ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC EXO] die Blume {chanbaek,chenmin,kaihun}

    ลำดับตอนที่ #3 : Blume2 :: Peppermint

    • อัปเดตล่าสุด 30 ต.ค. 57



    seven dwarf.


     













    Blume 2 :: Peppermint

     

    Peppermint หรือ ในภาษาไทยคือ สะระแหน่ ในภาษาดอกไม้แปลว่า ความรู้สึกที่อบอุ่น

     

    . . . . . . . . . . . .­­

     





     

     

    อดีตผู้กองตัวสูงขับรถโฟล์กสวาเก้น 1302 หรือรถเต่าที่เป็นที่รู้จักกันดี คันสีดำ มาจนถึงหน้าร้านดอกไม้ซึ่งเป็นตึกแถวสามชั้นในย่านแหล่งท่องเที่ยวอย่างคาโรซูกิลในเวลาประมาณสิบนาที

     

    สิบนาทีที่มีแต่ความเงียบและอึดอัดในรถราวกับภูเขาไฟใกล้ปะทุ แบคฮยอนไม่ได้ตอบคำถามนั้นเช่นเดียวกับชานยอลที่ไม่ได้ซักไซ้ต่อ และเขาสูบบุหรี่ไปสองมวนระหว่างทาง

     

     

    “ทำไมถึงต้องปลอมตัวเป็นผู้หญิง?”

     

     

    ใช่...และถ้าจะถามว่าเขารู้ได้อย่างไร ก็คงตอบได้ว่าเป็นสัญชาตญาณ เพราะตอนที่ร่างกายของเราแนบชิดกัน เขารู้ว่าเธอไม่ได้สวมบรา และคงไม่มีผู้หญิงคนไหนทำแบบนั้นแน่นอน นอกเสียจากว่าเธอจะสวมชุดนอน...น่ะนะ

     

     

    ชานยอลดับเครื่อง ลอบมองคนข้างๆด้วยหางตา บยอนแบคฮยอนมีภายนอกที่เหมือนผู้หญิงทุกอย่าง รูปร่าง ใบหน้า หรือแม้กระทั่งน้ำเสียง

     

    ไร้เสียงใดๆ แบคฮยอนเอาแต่นั่งนิ่งก้มหน้าก้มตามาตั้งแต่ตอนที่เขาบึ่งรถออก แม้จะโบกไม้โบกมือข้างหน้าแต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ

     

    “นี่” ชานยอลจึงลองเรียกคนข้างๆ

     

    “....” ได้ผล แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย แต่กลับหันไปทางกระจกรถแทนที่จะเป็นเขา เสียงถอนหายใจดังขึ้นตามมา

     

    “ได้ยินที่ฉันถามหรือเปล่า”

     

                “....” แบคฮยอนพยักหน้าช้าๆ

                “ถ้าเธอยังไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร คืนนี้ค้างที่นี่ไปก่อนก็แล้วกัน” ชานยอลพูด พลางเปิดประตูรถ แต่ทันใดนั้นแบคฮยอนก็หันมาหาเขาแล้วจับแขนเขาเอาไว้ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงบางเบา

     

                “ไปส่ง...ที่โรงแรมก็ได้” ชานยอลหรี่ตา ตั้งใจฟังว่าอีกคนจะพูดอะไรต่อ

     

                “.....”

     

                “ผมเกรงใจ” เขายกยิ้มขึ้นโดยทันทีเมื่อได้ยินสรรพนามและน้ำเสียงที่ทุ้มขึ้นเล็กน้อย บยอนแบคฮยอนยอมคายความจริงออกมาแล้ว

     

                ชานยอลไม่ตอบอะไร เขาเบี่ยงตัวออกแล้วปิดประตูรถ แต่ยังไม่ทันที่แบคฮยอนจะได้สงสัยอะไร คนตัวสูงก็โผล่มาเปิดประตูรถทางฝั่งเขาเสียแล้ว และด้วยแสงไฟข้างถนน ทำให้เขาเห็นรูปร่างของชานยอลได้อย่างชัดเจน

     

                ชายหนุ่มสวมเสื้อโค้ทสีกากีตัวใหญ่ ยาวถึงหัวเข่า ข้างในใส่เสื้อยืดธรรมดาสีดำ เรียบๆไร้ลวดลาย และกางเกงยีนส์ขากระบอกสีซีด รองเท้าผ้าใบมียี่ห้อสีแดงตัดขาว เท้าของอีกคนน่าจะใหญ่กว่าของเขาประมาณสองไซส์ได้ โดยรวมแล้วเป็นคนที่หล่อมากคนหนึ่ง

     

                 เจ้าของร้านดอกไม้ฉีกยิ้มอีกครั้ง

     

                “ฉันมีทางเลือกให้เธอไม่มากหรอกนะ” เขาล้วงกระเป๋ากางเกงอย่างเท่ห์ๆ แบคฮยอนคิดว่าอย่างนั้น “หรืออยากจะให้ฉันคาบข่าวไปบอกตำรวจว่าเจอตัวผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมฮวางจื่อเทาแล้ว?”

     

                “ผมไม่ได้ฆ่าเขานะ!” แบคฮยอนตะโกนออกมาเสียงดัง แววตาของเขาเปลี่ยนไป ไม่ได้เต็มไปด้วยความโกรธเคืองอย่างที่ชานยอลคาดการณ์

     

     

    แต่มันเต็มไปด้วยความเสียใจ

     

     

                “จะฆ่าหรือไม่ได้ฆ่า เธอก็คือผู้ต้องสงสัย คิดจะหนีไปเพื่ออะไรกัน”

     

                “ไม่...ผมไม่ได้ฆ่าจื่อเทา ผม...” น้ำตาไหลลงมานองหน้าจนคนมองยังรู้สึกสงสาร แบคฮยอนเอาแต่ส่ายหัวไปมา ร่างกายบอบบางสั่นเทิ้มจนต้องกอดตัวเองให้หยุด ชานยอลเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เขาเคยปลอบใครซะที่ไหน มากสุดก็ไอ้หมาที่เลี้ยงไว้เท่านั้น

     

                “ผมไม่ได้ฆ่าเทา...เชื่อผม ได้โปรดเชื่อผม”

     

                แบคฮยอนเอื้อมมือมาจับชายเสื้อโค้ทของเขา แรงขย้ำนั้นมากพอที่จะทำให้มันยับยู่ยี่ คนตัวเล็กก้มหน้าลงพื้น หยดน้ำตาไหลลงสู่พื้นคอนกรีตจนเห็นเป็นวง

     

                น่าสงสาร นั่นคือสิ่งที่ชานยอลรู้สึก และด้วยสัญชาตญาณของการเคยเป็นตำรวจ เขาเองก็ไม่คิดว่าคนอย่างบยอนแบคฮยอนจะฆ่าใครได้ลงเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรักของตัวเอง เพราะแบคฮยอนดูเหมือนคนที่ไม่มีใครแล้วจริงๆ แถมหน้าตาขี้กลัวอย่างนั้น...

     

                บวกกับวิธีการฆ่าด้วยการยิงตัดขั้วหัวใจได้อย่างแม่นยำ ทำให้เขายิ่งมั่นใจว่าคนร้ายไม่มีทางเป็นบยอนแบคฮยอนแน่นอน

     

                ชานยอลถอนหายใจ คำถามสองคำถามที่เขาถามไปยังไม่ได้รับคำตอบ และแน่นอนว่าเขายังมีเหลืออีกเป็นร้อยข้อ แต่ตอนนี้ดูจะไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมเสียเท่าไร เขาไม่อยากปลอบคน

     

                มือสากเอื้อมไปลูบผมชายหนุ่มในคราบหญิงสาวเบาๆ ถอดวิกผมสีดำออกช้าๆและปล่อยมันลงบนเบาะรถ เขากำลังพยายาม...เอ่อ...ปลอบ

     

                แบคฮยอนไม่มีท่าทีตกใจอะไร เงยหน้าขึ้นมองเขาทั้งที่น้ำตายังคงเอ่อเต็มขอบ สะอื้นเล็กน้อย ก่อนจะหันไปทางอื่นแล้วขยี้ตา หน้าตาตอนนี้ของเขาคงดูไม่ได้แน่ๆ

     

                ชานยอลเห็นการกระทำนั้นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหมุนคางเธอให้หันมา ดวงตารีเล็กที่บวมแดงจากการร้องไห้ยิ่งแดงเข้าไปอีกเมื่อเจอแรงขยี้ เขาดึงข้อมือเธอออกแล้วใช้นิ้วเช็ดน้ำตาบนใบหน้าขาวนั่นแทน

     

     

                ทุกนาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า ราวกับเข็มนาฬิกาจงใจไม่รีบเดินเพื่อพวกเขา

     

     

                “ฉันเชื่อเธอ” ชานยอลพูดขึ้น ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ในขณะที่กำลังเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าของอีกคน แต่แบคฮยอนทำท่าเหมือนจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

     

                “....” เขากลั้นสะอื้น แต่ก็ไม่สำเร็จ ครั้งนี้แบคฮยอนปล่อยโฮออกมาเสียงดัง ตั้งแต่เกิดยังไม่เคยมีใครพูดแบบนี้กับเขาเลยซักครั้ง

     

                “ขะ...ขอบคุณ ฮึก” คนตัวเล็กพยายามกลั้นสะอื้นแล้วเอ่ยแต่ละคำออกมาจากใจ เขาอยากพูดมากกว่านี้ แต่สภาพจิตใจไม่เอื้ออำนวยเลยแม้แต่น้อย เขาอยากขอบคุณคนตรงหน้าอีกเป็นพันๆครั้ง ขอบคุณที่เชื่อเขา แม้เราจะไม่เคยรู้จักกันก็ตาม

     

                เขาไม่ได้เลือกเกิดมาเป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินในขณะที่กำลังเดินทางจากเจจูกลับโซล และเขาคือคนเดียวที่เหลือรอดจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น

     

                พอได้รับการไว้วางใจก็เลยรู้สึกปลอดภัย รู้สึกว่าปาร์คชานยอลสามารถให้ความปลอดภัยกับเขาได้

     

                “หยุดร้องได้แล้วน่า”

     

                ชานยอลหยัดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วช้อนตัวอุ้มอีกคนขึ้นมาแนบอก

     

                “ดะ เดี๋ยวก่อน...” แบคฮยอนจึงต้องคล้องแขนเข้ากับลำคอของชานยอลโดยอัตโนมัติ แม้จะตกใจแต่ก็ร้องไม่ออก แล้วนี่อยู่ๆมาอุ้มเขาทำไม?

     

                “เท้าเจ็บอย่างนั้นอย่าบอกฉันว่าเดินเองได้” ชานยอลใช้ขาปิดประตูรถ แล้วใช้มือข้างที่โอบไหล่อีกคนกดรีโมทล็อค ส่วนแบคฮยอนก็เงียบ ไม่ได้เถียงอะไรต่อ เพราะเขาเดินเองไม่ได้อย่างที่พูด

     

                ชานยอลวางแบคฮยอนลงบนโซฟาตัวยาว ซึ่งความจริงเป็นที่นั่งสำหรับลูกค้า แล้วเดินไปเปิดไฟเฉพาะตรงส่วนนั้น ไม่นานลูกสุนัขสีขาวก็วิ่งลงมาจากชั้นสองของร้านเพื่อต้อนรับเจ้านาย

     

                “โฮ่ง!” แปลว่า สวัสดี

               

                “ว่าไงไอ้ดื้อ คิดถึงฉันล่ะสิ” ชานยอลก้มตัวลงลูบหัวมันสองสามที ส่วนลูกสุนัขก็เอาแต่จะเลียมือเจ้านายมันท่าเดียว

     

                “โฮ่งๆ!” แปลว่า คิดถึงมาก

     

                ชานยอลอุ้มลูกสุนัขขึ้นมาแล้วเดินไปทางคนเจ็บ

     

                “แพ้หมารึเปล่า”

               

                “....” แบคฮยอนส่ายหน้า

     

                “งั้นฝากมันไว้กับเธอก่อน เดี๋ยวฉันจะไปหายามาทำแผลให้” พูดจบก็ไม่รอคำตอบ ชานยอลวางเจ้าดื้อลงบนท้องเขา กว่าจะได้ค้านอะไรออกไปก็เห็นแผ่นหลังนั้นเดินหายออกไปบนชั้นสองแล้ว

     

                ลูกสุนัขสีขาวเดินวนไปมาอยู่ระหว่างท้องและหน้าอกเขา มันไม่ได้เห่า แค่แลบลิ้นออกมาแล้วหายใจเสียงดัง แบคฮยอนยกมือขึ้นลูบหัวมันเบาๆ ดูเหมือนมันจะยังไม่คุ้นชินกับสัมผัสของคนแปลกหน้าเท่าไรนักเลยเบี่ยงตัวหลบ

     

                “เจ้านายแก...สอนมาดีนะ” เขาเปิดบทสนทนากับเจ้าสุนัข ตอนนี้มันอาจจะยังไม่ชอบหน้าเขาเท่าไร แต่แบคฮยอนคิดว่าถ้าเราเปิดใจคุยกัน สักวันเราอาจจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันก็ได้

     

                “....” มันนั่งลงบนหน้าท้องของเขานิ่งๆ เหมือนกำลังตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาพูด

     

                “ต้องเป็นคนดีแน่ๆเลย” แบคฮยอนอาจจะบ้าไปแล้ว ตอนนี้เขากำลังเห็นหน้าของมนุษย์ตัวสูงซ้อนทับหน้าเจ้าลูกสุนัขอยู่ เขาจับอุ้งเท้าของมันแล้วยกขึ้นมา มโนว่ากำลังจับมือกับเจ้าของ แล้วเรียบเรียงคำพูดที่ต้องการจะบอก

     

                ชานยอลคงไม่พอใจแน่ๆถ้าเขาเห็นหน้าหมาเป็นเจ้าตัว

     

                “....”

     

                แบคฮยอนสูดหายใจเข้าลึก แล้วผ่อนออก ก่อนจะพูดพร้อมรอยยิ้ม

     

     

     

                “...ขอบคุณมากนะครับ”

     

               


     

     

               

                . . . . . . . . . . . .­­




     

     

     

     

     

                    “นี่...พวกแกว่าถ้าพี่ไคกับพี่เซฮุนเป็นแฟนกันใครจะเป็นรับวะ”

    หญิงสาวเอกระซิบ

                “ถามโง่ๆก็ต้องพี่ไคดิ”

    หญิงสาวบีตอบอย่างฉะฉานพร้อมหน้าตามั่นใจ

                “พวกเขาเป็นแฟนกันจริงๆหรอ?”

    หญิงสาวซีสวนขึ้นมาทันควัน

     

     

                บุคคลที่สามที่ถูกเอ่ยในบทสนทนากลั้นขำจนแก้มจะแตก เซฮุนกำลังรดน้ำดอกไม้ห่างออกไปไม่ไกลจากโต๊ะที่พวกเธอนั่งเท่าไรนัก เด็กสาววัยมัธยมปลายสามคนกำลังนั่งสุมหัวคุยกันอย่างออกนอกหน้า เซฮุนจะไม่อยากแอบฟังเลยถ้าเขากับแฟนไม่ได้เป็นหนึ่งในประเด็น

     

     

                ลองคิดดูเล่นๆว่าถ้าเกิดไคเป็นรับขึ้นมาจริงๆ...

                ก็ไม่เลวนะ (ยิ้ม)

     

     

                ไค คือชื่อเล่นที่ไว้ให้ลูกค้าเรียกกัน ส่วนชื่อจริงของหมอนั่นคือคิมจงอิน สถานะปัจจุบันคือแฟนของโอเซฮุน เขาเอง ส่วนไอ้เรื่องรุกรับอะไรนั่นเขาไม่รู้หรอก ยังไม่เคยลอง แต่เขาไม่เคยเสียบใครมาก่อน

     

                ตอนนี้จงอินกำลังเสิร์ฟชาให้แขกโต๊ะอื่นอยู่ บอสชานยอลก็คงกำลังนอนกลางวันอยู่ข้างบน เห็นบอกว่าเมื่อคืนเหนื่อยมาก เขาเองก็ไม่รู้หรอกว่าไปเหนื่อยอะไรมา แต่ได้ยินว่าไปดริ๊งค์สงสัยยังไม่สร่าง

     

                กลับมาที่เรื่องไคอีกครั้ง เขาชอบเรียกมันว่าคิมไค คิมไคเป็นผู้ชายที่ชอบทำหน้าง่วงตลอดเวลา ตัวไหม้ๆเหมือนตอนเกิดพยาบาลเอาไปอบในหม้อไฟ กวนตีน ปากหมา จังไรไม่มีที่เปรียบได้

     

                และเป็นคนที่คุณไม่คิดว่าจะชอบผู้ชายด้วยกันเองมากที่สุด

     

     

                คิมไคเดินมาหาเขา และแน่นอนว่ามันจับได้ที่เขาแอบมอง โคตรน่าอาย...

     

     

                “กูรู้ว่ากูหล่อ ไม่ต้องมองบ่อยขนาดนั้นก็ได้” จงอินเดินเข้าไปกระซิบที่ข้างหูอีกคน ไอ้สีแดงๆที่หูนี่ก็ไม่รู้ว่ามีมาตั้งแต่เมื่อไร แล้วหน้าตาลนลานนั่นอีก บางทีเขาก็อยากถามใครก็ได้ว่าทำไมโอเซฮุนน่ารัก

     

                “ใครมอง” เซฮุนแถ

                “หมาแถวนี้”

     

                จงอินอมยิ้มขำเมื่อเซฮุนไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองเขาเลย เอาแต่รดน้ำดอกไม้จนน้ำหมดแล้วก็ยังไม่หยุด ตายห่าหมดแล้วมั้งนั่น ทำไมจะไม่รู้ว่าเขิน คบกันมาจะเกือบปีแล้วมีหรือจะมองไอ้ตุ๊ดนี่ไม่ออกว่ามันคิดอะไร

     

                “มีไรจะคุยกับกูป่ะวะ” จงอินถาม

                “ไม่มี มันก็แค่เรื่องไร้สาระอย่าใส่ใจเลย” เซฮุนตอบกลับไป เรื่องอื่นเขาคุยกับไอ้หน้าง่วงนี่ได้แต่เรื่องรุกรับนี่เขายังไม่เคยคุยกับมันแบบจริงๆจังๆสักครั้ง คบกันมานานก็จริงแต่เรื่องพรรค์นั้นยังไม่เคยแม้แต่จะใช้คำว่าเฉียด

     

                ....คิดเรื่องนี้ไม่เขินกันบ้างหรอถามจริง

     

                “เรื่องของมึงไม่เคยไร้สาระสำหรับกู” อ้าว...เสือกจริงจังขึ้นมาซะงั้น

                “มันไม่มีอะไรจริงๆนะเว่ย”

                “ลูกค้ามา ไปจัดการซะเดี๋ยวคืนนี้ค่อยเคลียร์”

     

                พูดจบไอ้หน้าง่วงก็เดินไปรับแขก แจกยิ้มโปรยปรายแบบที่ว่าถ้าเป็นเปลือกกล้วยคนคงลื่นล้มกันเป็นตัวโดมิโน่ เซฮุนถอนหายใจออกมา เขาไม่น่าแอบมองมันเลยให้ตายสิ

     

                พวกเขาสองคนทำงานพาร์ทไทม์เป็นพนักงานที่ร้าน die Blume ซึ่งเป็นร้านดอกไม้และคาเฟ่มาร่วมสามปีแล้ว เป็นร้านเล็กๆในตัวเมืองบนย่านที่ผู้คนพลุกพล่าน กิจการเลยราบรื่นไม่เคยมีปัญหา เจ้าของร้านคือบอสชานยอลที่อายุมากกว่าพวกเขา6ปี

     

                เซฮุนรดน้ำดอกไม้เสร็จแล้ว เขาชอบสีชมพูของดอกไฮเดรนเยียมากที่สุด แม้จะเคยถามบอสว่าความหมายของมันคืออะไร แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือคำสั่งที่บอกให้ไปหาเอาเอง

     

              ก็ไม่ได้อยากรู้เท่าไรนักหรอก

     

                “พี่เซฮุนคะ” หนึ่งในหญิงสาวโต๊ะที่เคยพูดถึงเขายกมือเรียก เซฮุนหันหลังแล้วขานรับอย่างไม่มีทางเลือก “ครับ” แล้วยิ้มหวาน

     

                “เพื่อนหนูมีเรื่องจะถามค่ะ” เธอโบ้ยไปให้เด็กผู้หญิงผมสั้นสีน้ำตาลคนข้างๆ ที่กำลังมีสีหน้ากระอักกระอ่วน

     

                “เอ่อ...คือ...คือว่า...”                                

                “....”

                “มันจะถามว่าพี่เซฮุนเป็นแฟนกับพี่จงอินจริงหรือเปล่าคะ?”  

                “ห๊ะ!?”

     

                คำถามจี้ใจดำจนต้องอ้าปากค้าง เขาไม่ได้ต้องการปิดบังความสัมพันธ์ระหว่างเราหรืออะไร เพียงแต่มันไม่ได้ชัดเจนขนาดที่คนนอกจะมองออกได้ง่ายๆ หรือว่านี่คือสิ่งที่เพื่อนของเขาเคยพูดถึง...สิ่งที่เรียกว่ามนุษย์สาววาย

     

                “เอ่อ...คือ...มัน...”

                “พี่ยังโสดครับ”

     

                คิมไค...

     

                “จริงหรอคะ? ถ้าอย่างนั้นหนูขอคาทกพี่ไคหน่อยได้มั้ยคะ?”

     

                เซฮุนไม่ได้ฟังคำตอบจากปากของบุคคลที่มาใหม่ เขาเดินเลี่ยงออกมาอยู่ตรงเคาท์เตอร์แทน หมอนั่นคงจะดีใจที่รู้ว่าตัวเองเนื้อหอม...มาก ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงสมัยนี้ถึงชอบคนตัวไหม้

     

                แล้วทำไมต้องบอกว่าตัวเองยังโสดด้วยวะ บอกไปว่าเป็นแฟนกับเขามันยากมากหรือไง

     

                ไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย...











    . . . . . . . . . . . .­­





     

                 แบคฮยอนตื่นมาอีกทีก็เที่ยงแล้ว กว่าเมื่อคืนจะข่มตานอนหลับได้ก็ปาเข้าไปตีสี่ ความจริงเขาเผลอหลับไปตอนที่กำลังนั่งคุยกับเจ้าลูกสุนัขบนโซฟา หลังจากนั้นคิดว่าชานยอลคงทำแผลให้เขาแล้วอุ้มมานอนที่ฟูกข้างๆเตียงของเจ้าตัว

     

                เขารู้สึกตัวขึ้นมาตอนเที่ยงคืน ตอนที่ตัวเองอยู่บนฟูกนุ่ม ถูกคลุมด้วยผ้าห่มกลิ่นหอมเหมือนดอกมะลิ และฝ่าเท้าข้างขวาที่ถูกพันด้วยผ้าพันแผลอย่างดี

     

                หันข้างไปก็เจอกับขอบเตียงที่สูงกว่าฟูกไม่มากเท่าไร และแขนยาวๆของมนุษย์ใจดีที่ห้อยลงมา ชานยอลคงจะเหนื่อยมาก...

     

               

                “ตื่นแล้วหรือ?” เสียงทุ้มอันคุ้นเคยดังขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่โผล่พ้นขอบเตียงออกมา แบคฮยอนที่ลืมตาอยู่ก่อนแล้วสะดุ้ง เผลอยกผ้าห่มขึ้นคลุมโปง

     

                “นี่เห็นฉันเป็นตัวอะไรเนี่ย” ชานยอลโวยวาย แต่ไม่ได้จริงจังอะไร เขาเอื้อมมือไปเปิดผ้าห่มนั่นออก แล้วก็เห็นแบคฮยอนที่นอนเอาหน้าซุกหมอน

     

                “ลุกขึ้นมาได้แล้ว ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ”

                “....” แบคฮยอนขยับตัวแล้วลุกขึ้นนั่งอย่างระมัดระวังไม่ให้เท้าไปโดนขอบเตียง ไม่เข้าใจว่าทำไมชานยอลถึงต้องขมวดคิ้วด้วย ยังเช้าอยู่เลยแท้ๆ โกรธอะไรเขาหรือเปล่า หรือเมื่อคืนเขานอนกรน หรือจะบ่นเรื่องที่เขาเผลอหลับบนโซฟา

     

                “ฉันจะไม่อ้อมค้อมนะ บอกฉันมาว่าตอนที่เธอไปห้องของจื่อเทาเธอเห็นอะไรบ้าง”

                “....”

     

                แบคฮยอนตัวสั่นขึ้นมาทันที เขายกแขนกอดตัวเองอีกครั้งหวังจะให้มันหยุด ภาพของจื่อเทาที่นอนจมกองเลือดฉายขึ้นในหัวเป็นฉากๆ นิ้วมือที่ยังกระตุก และดวงตาที่เหลือเพียงแค่สีขาว

     

                “บอกฉันแบคฮยอน ไม่มีอะไรต้องกลัว แค่บอกฉัน” ชานยอลจับไหล่ของเขาเอาไว้ แล้วบีบเบาๆ

                “ไม่...ผมไม่ได้ฆ่าเขา”

                “ไม่เป็นไร ฉันรู้ ฉันเชื่อเธอ บอกไปแล้วไม่ใช่หรือ”

     

                ริมฝีปากที่สั่นระเรื่อพยายามจะเอ่ยอะไรบางอย่าง ดวงตาสุกสว่างเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาที่พร้อมจะไหลลงมาได้ทุกเมื่อ แบคฮยอนบีบแขนตัวเองจนเป็นรอยแดง แต่ถึงอย่างนั้นตัวเองก็ยังหยุดสั่นไม่ได้เสียที

     

                “น่ะ...น่ากลัว” คำพูดที่ออกมาจากริมฝีปากสีชมพูเรียกความสนใจจากชานยอลได้ดี แม้จะไม่ได้ข้อมูลที่ต้องการก็ตาม เขาเข้าใจว่าความรู้สึกของการเห็นคนตายเป็นอย่างไร ถ้าเลือกได้ เขาก็ไม่อยากเห็นมัน ไม่มีใครอยาก

     

                ชานยอลตัดสินใจลงไปนั่งบนฟูกแล้วรวบตัวแบคฮยอนเข้ามากอดแนบอก ลูบหัวปลอบอีกคนเบาๆ แม้จะเคอะเขินแต่ถ้ามันทำให้อีกคนอาการดีขึ้นก็ต้องทำ

     

                “ไม่มีอะไรน่ากลัว ฉันอยู่ตรงนี้ ฉันจะช่วยเธอเองได้ยินมั้ย? ถ้าเธอไม่บอกว่าเธอเห็นอะไรแล้วฉันจะช่วยเธอได้ยังไงหืม?” แบคฮยอนสงบลงไปบ้างแล้ว เขาจึงหยุดลูบผมและผละตัวออกมาเช็ดน้ำตาให้อีกคน ชานยอลคิดว่าคงอีกนานกว่าแบคฮยอนจะหายจากอาการเหล่านี้

     

                หรือบางทีเขาอาจจะรีบร้อนเกินไป นั่นอาจจะยิ่งทำให้แบคฮยอนปิดใจด้วยหรือเปล่า

     

                “ผม...นึกไม่ออก” แบคฮยอนพูด “ผมนึกไม่ออกจริงๆ”

                “ไม่เป็นไร ฉันจะไม่ถามเธอแล้ว ขอโทษด้วยแล้วกัน” มือใหญ่ยีหัวของแบคฮยอนเบาๆก่อนจะลุกขึ้นจากฟูกแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

     

                เขามองตามแผ่นหลังกว้างไปจนลับสายตา แล้วลูบแขนตัวเองเบาๆ สัมผัสยังคงหลงเหลืออยู่ กลิ่นหอมของผิวกาย รวมไปถึงน้ำเสียงที่พร่ำบอกกับเขาว่าไม่เป็นไร ทุกอย่างกำลังทำให้บางสิ่งในอกเขาสั่นไหวอย่างน่ากลัว

               

     


     

    All the statistics in the world can’t measure the warmth of your hug -

    ไม่มีสถิติใดในโลกที่สามารถวัดความอบอุ่นของอ้อมกอดคุณได้”

     

     

     

     

     

                ชานยอลเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับตัวที่ยังคงเปียกหมาดๆ กายท่อนล่างมีผ้าเช็ดตัวสีขาวคลุมอยู่ระเข่า ส่วนท่อนบนปล่อยโล่ง แบบที่ทำเป็นประจำทุกวัน โดยที่ลืมไปเสียสนิทว่ามีแขกอีกคนอยู่ในห้องนอน

     

                “....” แบคฮยอนนั่งหันหลังให้เขา เจ้าตัวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาอาบน้ำเสร็จแล้ว และยืนอยู่ข้างหลัง แผ่นหลังนั่นเหมือนไม่ใช่ของเพศชายหากมองแวบแรก แวบที่สองก็ไม่ใช่

     

                จากตรงนี้ชานยอลมองเห็นแววตาของอีกคนได้อย่างชัดเจน แววตาที่สะท้อนกับแสงอาทิตย์ มันสุกสว่าง แต่ไม่มีความสุข ไม่มีรอยยิ้ม และยังมีอะไรอีกมากมายที่กำลังรอให้เขาค้นหา

     

                เขารู้สึกว่า...

                แบคฮยอนอาจจะไม่ได้เห็นแค่ศพของฮวางจื่อเทา

     

                และเขาก็รู้สึกว่า...

                แบคฮยอนคือกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ฆาตกรตัวจริง

     

     

                “รู้สึกดีขึ้นบางหรือยัง” ชานยอลถาม พลางเช็ดผมไปด้วย แบคฮยอนหันกลับมาหาเขาแทบจะทันที แล้วเจ้าตัวก็ฉีกยิ้มพร้อมพยักหน้า ซึ่งเขามองออกว่ามันเฟค

     

                “โกหก” ครั้งนี้แบคฮยอนทำหน้าตกใจ ซึ่งเขาไม่รู้ว่าตกใจเพราะถูกเขาจับได้ หรือตกใจว่าทำไมเขาถึงพูดอย่างนั้นกันแน่

     

                “ผมเปล่า...นะ”

     

                ชานยอลเดินเข้าไปใกล้คนที่นั่งอยู่บนฟูก แล้วยีหัวเบาๆ

     

                “ฉันจะไม่ถามเธออีก ขอโทษด้วยแล้วกัน” ก่อนจะเดินเลยไปยังหน้าโต๊ะทำงานไม้ที่มีไดร์เป่าผมวางอยู่ ไม่นานทั้งห้องก็เต็มไปด้วยเสียงจากไดร์ ไร้คำพูดของคนสองคน

     

                แบคฮยอนนั่งมองแผ่นหลังเปลือยเปล่าของชานยอลเงียบๆ สีหน้าของอีกคนยังคงเหมือนเดิม เว้นแต่ไม่ได้ขมวดคิ้วเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว ในสายตาของเขา มันอาจเร็วไปที่จะพูดแบบนี้ แต่เขาคิดว่าชานยอลเหมือนบ้าน

     

              บ้านที่ตอนนี้เขาอยู่แล้วปลอดภัยที่สุด...

     

                รู้สึกแย่ที่ตัวเองไม่กล้าพอที่จะบอกความจริงออกไป ทั้งที่ชานยอลเป็นคนช่วยเขาไว้ และยังมีคำถามที่เขาอยากรู้ ว่าคนที่เป็นแค่เจ้าของร้านดอกไม้ธรรมดา จะมาช่วยเขาด้วยจุดประสงค์อะไรกัน...

     

                ชานยอลมองมาที่แบคฮยอนผ่านกระจก ก่อนจะพูด “เธอเข้าไปอาบน้ำสิ” แต่ยังไม่ทันที่แบคฮยอนจะได้ตอบอะไร ร่างสูงก็พูดขึ้นมาอีก

     

                “จริงสิ ไม่มีชุดสินะ ใส่ของฉันไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยววันนี้พากลับบ้าน”

     

                เสียงไดร์เป่าผมดับลง พร้อมกับร่างของชานยอลที่เดินมาทางตู้เสื้อผ้าที่ติดอยู่กับฟูกที่เขานอน แล้วเลือกเสื้อผ้าให้ เป็นเสื้อยืดคอกลมธรรมดาและกางเกงสามส่วน

     

                แบคฮยอนอยากอาบน้ำก็จริง แต่ว่า...

     

                “ชานยอล...”เขาเรียก

                “ว่าไง”

                “ผม...ไม่กลับบ้าน...ได้ไหม”

     

                เขาเห็นชานยอลขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนจะทำหน้าบางอ้อ “อ๋อ ฉันไม่คิดจะให้เธอกลับไปนอนที่นั่นหรอก แค่ไปเอาของ ฉันกะว่าจะให้เธออยู่ที่นี่สักพัก”

     

              อยู่ที่นี่สักพัก...อย่างนั้นหรือ

     

                “ฉันไม่โง่ปล่อยให้เธอกลับไปโดนตำรวจจับหรอก ไม่ต้องห่วง”

     

                ชานยอลยีหัวเขาอีกครั้ง...อีกแล้ว ชานยอลยิ้มอีกแล้ว แบคฮยอนคิดว่าในบรรดาผู้คนที่เขาเคยพบ ชานยอลมีรอยยิ้มที่สวยที่สุด และอบอุ่นที่สุด...

     

                แต่ว่า...

     

                “ชานยอล ผมมีเรื่องจะถาม”

                “ว่ามาสิ”

                “ชานยอลไม่ได้เป็นแค่เจ้าของร้านดอกไม้ใช่ไหม” ชานยอลนิ่งไป

                “ใช่หรือเปล่า...” และก็ยังคงไร้คำตอบ

     

                มีเพียงแค่รอยยิ้มจางๆ และฝ่ามือบนหัวของเขา

     

                “ฉันเป็นอะไรก็ได้ที่เธออยากให้ฉันเป็น” ชานยอลพูดขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน และรอยยิ้มนั่นยังคงไม่หายไปจากใบหน้าของเขา “ตอนนี้เธอเห็นฉันเป็นอะไรล่ะบยอนแบคฮยอน”

     

                “ตอนนี้...” เขาหยุดคิด แล้วพูด “ชานยอลเป็นบ้านของผม”

     

                “ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะเป็นบ้านที่ดีที่สุดให้เธอ” มือที่วางอยู่บนหัวเลื่อนลงมาที่แก้ม ชานยอลมีมือที่ใหญ่มากพอที่จะกอบกุมบริเวณเนื้อแก้มของเขาจนมิด และมันอุ่นจนร้อนเหมือนผิวกำลังไหม้ แววตาที่มองมานั้นจริงจังราวกับจะตอกย้ำคำพูดให้ลงลึกเข้าไปในใจ

     

                “ฉันรู้ว่าความเชื่อใจมันไม่ได้ให้กันง่ายๆ และฉันจะไม่ขอให้เธอเชื่อฉันทั้งหมดในตอนนี้...”

                “....”

                “แต่ฉันจะค่อยๆแสดงให้เธอเห็น ว่าฉันตั้งใจจะช่วยเธอ...จริงๆ”

                “....”

                “เพราะฉะนั้นถ้าเธอนึกอะไรออกก็ให้รีบบอกฉัน” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างจริงจัง “เข้าใจหรือเปล่า”

     

                แบคฮยอนพยักหน้าช้าๆ อยากจะบอกชานยอลเหลือเกินว่าแค่สายตาและน้ำเสียงก็ทำให้เขาเชื่อตั้งแต่คำแรกที่พูดแล้ว

     

                “เก่งมาก” ชานยอลชม ตบหัวเขาเบาๆสองสามที “เดี๋ยวฉันจะพาไปทำความรู้จักกับสมาชิกในร้านนะ”

     

                ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการพยักหน้าอีกครั้ง ชานยอลเห็นแบบนั้นเลยวางใจ ร่างสูงเดินกลับไปเป่าผมให้แห้ง ส่วนแบคฮยอนก็เดินเข้าไปอาบน้ำพร้อมกับชุดที่อีกคนเตรียมให้

     

                พลางคิดในใจว่า ถ้าไม่อยากเป็นภาระ เขาเองก็ต้องรีบนึกให้ออกว่าคืนนั้น...

                มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

     



     

               

                . . . . . . . . . . . .­­





     

               

                ชานยอลเดินลงมาที่ชั้นร้านของร้านพร้อมกับชุดไหมพรมคอเต่าสีเทาและกางเกงยีนส์ขากระบอกสีดำเหมาะกับอากาศฤดูใบไม้ร่วง ลูกสุนัขสีขาวรีบวิ่งเข้ามาหาเขาทันทีที่เห็น ชานยอลอุ้มมันขึ้นแล้วเดินไปหาลูกน้องตัวดำที่กำลังนั่งกินขนมปังอยู่ตรงเคาท์เตอร์

     

                ตอนนี้ร้านกำลังปิดชั่วคราวเพื่อให้พนักงานพักกลางวัน

     

                “ทำไมไม่ไปนั่งกินกับเจ้าเซฮุนมันล่ะ” ชานยอลพูด แล้วเพยิดหน้าไปทางลูกน้องตัวขาวที่กำลังนั่งกินคัพมาม่าอยู่ตรงโต๊ะติดริมหน้าต่างทางอีกฝั่งของร้าน ปกติไอ้สองคนนี้ชอบทำตัวติดกันจะตายไป

     

                “โดนมันงอนว่ะบอส” จงอินเบะปาก

                “เรื่องนี้กูจะไม่ยุ่งแล้วกันพวกมึงไปจัดการกันเอง กูมีคนจะมาแนะนำให้พวกมึงรู้จัก” ชานยอลพูด วางลูกสุนัขลงบนเคาท์เตอร์ “เซฮุนนา! มาหาเฮียหน่อย”

     

                จงอินที่ได้ยินชื่ออีกคนก็รีบหันขวับไปหาเจ้านายตัวเองทันที และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ชานยอลขยิบตา

     

              โถ...ไหนบอกว่าจะไม่ยุ่ง

               

                เซฮุนเดินมาที่เคาท์เตอร์อย่างไม่มีทางเลือก สีหน้าของเจ้าตัวไม่มีอะไรบ่งบอกถึงความแฮปปี้เลยแม้แต่น้อย ไม่เป็นไร เดี๋ยวคืนนี้คิมจงอินจัดการเอง

     

                “ฉันมีคนจะมาแนะนำให้พวกนายรู้จัก เขาจะมาอยู่ที่นี่กับฉันสักพัก”

                “ไม่ใช่แฟนหรอ” เซฮุนถาม

                “ใช่ก็ดีเหมือนกัน” ชานยอลตอบทีเล่นทีจริง ก่อนจะเรียกให้อีกคนออกมา “บยอนแบคฮยอน ออกมาสิ”

     

                พูดจบ คนที่แอบอยู่ข้างหลังเคาท์เตอร์ก็ค่อยๆเดินออกมา คนตัวเล็กอยู่ในชุดเสื้อยืดคอกลมสีขาวและกางเกงที่ถูกเปลี่ยนจากสามส่วนเป็นสกินนี่ยีนส์แทนเนื่องจากว่ามันหลวมเกินไป แบคฮยอนเดินมาหยุดที่ข้างๆชานยอล ไม่แม้แต่จะสบตาคนอีกสองคนด้วยซ้ำ

     

                “เงยหน้าขึ้นสิพวกนี้มันไม่กัดเธอหรอก”

                “ผู้หญิงหรอวะบอส? แล้วไหนบอกไม่ใช่แฟน แล้วทำไมต้องใส่เสื้อบอสด้วยอ่ะ” ลูกน้องตัวดำรัวคำถามแบบไม่ปล่อยให้คิด พลางใช้สายตาสำรวจตัวของคนมาใหม่ ก็เห็นบอสเรียกว่าเธอ ตกลงผู้หญิงงั้นหรือ

     

                “ผู้ชายเว่ย อีกอย่างเขาเป็นพี่มึง”

                “ต้องเรียกซ้อรึเปล่า?” เป็นเซฮุนที่ถามขึ้น

                “ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่แฟน” ชานยอลส่ายหัวหน่ายๆ ทำไมจะมองไม่ออกว่าเจ้าสองตัวนี้กำลังคิดอะไร เห็นเขากับใครหน่อยก็ชง ขยันชงกันเข้าไปนี่ตกลงไม่รู้เห็นเขาเป็นบอสหรือโอวัลตินกันแน่

     

                เหลือบไปมองแบคฮยอนก็เห็นเจ้าตัว จากที่ตอนแรกยืนอยู่ข้างเขา กลับหลบไปอยู่ข้างหลังเขาเสียแล้ว ชานยอลเลยต้องโอบไหล่อีกคนให้ขยับมาข้างหน้า ช่างเป็นคนที่ขี้กลัวไปหมดทุกเรื่องจริงๆ

     

                “แนะนำตัวสิ”

                “เอ่อ...คือ...”

                “ชื่อบยอนแบคฮยอน เป็นญาติห่างๆของฉันเอง” เมื่อเห็นว่าแบคฮยอนไม่มีท่าทีว่าจะพูดออกมาเขาจึงจัดการให้เสียเอง

                “ญาติแน่หร้อ...” จงอินพูด

                “นั่นน่ะสิ หน้าตาน่ารักขนาดนี้” แล้วไอ้พวกนี้มันมาแท็กทีมกันตั้งแต่เมื่อไร

     

                แล้วก็เป็นเซฮุนที่เดินเข้ามาหาแบคฮยอน ส่วนสูงของสองคนนี้ต่างกัน...พอสมควร เซฮุนจึงต้องก้มหน้ามอง “ไม่ต้องกลัวนะ พวกผมไม่กัดหรอก ผมชื่อโอเซฮุน เป็นพนักงานที่ร้านนี้”

     

                “อื้อ...ยะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ” แบคฮยอนค่อยๆเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเซฮุนสวยมากเมื่อได้มองใกล้ๆ ผิวก็ขาวเนียน หากเซฮุนตัวเล็กกว่านี้อีกสักสองไซส์ เขาเองก็คงเข้าใจผิดคิดว่าเซฮุนเป็นผู้หญิงเหมือนกัน

     

                มือเล็กยื่นไปจับมือของเซฮุนที่ยื่นออกมาก่อนแล้ว เซฮุนยิ้มให้เขาจนดวงตาเป็นรูปเสี้ยวพระจันทร์

     

                “ส่วนผมคิมจงอิน เรียกไคก็ได้”

                “อ่ะ อื้อ...ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน...นะ” คนที่ชื่อจงอินเดินเข้ามาหาเขา เป็นคนที่มีผิวเข้ม และมีใบหน้าที่ดูดีแบบผู้ใหญ่ โดยรวมแล้วดูเป็นคนที่เซ็กซี่มากในความคิดของแบคฮยอน แต่ก็ดูน่ากลัวในเวลาเดียวกัน

     

                ชานยอลจุดบุหรี่สูบเงียบๆ มองดูคนสามคนที่กำลังทำความรู้จักกันอย่างเคอะเขิน แต่อย่างน้อยนี่ก็เป็นการฝึกให้แบคฮยอนก้าวผ่านความกลัวของตัวเอง หมอนั่นควรจะได้พบเจอผู้คนบ้าง อย่างน้อยก็ขอให้เป็นคนที่เขาไว้ใจ

     

     


     

                และเขาก็คิดว่าแบคฮยอน...

                น่ารักดี

     




     

                To be continued

     

          
     

          . . . . . . . . . . . .­­        

     

               
    มีอะไรสงสัยให้ทดเอาไว้ในใจ
    #ficdieblume
    #อซน

     

               

     

               

     

               

               

     

               

     

               

     





     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×