ก้าวข้าม - ก้าวข้าม นิยาย ก้าวข้าม : Dek-D.com - Writer

    ก้าวข้าม

    fan fiction จ้า คังทึกน้า คังทึก

    ผู้เข้าชมรวม

    190

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    190

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  9 ธ.ค. 50 / 02:16 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    ตามสไตล์จ้า

    ไม่เรทนะคะ

    เรื่องราวความผูกพันธ์และความห่วงใยระหว่างคนสองคน

    ในยามที่ต้องพบเจอกับอุปสรรค แล้วจะต้องก้าวข้ามไปด้วยกัน

    สำหรับแฟนเอสเจคงจะรู้ดีว่าตอนนี้เกิดปัญหาอะไรกันบ้าง

    อยากให้เรื่องนี้เป็นกำลังใจส่วนหนึ่งนะคะ

    คนที่ไม่ใช่แฟนเอสเจก็ไม่เป็นไรน้าค๊า อ่านได้ อ่านได้ อิ อิ

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ร่างบางบนเตียงสีขาวดูสะอาดตา ข้างเตียงมีดอกไม้ช่อโตวางอยู่
      สีสันสดสวยพร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ทำให้ผู้ที่ได้อยู่ใกล้ๆรู้สึกสดชื่น

      แต่ไม่ใช่กับคนที่นอนอยู่บนเตียง ใบหน้าหวานที่ซีดจนแทบไม่มีสีเลือด
      ดวงตาปิดสนิท ลมหายใจที่สม่ำเสมอ เสมือนเจ้าหญิงนิทรารอคอยเจ้าชายมาจุมพิต
      เพื่อปลุกให้ตื่นจากการหลับไหลหลุดดพ้นจากคำสาปของแม่มดใจร้าย
      แล้วเจ้าหญิงก็ครองคู่อยู่กับเจ้าชายอย่างมีความสุขตราบนิจนิรันดร์

      หากเป็นดังในนิยายก็ดีนะสิ
      .
      .
      .
      .
      .


      “ทึกกี้ ฮยอง”

      “ทึกกี้ ฮยอง”


      เสียงเรียกที่แผ่วเบา ไม่ว่าจะเรียกชื่อนี้กี่ครั้ง
      เจ้าของชื่อก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาซักที จนคนเรียกได้แต่นั่งกุมขมับ
      หน้าตาซีดเซียวเนื่องจากอดนอนมาหลายวัน
      จะนอนได้อย่างไรในเมื่อเขาห่วงแสนห่วงคนตรงหน้า ทำไมยังไม่ตื่นซักทีนะ


      “คังอิน ไปเหอะ เดี๋ยวไปอัดรายการไม่ทันนะ” คนที่ถูกเรียกยังคงนั่งนิ่ง
      “พี่ลีทึกไม่เป็นอะไรแล้ว ที่นี่มีหมอกับพยาบาลดูแลอยู่แล้วนะไปทำงานได้แล้ว”
      คังอินยังคงนั่งนิ่งที่เดิม

      “โธ่โว้ย! นายจะนั่งเป็นสากกระเบืออีกนานมั้ย ถ้านายไม่ไปทำงาน
      คนที่จะโกรธนายที่สุดก็คือพี่ลีทึกเองนะแหละ พี่เค้าจะดีใจมั้ยที่เห็นนายเป็นอย่างนี้
      ถ้านายเป็นอะไรไปอีกคนแล้วจะทำยังไงกัน กินข้าวซะด้วยก่อนไป”


      ชองมินมองหน้าคังอินอย่างเอาเรื่อง ไม่ใช่ว่าเค้าไม่เข้าใจว่าคังอินรู้สึกยังไง

      แต่ว่าที่คังอินกำลังทำมันเหมือนกำลังทำร้ายตัวเองชัดๆ
      ตั้งแต่ที่ลีทึกอาเจียนแล้วก็เป็นลมเมื่อวานเย็นจนต้องส่งโรงพยาบาล
      แต่ไม่มีใครบอกคังอินเพราะเขากำลังอัดรายการอยู่
      ทุกคนรู้ดีว่าหากคังอินรู้ต้องโดดอัดรายการมาแน่ๆ
      นั่นแหละคือสาเหตุที่คังอินไม่พูดกับใคร ข้าวก็ไม่ยอมกิน นอนก็ไม่ยอมนอน
      หากต้องล้มป่วยไปอีกคนก็แย่น่ะสิ เพื่อนๆในวงต่างหนักใจจะทำยังไงได้
      ทุกคนก็เป็นห่วงลีทึกเหมือนกันก็ต้องรอจนกว่าลีทึกจะฟื้นขึ้นมา
      เพื่อไกล่เกลี่ยนะแหละ
      คังอินถึงจะยอมฟัง

      ชองมินพูดจบ คนที่นั่งนิ่งๆก็ยอมขยับตัวออกมาจากข้างๆเตียงโดยไม่ได้กล่าวอะไร
      ชองมินได้แต่ถอนหายใจออกมาหนักๆ กับอาการของคนหัวดื้อ

      หลังจากที่คังอินกับชองมินกลับไปทำงาน เหลือเพียงแต่ร่างบางนอนบนเตียง
      ร่างกายที่ซูบผอมลง หน้าตาซีดเซียวดูมีสีเลือดขึ้นบ้างจากการได้นอนพักสองวันเต็มๆ
      การที่ตารางงานแน่นเอียดจนแทบกระดิกตัวไปไหนไม่ได้
      เวลาพักผ่อนนอนหลับที่แสนจะน้อยนิด ทำให้ร่างกายที่ไม่ค่อยจะแข็งแรงอยู่แล้ว
      อ่อนล้าเกินทนไหว


      แต่เพราะอะไรล่ะที่ยังกัดฟันสู้ทำงานอยู่ได้ก็เพราะแฟนเพลงที่คอยรัก
      และให้กำลังใจอยู่เสมอ เพื่อนๆในวงที่ล้วนทำงานอยู่เคียงข้างกันอย่างทุ่มเท
      เพื่อตอบแทนความรักของแฟนคลับ ไม่อยากทำให้แฟนคลับผิดหวัง
      เพียงแค่เห็นทุกคนที่รักมีความสุขเขาก็สู้ต่อไม่ยอมแพ้อย่างเด็ดขาด


      แต่ท้ายที่สุดมันก็ไม่ไหวจริงๆ ประกอบกับความเครียด
      จากเรื่องที่คังอินถูกพักงานพิธีกรถึงสามงานรวด


      “ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ดีซะอีก ผมจะได้พักผ่อนเยอะๆไง
      เดี๋ยวซูบไปแล้วคนแถวนี้จะไม่รัก
      เพื่อนคนอื่นต้องอิจฉาผมซะมากกว่าที่ได้พักเนอะ ทึกกี้ฮยอง”


      แม้เจ้าตัวจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แถมยิ้มตอบมาอย่างทะเล้นแบบนั้น
      แต่ทำไมลีทึกจะไม่รู้ ภายใต้รอยยิ้มนั้น คังอินกำลังเครียด งานพิธีกรเป็นงานที่เขารักมาก


      เปลือกนอกที่ดูแข็งกระด้าง ขี้โวยวาย เอาแต่ใช้กำลัง แต่จริงๆแล้วเป็นคนที่อ่อนไหวง่าย
      ขี้สงสารแล้วก็อ่อนโยนมากมาย

      มากพอที่จะทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวทุกครั้งที่อยู่ใกล้

      ความผูกพันธ์ของคนทั้งสองนั้นลึกซึ้งจนคนอื่นยากจะเข้าใจ
      ตัวลีทึกเองก็ไม่ได้อยากให้คนอื่นมาเข้าใจเพราะแค่เพียงคนสองคนเข้าใจกัน
      อย่างอื่นก็คงไม่มีความหมาย หากเพียงวันนี้มีเขาคนนั้นอยู่ข้างๆมันก็มากพอแล้ว



      แสงแดดที่ส่องผ่านเข้ามาในห้องกระทบร่างบาง
      จนคนบนเตียงเริ่มกะพริบตา เพื่อปรับเข้ากับแสง ร่างกายที่รู้สึกหนักอึ้ง
      จนไม่สามารถขยับได้
      นี่เขาอยู่ที่ไหน แสงแดดอบอุ่นที่สาดกระทบตัว
      กลิ่นดอกไม้หอมอ่อนๆ ให้ความรู้สึกดี สดชื่น จนเริ่มผ่อนคลาย


      อา….จริงสิ สิ่งสุดท้ายที่จำได้ กำลังจะกลับอพาร์ทเม้นท์ หลังจากอัดรายการเสร็จ
      แล้ว จู่ๆ ก็เวียนหัว อย่างหนักจนควบคุมตัวเองไม่ได้ อาเจียนออกมา
      แล้วก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย


      มองไปรอบๆตัว ห้องสีขาวสะอาดตา โรงพยาบาล อีกแล้ว
      นี่เขาต้องเข้าโรงพยาบาลอีกแล้ว เขาหลับไปนานเท่าไหร่แล้ว
      งานล่ะ ตารางงานแน่นขนาดนั้นทุกคนจะทำยังไงกัน

      นี่เขาอยู่คนเดียวสินะ ก็คนอื่นต้องทำงาน รู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก
      ใช่ ต้องกลับไปทำงาน
      คิดได้ดังนั้น ก็เอื้อมมือหมายจะกดปุ่มเรียกพยาบาล เขาฟื้นแล้ว
      ไปทำงานได้แล้ว จะทิ้งให้น้องๆทำงานกันตามลำพังไม่ได้นะ

      แล้วคังอินละ เป็นยังไงบ้างนะ ดีขึ้นรึยัง หายเครียดรึยัง คิดถึงคนตัวโตขึ้นมาจับใจ
      แต่ มือที่ไม่ได้ขยับมาสองวันย่อมไร้เรี่ยวแรงเป็นเรื่องธรรมดา



      เพล้ง!!!!!



      มือปัดไปโดนแก้วข้างเตียงตกลงมาแตก
      พร้อมๆกับที่ประตูห้องเปิดออกพร้อมร่างหนาของคนที่เขาคิดถึงมากมาย
      ร่างบนเตียงค่อยๆขยับจะลงไปเก็บเศษแก้วบนพื้น แต่คังอินเร็วกว่า

      “อยู่เฉยๆเหอะนะ ” พร้อมนั่งยองๆลงเก็บเศษแก้วข้างเตียง

      ร่างบนเตียงได้แต่นั่งมองเสี้ยวของคนที่คิดถึงจับใจ ซูบลงรึเปล่านะ
      ได้พักบ้างรึเปล่า กินข้าวบ้างรึยัง ทำงานเป็นยังไงบ้าง มีปัญหาอะไรมั้ย
      คำถามนับสิบที่อยากจะถามถูกปิดด้วยเสียงสะอื้นไห้
      จนคนที่เก็บเศษแก้วจนเสร็จแล้วตกใจ


      นั่งลงบนเตียงเดียวกันพร้อมรั้งตัวคนขี้แยมาโอบกอด พร้อมลูบหลังเบาๆ


      “ผมเพิ่งไปอัดรายการมาเสร็จเร็วก็รีบมาหาทึกกี้ฮยองเลยนะ ไม่ได้โดดงานมานะครับ
      ตอนแรกคิดว่ากินข้าวแล้วค่อยมา แต่ว่าผมมากินพร้อมทึกกี้ฮยองดีกว่านะ ว่ามั้ยครับ
      อืม แล้วงานก็ไม่มีปัญหาอะไร สบายหายห่วง ก็ผมมันคังอินซะอย่าง” พูดแล้วก็อมยิ้ม
      เป็นยิ้มแรกนับตั้งแต่คนในอ้อมกอด ล้มป่วยลง ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าลีทึกคิดอะไร
      เป็นห่วงเป็นใยคนรอบข้างอยู่เสมอ จนเหมือนขี้บ่นเป็นคนแก่อย่างที่น้องๆในวงชอบแซวกัน
      และนี้ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่เขาต้องคอยดูแลเพราะมัวแต่ห่วงคนอื่นจนลืมห่วงตัวเอง


      “ว้า ทำไมคนแก่ขี้แยจัง”พูดจบก็โดนผลักเบาๆ แสดงว่าคนในอ้อมกอดหยุดร้องไห้แล้ว
      “ปล่อยได้แล้ว เดี๋ยวมีใครเข้ามาเห็น” พูดเสียงอ้อมแอ้มอย่างแสดงว่าเขิน คังอินได้แต่ยิ้ม
      แต่ไม่ยอมปล่อย
      “ไม่มีใครมาหรอก พวกที่เหลือทำงานกันยังไม่เสร็จ แล้วอีกอย่างอากาศหนาวๆอย่างนี้
      กอดกันก็อุ่นดีเหมือนกันนะเนี้ย” พูดจบก็ยิ้มแก้มแทบปริก็คนในอ้อมกอด
      ได้แต่ก้มหน้างุด อาย เอาเหอะนานๆจะได้กอดอย่างนี้ ก็ปกติลีทึกเคยยอมที่ไหน
      “ปล่อยเหอะนะ นะ ไม่ปล่อยแล้วจะคุยกันได้ยังไงล่ะ”
      “ก็ทำไมจะคุยไม่ได้ล่ะครับผม” เฮ้อ ไม่เคยเอาชนะคนขี้แกล้งแล้วก็หัวดื้อคนนี้ได้ซักครั้ง


      “เอ่อ แล้วเรื่องนั้น......”ลีทึกนึกขึ้นมาได้เรื่องที่เขาพะวงอยู่
      “ไม่รู้สิ ตอนนี้กำลังเจรจากันอยู่มั้ง ผมไม่ใส่ใจหรอกนะ” ทำไมจะไม่ใส่ใจล่ะ
      แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ แค่ตอนนี้คนตรงหน้าฟื้นขึ้นมาเขาก็ดีใจจนไม่อยากจะนึกถึงอีก

      “กินข้าวกันมั้ย” จู่ๆลีทึกก็พูดขึ้นมา คังอินจึงพยักหน้าอย่างงงๆ จริงๆแล้วเขายังไม่หิว
      แต่ว่าหากได้อยู่ข้างๆคนตรงหน้าอะไรก็ยอม

      คังอินออกไปซื้อของโปรดให้ลีทึกที่เจ้าตัวยืนยันว่าอยากกินจริงๆ
      แปลกทั้งที่ปกติมีอะไรก็กินแท้ๆแต่ช่างเหอะตอนนี้ไม่อยากขัดใจคนป่วย

      กลับเข้ามาพร้อมอาหารถุงใหญ่ ลีทึกเห็นถึงกับหน้าเบ้ จะกินหมดมั้ยน่ะ
      คังอินก็บอกต้องกินให้หมดจะได้หายไวไว จากคนที่ตอนแรกรู้สึกไม่หิว
      ก็กวาดเรียบนึกว่าวิญญาณชินดงเข้าสิงซะอีก
      เพราะลีทึกกินอาหารที่ทางโรงพยาบาลเตรียมให้
      ส่วนของที่คังอินซื้อมาก็กินได้แค่นิดเดียว ที่เหลือคังอินก็จัดการซะเกลี้ยง


      หลังจากกินข้าวเสร็จก็ต้องกินยา แล้วก็นั่งคุยกันจนฤทธิ์ยาเริ่มออก ลีทึกเริ่มง่วงนอน
      “นอนพักเถอะนะ เดี๋ยวผมต้องไปทำงานต่อแล้ว” คังอินห่มผ้าให้ลีทึก
      ที่เอนตัวลงนอนเรียบร้อย
      “คืนนี้เจ้าพวกนั้นคงจะมาเยี่ยมกันพร้อมหน้า โรงพยาบาลแตกแน่ๆ ฮึ ฮึ”
      คังอินยิ้มขำๆกับวีรกรรมที่แต่ละคนเคยสร้างไว้ตอนมาเยี่ยมคยูฮยอนครั้งก่อน


      ริมฝีปากหนาแตะแผ่วเบาบนหน้าผากมน ใบหน้าหวานได้แต่ยิ้มรับโดยไม่พูดอะไร


      “รักนะครับ” ถ้อยคำสั้นๆแต่ย้ำเน้นให้รู้ความรู้สึกที่ตนมี ส่งผ่านถึงคนตรงหน้า ห
      ลายครั้งที่กล่าวคำนี้ แต่ทุกครั้งก็ยังคงสร้างความหวั่นไหว อบอุ่นใจแก่ลีทึกทุกครั้ง


      คังอินรู้ดีว่าถึงแม้ ร่างบางจะไม่เคยกล่าวคำว่ารัก
      แต่มันจะสำคัญอะไรเมื่อการกระทำก็บ่งบอกทุกอย่างอยู่แล้ว
      เขารอได้ จนกว่าวันที่ลีทึกจะพร้อมแล้วพูดคำนั้นออกมา
      เพราะแค่ทุกวันได้อยู่เคียงข้างกันก็มีความสุขมากอยู่แล้ว เขาก็ไม่ต้องการอะไรอีก

      “หลับฝันดี ฝันถึงผมนะ” แต่ก่อนที่คังอินจะผละออกไปจากห้อง
      ลีทึกรั้งมือคนตัวโตไว้ คังอินได้แต่แปลกใจ
      นิ้วเรียวของลีทึกเขียนอะไรบางอย่างบนมือหนาของคนตัวโต
      สั้นๆแต่ความหมายของมันทำให้คนที่ได้รับอบอุ่นหัวใจ และมีความสุขมากที่สุด


      คำว่า “รัก” ฉันรักนายเหมือนกันนะ คังอิน



      เขียนเสร็จก็รีบปล่อยมือ แล้วนอนหันหลังให้
      ปล่อยให้คังอินซึมซับความหมายของมันให้ฝังเข้าไปในหัวใจ
      แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว แค่มีคนตรงหน้าก็เพียงพอแล้วจริงๆ
      ไม่ว่าจะเจออะไรอีกก็ไม่หวั่นอีกแล้ว

      คังอินค่อยๆเดินออกมาจากห้องผู้ป่วยด้วยหัวใจพองโต
      ยิ้มอย่างที่ไม่เคยยิ้ม ในรอบหลายวันนับตั้งแต่เกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย
      อากาศหนาวนะ แต่ ทำไมเขาไม่รู้สึกหนาวเลย
      ล้วงมือเข้าไปในเสื้อโค้ทตัวยาว ก็เจอกระดาษโน๊ตแผ่นเล็กๆ



      “ถนนที่เราเดินบางทีก็ไม่ได้ราบเรียบเสมอไป
      เจอก้อนหินก้อนกรวดบ้างเป็นเรื่องธรรมดา
      บางครั้งก้อนหินอาจจะใหญ่ไปซักหน่อย
      แต่ก็ต้องก้าวข้ามไป ไม่อย่างนั้นก็ไปต่อไม่ได้
      ทางข้างหน้าไม่รู้ว่าจะต้องเจอก้อนหินอีกกี่ก้อน
      แต่ว่าฉันก็จะขอเดินไปกับนาย
      เราจะก้าวข้ามไปด้วยกันนะ ฉันสัญญา”
      แอบไปเขียนตอนไหนนะ



      ผมกำลังยืนอยู่ท่ามกลางสายลมหนาว
      แต่ผมไม่รู้สึกหนาวอีกต่อไปแล้ว
      ก็เพราะผมมีลีทึกเป็นแสงแดดในฤดูหนาวที่อบอุ่น
      คอยสาดส่องให้หัวใจของผมไม่หนาวเหน็บอีกต่อไป


      The End....................

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×