ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (EXO FIC) dear you, kaisoo

    ลำดับตอนที่ #4 : 03 ' Insouciant

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 866
      20
      24 ต.ค. 60








    03 ‘ Insouciant


    (adj.) free from worry, anxiety


     

     

    แม้แต่พระเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของเขาโดยสมบูรณ์

     

     

     

                ภายใต้ท้องฟ้าโปร่งที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาหม่นหมองขมุกขมัว ลมวูบแรงเป็นสัญญาณดีว่าสิ่งที่พยาการณ์อากาศใกล้เป็นความจริงขึ้นมาทีละนิด ย้อนกลับไปหลังจากที่ผมตอบรับคำขอเดท ผมปล่อยให้เขาจับมือแล้วลากผมไปที่ไหนสักแห่ง เบื้องหน้าผมเป็นแผ่นหลังกว้างของเขา

     


                ใช้เวลาไม่นาน กลิ่นอายของหมึกที่คุ้นเคยบ่งบอกผมว่าที่ๆเขาพามาคือที่ไหน

     


                ร้านหนังสือ?

     


                “ร้านหนังสือ?” เผลอพูดสิ่งที่คิดใจนานสองนาน

     

                “เราจะเริ่มเดทกันที่นี่ครับ”

     


                เจ้าของผมบลอนด์แบบวัยรุ่นอเมริกา ผลักประตูเข้าไปและรอจนกว่าขาของผมจะก้าวเข้าไปในนั้นสำเร็จจึงจะเดินตามเข้ามา วู้ว สุภาพบุรุษจริงๆนะ ผมหันไปทำหน้าล้อเลียนใส่เขา คนที่สูงกว่าผมหลายสิบเซนเดินนำขึ้นบันไดไปเรื่อยๆราวกับเป็นราชาของที่นี่ -- ประมาณสองชั้นได้ เราหยุดอยู่หน้าชั้นที่สี่

     


                “ไม่ยักรู้ว่านายอ่านนิยายรัก”

     

                “ไม่ใช่ผม พี่ต่างหาก

     


                ผมพยักหน้าหงึกๆ เขาแต้มรอยยิ้มน้อยๆ ผายมือเชิญชวนให้ผมเข้าไปสอดส่องชั้นนี้ตามใจชอบ เอาที่จริงแล้วผมชอบอ่านนวนิยายรัก นอกเหนือจากตำราเรียนแล้ว ผมสะสมวรรณกรรมแปลดีๆหลายเรื่อง ไม่ได้เชิงสะสมขนาดนั้นหรอก เล่มไหนถ้ามันเตะใจดีก็ซื้อ เขาเดินตามหลังผมมาเงียบๆ ผ่านชั้นหนังสือหลายชั้น จนมาหยุดที่ชั้นสุดท้าย

     

               

                เขารู้ได้ยังไงว่าผมชอบอ่านนิยายรัก

     


                “นายเป็นสตอล์คเกอร์ ยอมรับซะ” ผมพูด สายตาก็ยังจับจ้องหนังสือที่เตะตาเตะใจที่สุดในชั้น

     

                “ผมเก่งเรื่องเดาสุ่มเหมือนกันน่า”

     

                “นายเดาฉันถูกเป๊ะๆในทันทีไม่ได้หรอก” แย้งเสียงขึ้นจมูกอย่างขลาดอาย เขาทำตัวเหมือนรู้จักผมดีเกินไป

     


                สำหรับตัวโดคยองซูแล้ว การใส่ใจเป็นขั้นแรกของบันไดความสัมพันธ์

     


                ผมไม่รู้หรอกว่าเขารู้ข้อนี้มั้ย แต่ก็นั่นแหละ เขามันรอบรู้ทุกเรื่อง

     


                “แต่ผมก็ทำได้แล้วนี่ครับ ไม่ต้องเขินไปหรอก” จงอินส่ายนี้เหมือนจะบอกว่าผมไม่รู้อะไรซะแล้ว เขาเอื้อมมาจับข้อมือผมไว้หลวมๆมืออีกข้างล้วงกระเป๋ากางเกง ตีหน้ามึนเหมือนหมีมองนู่นนี่ไปเรื่อย ผมอดไม่ได้ที่จะ --

     


                เพี๊ยะ

     


                “อย่ามาเนียนคิมจงอิน”

     

                “อะไร ผมเปล่านะ”

     


                ผมอมยิ้มพลางเกาแก้มแก้เขิน คนตัวสูงยอมปล่อยมือที่จับไว้ออกและนั่นทำให้ผมได้อ็อกซิเจนกลับคืนมาอีกครั้ง เกือบหายใจไม่ออกแน่ะ ได้ยินเสียงหัวเราะของคนขี้แกล้ง นั่นทำให้แก้มสองข้างอดร้อนขึ้นมาเสียดื้อๆไม่ได้ พนันเลยว่าตอนนี้มันต้องขึ้นสีแดงชัดสุดๆ ฮื่อ เด็กนี่มันขี้แกล้ง

     


                ไม่นานผมก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้น หน้าปกเป็นรูปหญิงสาวคนหนึ่งในชุดเดรสสีแดง ใบหน้าสวยส่งยิ้มให้ชายอีกคน ตัวอักษรภาษาอังกฤษบอกผมว่ามันคือชื่อหนังรักโรแมนติกชื่อดังอีกเรื่องของยุค ผมไม่เคยดูเรื่องนี้หรอก ไม่รู้คุณเป็นเหมือนผมแต่พอหนังมันเข้าทีไร งานทั้งหลายก็พร้อมใจพุ่งเข้าหา

     


                สุดท้ายก็ไม่ได้ดูซักเรื่อง อือ ให้ตายเถอะ

     


                “ว้าว me before you” รุ่นน้องขี้แกล้งชะโงกหน้ามาอ่านหน้าปก ก่อนจะผละออกไปตรงเบาะนั่งว่างๆด้านหลัง ตบที่นั่งข้างตัวสองสามทีเรียกให้ผมไปนั่ง

     

                “ฉันอยากดูเรื่องนี้มานานแล้วแต่ไม่ได้ดูสักที่” ผมเล่า “นายล่ะเคยดูรึเปล่า”

     


                เขายิ้ม สว่างไสวเหมือนละอองดาวกระจัดกระจายอยู่รอบๆ

     


                “ไม่เคยครับ” น้ำเสียงทุ้มเหมือนดับเบิ้ลเบสดังอยู่ในช่องเล็กๆด้านหลังสุดของชั้น มีเพียงแค่ผมและเขาบนเบาะนั่งสีฟ้า มือหนาของคนที่นั่งข้างๆหยิบหนังสือในมือของผมอย่างวิสาสะ ปลายนิ้วของเราเฉียดกันอย่างเบาหวิว

     


                ผมรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ปลายนิ้ว ในเส้นเลือดลุกลามไปทุกส่วนของร่างกาย ผมเป็นภูมิแพ้คิมจงอินรึเปล่า ขำๆน่า ร่างกายผมยังมีแอนตี้บอดี้อยู่บ้าง

     


                “ถ้าพี่อ่านจบแล้วพี่เล่าให้ผมฟังด้วยสิ”

     

                “ฉันไม่ใช่นักเล่านิทานนะ” ผมดันแว่นขึ้น เผลอเบะปากลงโดยไม่รู้ว่าในสายตาคนมองแล้วมันน่ารักมากแค่ไหน ผมสีแดง ใส่แว่นกลม ตาโตเหมือนนกฮูก

     


                อ่า จงอินได้แต่คิดว่าคนตัวเล็กกินอะไรลงไปถึงได้น่ารักขนาดนี้

     


                ตอนเด็กๆแม่ให้กินนมผงยี่ห้อไหน ยี่ห้อเดียวกับเขารึเปล่า คนตัวสูงหลุดหัวเราะเบาๆเพราะความคิดไร้สาระของตัวเอง

     


                “หัวเราะอะไร”

     

                “เปล่านี่ พี่ห้ามลืมเล่าให้ผมฟังด้วยนะครับ” เฉไฉไปเรื่อย ผมหรี่ตามองเขาอย่างจับผิดแต่คนตัวสูงก็ไม่มีท่าทีจะหลุดความลับออกมาง่ายๆ ดังนั้นผมเลยยอมแพ้

     

                “นายชอบเรื่องเพ้อฝันแบบนี้ด้วยหรือไง” ผมถามกลับบ้าง

     

                “ก็ถ้ามันเป็นเรื่องที่พี่ชอบ ผมอาจจะชอบมันด้วยเหมือนกัน”

     




    ตอนนั้นผมลืมตัวเองไปชั่วขณะ ไม่สนใจนับเวลา


    และยิ้มไปพร้อมๆกับเขา

     






                หยดน้ำมากมายตกลงมาไม่มีท่าทีจะหยุดง่ายๆ ไอเย็นเยียบโรยตัวอยู่รอบๆหลังจากที่ชำระค่าเสียหายเสร็จสรรพถุงสีขาวเรียบๆที่มีนวนิยายรักนอนแอ่งแม้งก็มาอยู่ในมือของคนข้างๆ เราสองคนเดินลัดเลาะตามตรอกข้างๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ตรงไหนบนโลก ผมเห็นปลายผมสีแดงของเขาชุ่มไปด้วยน้ำ มันลู่ลงแนบแก้ม

     


                และผมคิดแต่ว่ามันไม่ได้ดูน่าเกลียดเลย ไม่ว่าจะอะไรที่สัมผัสตัวคยองซู ทุกอย่างกลมกลืนไปหมด

     


                ท่ามกลางแสงสีส้มจากดวงไฟเหนือหัว เสียงเป๊าะแป๊ะของหยาดฝนและเสียงกระเพื่อมของน้ำที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า ผมไม่ชอบฝน สารภาพตรงนี้เลยว่าเกลียดฤดูฝนยิ่งกว่าอะไร ผมไม่ชอบความเฉอะแฉะ แน่นอนว่าคิมจงอินเป็นคนรักสะอาด

     


                “เรามาหลบตรงนี้ก่อนดีกว่า” เสียงเล็กๆของพี่คยองซูดังอยู่ด้านหน้า เขาวิ่งไวๆแล้วกวักมือเรียกผมไปหลบอยู่หน้าร้านแห่งหนึ่ง เพราะว่าด้านบนมีหลังคาไม่ใหญ่นักทำให้ผมเผลอเบียดเข้าไปใกล้คนตัวเล็กกว่า

     


                ก็เป็นตอนนั้นแหละที่ผมคิดว่าฤดูฝนมันก็ดีเหมือนกัน

     


                เขาเอื้อมมือเล็กๆเหมือนเพนกวินไปข้างหน้า เหมือนว่าไม่รู้ตัว คยองซูขยับนิ้วเล็กน้อยราวกับกำลังหยอกล้อกับสายน้ำเย็นๆ ผมจ้องมองเขาด้วยความรู้สึกหลากหลาย มีสองสิ่งบนใบหน้าเขาที่ผมชอบมากที่สุด (อันที่จริงผมชอบทั้งหมดแต่มันคือท็อปสอง)

     


                หนึ่ง คือ ดวงตาคู่สวย เขาซ่อนมันไว้ใต้กรอบแว่นทรงกลม ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่รู้ว่าเคยมีใครบอกเขามั้ยว่าถ้าถอดมันออกจะน่ารักกว่า บางสิ่งงดงามเกินกว่าจะถูกซ่อนเอาไว้ ผมอยากบอกเขาแบบนั้น

     


                 ละสอง


     

                “น่าเสียดายที่ร้านปิดไปแล้ว ฉันอยากลองถักผ้าพันคอเองดู”

     


                ริมฝีปากรูปหัวใจ ขยับขึ้นลงเป็นธรรมชาติ มันเป็นสีพีชในตอนเช้าและแดงอ่อนในตอนเย็น

     


                คิมจงอินกลายเป็นนักสังเกตการณ์เต็มตัวแล้วล่ะครับ : )

     


                “เตรียมพร้อมสำหรับฤดูหนาวเหรอครับ” หลังจากเงียบมานานผมได้ยินเสียงทุ้มของตัวเองดังแข่งกับเสียงฟ้าร้อง

     

                “นายก็ควรจะเตรียมไว้ซี มันหนาวนะ” น้ำเสียงจริงจังกับตาโตๆ “ฉันมีอยู่ผืนนึงแต่มันเริ่มไม่อุ่นแล้ว”

     



                ณ ตอนนี้ผมชักจะอยากหันหลังไปกดกริ่งหน้าร้านจนกว่าเจ้าของร้านจะยอมลงมาเปิด แต่เอาไว้วันหลังก็แล้วกัน ผมยังพอมีเวลาก่อนฤดูหนาวจะเริ่มต้นขึ้น พี่คยองซูแหงนมองขึ้นไปบนฟ้า ไม่สนใจคนเบื้องหน้าที่วิ่งหาที่หลบฝน ตรงที่ๆผมกับเขายืนอยู่มันมีอุณหภูมิที่พอดีอย่างน่าแปลก

     


                เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ฝนค่อยๆซาลง คนข้างตัวเริ่มสูดน้ำมูกฮึดฮัด เขาน่ะตัวเล็ก ชอบใส่เสื้อเกินเบอร์จนบางทีผมคิดว่าพายุจะลักพาตัวเขาไปรึเปล่า ตัวเล็กแค่นี้เองนี่นะ

     


                “โอ๊ะ รอแปบนะครับ”

     

                “เฮ้ ดะ เดี๋ยวก่อน” เขาร้องห้าม แต่ผมไม่สนใจหรอกก็สมบัติมันโผล่มาให้เห็นตรงหน้าแล้วนิหว่า ร่มสีน้ำเงินคันใหญ่ถูกทิ้งไว้ข้างๆถังขยะ

     

                ผมวิ่งฝ่าฝนไปอีกฝั่ง สะบัดมันเล็กน้อยและตรวจเช็คว่ามันยังใช้การได้อยู่ สองขาวิ่งกลับไปหาคนตัวเล็กที่มีใบหน้าอ้ำอึ้ง เขาจ้องมองร่มสลับกับมองหน้าผม

     


                มีอะไรน่าประหลาดงั้นเหรอ

     


                “นายไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้” เขาพึมพำเล็กๆ หลุบตามองปลายเท้าเหมือนเด็กๆ ผมจึงใช้นิ้วจิ้มไปตรงกลางหน้าผาก ส่งยิ้มให้เขาอย่างใจดี

     

                “ไปหอพี่มันไกลงั้นไปหอผมก่อนละกันนะครับ J

     



                คยองซูพยักหน้าขึ้นลง ยกมือขึ้นเกาจมูกแล้วก้าวเข้ามาอยู่ในร่มคันเดียวกัน ใกล้ชิดจนไหล่ของผมสัมผัสกับไหล่เล็กๆของเขา เราออกเดินทางกันอีกครั้ง ผ้าใบสีดำของผมตัดกับสนีกเกอร์สีขาวของเขาอย่างลงตัว เพราะว่าเขาตัวเล็กกว่าผมหลายคืบผมจึงจำเป็นต้องเดินให้ช้าลงเพื่อที่จะให้เขาเดินมาให้ทันผม




                สิบห้านาทีที่มีเพียงเสียงลมหายใจของเราดังสลับกัน

               

                ไม่รู้ว่าเขาได้ยินรึเปล่าว่าเสียงหัวใจของผมมันส่งเสียงดังผิดปกติ

     

     



     

                “อยู่ชั้นดาดฟ้าเหรอ” เขาถามหลังจากที่เราเดินเข้าอพาร์ตเมนท์มาแล้ว “ระวังผีหลอกล่ะ”

     

                “ผีมีจริงที่ไหน”

     

                “คืนนี้โดนแน่ๆ” ผมได้ยินเสียงเขาสาปแช่งจากด้านหลัง หัวเราะเบาๆก่อนจะเดินนำขึ้นไปบนชั้นบนสุดของตึก ประตูเก่าๆส่งเสียงเอี๊ยดอาดตอนที่ผมเขย่ามันแรงๆเพื่อเปิดออก นึกขึ้นได้ว่าสองสามวันก่อนเพิ่งไปบอกคุณป้าเจ้าของตึกว่าประตูดาดฟ้ามันไม่ค่อยดี อือ ผมว่าคุณป้าคงลืมผมไปแล้ว L

     

               

                “มันลื่นนะครับระวังด้วย” ส่งเสียงร้องบอกคนที่เดินนำตัวปลิว เขาจ้องมองไปรอบๆเหมือนหลุดเข้าไปอีกโลกที่ไม่รู้จักยังไงอย่างงั้น  ผมตรงเข้าไปในบ้านพักเล็กๆที่แฝงตัวอยู่บนชั้นเจ็ดของอพาร์ทเมนต์แห่งนี้ หยิบผ้าห่มที่พับไว้มาสองผืนก่อนจะหันหลังไปเห็นว่าคยองซูเดินงงๆเข้ามานั่งจุมปุ๊กบนโซฟาเรียบร้อยแล้ว

     

                “รอจนกว่าฝนจะหายตก เดี๋ยวผมขับรถออกไปส่ง”

     

                “อ่า แล้วปกตินายไปมหาลัยยังไง” ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยคำถามล้านแปด

      


                ผมยื่นผ้าห่มสีแดงให้กับเขา “วันไหนตื่นสายจะขับรถไปครับ” เขาครางรับในลำคอ ผมคิดว่าคยองซูเหมือนเด็ก แต่เขาต้องไม่ยอมรับแน่ๆ กับเด็กรัฐศาสตร์ผมไม่กล้าเถียงอะไรด้วยหรอกครับ ผมไม่มีแนวคิดที่น่าเชื่อถือพอสำหรับพวกเขาหรอก ฮ่ะๆ

     


                อ้ออีกอย่างผมอยู่บ้านนี้คนเดียว ดังนั้นตอนนี้ผมเลยนั่งอยู่ข้างๆเขา หน้าทีวีจอเล็กที่ผมไม่ได้เปิดมันมาซักพักใหญ่ๆ

     


                “ฉันเคยฝันว่าอยากมีบ้านเล็กๆสักหลัง”

     

                “แต่ตอนนี้ไม่ฝันแล้วเหรอ” เขาส่ายหน้า

     

                “ไม่หรอก ความฝันของฉันไม่เคยตายตัว” น้ำเสียงเล็กๆของเขาน่าฟัง คยองซูลอบเลียริมฝีปากแห้งๆของเขาก่อนจะเอ่ยปากเล่าต่อ “แต่ถ้านายมีสองขาที่แข็งแรงพอจะวิ่งตามความฝันนั้นจนสำเร็จ ฉันก็ยินดีด้วย”

     


                .... อ่า นี่เขารู้มั้ยว่ารอยยิ้มของเขามันส่งผลต่อการเต้นของหัวใจของคนอื่น

     


                ผมพยักหน้าเงียบๆ กอดผ้าห่มของตัวเองแล้วซุกหน้าลงไป ทันใดนั้นเสียงร้องประหลาดก็ดังขึ้นอย่างน่าอาย

     


                “หึ...” คนแก่กว่าหลุดหัวเราะ เขาทำผมกลายเป็นตัวตลกไปแล้ว

     

                “มีรามยอนอยู่ในตู้ ผมรู้พี่ใจดี”

               

                “ใครว่าฉันใจร้ายมากๆเลยต่างหาก” เขาหัวเราะเอิ้กอ้ากก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นแล้วตรงดิ่งไปยังห้องครัว คนตัวเล็กเปิดตู้นู่นตู้นี่ หยิบสารพัดสิ่งออกมาจากตู้เย็น ผมเห็นกล่องกิมจิที่แม่ทำให้ไวๆในกรอบสายตา

     


                เสียงวางของกร๊องแกร๊งดังกระทบกัน มันไม่เคยเกิดขึ้นในบ้านหลังนี้หรอก ผมทำอาหารไม่เป็น แต่มีของสดที่ซื้อเข้ามาเก็บไว้บ้างเผื่อไว้ในแม่มาเยี่ยมเขาจะได้อ้างถูกไงว่าลูกชายของแม่อยู่ดีกินดี แต่แม่ของผมไม่รู้หรอกครับว่าผมกินอาหารสำเร็จรูปบ่อยแค่ไหน

     


                แค่กลับมาอาบน้ำทำการบ้านก็หมดแรงแล้ว ไม่มีเรี่ยวแรงจะจับกระทะจับตะหลิวหรอกครับคุณ

     


                “นายกินแต่อาหารสำเร็จรูปทั้งๆที่มีครัวเป็นของตัวเองเนี่ยนะ”

     


                เสียงเขาเล็ดลอดออกมาแม้จะหันหลังให้อยู่ก็ตามที เขาบ่นอะไรต่อจากนั้นสองสามอย่างแต่เสียงมีดกระทบกับเขียงดังเป็นจังหวะบวกกับเสียงฝนทำให้ผมได้ยินไม่ชัดนัก

     


                “ฉันจะเอาไปทิ้งให้หมด”

     


                “ว่าไงนะพี่” ผมร้องถามเพราะพายุฝนห่าใหญ่สาดลงกระทบหลังคาอย่างแรงจนแทบจะต้องตะโกนคุยแข่งกันแต่เขาไม่ตอบอะไรกลับมา เอาเถอะเขาคงจะพูดถึงอะไรบางอย่างที่ผมจับใจความไม่ได้ ภาวนาว่าอย่าให้เขาทิ้งกล่องข้าวสำเร็จรูปของผมไปก็แล้วกัน

     


                เฮ้ คยองซูใจดีออก ผมรู้ว่าเขาไม่ทำอย่างนั้นหรอก


     

                “ผมสั่งไก่ทอดนะ”

     


                ไม่รู้ว่าจะขอทำไมเหมือนกัน ผมกดเบอร์สั่งไก่ทอดเจ้าประจำ พนักงานตอบรับออเดอร์อย่างว่าง่ายไม่นานปลายสายก็ถูกตัดไป กลิ่นหอมอ่อนๆของเส้นหมี่สีเหลืองที่ตอนนี้ผมเดาว่ามันคงขยายออกเป็นเส้นอ้วนๆน่ากิน รุ่นพี่ตัวเล็กเคลื่อนที่ไปมาก่อนที่หม้อร้อนจะถูกยกออกจากเตา

     


                “หอมจังครับ”

     

                “ไปล้างมือก่อน” น้ำเสียงสบายๆแต่ผมกลับทำตามคำสั่งทันที พี่คยองซูจัดการวางช้อนกับตะเกียบอย่างเรียบร้อย ผมมองภาพนั่นด้วยความรู้สึกจั๊กจี๋เล็กน้อย

     

                “พี่ทำอาหารเก่ง สนใจมาเป็นพ่อครัวของผมมั้ย”

     

                “มีเงินเดือนให้รึเปล่าล่ะ”

     


                เขายิ้ม ตาปิดเป็นรูปขีดคล้ายกับพระจันทร์

     


                ผมคิดไปเองรึเปล่านะว่าเขายิ้มให้ผมมากขึ้น

     


                “เท่าไหร่ก็ยอมครับ” ผมตอบกลับไป ส่งรอยยิ้มแล้วใช้ตะเกียบจิ้มแก้มพองๆของคนโตกว่า เขาตัวแข็งทื่อ ตรงที่ผมถือวิสาสะจิ้มลงไปขึ้นสีแดงระเรื่อ หูเล็กๆของเขาขึ้นสีแดงฝาด

     


                ผมโบกมือใส่หน้าของเขาที่เหมือนสติหลุดไปแล้ว คยองซูชะงักเล็กน้อย เขาตอบกลับมาแค่ให้ผมเอาผ้าไปรองโต๊ะก่อนที่เขาจะวางหม้อร้อนๆลงไป พวกเรากลับมานั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นอีกครั้ง และเขาก็ยังคงไม่พูดอะไร

     



                “พี่โกรธผมเหรอ”

     

                “ไม่ เอ่อ -- ฉันแค่ตั้งรับไม่ทัน”

     

                อ่า มันเป็นแบบนี้นี่เอง ผมกดยิ้มมุมปาก ผมคิดว่าผมรู้ความลับข้อนึงของเขาแล้วล่ะ

     

                “พี่เขินง่ายใช่มั้ยครับ”

     

                ....

     

                “พี่คยองซู”

     

                “กินเข้าไปเลย กินไป”

     



                เขาหยิบตะเกียบแล้วคีบรามยอนใส่จานตัวเองเงียบๆ ก้มหน้างุดไม่พูดอะไร ผมเลยตัดสินใจกินบ้าง เราต่างคนต่างกินโดยไม่พูดอะไร ผมสังเกตเขาเงียบๆว่าเขาชอบกินน้ำซุปมาก ในขณะเดียวกันผมไม่ชอบกินเส้นมากกว่า

     


                เราเป็นอะไรที่เข้ากันได้ดี (?) ผมคิดว่าอย่างนั้น มันต้องดีแน่ๆถ้าเป็นผมกับเขา J

     

     

                “ขอบคุณครับ”

     


                ผมกับเขาจัดการฟาดรามยอนในหม้อจนเกลี้ยง เขาอาสาจะล้างจานเองแม้ผมจะค้านหัวชนฝาก็ตาม

     


                ผมได้บอกรึยังว่าเขาเป็นพวกดื้อเงียบ ดังนั้นตอนนี้ผมเลยจัดการวางถุงไก่ทอดไว้บนโต๊ะยาวหน้าบ้าน กางร่มขนาดใหญ่ หอบผ้าห่มรวมถึงเบียร์สองสามกระป๋องมาวางไว้ด้านนอก ระหว่างทางเขาบ่นให้ผมฟังว่าวันนี้เขามีแพลนจะดูดาวตกที่เนินตรงนั้น



                และคิดว่าวันนี้คงจะอดดู

     


                “พี่คยองซูเสร็จรึยัง”

     

                “กำลังออกไป เด็กนี่”

     


                ได้ยินเสียงพี่เขาใกล้ๆ คนตัวเล็กเดินออกมา เขาทำตาโตประกายเหมือนประหลาดใจอะไรบางอย่าง  ผมเขยิบพื้นที่ข้างๆให้เขานั่ง ระหว่างเรามีเพียงเบียร์สองสามกระป๋องคั่นอยู่ตรงกลาง ผมเปิดกล่องไก่ทอดแล้วยื่นไปตรงหน้า พี่คยองซูหยิบมันออกมาหนึ่งชิ้นก่อนจะพงกหัวให้เป็นการขอบคุณ

     


                ตอนนี้เวลาล่วงเลยมาเกือบสามทุ่มแล้ว ละอองฝนเย็นๆกระทบที่ปลายขา บรรยากาศเย็นแต่มันกลับอุ่นในอกผมอย่างประหลาด ผมหยิบเบียร์ขึ้นมาหนึ่งกระป๋อง เปิดฝา ป๊อก ได้ยินเสียงซู่ซ่าของโซดา และผมเขยิบเข้าใกล้เขาอีกหนึ่งปลายนิ้ว

     

               

                “ปกติพี่ชอบดูดาวตกบ่อยเหรอ ผมไม่เห็นโซลจะมีดาวตก”

     

                “นายไปอยู่ที่ไหนมาเนี่ย ฉันนับจำนวนดาวตกในโซลได้ตั้งสิบหกครั้ง”

     


                จำนวนมากพอสมควรทำเอาผมตะลึง หรือผมไม่ใช่พวกตกหลุมรักธรรมชาติเหมือนเขากันนะ

     


                “ว่ากันว่าถ้าพี่บังเอิญเจอดาวตก ถ้าพี่ขอพร...

     

                “ฉันไม่เคยขอพร” แย้งทันที

     


                แน่ล่ะ เขาเป็นคนมีความคิดเป็นของตัวเอง

     


                ผมกระดกเบียร์อีกอึกหนึ่ง ส่วนเขากัดไก่ทอดในมือเงียบ ๆ เตะขาสองข้างในอากาศ ดวงตากลมโตแหงนมองท้องฟ้าสีดำสนิท สายลมเอื่อยๆพัดเอากลิ่นฝน กลิ่นดิน ผมเห็นเขาหลับตาสูดลมหายใจเข้าปอด ผมเลยทำบ้าง

     


                ผมเปิดเปลือกตา พยายามมองหาบางสิ่งบางอย่างที่คยองซูมองอยู่ ในองศาเดียวกันตรงนี้ หากแต่ผมไม่รู้เลยว่าที่ๆผมกำลังมองอยู่ ใช่ที่เดียวกับเขารึเปล่า

     


                “นายคิดยังไงถึงขอฉันเดท”

     


                เขาไม่หันหน้ามาสบตาผมและผมรู้ว่าเขารู้ว่าผมกำลังมองเขาอยู่ เสี้ยวหน้าของเขาจมูกรั้นเล็กๆขึ้นสีแดงเหมือนคนเป็นหวัดตลอดเวลา

               


                “ผมตอบไปแล้วนี่ ผมอยากรู้จักพี่”

     

                “พี่ไม่ต้องรีบร้อนหาคำตอบหรอกครับ ให้เวลาเป็นคำตอบให้พี่เองดีกว่า” ผมคิดว่าตอบแบบนี้ดีที่สุดแล้วในตอนนี้ ผมยังอยากเรียนรู้และรู้จักเขา เขาที่เอาแต่ซ่อนตัวเองอยู่ในหน้าหนังสือ เป็นเหมือนตัวอักษรเล็กๆที่หลายคนมองข้ามไป

     


                ถ้าคุณไม่ตาดีและมีโชคดีพอล่ะก็ คุณไม่มีทางแยกเข้าออกจากผู้คนมากมายง่ายๆหรอก

     


                “ฉันแค่อยากบอก .. ฉันไม่เคยมีแฟนดังนั้นฉันไม่รู้เลยว่าฉันจะจัดการทุกอย่างยังไงไหว”

     


                น้ำเสียงเล็กๆของเขาดังเหมือนกับกระซิบ นุ่ม น่าฟัง เป็นโทนเสียงที่พอดี

     


                และผมชอบมัน


     

                “ฉันปกครองตัวเองมาตลอดและฉันไม่เคยทุจริตกับความรู้สึกของตัวเอง” ผมรู้ว่าเขาไม่ใช่นักปกครองที่ดีนัก

     


                ผมวางกระป๋องเบียร์ลง ดึงไหล่เขาให้เข้ามาใกล้ จรดริมฝีปากห่างจากใบหูเล็กๆเพียงแค่หนึ่งช่วงลมหายใจ

     


                “พี่ไม่จำเป็นต้องเดินเข้ามาหาผมก็ได้ เพราะผมจะเข้าไปหาพี่เอง”

     


                ยกยิ้มให้เขาอย่างอารมณ์ดี คยองซูใช้ปลายเท้าเตะเบาๆที่ข้อขาผม

     


                “นี่ ไม่ต้องใจดีกับฉันมากนักซี” เขายู่ปากเหมือนไม่พอใจ ท่าทีอ่อนใจนั่นทำผมหลุดหัวเราะ

     

                “ผมใจร้ายกับพี่ไม่ลงหรอกน่า”

     

                “ใครบนโลกที่ไม่เคยกลายเป็นคนใจร้ายบ้าง อย่างน้อยก็ครั้งหนึ่งในชีวิตและหลังจากนั้นนายก็จะรู้สึกผิดทุกครั้งที่นึกถึง” เขาร่ายยาว “ฉันคนหนึ่งล่ะที่เคย”

     

                “ผมไม่ทำให้พี่เสียใจหรอก รับรอง!

     

                “สิบคะแนนคิมจงอิน”

     


                อ่าฮ้า เขามันผู้ร้ายปากแข็งชัดๆ J

     


                ผมแอบปัดแมลงที่บินวนอยู่เหนือศีรษะเขา ก่อนจะสะดุ้งเบาๆเมื่อพี่เขาร้องออกมา

     


                “ดาวตก! ฉันจะขอพร”

     

                เห ._. เมื่อกี้ผมหูฝาดไปรึเปล่า มือเล็กของเขาประสานเข้าหากัน เขาหลับตาลงเนิ่นนานและผมก็ลอบมองใบหน้าเล็กที่แต่งแต้มเลือดฝาดจางๆ พิจารณาตั้งแต่แพขนตายาว จนถึงริมฝีปากรูปหัวใจ

     


                สองแก้มยุ้ยอมยิ้ม ผมอยากจิ้มแรงๆซักที

     


                แต่ผมจะไม่ชมเขาหรอกเพราะวันนี้ผมชมเขามากเกินไปแล้ว

     

     

                “ฉันนึกว่าจะพลาดซะแล้ว”

     

                “พี่ขอพรว่าอะไร”

     


                เขาไม่ตอบแต่กลับหันหน้าเข้าหาผม สองขาอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ ดวงตากลมโตใสจ้องตาแป๋วมาที่ผม ก่อนจะขยับริมฝีปากเป็นรอยยิ้มสวย เป็นสิบวินาที เขาก็ยังจ้องและยิ้มให้ผมอยู่อย่างนั้น

     


                “พี่คิดอะไรอยู่ หลงผมหัวปักหัวปำแล้วล่ะสิ”

     

                “ขี้โม้จริงๆ” เขาเม้มปาก “วันนี้พระจันทร์สวย นอกจากเนินตรงนั้น ดาดฟ้าห้องนายก็เป็นมุมที่ดีเหมือนกัน”

     

                “ขอบคุณนะ”

     


                เขาหันหลังกลับไปนั่งท่าเดิม เบนหน้าออกจากองศาที่ผมจะมองเห็น

     


                แต่ผมไม่ต้องพยายามที่จะแอบดูหรอกครับว่าเขาทำหน้าแบบไหนอยู่

     


                พูดเองเขินแบบนี้.... มีแค่เขาคนเดียวเท่านั้นแหละ :-)

     

     


                “ผมก็ไม่เคยรู้ว่ามุมตรงนี้มองเห็นท้องฟ้ากับพระจันทร์สวยเหมือนกันจนกระทั่งวันนี้...

     

                “งั้นวันหลังมาดูดาวตกด้วยกันอีกนะครับ”

     

     


     

    ผมค้นพบว่า


    รอยยิ้มของคุณสวยยิ่งกว่า


    พระจันทร์ที่สวยที่สุดบนจักรวาลเสียอีก



     

     

     

     

    TBC

     


     

    กินรามยอนด้วยกันแล้วนะ แบ่งปันหนังสือที่ชอบแล้วนะ

    ค่อยๆเดินไปพร้อมกันนะคะ เรียนรู้กัน รู้จักถะนุถนอม :)

    คอมเม้น / ติดแท็กคุยกันในทวิตได้นะฮับ

    ขอบคุณ ขอบคุณ .

    #ficdearyouks


    (c)              Chess theme
      
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×