ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC EXO] die Blume {chanbaek,chenmin,kaihun}

    ลำดับตอนที่ #2 : Blume1 :: Hibiscus

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 135
      0
      27 ต.ค. 57

     
    seven dwarf.



     




     

     

     

     

     

     

    Blume 1 :: Hibiscus

     

    Hibiscus หรือ ในภาษาไทยคือ ดอกชบา ในภาษาดอกไม้แปลว่า ความงดงามที่ละเอียดอ่อน

     

    . . . . . . . . . . . .­­

     

     

     

     

     

                “You only live once, but if you do it right, once is enough.” – Mae West

     

               

                ที่นี่เป็นร้านขายดอกไม้และคาเฟ่เล็กๆบนถนนย่านคาโรซูกิลแหล่งรวมตัวของวัยรุ่นและศิลปินเกาหลีใต้ วันนี้ดอกกุหลาบสีแดงดูสดและฉ่ำน้ำเป็นพิเศษ โดยเฉพาะต้นที่อยู่ในกระถางหน้าร้าน ดินที่แฉะเพราะน้ำไม่ได้ทำให้สีของกลีบมันน่าดูน้อยลง

     

                เขาไม่อยากตัดมันมาขายเลย ชานยอลคิด มองออกไปข้างนอกร้านผ่านกระจกแก้วที่เต็มไปด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษ เรียบเรียงเป็นชื่อของดอกไม้แต่ละชนิด

     

                “บอสได้ยินที่ผมพูดป่ะวะ?” จงอินถาม โบกมือไปมาข้างหน้าเขา

     

                “เออ ได้ยิน” ชานยอลหันกลับมาตอบแบบขอไปที แล้วยกถ้วยกาแฟดำขึ้นดื่ม แต่สีหน้าที่เอือมระอาของจงอินทำให้เขาขมวดคิ้ว “ทำไมวะ?”

     

                “ถ้าได้ยินงั้นลองบอกหน่อยว่าผมพูดอะไร” จงอินเท้าสะเอวถาม สีหน้ามันดูกวนประสาทสุดๆ พอเห็นชานยอลไม่พูด จงอินเลยถามต่อ “ไหนว่าฟัง”

     

                “เออไม่ได้ฟังก็ได้ มีอะไร” ชานยอลยกกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง พอเสียงของถ้วยกระทบจานดังขึ้น จงอินจึงถาม

     

                “ใบรับสมัครพนักงานใหม่นี่จะให้ผมติดไว้ตรงไหน” จงอินชูกระดาษสีขาวใบหนึ่งขึ้นมาในระดับอก บอสหนุ่มเพ่งมองกระจกหน้าร้าน เล็งหาพื้นที่เหมาะๆในการติดป้ายประกาศ ชานยอลใช้นิ้วชี้ลูบคางตัวเอง เป็นท่าประจำตัวเวลาที่ต้องใช้ความคิด

     

                แล้วเสียงดีดนิ้วก็ดังขึ้นเป๊าะ “แปะไว้ตรงกลางประตูร้านเลยเป็นไง” น้ำเสียงชานยอลดูตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ

     

                “บอสว่าโอผมก็โอ”

     

                “งั้นตามนี้”

     

                “เค”

     

                ชานยอลมองตามแผ่นหลังของจงอินออกไปหน้าร้าน ริมฝีปากอิ่มผุดยิ้มขึ้นมาเมื่อนึกย้อนไปถึงเรื่องราวในวันวาน

     

                จงอินเป็นเด็กหนุ่มอายุ 23 ปี เคยเป็นมนุษย์เร่ร่อน ไม่มีบ้าน ไม่มีครอบครัว นอนใต้สะพานลอย และประทังชีวิตด้วยการขอเศษขนมปังเหลือๆจากร้านแถวนี้

     

    จนกระทั่งวันหนึ่งมันมานอนหมดสติที่หน้าร้านของเขา เมื่อสามปีก่อนชานยอลยังจำได้ว่าวันนั้นแดดร้อนจัด จนเผลอคิดไปว่าจงอินโดนแดดเผาเลยมีสีผิวแบบนั้น

     

                แต่เปล่า หมอนั่นเกิดมาก็ดำเลย

     

                “บอส!

     

                “จะตะโกนทำไมวะ!” นี่หรือว่ามันจะได้ยินที่เขาพูด

     

                “ไอ้ดื้อมันวิ่งออกไปนอกร้าน!

     

                “ชิบหายครับ...” ชานยอลรีบพุ่งตัวออกไปนอกร้านทันที ต้องใช้ verb to พุ่ง จริงๆ เพราะคนธรรมดาไม่สามารถวิ่งจากเคาท์เตอร์ที่อยู่ห่างจากประตูร้านไปเกือบหกเมตรในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาทีได้แน่นอน

     

                ระหว่างทาง สายตาก็กวาดมองหาเจ้าตัวปัญหา ลูกสุนัขพันธุ์ซามอยด์สีขาวที่มีขนาดตัวพอๆกับกระถางต้นไม้ วัยกำลังซน และดื้อสมชื่อ สงสัยว่าเขาคงต้องเปลี่ยนชื่อแก้เคล็ดให้มันเสียแล้ว

               

                ชานยอลเห็นเจ้าสัตว์ขนสีขาววิ่งอยู่ริมถนนห่างออกไปไม่ไกล จึงรีบออกตัววิ่งให้เร็วกว่าเดิม เหมือนได้ออกกำลังกายตอนเช้าไปในตัว ซึ่งเขาไม่ได้อยากทำเลยแม้แต่น้อย

     

                แต่แล้วเจ้าลูกสุนัขก็ถูกอุ้มขึ้นโดยฝีมือใครบางคน สารภาพว่าตอนนั้นรู้สึกเหมือนหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา

     

                “ว่าไงไอ้คนหมาไม่รัก” ชานยอลสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ใบหน้าหล่อในกรอบแว่นเพ่งมองคนทักชัดๆ คนที่ยืนห่างออกไปเกือบสิบเมตร แล้วก็ต้องขนลุกทั้งตัว

     

     

     

              “พี่มินซอก...”

     

     

     

                “ทำหน้าเหมือนเห็นผีไปได้” มินซอกว่า พลางลูบขนเจ้าลูกสุนัขในมืออย่างรักใคร่ มองสิ่งมีชีวิตในมือสลับกับชานยอล รุ่นน้องสมัยทำงานที่ขาดการติดต่อไปสามปี

     

                “......”

     

                “มองอยู่นั่นแหล่ะ คิดถึงฉันขนาดนั้นเลยหรือไง?” มินซอกเลิกคิ้วถามเมื่อชานยอลยังคงจ้องเขาไม่เลิก

     

                “พี่...ไม่เปลี่ยนไปเลยว่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างเลื่อนลอย เหมือนยังไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น ข้างหน้าเขาคือรุ่นพี่สมัยตอนทำงานก่อนที่จะมาเปิดร้านดอกไม้ สามปีแล้วที่ไม่ได้เจอกัน

     

    คิมมินซอก...

    ผู้ชายวัยสามสิบสี่ที่ตัวเล็กแค่ไหล่เขาเท่านั้น

     

                “ตรงไหน?”

     

                “ส่วนสูง”

     

                “ไอ้...” มินซอกถลึงตาใส่ เงื้อมือค้างกลางอากาศทำท่าจะชกหน้าคนตัวสูง ที่ชาตินี้เขาคงไม่มีวันชกถึง

     

    ชานยอลฉีกยิ้มกว้าง ทั้งคู่มองหน้ากันสักพักก่อนจะหัวเราะออกมา สายสัมพันธ์ระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องยังคงไม่จางหาย ช่างเป็นภาพที่น่ามอง ยอมรับว่าเขาเองก็คิดถึงรุ่นพี่คนนี้ไม่น้อย

     

                หลังจากนั้นชานยอลก็หยุดหัวเราะ แล้วเอ่ยปากชวน

     

                “ไปนั่งที่ร้านผมเถอะ อยู่ใกล้ๆนี่เอง”

               

                ชานยอลพามินซอกเข้ามานั่งในร้าน ในโซนพิเศษที่อยู่ในห้องกระจก จัดเอาไว้ให้สำหรับลูกค้าเฉพาะกลุ่มที่สูบบุหรี่เท่านั้น

     

                ควันสีขาวลอยเป็นทางออกมาจากริมฝีปากสีชมพูอิ่มของชายร่างเล็ก มินซอกนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของชานยอล บนโต๊ะมีแก้วที่เขี่ยบุหรี่ และอัฟโฟกาโน่ของรุ่นพี่ที่จงอินยกเข้ามาเสิร์ฟเมื่อสามนาทีก่อน

     

                มินซอกมองไปนอกหน้าต่างที่ถูกเปิดไว้ระบายควันสีขาว มองออกไปอย่างไร้จุดหมาย กลิ่นเมนทอลของมาลโบโร่ไอซ์บลาสท์ลอยคลุ้ง ยิ่งทำให้หัวสมองว่างเปล่า

     

     

                “ลมอะไรหอบพี่มาที่นี่” ชานยอลเปิดประเด็นคำถาม แล้วจุดไฟแช็กที่ปลายบุหรี่ เสียงไฟที่เผาสารเสพติดแท่งสีขาวเรียกสติของมินซอกให้กลับมา

     

                ร่างเล็กยิ้มมุมปาก “คนอย่างนายน่าจะรู้นะ...” จ้องมองชานยอลราวกับจะท้าทาย แล้วพูดต่อ “...คุณอดีตผู้กอง”

     

                “หึ” คนตัวสูงหัวเราะ พ่นควันบุหรี่ออกมา แล้วพูด “ผมไม่ได้จะมาเล่นสงครามประสาทกับพี่นะ”

     

                จริงอยู่ที่ชานยอลเคยทำงานในกรมตำรวจฝ่ายสืบสวนสอบสวน เป็นผู้กองโยดาของทุกคน แต่นั่นมันเมื่อสามปีก่อนที่อะไรๆจะเปลี่ยนแปลง ไปในทางที่แย่ลง

     

                “.....”

     

                มินซอกไม่พูดอะไรต่อ เพียงแค่ยกยิ้มธรรมดา แล้วดูดบุหรี่อีกครั้ง พลางคิดว่า หากชานยอลกับเขายังเป็นคู่หูกัน...ก็คงจะดี

     

                แน่นอนว่ามินซอกไม่ได้พูดมันออกไป เขาทำแค่ตักของหวานตรงหน้าขึ้นกินเงียบๆ

     

                “มีคดีอะไรงั้นหรือ” ชานยอลโพล่งขึ้นมาปุบปับหลังจากที่ปล่อยให้ความเงียบวิ่งเล่นประมาณเกือบนาที สาบานได้ว่าเมื่อครู่นี่มินซอกขนลุกซู่ทั้งตัว พอเงยหน้ามองคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งก็เจอเข้ากับสายตาที่มองมาอย่างจริงจัง

     

     

    ชานยอลยังคงเป็นชานยอลไม่เปลี่ยน...

     

     

                มินซอกถอนหายใจออกมาพร้อมกับควันสีขาว ก่อนจะพูด

     

     

                “บอกไปแล้วนายจะช่วยฉันหรือเปล่า” เป็นจังหวะเดียวกับที่มินซอกขยี้บุหรี่ลงบนถาดแก้ว ไขว้ขา แล้วกอดอก มองหน้าชานยอลอย่าต้องการคำตอบ

     

                “ผมไม่รับปาก” เย็นชาเหมือนเดิม...มินซอกคิด

     

                “แล้วถ้าเป็นแบบนี้ล่ะ...”

     

                “.....”

               

                ชานยอลมองมินซอกพลางขมวดคิ้ว คนตัวเล็กหยิบซองกระดาษสีน้ำตาลออกมาจากกระเป๋าสะพายข้างสีดำมียี่ห้อ เสียงกรอบแกรบของกระดาษปึกใหญ่ในซองนั้นเรียกความสนใจจากชานยอลได้ดี

     

                แต่ไม่เท่ากับรูปที่ติดอยู่บนมุมกระดาษข้างขวา

     

                “นี่มัน...” ชานยอลรำพึง มองสิ่งตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา

     

                “เหยื่อรายแรก...” น้ำเสียงมินซอกแผ่วลง เบนสายตาออกจากกระดาษบนโต๊ะที่ตัวเองเป็นคนหยิบมันออกมา แล้วกลั้นใจพูดต่อ “ถูกยิงตัดขั้วหัวใจ ตายคาที่”

     

                ภาพที่อยู่บนกระดาษแผ่นนั้นกำลังอธิบายทุกอย่างให้เขาฟัง เหมือนกับที่มินซอกกำลังทำ มือที่วางบนตักเผลอกำหมัดแน่นในนาทีถัดมา

     

                “มากพอจะทำให้นายช่วยฉันหรือเปล่า?” มินซอกถาม แววตาวูบไหว

     

                “พี่ตั้งใจมาหาผมตั้งแต่แรกแล้วสินะ” ชานยอลไม่ได้ตอบคำถาม เพียงแต่มองไปยังกระเป๋าของมินซอกที่วางอยู่ตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม มันถูกเปิดเอาไว้ ในนั้นมีถุงขนมแท่งรสนม อาหารสุนัข...

     

                มินซอกหัวเราะในลำคอ “ถูกจับได้แล้วสินะ” ก่อนจะพูดต่อ “ว่ายังไง? จะช่วยฉันหรือเปล่า?”

     

                “.....”

     

                มินซอกมองอีกฝ่ายอย่างคาดหวัง เขารู้ดีว่าอีกคนจะตอบว่าอย่างไร

     

                “ผมขอปฏิเสธ” นั่นแหล่ะคำตอบ “ผมไม่อยากทำงานร่วมกับตำรวจ”

     

                พูดจบชานยอลก็ยันตัวลุกขึ้น คว่ำปึกกระดาษนั่นลงแล้วเดินออกไป แต่ทว่ามินซอกกลับรั้งข้อมือของเขาเอาไว้ได้ทัน

     

                ก่อนจะเอ่ยว่า “รู้จักบีมั้ย?”

     

                “.....”

     

                เมื่อชานยอลไม่ตอบและไม่ได้เดินหนีไปไหน มินซอกเลยตัดสินใจพูดต่อ “เธอเป็นนักร้องประจำอยู่ที่ผับเรดไลท์”

     

                “.....”

     

                “ชื่อจริงของเธอคือบยอนแบคฮยอน”

     

                “.....”

     

                “เป็นผู้พบศพคนแรก และตอนนี้เธอเป็นผู้ต้องสงสัยหมายเลขหนึ่ง...”

     

                “.....”

     

                “และก็เป็นอดีตคนรักของผู้ตาย...”

     

                “.....” มือข้างที่ถูกจับของชานยอลกำหมัดแน่น

     

     

     

     

              “อดีตคนรักของฮวางจื่อเทา”

     

               

     

     


     

     

                . . . . . . . . . . . .­­

     

               


     

               

               

                ชานยอลจำได้ จำได้เหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ภาพของหญิงสาวที่ชื่อบีกับฮวางจื่อเทากำลังกอดจูบกันหน้าห้องน้ำของผับแบบไม่อายฟ้าดินเมื่อครึ่งปีก่อน มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย

     

     

                เขาต่างหากที่แปลก

     

     

                ใบหน้าของฮวางจื่อเทายังคงเด็นชัดอยู่ในความทรงจำ แต่เขากลับจำใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

     

     

                 คืนนี้เขามาเหยียบที่ผับเรดไลท์อีกครั้งตอนห้าทุ่ม ไม่ใช่เพื่อพี่มินซอก แต่เพื่อตัวเอง ชานยอลเดินตรงไปที่เคาท์เตอร์ไม้แล้วเอ่ยทักทายบาร์เทนเดอร์หนุ่มอย่างเป็นกันเอง

     

                “ไงลู่หาน” บาร์เทนเดอร์ร่างเล็กฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าใครมา

     

                ลู่หานเป็นผู้ชายที่ชานยอลยอมรับว่าหน้าสวยมากจริงๆ อายุเท่ากัน และทำงานอยู่นี่ผับเรดไลท์มาได้เจ็ดปีแล้ว หลังจากที่ย้ายมาจากเมืองปักกิ่ง ประเทศจีน เพื่อมาหางานทำโดยเฉพาะ

     

                “ไม่มาเสียนานเลยนะคุณชานร้านดอกไม้” ลู่หานพูดพลางเขย่าเชคเกอร์ในมืออย่างคล่องแคล่ว สมกับเป็นบาร์เทนเดอร์มือหนึ่งที่ได้รับการไว้วางใจ หมอนั่นยกยิ้มนิดๆ

     

                “เรียกแบบนี้ขนลุกชะมัด” ชานยอลทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไร้พนักพิงตรงกับตำแหน่งที่ลู่หานยืนอยู่ ถัดจากเก้าอี้ตัวสุดท้ายมาหนึ่งตัว เขานั่งเท้าคาง แล้วสักพักจึงหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ

     

                “เด็กตัวดำนั่นไม่มาหรือ”

     

                ลู่หานถามขึ้นเป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าตัววางแก้วเครื่องดื่มลงตรงหน้าอีกคน ชานยอลเลิกคิ้ว แล้วถาม “จงอิน?”

     

                ลู่หานพยักหน้า แต่ตากลับมองไปที่แก้วค็อกเทล Sex on the beach ของชานยอล

     

                “ชอบหรือไง” ครั้งนี้ลู่หานมองหน้าเขาตรงๆ แล้วรีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน “ตัดใจเถอะ ไอ้จังไรนั่นมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้ว” ตัวใหญ่เสียด้วย ชานยอลคิด

     

                ร่างเล็กเบ้ปากนิดๆ คงปฏิเสธความจริงไม่ได้เลยว่าคนตรงหน้าเขาคืออดีตผู้กองโยดาอันแสนชาญฉลาดและช่างสังเกต คนที่มีคติประจำใจว่า ความลับไม่มีในโลก

     

                “ที่มานี่คงไม่ใช่ว่ามีเรื่องอะไรหรอกนะ”

     

                เป็นครั้งแรกที่ลู่หานเดาถูก ชานยอลหัวเราะในลำคอ ก่อนจะพูด “ลู่หานของเราฉลาดขึ้นนะเนี่ย”

     

                “ย่า!” คนถูกแซวหน้าแดงนิดๆ   ทำท่าจะขว้างแก้ววิสกี้ใส่ชานยอล เขาหัวเราะ ลู่หานยังคงเป็นคนขี้โมโหแบบนี้เสมอ ครั้งล่าสุดที่เราเจอกันก็คือตอนที่เขาเห็นภาพนั้น

     

                ครึ่งปีก่อน...เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นฮวางจื่อเทาด้วยเช่นกัน

     

                อดีตผู้กองวัยสามสิบขยี้บุหรี่กับถาดแก้วแล้วมองควันที่ค่อยๆมอดดับไปช้าๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

     

                “จำจื่อเทาได้ไหม?”

     

                ลู่หานตอบโดยที่แทบจะไม่ต้องใช้เวลาคิด “จำได้สิ จื่อเทาเป็นลูกค้าประจำเชียวนะ ฉันจำได้ว่าเขาเคยจีบหญิงตัดหน้านายด้ว...ย” เสียงของบาร์เทนเดอร์หนุ่มแผ่วลง จนหายไปในที่สุด

     

     

    ชานยอลคิดว่ามันคงหายไปพร้อมกับสิ่งที่เขากำลังจะบอก แต่ตอนนี้คงไม่จำเป็นแล้ว

     

     

                “...อย่างที่นายคิดนั่นแหล่ะ”

     

                “ไม่จริง...เมื่อสามวันก่อนฉันยังเห็นเขาอยู่เลย”

     

                “ใช่ที่นี่หรือเปล่า” ชานยอลถามเพื่อความแน่ใจ แม้จะมีเปอร์เซ็นสูงที่การสันนิษฐานของเขาจะถูก ลู่หานส่ายหน้า และนั่นทำให้ชานยอลขมวดคิ้ว “แล้วที่ไหน?”

     

                “ที่ร้านฝั่งตรงข้าม ตอนฉันเลิกงานพอดี ฉันเห็นเขาขึ้นรถไปกับใครไม่รู้”

     

                ร้านฝั่งตรงข้ามของผับเรดไลท์เป็นบาร์ธรรมดา ชื่อร้านโกลเด้นเกท ชานยอลจำได้แม้เขาจะไม่เคยไปที่นั่นก็ตาม แต่ด้วยสัญชาตญาณของการเป็นตำรวจ เขาจึงต้องเก็บรายละเอียดทุกอย่าง

     

                “ว่าแต่นักร้องประจำไม่มาหรือ”

     

                ลู่หานเลิกคิ้วนิดๆ ไม่คิดว่าชานยอลจะถามคำถามนี้ “มาสิ แต่คิดว่าวันนี้คงเลิกงานแล้วล่ะ น่าจะอยู่ในห้องแต่งตัว”

     

                ชานยอลกระดก Sex on the beach จนหมดแก้ว ก่อนจะเอ่ย ขอบใจ”

     

                “ขอค่าตอบแทนเป็นข้าวซักมื้อวันอาทิตย์นี้แล้วกัน”

     

                ชานยอลยกยิ้ม ลุกขึ้นยืนแล้วขยี้ผมของลู่หานจนยุ่ง แล้วเอ่ยอย่างเท่ๆ “รับทราบ” ก่อนจะรีบวิ่งไปทางห้องแต่งตัวพนักงานที่อยู่หลังร้านทันที

     

                ลู่หานจัดทรงผมตัวเองให้เรียบร้อยเมื่ออีกคนวิ่งจากไป พลางคิดในใจ

     

     

     

    ให้ตายสิ ลืมไปแล้วหรือไงว่าตัวเองไม่ได้เป็นตำรวจแล้วน่ะปาร์คชานยอล

     

     


     

     

     

    . . . . . . . . . . . .­­

     

     


     

     

     

     

     

    “แบคฮยอนนา!”

     

    “คะ?”

     

    “เปลี่ยนชุดเสร็จอย่าลืมไปรับค่าแรงด้วยนะ วันนี้แขกให้ทิปเธอเพียบเลย”  

     

    แบคฮยอนพยักหน้ารับเมื่อพนักงานหญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาในห้องแต่งตัว เธอสางผมสีดำที่ยาวถึงกลางหลังเป็นครั้งสุดท้าย เช็คความเรียบร้อยแล้วเดินตามหล่อนออกไป

     

    วันนี้ได้เงินเยอะกว่าทุกวันจริงๆ ประมาณเกือบห้าแสนวอนได้ นั่นคือแค่ค่าทิปเท่านั้น แบคฮยอนรับซองเงินนั้นมาเก็บใส่กระเป๋าสะพายหนังสีดำ ไม่ลืมที่จะโค้งขอบคุณเจ้านาย ก่อนจะเดินออกจากร้านไป

    แปลก...

     

    ทำงานที่นี่มาตลอดสามปี เธอไม่เคยได้ทิปเยอะเท่านี้เลย อย่างมากก็แค่แสนวอนเท่านั้นเอง

     

    แบคฮยอนส่ายหน้า บางทีเธออาจจะคิดมากไป

     

    เธอหยิบไอโฟนห้าเครื่องสีดำออกมาดู ภาพบนจอปรากฏรายชื่อของบุคคลที่เธอพยายามหลีกเลี่ยงอย่างเอาเป็นเอาตาย

     

     

    ตำรวจ

     

     

    ทุกอย่างพาลให้เธอนึกถึงเมื่อคืน ใช่...ตอนที่พบศพฮวางจื่อเทา เธอไม่ได้แจ้งตำรวจ แต่วิ่งหนีออกมา และคิดว่ากล้องวงจรปิดคงจับหน้าของเธอได้

     

     

    ไม่...แบคฮยอนไม่ได้ฆ่าจื่อเทา ไม่ใช่...

     

     

    ฉับพลันร่างกายก็สั่นขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ ทั้งที่อากาศก็มีอุณหภูมิปกติ แบคฮยอนคิดว่ามันคือความกลัว เธอกลัว...กลัวจนไม่อยากออกไปข้างนอกด้วยซ้ำ

     

    ดังนั้นเธอเลยเรียกรถแท็กซี่กลับบ้าน ซึ่งเป็นอพาทเม้นท์เก่าแก่ที่อยู่ติดกับสถานีชินชอน ห่างจากที่ทำงานไปประมาณเกือบสิบกิโลเมตร ค่าเช่าเดือนละแสนห้าวอนเท่านั้น

     

     

    โดยที่ไม่ได้สังเกตว่ามีรถอีกคันขับตามเธอมา

     

     

     

     

     

     

    สิบนาทีต่อมา

     

    แบคฮยอนมาถึงอพาทเม้นท์ของตัวเองโดยปลอดภัย เธอจ่ายเงินให้คนขับแล้วเดินไปยังลิฟท์ กดไปที่ชั้นหก ที่อยู่ของเธอ ตลอดทางที่มาร่างกายยังคงสั่นระริก เหมือนโดนพายุลมหนาวที่มองไม่เห็น แต่เปล่าเลย...

     

     

    แค่รู้สึกลางสังหรณ์ไม่ดี เหมือนจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น

    อะไรบางอย่างที่แย่มากๆ

     

     

    แล้วคำตอบก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเมื่อลิฟท์ขึ้นมาถึงชั้นหก จากตรงนี้แบคฮยอนสามารถมองเห็นประตูห้องของตัวเอง แต่ว่าตอนนี้กลับไม่ เพราะมันกำลังถูกบังด้วยตำรวจสองนาย

     

    และโชคไม่เคยเข้าข้างแบคฮยอน เธอลืมไปเสียสนิทว่าทันทีที่ลิฟท์หยุด จะมีเสียงดังติ๊ง แน่นอนว่าตำรวจสองคนนั้นรีบวิ่งมาทางเธอ พวกเขาเห็นเธอ แน่นอน

     

     

    ช่วยด้วย ใครก็ได้...

     

     

    นิ้วเรียวกดปิดประตูลิฟท์รัวจนไม่กลัวว่ามันจะพัง และทันทีที่มาถึงชั้นหนึ่ง แบคฮยอนก็รีบวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต แต่รองเท้าส้นสูงก็ไม่ให้ความร่วมมือกับเธอเอาเสียเลย

     

    แบคฮยอนตัดสินใจถอดมันออกลวกๆแล้ววิ่งเท้าเปล่าพร้อมกับถือมันไปด้วย วิ่ง...วิ่งออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้

     

     

    เธอไม่ทันได้สังเกตด้วยซ้ำว่าน้ำตาไหลออกมาตั้งแต่เมื่อไร

     

    ไหลเหมือนเลือดตรงฝ่าเท้า

     

     

    “หยุดวิ่งเดี๋ยวนี้!” เสียงตะโกนหยาบห้าวของตำรวจหนึ่งในสองคนนั้นดังตามหลังมาไม่ไกล แบคฮยอนเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นโดยที่ไม่คิดจะหันไปมองข้างหลัง เธอแค่คิดว่าต้องรอด ต้องรอดเท่านั้น...

     

     

     

    ขอร้องล่ะ...ใครก็ได้ช่วยที...

     

    นั่นคือคำขอสุดท้ายของแบคฮยอน

     

     

     

     

    ฉับพลันมือปริศนาก็ฉุดแบคฮยอนให้เข้าไปอยู่ในตรอกมืดที่กว้างไม่ถึงเมตร กลิ่นเหม็นอับ ร่างกายของเธอถูกเบียดเข้ากับร่างกำยำ แม้จะมองไม่เห็นหน้าแต่ก็รับรู้ได้ว่าใครอีกคนตัวสูงมาก ใบหน้าของเธอถูกกดเข้ากับไหล่กว้าง

     
     

    ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงแค่เสียงหอบหายใจของแบคฮยอน และเขา

     

    เสื้อโค้ทตัวยาวถูกถอดออกแล้วคลุมหัวของแบคฮยอนเอาไว้ ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยถามอะไร ใบหน้าของใครอีกคน ที่เธอมองเห็นไม่ชัดนัก ก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ พร้อมกับเสียงทุ้มที่เอ่ยกระซิบข้างหูเธอว่า

     
     

     

    “ถ้ายังไม่อยากถูกจับ...”

     

    “....”

     

    “ก็ยอมให้ฉันจูบซะ”

     

    “....”

     

    “บยอนแบคฮยอน”

     

     

     

     

    และแน่นอนว่าไม่มีเวลาให้แบคฮยอนได้ทักท้วง ริมฝีปากของบุคคลแปลกหน้าเลื่อนมาบดจูบเธอทันที มือหนาจับท้ายทอยของหญิงสาวเอาไว้ แล้วกดย้ำลงบนกลีบปากนุ่มอีกครั้ง และอีกครั้ง

     

    ไม่นานแสงไฟก็ถูกสาดเข้ามาในบริเวณที่พวกเขายืนอยู่ แล้วมันก็หายไป พร้อมกับริมฝีปากที่ค่อยๆถูกถอนออก

     

    ร่างสูงหันไปมองตรงที่ที่แสงไฟสาดมาเมื่อครู่ แล้วถอนหายใจออกมา

     

    “...ไปแล้ว”

     

    “....”

     

    “ขอโทษ”

     

     

    ในตอนนั้น แบคฮยอนคิดว่า อีกคนคงขอโทษที่ทำให้เธอร้องไห้จนสะอื้นตัวโยน หัวสมองของเธอว่างเปล่า ไร้ซึ่งความสามารถในการเรียบเรียงคำพูด

     

    “ฮึก...”

     

    “ฉันทำไปเพื่อช่วยเธอ และฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ...” เขาพูด พลางเช็ดน้ำตาบนหน้าของแบคฮยอนออกด้วยนิ้วโป้ง สัมผัสอุ่นข้างแก้มทำให้เธอหลงเชื่อเขาสนิทใจ

     

    “คุณ...เป็นใคร” แบคฮยอนถามออกมาเสียงสั่น พยายามเพ่งมองใบหน้าของอีกคนในความมืด

     

    “เป็น....”

     

    “....”

     

    “เป็นเจ้าของร้านดอกไม้”

     

    “?”

     

    “เอาเป็นว่าฉันชื่อชานยอลก็แล้วกัน” ร่างสูงบอก ก่อนจะจูงมือแบคฮยอนให้เดินตามมา “มากับฉัน แล้วเธอจะปลอดภัย”

     

    “ฉันเจ็บเท้า” แบคฮยอนรู้สึกว่าเสียงของตัวเองนั้นเบามากเหลือเกิน แต่อีกคนก็ยังได้ยิน

     

    “ขี่หลังฉัน”

     

    “....แต่ว่า” แบคฮยอนลังเล

     

    “ฉันมีทางเลือกให้เธอไม่มากหรอกนะ หนึ่งขี่หลังฉัน สองเดินออกไปให้ตำรวจจับ” ชานยอลเอ่ยแกมบังคับ ไม่สิ บังคับล้วนๆเลยต่างหาก

     

    ถูกที่ชานยอลพูด แบคฮยอนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขึ้นขี่หลังอีกคนที่นั่งยองๆรออยู่ เธอกอดคออีกคนเอาไว้แน่น ในขณะที่ชานยอลก็เกี่ยวขาของเธอเอาไว้แน่นไม่แพ้กัน ชานยอลบอกว่ารถของเขาจอดอยู่ใกล้ๆ ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะถูกจับ

     

     

    ไม่เข้าใจ...แบคฮยอนไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิดเดียว

     

     

     

    มันเกิดอะไรขึ้น

     

    มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่...

     

     

     

    “คุณ...”

     

    “ชานยอล”

     

    “คะ?”

     

    “เรียกว่าชานยอล เธออายุเท่าฉัน”

     

    “ชานยอล...” เสียงของแบคฮยอนยามเรียกชื่ออีกคนช่างไพเราะ แต่ก็สั่นเครือในเวลาเดียวกัน “ช่วยฉันทำไม”

     

    “เพราะฉันมีเรื่องจะถามเธอ”

     

    ชานยอลเปิดประตูรถฝั่งข้างที่นั่งคนขับให้แบคฮยอนได้เข้าไป ก่อนจะย้ายตัวเองไปอีกฝั่ง สตาร์ทรถ แต่ยังไม่ได้เปิดไฟหน้า เปิดเพียงแค่กระจกรถฝั่งตน แล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ

     

    “เรื่องอะไร...” แบคฮยอนเองก็มีเรื่องอยากจะถามชานยอลเหมือนกัน

     

    “หลายเรื่อง” ชานยอลพ่นควันออกไปนอกรถ ก่อนจะพูดต่อ “เรื่องแรกคือ...”

     

    “....”

     

     

     
     

     

     

    “ทำไมเธอต้องปลอมตัวเป็นผู้หญิง”

     






     

    To be continued




     

    . . . . . . . . . . . .­­







    ออกมาอย่างเท่
    #ficdieblume
    อซน



     

     

     

     

     

     



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×