The Young's Last Year - นิยาย The Young's Last Year : Dek-D.com - Writer
×

    The Young's Last Year

    เรื่องราวความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความประทับใจ ของกลุ่มวัยรุ่นชั้นมัธยมปลายปีที่หกในโรงเรียนเล็กๆย่านชนบท ทุกเหตุการณ์เริ่มต้นมาจากคำว่าเพื่อนแต่สุดท้ายแล้วจะจบลงด้วยมิตรภาพอย่างไรต้องมาติดตาม

    ผู้เข้าชมรวม

    65

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    65

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  8 มี.ค. 57 / 00:00 น.

    อีบุ๊กจากนิยาย ดูรายการอีบุ๊กทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    พฤษภาคม

    กระจกรถยนต์ค่อยๆเลื่อนลง ให้ลมเย็นหลังฝนตกโชยผ่านเข้ามาเต็มคันรถ หอบเอากลิ่นดินอุ่นๆหอมฟุ้งไปทั่ว น้ำค้างบนยอดหญ้าสะท้อนกับแสงแดดยามเช้าเป็นระยิบ ตรงสุดปลายถนนสายยาวที่มุงด้วยเงาไม้ใหญ่น้อยสองข้างทาง ปรากฎรุ้งกินน้ำจางๆ แต่ก็ยังสวยงามไม่เปลี่ยน สิบปีแล้วซินะที่ไม่ได้กลับมาที่นี่ เมืองเล็กๆที่เต็มไปด้วยเรื่องราว ทั้งความสุข ความเศร้า แต่ก็ล้วนเป็นความทรงจำที่ดี เมืองที่เก็บงำความลับระหว่างพวกเราเอาไว้ แต่มันคงดีกว่าหากการกลับมาครั้งนี้ ไม่ได้กลับมาเพราะ---การสูญเสีย

    ---ประเทศไทย รวมเลือดเนื้อ ชาติเชื้อไทย---เสียงเพลงชาติในตอนเช้า ดังสากๆออกจากลำโพงสีเทารุ่นเก่าที่ติดไว้ทั่วทุกอาคารในโรงเรียนประจำอำเภอเล็กๆ ที่ถูกห้อมล้อมไว้ด้วยภูเขาลูกใหญ่ พวกเรานักเรียนชั้นมัธยมปลาย ปีที่ 6 ยืนเข้าแถวหน้าชั้นเรียนอย่างไม่เป็นระเบียบในเช้าวันแรกของปีการศึกษาสุดท้าย เสียงจอแจบวกกับเสียงลมและฝนที่กระหน่ำอยู่นอกอาคารทำเอาอื้ออึงไปทั้งตึกเรียน ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่รักษาวินัยตั้งใจร้องเพลงชาติ คงเพราะทุกคนมีเรื่องมากมายมาเล่าสู่กันฟังหลังปิดเทอมใหญ่ไปหมาดๆ

    “อีโอมมมมมมมมมมมมมม” เสียงแหลมเล็กลากยาวมาแต่ไกล พร้อมเอามือจับบ่าผมไว้แน่น
    “มึงไม่โทรหากูเลยนะ ไหน ปิดเทอมไปเที่ยวไหนมาคะ”
    จ๋า เด็กสาวผมซอยสั้น ผิวคล้ำ ร่างเล็ก ทักทายผมอย่างสนิทสนม ใช่ซิครับก็เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ ป.1 จนถึงตอนนี้ก็ยังเรียนห้องเดียวกันอยู่
    “ไปอยู่บ้านยายอ่ะมึง แม่ให้ไปช่วยดูยาย แกไม่ค่อยสบาย บ้านยายไม่มีโทรศัพท์ว่ะ” ในปีพ.ศ.2542โทรศัพท์มือถือยังเป็นเรื่องไกลตัวของวัยรุ่นในยุคนั้น บ้านไหนมีโทรศัพย์บ้านก็ถือว่าดีมากแล้ว ผมตอบไปพลาง ตาก็คอยชำเลืองมองทางขึ้นบันไดที่อยู่ติดหน้าห้องเรียน
     “มึงมองหาใครวะ” จ๋าพูดเสร็จก็ดึงคอผมเข้ามาใกล้แล้วกระซิบเสียงเบา”ไอ้พุธเหรอ”
    “บ้า มึง!!  อีจูนไง เปิดเรียนวันแรก ทำไมป่านนี้ยังไม่มาอีก ปกติมันไม่ใช่คนเหลวไหล” ผมขมวดคิ้วใส่
    “อ๋อ อีจูนมันโทรมาบอกว่าอาทิตย์นี้ยังมาไม่ได้ ติดงานศพพ่อมันน่ะ” จ๋าพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง ก่อนเอามืออกจากบ่ามาจับมือผมไว้
    “แล้วอีจูนเป็นไงบ้าง อยากไปให้กำลังใจมันว่ะ พ่อมันเป็นไรเสียวะ”
    “ก็มะเร็งปอดนั้นแหละ หมอบอกให้เลิกสูบบุหรี่ ก็ไม่ยอมเลิก เป็นไงล่ะ ปล่อยให้คนข้างหลังเสียใจตามเคย ผู้ชายนี้มันช่างเห็นแก่ตัวจริงๆ” จ๋าพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามปนสมเพชเวทนา แล้วสะบัดมือผมออก
    “มึงก็เกินไป คนตายไปแล้ว จะอะไรนักหนาวะ อยากไปช่วยงานอีจูนว่ะ”
    “มึงรอเจอมันอาทิตย์หน้าละกัน เขาเผาไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่อีจูนมันอยากอยู่เป็นเพื่อนแม่มันก่อน แค่นั้น” ---เปรี๊ยะ!! จ๋าตบกระบาลผมฉาดใหญ่ ก่อนบอก
    “มึงนี้ ไม่รู้อะไรเอาซะเลย อีห่า”

    แล้วเราก็วิ่งไล่ยอกล้อกันเข้าไปให้ห้อง หลังเสียงสวดมนต์จบลงพอดี นักเรียนทุกชั้นเรียนเดินเข้าห้องกันอย่างไม่เป็นระเบียบต่างยังคงพูดคุยกันเซ็งแซ่ ห้องเรียนของเรามีกัน 38 คน แต่ผมมีเพื่อนที่สนิทที่สุดแค่ 4 คน เป็นกลุ่มเด็กหลังห้องที่เรียนไม่ค่อยได้เรื่อง แต่กระแดะมาเรียนสายวิทย์-คณิต ผมนั่งในมุมขวาด้านในสุดของห้องติดถังขยะ จนเพื่อนๆในห้องเรียกพวกเราว่า แก๊งถังขยะ ด้านซ้ายมือของผมมีโต๊ะเรียนว่างๆติดริมหน้าต่างของเพื่อนคนหนึ่งที่ชื่อพุธ แต่พุธย้ายไปเรียนในโรงเรียนประจำจังหวัดตั้งแต่ปีที่แล้ว พุธเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี เรียนดี ขาวสะอาด ขวัญใจสาวๆ ม.ต้น ม.ปลายทั้งหลาย ลามไปถึงบันดาครูบาอาจารย์ แต่ด้วยเหตุการณ์บางอย่างทำให้พุธต้องย้ายออกไป  ด้านขวามือของผมคือโต๊ะเรียนของ จ๋ากับจูน เพื่อนสาวต่างขั้ว คนนึงแก่นเสี้ยวเปรี้ยวซ่าอย่างที่ผมแนะนำไปแล้วข้างต้น อีกคนเรียบร้อยแต่ยิ้มเก่ง ผมรู้จักกับจูน ตอน ม.1 ครั้งแรกที่ใครเห็นก็ต้องหลงรักเธอ สาวหมวย ตาโต ที่มาพร้อมลักยิ้มเล็กๆทั้งสองข้าง ผมเปียเดี่ยวที่ทักได้เป็นระเบียบในทุกๆวัน เป็นภาพที่พวกเราทุกคนชินตา ส่วนที่นั่งด้านหน้าของผมคือ ไอ้บิ๊กกับไอ้บอส ไอ้บิ๊กเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างใหญ่ กำยำ ผิวเข้ม คิ้วหนา หน้าคม มาพร้อมตำแหน่งนักบาสเกตบอลประจำโรงเรียนหกสมัย มันเป็นเพลย์บอยที่ค่อนข้างหยาบคาย แต่ที่มันมาสนิทกับพวกเราได้ เพราะมันเป็นคนขี้เกียจ มีงานกลุ่มที่ไรก็ไม่เคยตั้งใจช่วยงาน มีแต่กลุ่มเรานี้แหละ ที่รับมันไว้ ส่วนไอ้บอส มันเป็นเหมือนลูกกระจ๊อกไอ้บิ๊กอีกที คอยติดตามไอ้บิ๊กทุกฝีก้าวอย่างกับสมุนมือขวาของเด็กอันธพาลในการ์ตูนดังของญี่ปุ่น หนุ่มตี๋ ผิวขาวลูกคนจีน ขายข้าวสารในตลาด แว่นตาหนาและสิวเขรอะบนใบหน้า ช่างขัดแย้งกับฐานะดีของทางบ้าน ส่วนข้อดีของมันคือ มันเป็นคนใจใหญ่ รักเพื่อนรักฝูง เลี้ยงเราจนอิ่มหมีพีมันทุกครั้งที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน

    “สวัสดีค่ะ นักเรียนที่รักทุกคน ครูชื่อวิมล พวกเราคงเคยเจอกันแล้วในชั่วโมงประชุมระดับ ปีนี้ ครูจะมาเป็นครูประจำชั้นของพวกเธอ“ เสียงเย็นยะเยือกหน้าเกรงขามนั้น ทำเอาเสียงจอแจที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเงียบสนิทเหมือนต้องมนต์สะกด
    “วันนี้ครูมีเพื่อนใหม่มาแนะนำ ย้ายมาจากจังหวัดใกล้เคียงเรานี้เอง”
    เด็กหนุ่มผมเกรียนทรงสกินเฮดหน้าตาธรรมดา ถือกระเป๋านักเรียนใบลีบเดินเงอะงะเข้ามายืนหน้าชั้นเรียน
    “สวัสดีครับ ชื่ออิฐครับ” เด็กหนุ่มยิ้มเจื่อน ด้วยท่าทางเคอะเขิน
    “นั่งตรงที่ว่างข้าง พชร แล้วกัน” ผมเองคับ พชร คนนั้น อิฐเดินทอดน่อง กวาดสายตามองเพื่อนๆไปทั่วห้อง ก่อนลากเก้าอี้ที่นั่งข้างผมเสียงครืดดัง ทุกคนในห้องยังคงอยู่ในความสงบ
    “ชื่อไรอ่ะ” อิฐถามด้วยเสียงกระซิบ แหบๆ
    “โอม” เขามองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนไม่ได้ฟังคำตอบจากผม
    “วิวตรงนี้สวยดีนะ เห็นต้นไม้กับภูเขาด้วย” อิฐสะกิดผมให้มองตามนิ้วที่ชี้ไปนอกหน้าต่าง
    “อืม” ผมได้แต่ตอบสั้นๆ ด้วยความที่ยังไม่สนิทบวกกับเห็นวิวนี้มาตั้งแต่ขึ้นม.4แล้ว
    “หวัดดี ชื่อบิ๊กนะ นี้บอส เพื่อนกู ตอนเที่ยงไปกินข้าวด้วยกัน เดี๋ยวไอ้บอสเลี้ยงเอง” บิ๊กหันมาทักทาย
    “อ้าว เกี่ยวไรกับกูอ่ะ” ไอ้บอสแย้งขึ้นมาทันที
    “ก็มึงรวย มึงแหละ โห อย่ามาเหนียว ไรว่ะ ขี้เหนียวว่ะ ไอ้ลูกคนจีน นี้กูอนุญาติให้อยู่เมืองไทยก็บุญแล้ว” ต่างๆนานาที่บิ๊กจะสันหาคำมาว่าไอ้บอสได้
    “เออๆ อะไรของมึงเนี่ย”    บอสพูดตัดบท ปัดความรำคาญ

    ผมนั่งเกร็งไปตลอดช่วงเช้าในการเปิดเรียนวันแรก แต่ก็คอยสังเกตุอาการของอิฐเป็นระยะๆ เขาชอบใจลอย เหม่อไปนอกหน้าต่างอยู่บ่อยๆ แต่พอหันกลับมาเจอผมที่มองอยู่ก็จะยิ้มให้ทุกครั้ง เหมือนจะบอกว่า “เปล่า ไม่มีอะไร” ทั้งที่เราเองก็ยังไม่ได้ตั้งคำถาม บรรยากาศในห้องเรียนวันนี้ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมมากนัก เพื่อนทุกคนเราก็รู้จักกันดี จะมีก็แต่เพื่อนใหม่คนนี้ ที่ดูเหมือนมีเรื่องราวมากมายท่วมท้นอยู่ในใจ ผ่านรอยยิ้มเล็กๆแต่แววตาที่ขุ่นมัว หากเราสนิทกันมากขึ้น คงได้พูดคุยและปรับทุกข์กันในสักวัน

    เที่ยงแล้ว พวกเราสี่คนบวกกับสมาชิกใหม่อีกหนึ่ง เดินพูดคุยทำความรู้จักกันไปจนถึงร้านข้าวเจ้าประจำใต้ตึกเรียน
    “สั่งเลยๆทุกคน วันนี้พี่บอสเลี้ยงเอง” บิ๊กกอดคอบอสไว้แน่นพร้อมพูดจาขึงขัง
    “ไอ้เหี้ยนี่ เออกูรู้แล้ว เลี้ยงแม่งหมดทั้ง 4-5 คนนี้แหละ ไม่ต้องย้ำ” บอสพยามดึงมือไอ้บิ๊กออกจากคอแต่ก็ไม่สำเร็จ
    พวกเรานั่งกินข้าวกันไปก็พูดคุยหัวเราะกันไป ต่างๆนานา จนกระทั่งบิ๊กถามขึ้นว่า
    “เออ อิฐ แล้วทำไมมึงถึงย้ายมาเรียนที่นี้ว่ะ” บรรยากาศเงียบลงทั้งที่รอบๆยังคงจอแจ
    “กูย้ายมาอยู่กับพ่อน่ะ ปกติกูอยู่กับแม่ แต่นี้แกเพิ่งเสียไป กูเลยต้องย้ายมาอยู่กับพ่อที่นี้”
    “อ่าวเหี้ย เออ เสียใจด้วยนะมึง” บิ๊กเอื้อมมือมาตบไหล่อิฐเบาๆ พวกเราได้แต่มองหน้ากันเลิกลั่ก ในขณะที่อิฐยังคงช้อนข้าวเข้าปาก
    “ไม่ขนาดนั้นหรอก แม่แกป่วยมานาน นี่แกก็ไปสบายแล้ว ดีแล้วแหละ” อิฐพูดไป เคี้ยวไป ยิ้มไป
    “แล้วแกป่วยเป็นไรวะ” ---เปรี๊ยะ!! บิ๊กตบกระบาลบอสฉาดใหญ่ ที่ถามคำถามสะเทือนใจขึ้นมา
    “มึงนี่นะ จะถามไรเยอะแยะ พอแล้ว” บิ๊กตำหนิด้วยท้าทางขึงขังแต่ทั้งที่ในใจก็อยากรู้
    “ไม่เป็นไร ถามได้ แกป่วยเป็นมะเร็งปอดน่ะ คงเพราะทำงานในโรงงานพลาสติกแหละ”
    “มะเร็งปอดอีกแล้วเหรอวะ ฮิตจังแฮะโรคนี้” จ๋า สวนขึ้นมาเสียงเปรี้ยว
    “เออ เสียใจด้วยนะ แล้วแกเสียนานยังอ่ะ” ผมถามย้ำ ทั้งที่อยากจบบทสนทนาเรื่องนี้แล้ว
    “อ่อ ต้นปีอ่ะ ก่อนเราปิดเทอม”
    “แสดงว่า ก่อนหน้านี้ พ่อกับแม่แกก็แยกทางกันนะซิ” จ๋า เสริม
    “อืม ใช่ ตั้งแต่เราเด็กๆอ่ะ” อิฐพูดจบก็ยิ้มให้ทุกคน
    บทสนทนาที่ดูธรรมดาสำหรับอิฐ ทั้งที่จริงแล้วคงเป็นเรื่องหนักและสะเทือนใจมากๆของเขา พวกเราเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นๆ ให้บรรยากาศผ่อนคลายลง จนมาจบที่เรื่องของผม
    “เย็นนี้มึงซ้อมดนตรีเลยรึป่าว โอม” บิ๊กถามขึ้นมา
    “เออ ซ้อมเลย ครูบอกให้เตรียมแต่เนิ่นๆ” นักเรียนค่อยๆทะยอยลุกจากโรงอาหาร
    “ซ้อมดนตรีอะไรเหรอ” อิฐถามขึ้นมาอย่างสนใจ
    “อ๋อออ อีโอมเนี้ย มันเป็นนักร้องประจำโรงเรียน ปีที่แล้วก็ชนะระดับจังหวัดเลยนะคะ”จ๋า นำเสนอด้วยความภาคภูมิใจในตัวเพื่อน
    “โอ้โห เก่งนะเนี้ย บิ๊กก็เป็นนักบาสโรงเรียน โอมก็เป็นนักร้องโรงเรียน จ๋ากับบอสล่ะ”
    “เราน่ะ เป็นประธานชมรมวิทยาศาสตร์ ส่วนไอ้บอสอ่ะเป็น สากกะเบือประจำโรงเรียน วันๆไม่ทำห่าเหวอะไรหรอก” จ๋าทำเอาพวกเราหัวเราะร่วน คงมีแต่บอสที่ทำหน้าไม่พอใจและแย้งขึ้นมาทันควัน
    “กูเป็นกองเชียร์พวกมึงไง ไม่ว่าพวกมึงทำไร กูสนับสนุนหมด ไม่ดีเหรอวะ คนเก่งมันก็ต้องมีกองเชียร์อย่างกูนี้แหละ” ผมฉุกคิดกับคำพูดของบอส ใช่แล้วคนเราทุกคนไม่ว่าจะเก่งกาจขนาดไหนก็ต้องการกำลังใจจากคนรักทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัว หรือ เพื่อนสนิท
    “งั้นไม่ได้แล้ว เราต้องเป็นอะไรประจำโรงเรียนสักอย่าง จะได้เหมาะสมที่อยู่แก๊งนี้” อิฐพูดไปพรางหัวเราะไป ทำไมพวกเราช่างถึงเข้ากันได้ดีเหมือนสนิทกันมานานแสนนาน พวกเราเดินออกจากโรงอาหารจนมาถึงซุ้มน้ำอัดลมข้างโรงยิมวอลเล่ย์บอล
    “งั้นมาเป็นกองเชียร์กับกูก่อน แต่จริงๆถ้าจะเข้ากลุ่มกูได้คือ ต้องชนะวินนิ่งกูก่อนนะ” บอสพูดด้วยน้ำเสียงโอ้อวด
    “เห้ยย เล่นเหมือนกัน ได้เลยเจอกันเย็นนี้” อิฐท่าทางตื่นเต้น

    แล้วเวลาก็เดินไป พวกเราห้าคนค่อยๆสนิทกันมากขึ้น ด้วยกิจวัตรประจำวันคือ ช่วงเช้าชุลมุนลอกการบ้าน เที่ยงกินข้าวหัวเราะพูดคุย บ่ายแอบหลับแอบงีบ เย็นแยกย้าย ผมก็เริ่มซ้อมวงดนตรีอคูสติกประจำโรงเรียน บิ๊กก็ซ้อมบาสตามประสา บอสกับอิฐปะทะวินนิ่งกันทุกเย็น จ๋ารีบกลับบ้านด้วยรถประจำทางเสมอ ผมกับอิฐก็สนิทกันมากขึ้น อย่างน้อยก็ไม่นั่งเกร็งเหมือนในวันแรกที่เราเจอกันแล้ว

    เข้าสู่อาทิตย์ที่สองของการเปิดเรียน และเป็นธรรมดาที่เช้านี้เราก็ยังคงวุ่นวายกับการลอกการบ้านโดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ที่ยากเหลือเกิน
    “อ้าว หวัดดีจูน เป็นไงบ้างมึง” จ๋าทักทายจูนที่เดินเข้ามาด้วยเสียงดังฟังชัดเช่นเคย ทำเอาเพื่อนทั้งห้องต้องหันมองกันเป็นตาเดียว
    “หวัดดี โอเคแล้วแก” จูนยิ้มให้พวกเราทุกคนก่อนสอดกระเป๋าเข้าใต้โต๊ะ
    “ใครเหรอโอม น่ารักจัง” อิฐถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นเคย
    “อ๋อ จูน แก๊งถังขยะนี้แหละ” ผมพูดไปพลาง มือและตาก็ยังขมักเขม่นลอกการบ้าน
    “หวัดดี อิฐซินะ จ๋าโทรไปเล่าให้ฟังอยู่ ว่าแก๊งเรามีสมาชิกเพิ่ม ยินดีได้รู้จักนะ” จูนทักทายพรางโบกมือให้อิฐ
    “หวัดดีคับ” อิฐมองจูนค้างไปห้าวินาที ก่อนเรียกสติกลับคืนมาลอกการบ้านต่อ
    “ใครเจอจูนครั้งแรกก็ตกหลุมรักทั้งนั้นแหละ ก็จูนน่ารักนี้เนอะ” ผมพูดพรางยังคงไม่ละสายตาจากการบ้าน
    “อืม” อิฐ รับคำ
    “มึงอย่ามาแย่งจูนสุดที่รักของกูนะเว้ย” บิ๊กหันมาสวนเสียงเข้ม
    “อะไรของมึง จูนอ่ะแฟนกู” บอสสวนเสียงดัง ไม่ยอมน้อยหน้า
    “โอ้ยยยยยย พอ จูนน่ะเมียกู มึงไม่รู้หรอกว่าตอนไปเข้าค่ายจริยธรรม กูกะจูนนอนกอดกันทุกคืน”จ๋าตะหวาดเสียงดังเชิงกระเซ้าเย้าหยอก
    “พอเลย เราอ่ะแฟนโอม โอมน่ารักสุดแล้ว เป็นนักร้องโรงเรียน เท่ห์จะตาย” จูนพูดไปยิ้มไป
    “โอ้ยยยยยย เลสเบี้ยน” จ๋าพูดพลางเหลือกตาสูง
    “อะไรของมึง จ๋า มึงแหละเลสเบี้ยน” ผมยังคงไม่วางตาจากการบ้าน

    ทุกเช้า กลางวัน เย็น พวกเราหกคน พูดคุย หยอกล้อ กันเป็นประจำ มันยิ่งทำให้มิตรภาพของเราชัดเจนมากขึ้น สนิทกันมากขึ้น จะเปลี่ยนก็แค่ เมื่อก่อนนี้ บอสที่ขับมอเตอร์ไซด์ไปรับไปส่งผมและบิ๊กทั้งตอนเช้าและรอรับบิ๊กที่ซ้อมบาสและผมที่ซ้อมดนตรีทุกเย็น แต่เดี๋ยวนี้ ก็มีอิฐที่ขับมอเตอร์ไซด์มาโรงเรียนอีกคน หลังจากปะทะวินนิ่งกับบอสตรงร้านเกมหน้าโรงเรียนเสร็จแล้วก็จะอาสาไปส่งผมที่บ้านแทนเจ้าพวกนั้น แถมยังใจดีมารับผมในทุกๆเช้าด้วย ส่วนจูนกับจ๋ากลับบ้านด้วยกันทุกเย็นเหมือนเคย

    ชีวิตในวัยเรียนช่วงสุดท้ายกำลังดำเนินขึ้นและจะจบลงในไม่ช้า วัยรุ่นทุกคนล้วนมีความฝันเป็นของตัวเอง จินตนาการว่าจะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ในแบบที่อยากเป็น พวกเราทุกคนกำลังจะก้าวผ่านคำว่าเด็กมัธยมออกไปเป็นนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย  ผมได้แต่รำลึกถึงเรื่องราวเหล่านั้น พร้อมเลื่อนกระจกรถขึ้นปิดสนิท ก่อนขับรถต่อไป สู่เมืองเล็กในภูเขาใหญ่

    ----เมืองแห่งความทรงจำ






    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น