่เอ่ยถามชื่อ เขาเข้ามาในสายตาวินาทีสั้นๆหลังจากนั้นก็เฟดตัวออกไป

     


                ครั้งที่สอง เรายังคงเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน แต่เขากลับปลอบโยนผม แสดงตัวเป็นหลุมหลบภัยชั้นดี

     


                และตอนนี้ ก็ยังเป็นหมวดความสัมพันธ์ที่ผมไม่สามารถจัดได้ แต่ถ้าเอาตามแบบที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้คือ คิมจงอิน เด็กคนนี้น่ะ กำลังจีบผม

     



                “พี่คิดยังไงกับคนที่เปลี่ยนแปลงตัวเอง”

     

                “ชัดๆกว่านี้หน่อยสิ”

     

                “แบบที่ -- เคยห่วยแตกมาก่อนแต่ตอนนี้พยายามจะเป็นคนดี” เขาหยุดยืน เบี่ยงตัวเล็กน้อยและในที่สุดผมก็เขาก็เดินอยู่ในระนาบเดียวกัน

     

                “แล้วตอนนี้คนนั้นยังห่วยแตกอยู่มั้ย”

     

                “เปล่าครับ แค่เป็นคนห่วยที่พยายามจะเลิกห่วย”

     


                อืม งั้นคงเป็นคนที่ต้องใช้แรงอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ผสมกับความอดทนอีกหยิบมือหนึ่ง ผมคิดว่าคนแบบนั้นน่ะเจ๋ง

     


                “กล้าหาญดี เขายอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อสิ่งๆหนึ่งที่ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่คนๆนั้นเขาต้องใช้กำลังมากๆเพื่อที่ก้าวผ่านเส้นความอ่อนแอของตัวเองไปได้” ผมเรียกสิ่งนั้นว่ากำลังใจ

     



                คนตัวสูงก้าวสะดุด เราพ้นช่วงหน้ามหาลัยที่มีคนรถเข้าออกอย่างต่อเนื่อง ด้านหน้าเป็นถนนเส้นเล็ก ๆ ตึกหลายชั้นเรียงรายอยู่ด้านหน้า กลิ่นหอมของร้านอาหารอบอวบคละคลุ้งกับกลิ่นเขม่าควันรถ จงอินยังคงเงียบ ผมเดินไปหยุดอยู่หน้าทางม้าลาย

     



                สัญญาณไฟเป็นสีแดง ใต้นั้นมีตัวเลขนับถอยหลังไปเรื่อยๆ

     


                สายลมทิ้งท้ายฤดูใบไม้ร่วง หอบเอาความเย็นของฤดูหนาว มันแผ่ซ่านจากปลายนิ้ว ไล่ขึ้นมาจนถึงปลายจมูก

     



                “พี่ครับ พี่คยองซู”

     

                “ว่าไง” ผมตอบรับเขาอย่างใจดี

     

                “ผมเป็นคนห่วยที่พยายามจะเลิกห่วย ... ผมเรียนรู้ที่จะอ่อนโยน และสิ่งนั้นที่ผมยอมเปลี่ยนตัวเองก็คือพี่...

     

                “...

     

                “ผมเคยมีหัวใจที่แข็งกระด้างเสียยิ่งกว่าหิน พี่รู้ใช่มั้ยครับ

     


                ท้ายเสียงของเขาสั่นเครือ ผมรับรู้ด้วยสามัญสำนึกว่าเขาต้องเป็นแบบนั้น

               


                จงอินเป็นนักซ่อนความรู้สึกจริงๆด้วย

     


                “ดังนั้น .. พี่จะเดทกับคนห่วยอย่างผมได้มั้ยครับ”

     



                เขาอ่อนโยนเหลือเกิน ทั้งสายตาและน้ำเสียง ผมไม่รู้เลยว่าตอนนี้หูสองข้างของผมอื้อมากแค่ไหน ผมมองลอดผ่านเขาไป ตัวเลขนับถอยหลังสิ้นสุดลงแล้ว ผู้คนรอบข้างรีบเดินออกไป สัญญาณแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียว

     


                ผมไม่เคยศรัทธาในสิ่งที่หลายคนเรียกว่าโชคชะตาหรอก

     


                เพราะระหว่างผมกับเขาน่ะ มันมากกว่าสรรพสิ่งอื่นใดทั้งปวง  อยู่ท่ามกลางเส้นขนานของกาลเวลา เป็นอนันตกาล ไม่มีที่สิ้นสุด

     


                ผมเลยตัดสินใจ แตะต้องเขาตรงที่มีรอยสักเล็กๆรูปนก ออกแรงเพียงน้อยนิด ผมพาเขาข้ามทางม้าลายมาก่อนที่สัญญาณจะไปเป็นสีแดงอีกครั้ง ทุกอย่างกลับมาสู่สภาวะปกติ

     


                มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ไม่ปกติ มีบางอย่างเกิดขึ้นกับผม

     


                “แบบนี้หมายความตอบรับเหรอครับ”

     

                “... อื้อ ฉันจะเดทกับนาย”

     

     


     

    ความรู้สึกของผมตอนนี้มันเป็นเหมือนสายลม ไม่อาจจับต้อง มองไม่เห็น


    แต่ผมสัมผัสมันได้ เพียงแค่หลับตา







    TBC

     

     


    เช้าวันนี้ฝนตก ตื่นเพราะเสียงฝนเลย

    ขอบคุณนะคะคอมเม้นของทุกคนเป็นสิ่งเล็กๆที่เรียกว่ากำลังใจเลย

    คิดว่าไงล่ะ จงอินเคยเป็นยังไงมาก่อน

    ขอเดทไม่ใช่ขอเป็นแฟนนะคะ /เรือเรายังไม่ติดออโต้สปีด


    ยังไม่รักกันหรอก เราใจร้าย 5

    ขอให้เป็นวันที่ดี

    #ficdearyouks

    @olivesvee 






     


    (c)              Chess theme
      
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×