ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC EXO] die Blume {chanbaek,chenmin,kaihun}

    ลำดับตอนที่ #1 : Prologue

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 172
      0
      27 ต.ค. 57


    seven dwarf.


     

    Prologue

     





     

                บยอนแบคฮยอนถูกตราหน้าว่าเป็นมนุษย์ที่ขี้ขลาดที่สุดในโลก

     

     

                ในประโยคนี้มีความจริงอยู่ 70% ส่วนเปอร์เซ็นของความไม่จริงอยู่ตรงคำว่า ที่สุดในโลกคำว่าขี้ขลาดในที่นี้หมายถึงการไม่กล้าทำหรือระแวงต่อสิ่งรอบข้าง

     

    หากเขียนเป็นสมการ แค่เติมเครื่องหมายเท่ากับลงไประหว่างชื่อของเขากับคำว่าขี้ขลาดก็จะลงตัวพอดี

     

    หรือแม้แต่กระทรวงศึกษาธิการที่แทบจะเปลี่ยนความหมายของคำว่าขี้ขลาดในพจนานุกรมให้เป็นชื่อเขาเลยด้วยซ้ำ

     

     

                นี่คือความไม่จริง

     

     

                 “There are three things all wise men fear; the sea in the storm, a night with no moon, and the anger of a gentle man.” – Patrick Rothfuss, The Wise Man’s Fear

     

              But Byun Baekhyun is not wise so he only has one fear.

     

     

                แปลว่า...

                ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว

     

     

     

     

    . . . . . . . . . . . .­­

     

     

     

     

    ภายใต้หน้ากากที่เรียกว่ารอยยิ้ม มีใบหน้าที่แท้จริงซ่อนอยู่ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บช้ำ เศร้าหมอง อมทุกข์...

     

    ถ้าใบหน้าที่แท้จริงถูกทำลาย คุณก็จะไม่เหลืออะไรเลย นั่นหมายความว่ามนุษย์สวมหน้ากากเพื่อปกป้องมันเอาไว้ และการปกป้องตัวเองไม่ใช่เรื่องเสียหาย

     

     

    หรือ...

     

    เพื่อปกปิด เพื่อกีดกันตัวเองออกจากอะไรบางอย่าง

     

     

     

    “ชานยอล”

     

    “หืม?”

     

    เสียงทุ้มขานรับ ในขณะที่เจ้าตัวก็หมุนคอหันมามองอีกคนที่พิงหัวไว้บนไหล่ แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมอง ตาสบตา เหมือนเราสามารถสื่อสารผ่านมันแทนปากได้

     

    ภาพเบื้องหน้าเป็นแม่น้ำฮัน และพระอาทิตย์ขึ้น ลมเย็นและปลอดโปร่ง ให้คะแนนความโรแมนติกเต็มสิบ

     

    เราสองคนนั่งอยู่บนม้านั่ง ข้างกายไร้ผู้คน แทนที่จะได้ยินเสียงน้ำ แต่แบคฮยอนกลับได้ยินแค่เสียงเพลง Human ของ Jon McLaughlin

     

     

    Can we get back to the point in this conversation

    Where we saw things through each other’s eyes

     

     

     

    “ชานยอลว่าคนเราจะลุกขึ้นมามีความกล้าได้มั้ยถ้าเขายังกลัว”

                “....”

                “ผมกลัว”

     

     

                ชานยอลใช้มือข้างที่วางพาดม้านั่งลูบหัวแบคฮยอนเบาๆ แล้วหันออกไปมองดวงตะวันที่กำลังทอแสงสีส้มไปทั่วผืนน้ำ แบคฮยอนตัวสั่นเหมือนลูกนก อากาศเย็นแต่กลับเหงื่อออก

     

                คนหนึ่งมองดวงอาทิตย์ อีกคนมองแม่น้ำ นัยน์ตาของคนหนึ่งส่องประกาย ในขณะที่ของอีกคนสั่นระริก ไม่ต่างจากผืนน้ำที่ตนกำลังมอง

     

                แล้วฝนก็ตกลงมา ทั้งๆที่ฟ้ายังใส

     

     

                “แล้วเธอรู้หรือเปล่า...”

                “.....”

     

     

     

     

     

     

            “ว่านั่นเป็นช่วงเวลาเดียวที่เขาจะลุกขึ้นมามีความกล้าได้”

     

     

     

                After all, we’re only human

                Always fighting what we’re feeling

                Hurt instead of healing

     

     

     

     

    . . . . . . . . . . . .­­













     

    ความรักทำให้คนตาบอด

     

    ถ้ายึดเอาตามความเชื่อของมนุษย์ที่มีชื่อว่าคิมมินซอกเมื่อหกปีก่อน ประโยคข้างต้นมีความจริงอยู่ร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างไม่ต้องสงสัย

     

    แต่...

    เวลาเปลี่ยน ไอโฟนเปลี่ยน นับประสาอะไรกับใจคน

     

    แต่...

    คิมมินซอกเพิ่งได้เรียนรู้ความจริงข้อใหม่ไม่นานมานี้ว่า เวลาของคนเราเดินไม่เท่ากัน

     

    ไม่ได้เป็นที่นาฬิกา ไม่ได้เป็นที่ความเร็วของการก้าวเดิน ไม่ได้เป็นที่ความเร็วของรถไฟ ไม่ได้เป็นเพราะอยู่คนละซีกโลก

     

    หากแต่เป็นเพราะน้ำหนักของสิ่งที่ฉุดรั้งคนเราไว้มีไม่เท่ากัน

     

    ถ้าลองให้ลองยกตัวอย่างก็เหมือนเรามีก้อนหินกันคนละก้อนที่ถูกล่ามโซ่ติดไว้กับข้อเท้า ก้อนหินก้อนนั้นมีชื่อว่าอดีต ยิ่งเจ็บเท่าไร ยิ่งลืมยากเท่าไร ก้อนหินก็ใหญ่ขึ้นเท่านั้น

     

    ยิ่งใหญ่ก็ยิ่งหนัก ยิ่งหนักก็ยิ่งทำให้เราเดินช้าลง และก้อนหินของมินซอกก็คงจะใหญ่พอๆกับสโตนเฮนจ์ แต่ในขณะที่ก้อนหินของคิมจงแดกลับใหญ่เพียงแค่ก้อนกรวดในโหลใส่ปลาทอง

     

    หรือไม่ก็...

     

     

    คิมจงแด อาจจะไม่เคยมีก้อนหินก้อนนั้นมาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้

     

     

     

     

    . . . . . . . . . . . .­­

     

     

     

     

    “คิดจะทำอะไร”

    “.....”

     

    คิมจงแดยืนนิ่งๆไม่ตอบอะไรเมื่อถูกถามเสียงห้วน มินซอกเขยิบถอยหลังห่างจนตัวติดอ่างล้างจาน เรากำลังอยู่ในครัว ที่บ้านของจงแด เราสองคน...

     

     

    “ถอยออกไป”

    “พี่มินซอก”

     

     

    ไม่ใช่น้ำเสียงที่ทำให้คิมมินซอกรู้สึกอึ้ง แต่เป็นสายตาของจงแด สายตาที่กำลังบอกเขาอะไรบางอย่าง บางอย่างที่เขาคุ้นเคย มันเต็มไปด้วยคำที่เขาไม่อยากได้ยินที่สุด แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที

     

    จงแดอาศัยจังหวะนั้นเดินเข้าไปประชิดตัวอีกคน ปลายเท้าของเราชนกัน ปลายจมูกของเรา...

     

                มินซอกยังคงมองจงแดค้างอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งมีนิ้วที่ทั้งเย็นและสากมาปาดน้ำตาบนใบหน้าของเขาออก แล้วยิ้มให้...

     

     

    ยิ้มให้เหมือนกับตอนนั้น...

     

     

    “ลูกของนาย...”

    “เยบินหลับอยู่ครับ”

     

    มินซอกสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะตัดสินใจพูด “ฟังฉันนะ...เฉิน”

     

    “.....” จงแดลดมือทั้งสองลงข้างลำตัว หัวใจที่เคยห่อเหี่ยวรู้สึกเหมือนถูกรดน้ำและไม่นานมันก็ออกดอกบานสะพรั่งเพียงแค่ได้ยินชื่อนั้น

     

    ชื่อที่ไม่ได้ออกมาจากปากของคนๆนี้มาแปดปีแล้ว ชื่อที่เรารู้กันแค่สองคน

     

    “ฉันดีใจ...ที่เห็นนายเริ่มใหม่” มินซอกพูดเสียงเครือ “ฉันดีใจมากๆ...”

     

    จงแดเชื่อ ว่ามินซอกรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ

     

    “ฉันดีใจที่เห็นนายมีครอบครัว ฉันดีใจที่ได้เห็นลูกสาวของนาย...” ในขณะที่สายตาจ้องมองไปยังกรอบรูปที่แขวนไว้อยู่บนผนัง

     

    รูปที่มีพ่อ ลูก และ แม่

     

     

    Goodbye, my almost lover

    Goodbye, my hopeless dream

    I’m trying not to think about you

    Can’t you just let me be?

     

     

    โลกนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน

     

     

    “นายควรได้รับโอกาสเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง...”

    “.....”

     

     

     

     

     

    “แต่ไม่ใช่กับฉัน”

     

     

    So now you’re gone and I’m haunted

    And I bet you’re just fine

    Did I make it that easy to walk

    Right in and out of my life?

     

     

     

     

    . . . . . . . . . . . .­­












     

    คิมจงอิน เป็นผู้ชายจังไร

     

    หากนี่เป็นประโยคคำถาม โอเซฮุนจะตอบว่าใช่โดยที่ไม่ลังเล

     

    จังไร แปลว่า เลวทราม เป็นเสนียด ไม่เป็นมงคล (ข.จงไร, จัญไร) อ้างอิงจากพจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน

     

    แค่ชื่อก็บอกอยู่แล้ว จงอิน จงไร...จังไร

     

    แต่โอเซฮุนขอใช้สิทธ์ในการเป็นเจ้าของหัวใจของผู้ชายจังไรทำอะไรก็นัมจาคนนี้ ขอบอกไว้เลยว่า เขามีสิทธิ์ด่าคิมจงอินได้คนเดียว

     

    แต่พูดก็พูดเถอะ ใช่ว่าคิมจงอินจะไม่มีข้อดีเลยสักข้อ

     

    มันหล่อ มันสูง มันไม่ขาว อีกอย่างมันตรงเสป็คเขาด้วย เพราะฉะนั้นต่อให้มันจะจังไรแค่ไหนโอเซฮุนก็จะไม่บ่น...

     

     

     

    ถ้าสังเกตกันดีๆ ทุกอย่างข้างต้นเป็นเรื่องราวของผู้ชายที่ชื่อคิมจงอิน ทั้งๆที่คนพูดคือโอเซฮุน เห็นหรือยังว่าเขารักมันมากแค่ไหน...

     

    “When you stop expecting someone to be perfect, you can like them for who they are.” – Donald Miller

     

    “Kim Jongin is nowhere near perfection. That’s why I love him.” – Oh Sehun

     

     

     

     

    . . . . . . . . . . . .­­

     

     

     

    “คิมไค วันนี้วันอะไร”

     

    “หน้ากูเหมือนปฏิทินหรอ”

     

    ไอ้...เหี้ย

     

    เซฮุนถอนหายใจออกมา ถ้าไม่รู้ก็บอกง่ายกว่ามั้ย? ยังไง? ตอบก็ไม่ตรงคำถาม เขามองจงอินที่กำลังทำหน้าง่วงเช็ดโต๊ะพลางคิดในใจ

     

    จงอินยังคงทำเหมือนเขาเป็นยิ่งกว่าผงฝุ่นในอากาศ ยิ่งกว่าแพลงค์ตอนในทะเล ยิ่งกว่าดาวเคราะห์น้อยในจักรวาล นี่เห็นหัวแฟนมึงบ้างมั้ยถามจริง

     

    โมโหไปก็เท่านั้น ทนคบกับมันมาได้ถึงปีก็ปาฏิหาริย์สุดๆแล้ว

     

     

    ใช่...

    วันนี้ครบรอบ Anniversary

     

     

    เซฮุนถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะดึงประตูเหล็กม้วนลงมาปิดหน้าร้านดังปัง จงอินยังคงเช็ดโต๊ะอยู่แบบนั้น ทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว

     

    สุดท้ายเซฮุนก็ยอมแพ้ในความจังไร หน้าที่วันนี้ของเขาเสร็จแล้ว จึงเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายข้างมาแล้วเดินออกหลังร้านไป

     

    หลังเสียงปิดประตูดังขึ้น คนหน้าง่วงถึงเงยหน้ามองตาม จงอินลอบยิ้มมุมปากนิดๆ บิดขี้เกียจหน่อยๆ หลังจากที่แสร้งทำเป็นเช็ดโต๊ะอยู่นาน

     

    ไอ้ตุ๊ดขี้งอนเอ้ย...

     

    เขาหยิบไอโฟนห้าสีดำขึ้นมา ก่อนจะส่งคาทกไปให้คนที่เพิ่งเดินออกจากร้านไป

     

    /เดี๋ยวกูกลับไปตอนมืดๆ อย่าเพิ่งล็อคบ้าน เปิดหน้าต่างห้องมึงไว้ด้วย/

     

    แผนการขั้นที่หนึ่ง...เริ่ม

     

    นี่เดี๋ยวต้องไปขอยืมกีตาร์จากบอสอีก นับเป็นการจับกีตาร์ครั้งที่สองในชีวิตของจังไรนัมจาเลยก็ว่าได้ ครั้งแรกคือตอนที่ให้บอสสอนเล่นคอร์ดเพลง Romeo and Juliet ของ Dire Straits

     

     

    I can’t do the talk like the talk on TV

    And I can’t do a love song like how it’s meant to be

    I can’t do everything but I’d do anything for you

    Can’t do anything except….

     

     

    จงอินยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงเพลงท่อนหนึ่ง ไม่คิดว่าเกิดมาจะต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย นี่ถ้าตัวเองสมัยเด็กมาเห็นอะไรแบบนี้คงชี้หน้าหัวเราะเขาจนไม่มีอากาศหายใจ

     

    แต่ก็...นะ

     

     

     

    can’t do anything except be in love with you”

     

     

     

     

    . . . . . . . . . . . .­­

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     






























    สวัสดีค่ะ

    ไม่รู้จะพูดอะไรอ่ะ แค่เข้ามาอ่านก็ดีใจแล้วอ่ะ

    ฝากฟิคเรื่องนี้ด้วยนะ มีอะไรไม่เข้าใจถามได้

    แล้วก็คนที่เม้นอ่ะ จำได้นะเว่ย


    #ficdieblume
    อซน



     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×