เสียงพูดคุยโหวกเหวกในห้องเรียนยามบ่ายยังคงดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย
หลังจากที่หัวหน้าห้องสาวร่างท้วมประกาศว่าในช่วงบ่ายอาจารย์ทั้งหมดติดประชุมอย่างกระทันหัน
นักเรียนทั้งหมดในห้อง6-Aก็พร้อมใจกันใช้เวลาช่วงนี้ไปกับการนั่งคุยกัน บ้างก็ทำงานที่ยังไม่เสร็จ บ้างก็ฟุบหลับกับโต๊ะ
และฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น....
ตึกตัก.....ตึกตัก......ตึกตัก.....
ฉันรู้สึกถึงอัตราการเต้นของหัวใจที่มันถี่เร็วขึ้นขณะที่กำลังทอดสายตาไปหาใครบางคนที่นั่งอยู่อีกมุมห้อง
ไม่ว่าจะเสียงหัวเราะหรือว่ารอยยิ้ม ทุกอิริยาบทของเขาทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงอย่างไม่มีสาเหตุ
“อ้าวๆ มองอะไรอยู่จ๊ะฟานี่~”
น้ำเสียงคุ้นเคยที่ดังขึ้นพร้อมๆกับใบหน้าของซันนี่ที่เข้ามาแทนที่ทำให้ฉันดึงตัวเองออกมาจากห้วงความคิดทันที
“ฮั่นแน่~ รู้นะว่ามองใครอยู่~”
“มะ
.ไม่ใช่ซักหน่อย ไม่ได้มองนะ!”
เสียงของยูริที่ดังขึ้นมาเหมือนเป็นกองหนุนนั้นทำให้ฉันหันไปแหวใส่อย่างช่วยไม่ได้
ดูเหมือนว่าซันนี่และยูริเพื่อนสนิทต่างไซส์ของฉันจะจับได้อีกแล้วว่าฉันให้ความสนใจกับอะไรอยู่
ฉันหันไปยกนิ้วขึ้นทาบริมฝีปากเป็นเชิงบอกให้เพื่อนทั้งสองหยุดพูดก่อนที่คนอื่นจะมาได้ยินเข้า
‘นิชคุณ’ กำลังคุยกับเพื่อนของเขาโดยที่ไม่ได้สังเกตุเลยว่าตัวเองกำลังโดนจับตามองอยู่
เขาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนจากประเทศไทย ผู้มีความสามารถไม่ว่าจะเป็นทางด้านการเรียนหรือกีฬา
ไหนจะหน้าตาที่หล่อเหลาที่ทำให้สาวๆรุมกรี๊ดกันนั่นอีก
ใครๆก็บอกว่าเราเหมาะสมกัน
นิชคุณก็เหมือนกับตัวฉันทั้งระดับความสามารถที่สูสีกันจนถูกอาจารย์จับคู่ให้บ่อยๆในเวลาที่มีกิจกรรมเชิดหน้าชูตาโรงเรียน
แถมมักจะโดนเพื่อนๆแซวอยู่ตลอดเวลาที่เราเดินใกล้กันหรือคุยกัน
บางทีฉันอาจจะได้ยินคำพูดเหล่านั้นอยู่ทุกวันจนยึดติดกับมันมากเกินไป
แต่ทุกๆครั้งเวลาที่นิชคุณทำดีกับฉัน มันก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า เราเหมาะสมกันจริงๆ
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ทุกๆครั้งไม่ว่าเมื่อไหร่พอรู้สึกตัวอีกทีสายตาของฉันก็มักจะหยุดอยู่ที่เขาประจำ
เวลาที่เราสบตากันเขาก็มักจะส่งยิ้มบางๆมาให้ เพียงแค่นั้นหัวใจมันก็เต้นแรงจนแทบจะระเบิดออกมา
มันไม่เคยเป็นแบบนี้กับใครและฉันก็คิดว่ามันคงจะไม่เป็นกับใครอีกนอกซะจาก
‘ นิชคุณ’ รักแรกของฉัน
.
.
.
วันนี้เป็นวันจบการศึกษาปีสุดท้ายที่โรงเรียนมัธยมปลายชื่อดังของกรุงโซลแห่งนี้
หลังจากที่เข้าพิธีรับใบจบการศึกษาเสร็จฉันก็ขอแยกตัวออกมาเพื่อที่จะแวะไปที่ห้องเรียนเป็นครั้งสุดท้าย
แต่พอไปถึงต้องแปลกใจเมื่อพบว่านิชคุณนั่งอยู่ในห้องเรียนเพียงคนเดียวอยู่ก่อนแล้ว
ดูเหมือนว่าเขาก็อยากจะมาเก็บความทรงจำดีๆก่อนจากที่นี่ไปเหมือนกัน
เรานั่งคุยกันที่โต๊ะริมหน้าต่างที่สามารถมองเห็นลานหน้าโรงเรียนที่ตอนนี้เต็มไปด้วยนักเรียนที่กำลังเกาะกลุ่มกันถ่ายรูป
ในช่วงท้ายๆเทอมที่ผ่านมามีทั้งงานและกิจกรรมมากมายเลยทำให้เราไม่ได้ค่อยได้คุยกันซักเท่าไหร่
แต่ฉันก็เชื่อว่านี่คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เราจะได้คุยกันเพราะนิชคุณได้ทุนนักเรียนต่างชาติในมหาลัยที่ฉันสอบติดพอดีน่ะสิ
เวลาผ่านไปได้พักใหญ่จนฉันเกือบลืมไปว่ายังมีทั้งซันนี่และยูริสองเพื่อนซี้ที่ยังคอยฉันอยู่ข้างล่าง
เราสองคนพากันเก็บสัมภาระเพื่อที่จะได้ลงไปด้วยกัน....และในตอนนั้นเอง
ที่ฉันตัดสินใจสารภาพรักออกไป
ตึกตัก.....ตึกตัก......ตึกตัก.....ตึกตัก
ฉันได้แต่หลับตาก้มหน้าหลังจากที่พูดมันออกไป
เสียงหัวใจที่ดังก้องอยู่ในอกทำให้ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าที่แดงก่ำของตัวเองขึ้นมาซะด้วยซ้ำ
“ขอโทษนะทิฟฟานี่ แต่ผม....”
น้ำเสียงทุ้มต่ำหายไปในช่วงท้ายประโยคเหมือนกับจงใจที่จะไม่พูดต่อ
ความเงียบเริ่มครอบคลุมบรรยากาศในห้องเรียนที่มีเพียงแค่เราสองคน
รู้สึกเหมือนเวลากำลังเดินช้าลงขณะที่ฉันค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าของชายหนุ่มตรงหน้า
นิชคุณเพียงแค่ยิ้มบางๆมาให้เหมือนทุกที...พร้อมกับสีหน้าที่ดูรู้สึกผิดนั่น
ฉันที่เหมือนกับถูกสาปให้กลายเป็นหินทำได้แค่จ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีนิลของอีกฝ่าย
ราวกับหัวใจที่เต้นเร็วมาโดยตลอดเวลาที่อยู่กับคนตรงหน้ากำลังแตกออกจากกันเป็นเสี่ยงๆ
ถึงจะไม่ได้พูดมันออกมา...แต่ฉันก็พอจะรู้สิ่งที่เขากำลังสื่อความหมาย
“เรา....ยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมได้ใช่มั้ย?”
นิชคุณพยักหน้ารับช้าๆหลังจากที่ได้ยินเสียงอันสั่นเครือของฉัน
ท่าทางเขาจะตกใจไม่น้อยที่เห็นน้ำตาที่ฉันพยายามอดกลั้นเอาไว้พากันไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้าง
“ทิฟฟานี่...”
นิชคุณเอ่ยเสียงแผ่ว ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกผิดคิดว่าตัวเองเป็นตัวต้นเหตุทำให้ฉันร้องไห้
ไม่ใช่สิ....ฉันต่างหากที่ทำตัวเอง
“ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นอะไร ขอบคุณนะ”
ฉันกำลังฝืนยิ้มให้คนตรงหน้าทั้งน้ำตา ฝืนยิ้มเพื่อที่จะบอกว่าฉันไม่เป็นไร...
ไม่เป็นไร...ทั้งที่ตอนนี้รู้สึกชาไปหมดทั้งร่างกายยกเว้นความเจ็บที่แล่นไปทั่วอกข้างซ้าย
เสียงหัวใจที่เต้นแรงค่อยๆเลือนหายไปกับบรรยากาศรอบๆตัว
เจ็บ....เจ็บเหลือเกิน
.
.
.
ครึ่งปีผ่านไป
“ขอโทษนะคะ แต่ฉันคงรับความรู้สึกของคุณเอาไว้ไม่ได้จริงๆ”
ฉันยื่นถุงกระดาษใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยจดหมายและของมากมายให้กับชายหนุ่มผิวขาวตรงหน้า
ไม่สิ...อาจจะไม่ได้เรียกว่า ’ให้’ แต่เป็น ’คืน’ ซะมากกว่า
ตั้งแต่ที่ฉันได้เข้ามาเป็นสาวมหาลัยอย่างเต็มตัว ทุกๆวันก็จะมีแต่จดหมายรักเป็นสิบๆฉบับในตู้ล็อคเกอร์
จนเมื่อ2-3เดือนที่ผ่านมานี้ในล็อคเกอร์ของฉันเริ่มมีพวกเครื่องประดับราคาแพงที่มีมาไม่ซ้ำกันทุกอาทิตย์
วันนี้ฉันก็เลยตัดสินใจนัดชายผู้เป็นเจ้าของมาพบเพื่อที่จะคืนของทั้งหมดให้
แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าชายหนุ่มคนนั้นคือ 'จาง อูยอง' เดือนคณะวิศวะคนดังที่ผู้หญิงในคณะฉันต่างก็พากันกรี๊ด
เขาสบตาฉันราวกับจะขอโอกาสขณะที่มือหนาก็ค่อยๆรับถุงกระดาษในมือฉันไปแต่โดยดี
ฉันทำได้เพียงยิ้มบางๆก่อนจะหันหลังแล้วเดินจากไปโดยที่ไม่คิดจะหันกลับไปมองเขาเลยแม้แต่น้อย
อูยองไม่ใช่คนแรกที่โดนฉันปฏิเสธ...
หลายเดือนที่ฉันเข้ามาเรียนที่นี่ ฉันพยายามจะปรับตัวกับความรักที่ถูกผู้ชายมากหน้าหลายตาหยิบยื่นมาให้
แต่ฉันก็ทำไม่ได้
หัวใจของฉันมันไม่เคยเต้นแรงกับเรื่องแบบนี้อีกหลังจากวันนั้น.....วันที่ความรักครั้งแรกของฉันได้จบลง
วันหนึ่งในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง
ขณะที่ฉันกำลังนั่งจดจ้องกับบทละครที่อาจารย์ให้มาวิเคราะห์ในร้านคอฟฟี่ช็อปหลังเลิกเรียนอยู่นั่นเอง
“ที่ตรงนี้มีคนนั่งรึเปล่าคะ?”
เสียงหวานเป็นเอกลักษณ์ที่ได้ยินนั้นทำให้ฉันละออกจากบทละครตรงหน้าทันที
เมื่อเงยหน้าขึ้นไปก็พบกับร่างบางของหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มดัดลอนเป็นทรงสวย
เธอกำลังชี้ไปที่เก้าอี้นวมฝั่งตรงข้ามโต๊ะที่ฉันนั่งอยู่เป็นเชิงขออนุญาต
ฉันรีบตอบตกลงก่อนจะรีบกวาดบทละครของตัวเองที่กระจายอยู่บนโต๊ะไม้เล็กๆเพื่อแบ่งเนื้อที่ให้อีกฝ่ายได้วางหนังสือ
ร้านคอฟฟี่ช็อปเล็กๆในตัวมหาลัยช่วงเย็นๆคนมักจะเยอะอยู่เสมอ
โต๊ะทุกตัวจะถูกจับจองจากนักศึกษาที่ต้องการหาที่อ่านหนังสือเงียบๆพร้อมกับจิบกาแฟไปด้วยรวมถึงตัวฉันเองก็เช่นกัน
เด็กคณะนิติศาสตร์?
ฉันมองกองหนังสือกฎหมายที่เพิ่งถูกวางลงบนโต๊ะขณะที่เจ้าของเดินกลับไปรับกาแฟตรงเคาท์เตอร์
ก่อนจะต้องส่ายหัวเบาๆเพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่านที่อยู่ในหัวเมื่อนึกถึงใครอีกคนที่เรียนอยู่คณะนี้เหมือนกัน
ใช่แล้ว.....นิชคุณเรียนอยู่คณะนิติศาสตร์
ถึงจะเรียนมหาลัยเดียวกันแต่เราก็ไม่ค่อยได้เจอกันเนื่องจากตัวคณะที่เรียนมันไกลกันมาก
แต่มีครั้งไหนที่บังเอิญเจอกันนิชคุณจะเป็นฝ่ายเข้ามาทักฉันด้วยรอยยิ้มตามปกติ
ผิดกับฉันที่เพียงได้เห็นหน้าเขาก็อยากจะหนีหายไปจากตรงนั้นทันที
ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเขายังทำเหมือนกับว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากวันนั้น
ผิดกับฉันที่เป็นฝ่ายเอ่ยปากขอให้เรากลับมาเป็นเพื่อนเหมือนเดิมแท้ๆ...แต่ตัวฉันเองนั่นล่ะที่ทำไม่ได้
ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าหรือคุยด้วย ไหนจะความรู้สึกที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเวลาอยู่ต่อหน้าเขาอีก
หรือว่าบางทีฉันอาจจะยังชอบเขาอยู่?
“คุณ....”
ฉันสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงมือที่ยื่นเข้ามาแตะที่แขนให้ฉันหลุดออกจากภวังค์
เมื่อเงยหน้าขึ้นไปก็พบกับสาวเจ้าของนัยน์ตาคมสวยตรงหน้าที่กำลังจ้องมองมาที่ฉัน
“คะ?”
“คือ....ชีทที่คุณอ่าน...มันกลับหัว”
จบประโยคของคนตรงหน้าฉันก็แทบจะก้มลงมองชีทในมือตัวเองในทันใดและมันก็เป็นอย่างที่เจ้าตัวพูดจริงๆ....
เราสองคนหัวเราะออกมาพร้อมกันก่อนจะรีบยกมือขึ้นมาปิดปากเมื่อเริ่มรู้สึกถึงรังสีอำมหิตที่คนรอบข้างส่งมาให้
ดูเหมือนว่าความเปิ่นของฉันจะเป็นการเปิดบทสนทนาของฉันกับหญิงสาวตรงหน้า
เรานั่งอยู่ด้วยกันแม้ว่าจะโต๊ะอื่นๆจะเริ่มว่าง ....ผู้หญิงคนนี้ทำให้ฉันอารมณ์ดีตลอดในขณะที่คุยกัน
เธอชื่อ ‘จอง เจสสิก้า’
หลังจากวันนั้นฉันก็มักจะเจอเจสสิก้าบ่อยๆในร้านคอฟฟี่ช็อปหลังเลิกเรียน
เราสองคนเริ่มพูดคุยกันมากขึ้นจนบางทีมีใครไม่สบายใจอะไรอีกคนก็พร้อมจะเป็นที่รับฟังเสมอ
มันน่าแปลกตรงที่เพื่อนที่คณะก็มีเยอะแยะแต่กับผู้หญิงคนนี้ฉันกลับรู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าประหลาดเวลาที่คุยด้วย
อาจจะดูเว่อร์ไปแต่บางครั้งที่ฉันมีเรื่องหนักอกหนักใจอะไรแต่แค่ได้เห็นรอยยิ้มกับเสียงหวานๆของอีกฝ่าย
เรื่องหนักอกหนักใจที่ว่าก็เหมือนปลิวหายไปในทันที
ในช่วงเย็นวันหนึ่งเราสองคนกำลังเดินเตร่อยู่ในสวนของมหาลัยเพื่อหาที่นั่งสำหรับอ่านหนังสือ
เนื่องจากตอนนี้คอฟฟี่ช็อปเจ้าประจำกำลังปิดปรับปรุง
มันเป็นเรื่องปกติไปซะแล้วที่เราจะต้องเจอกันทุกวัน แม้กระทั่งคุยโทรศัพท์หรือส่งSMSหากันในตอนกลางคืน
ไม่น่าเชื่อว่าเราจะสนิทกันภายในเวลาอันรวดเร็ว
แถมฉันยัง...
“เจสสิก้า~”
“
!!”
บทสนทนาของเราถูกขัดด้วยเสียงตะโกนของใครบางคน...ใครบางคนที่ฉันจำน้ำเสียงนั่นได้ดี
เราสองคนหันไปมองทางต้นเสียงที่ดังมาจากกลุ่มนักศึกษาชาย4-5คนที่นั่งอยู่โต๊ะหินอ่อนริมน้ำ
และหนึ่งในนั้นก็รีบยันตัวลุกขึ้นก่อนจะวิ่งมาทางเราด้วยใบหน้าที่ยิ้มอย่างเป็นเอกลักษณ์ของเขา
‘นิชคุณ’
“ทิฟฟานี่ ? พวกคุณรู้จักกันด้วยเหรอเนี่ย บังเอิญจัง”
เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงฟังดูแปลกใจเมื่อเห็นฉันยืนอยู่ด้วยแต่ก็เอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มตามปกติ
“อะ...อืม”
ส่วนฉันก็ได้หลุบสายตาลงมองพื้นทันทีที่เห็นหน้าเขา.....จะกี่ครั้งที่เจอกันก็ไม่ชินซักที
บอกไม่ได้ว่าความความรู้สึกที่กำลังผสมปนเปนั้นมันคือความรู้สึกแบบไหน
“พวกเรากำลังนั่งติวหนังสือสำหรับสอบวันพรุ่งนี้น่ะ สนใจเข้าร่วมมั้ย?”
นิชคุณพูดพร้อมชี้ไปยังกลุ่มๆเพื่อนๆของเขาที่เริ่มโบกไม้โบกมือมาให้เจสสิก้าอย่างคนคุ้นเคย
ฉันนึกแปลกใจอยู่หน่อยที่เห็นนิชคุณรู้จักกับเจสสิก้าแต่พอนึกได้ว่าทั้งสองเรียนอยู่คณะเดียวกันก็หมดข้อสงสัยทันที
“จริงเหรอ ดีเลย จะได้มีคนช่วยติวให้ด้วย”
เจสสิก้าแทบจะตอบรับกลับทันควันและนั่นก็ทำให้นิชคุณยิ้มกว้างมากกว่าเก่า
ฉันมองคนทั้งสองตรงหน้าที่กำลังคุยกัน
รู้สึกเหมือนหัวใจกำลังถูกบีบจนแทบหายใจไม่ออกเมื่อเห็นแววตาของนิชคุณที่กำลังมองเจสสิก้า
....มันเป็นแววตาแบบเดียวกันกับที่ฉันเคยใช้มองกับเขา
“ทิฟฟานี่ก็มากับพวกเราก็ได้นะ”
“อ่า....ไม่ดีกว่า พอดีฉันมีบทละครที่ต้องไปอ่านต่ออยู่พอดี ขอตัวก่อนนะ”
ฉันปฏิเสธคำชักชวนของนิชคุณทันทีเมื่อเห็นว่าถึงไปด้วยก็คงจะเป็นแค่เพียงธาตุอากาศ
เขาคงตั้งใจชวนเจสสิก้า....ไม่ใช่ฉัน.....
มือบางเผลอบีบหนังสือที่กอดไว้กับอกแน่นขณะหมุนตัวหันหลังทั้งที่ยังก้มหน้าให้กับทั้งสองคน
เจ็บ....ความรู้สึกปวดหนึบที่อกซ้ายแบบนี้มันชวนให้ฉันนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น....
อยากจะหนีหายไปจากตรงนี้เพื่อที่จะได้ไม่ให้ตัวเองต้องคอยคิดฟุ้งซ่านว่า เขาทั้งสองช่างเหมาะสมกัน
หมับ!
ยังไม่ทันที่จะเดินออกห่างแรงฉุดรั้งที่ข้อมือก็ทำให้ฉันต้องหันกลับไปหาตัวต้นเหตุ
ตึก.....ตัก.....
เสียงหัวใจที่ดังขึ้นมาเพียงชั่วครู่ขณะที่ฉันค่อยๆไล่มองตั้งแต่มือที่กำลังถูกเกาะกุมขึ้นไปยังใบหน้าสวยของอีกฝ่าย
ฉันได้แต่ส่งแววตาประหลาดใจไปให้กับหญิงสาวที่กำลังจ้องตาฉันนิ่ง
เจสสิก้า?
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว...ฉันจะไปกับทิฟฟานี่ขอโทษทีนะนิชคุณ”
เจสสิก้าหันไปพูดกับหนุ่มสัญชาติไทยแค่นั้นก่อนจะเดินนำฉันออกมาโดยที่มือของเราก็ยังไม่ปล่อยออกจากกัน
ฉันไม่ได้หันกลับไปมองซักนิดว่านิชคุณจะกำลังทำสีหน้ายังไงเพราะตอนนี้ฉันสนใจที่จะมองแผ่นหลังคนตรงหน้ามากกว่า
“ทำไมถึงไม่ไปติวหนังสือกับเพื่อนๆล่ะสิก้า”
ฉันตัดสินใจถามออกไปหลังจากที่เราสองคนเดินมาหยุดยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างสวนทิวลิปตามฤดูกาล
มันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เธออยากจะมากับฉัน ไหนจะเรียนกันคนละคณะอีกตั้งหาก
“อืม~”
เจสสิก้าครางในลำคอพร้อมกับทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่เจ้าตัวจะหันมาตอบด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าบอกว่าฉันอยากมากับทิฟฟานี่มากกว่านี่พอจะเป็นเหตุผลได้มั้ย? ”
ตึกตัก.....ตึกตัก......ตึกตัก.....
ฉันได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นเร็วดังกึกก้องอยู่ในหัวหลังจากที่เห็นรอยยิ้มชวนแสบตาของเจสสิก้า
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่หัวใจฉันกลับมาเต้นแรงแบบนี้อีกครั้ง
รู้สึกเหมือนกับหัวใจที่มันเคยแตกออกจากกันกำลังถูกคนตรงหน้าค่อยๆประกอบมันขึ้นใหม่ทีละส่วน
บรรจงประกอบมันด้วยความเบามือและอ่อนโยนในแบบของผู้หญิง....
ตอนนี้ฉันก็รู้แล้วว่าที่ฉันเฝ้าปฏิเสธคนอื่นมาตลอดไม่ใช่เพราะว่าฉันยังรักนิชคุณ
แต่เพราะว่าฉันคงรักผู้ชายที่ไหนไม่ได้อีก....นอกจากผู้หญิงตรงหน้าคนนี้
ฉันกำลังตกหลุมรักคนๆเดียวกันกับนิชคุณเข้าให้แล้ว
ฉันกำลังตกหลุมรัก ‘เจสสิก้า’
.
.
.
END
ธรรมดามั้ยคะ? ดูเรื่อยๆ แถมยังจบแบบไม่เคลียร์ด้วยเนอะ
มันไม่ค่อยมีอะไรหรอกค่ะเพราะวันช็อตนี้มันเป็นฟิคอิงจากเรื่องจริง(ที่กระทำการใส่สีตีไข่ให้ดูมีระดับกว่าหน่อย = =’)
เหตุผลก็คืออยากแต่งออกมาเฉยๆ(และผลจากการรีบก็เป็นอย่างที่เห็น - -*)
.....เผื่อว่าวันนึงไรท์เตอร์จะลืมเหตุการณ์นี้ไป
แล้วก็อีกเหตุผลนึง วันช็อตนี้เป็นของส่งท้ายเพื่อนสนิทไรท์เตอร์คนนึงค่ะ
++++++++
ดูเหมือนทุกคนจะค้างแล้วก็งง TT'
สรุปง่ายๆนะคะ ช็อตนี้แต่งรีบๆเลยไม่ค่อยได้เนื้อหาเท่าไหร่ = ='
ใครที่อ่านแล้วมึน งง ค้าง ปาดด..เลยค่ะ^^
ฟานี่รักนิชคุณ แต่พออกหักจากนิชคุณ ก็เหมือนตายด้านเรื่องรักๆใคร่ๆแบบนี้มาตลอดแล้วก็มาเจอกับสิิก้า
แล้วฟานี่ก็เบี่ยงเบน (เอิ้ม..) ประมาณว่าดันกลับมาชอบผู้หญิงด้วยกัน ซึ่งผู้หญิงคนนี้ก็เป็นคนที่นิชคุณชอบด้วยน่ะค่า~
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น