ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มหัศจรรย์เพื่อนผีต่างมิติ

    ลำดับตอนที่ #1 : รักแรกพบ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 19
      0
      18 ก.พ. 47

        “พ่อไปดูข้อมูลของบ้านมาแล้วนะ  ทั้งขนาด  สภาพของบ้านและสิ่งแวดล้อมรอบๆนี้ใช้ได้เลยล่ะ  อยู่ใจกลางเมืองไปไหนมาไหนสะดวกดี”

        “งั้นเราก็ย้ายเข้าไปอยู่ได้เลยสิคะ”  หนูมนหรือชื่อจริงว่ามนทิราลูกสาววัย 5 ขวบของพิเชฐซึ่งเป็นวิศวกรพูดอย่างไร้เดียงสาพลางลูบหัวของอั่งเปาลูกสุนัขพันธุ์พูเดิ้ลวัย 5 เดือน

        “อย่างเร็วก็ประมาณปีหน้าแหละลูก  นี่ยังไม่ได้ทำสัญญากันเลย”  พิเชฐตอบลูกสาวอย่างเอ็นดู

        “แต่หนูไม่อยากย้ายนะคะพ่อ  บ้านนี้ก็ร่มรื่นสบายอยู่แล้วนี่คะ  หนูอยู่ที่นี่ก็มีความสุขมากแล้วค่ะ”  หนูมนพูดตามความคิดตนแล้วมองพ่อตาแป๋ว

        “มน!  แม่บอกกี่ครั้งแล้วว่าเวลากินข้าวอย่าเอามือไปลูบขนของอั่งเปา  ไปล้างมือไป๊แล้วมากินต่อ”  อ.เมยานีผู้เป็นมารดาเอ็ดลูกสาวแล้วจึงพาหนูมนไปล้างมือในครัว

        “โธ่เอ๊ย! ยายตัวเล็กนี่ขี้ลืมจริง  ว่าแต่พ่อฮะแถวนั้นมีคนเลี้ยงสัตว์พวกสุนัขเยอะไหมฮะ”  ธรรมราตลูกชายคนโตที่ขณะนี้อยู่ในช่วงเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย  ซึ่งเขาตัดสินใจจะสอบเข้าคณะวิทยาศาสตร์พูดถึงน้องสาวอย่างเอ็นดูมากกว่าที่จะพูดว่าจริงๆ

        ธรรมราตไม่ชอบสุนัข  แม้แต่อั่งเปา  ทั้งๆที่คนในครอบครัวของเขาต่างก็เป็นผู้ที่ชื่นชอบสุนัขกันทั้งนั้น  สาเหตุที่เขาไม่ว่าอะไรที่บิดาซื้ออั่งเปามาเลี้ยงก็เพราะเขาไม่อยากขัดใจคนในครอบครัวให้มันเป็นเรื่องเป็นราวไปเปล่าๆ  ในยามว่างเขามักจะไปขลุกอยู่ชั้นบนของบ้าน  ซึ่งทุกคนก็จะรู้ดีว่าเขาไปเล่นเกมคอมพิวเตอร์และเขาก็มีฝีมือถึงขั้นเซียนเลยทีเดียว  ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล  ข่าวสารหรืออะไรใหม่ๆเกี่ยวกับเรื่องนี้  ถ้าถามเขาคุณจะตะลึงเลยทีเดียวเพราะเขาจะรู้ทุกๆเรื่อง  ถ้าจะสร้างเกม ขึ้นมาเองก็คงไม่ยากนัก  แต่เขาจะชอบทางด้านวิทยาศาสตร์มากกว่า  นี่คือเหตุผลที่เขาเลือกคณะวิทยาศาสตร์เป็นอันดับหนึ่ง

        “พ่อฮะ  ผมคิดเหมือนมนนะฮะ  ผมไม่อยากย้ายบ้าน  ที่นี่มีอากาศสดชื่นแต่ที่นั่นมองไปทางไหนก็เห็นแต่ตึกทั้งนั้น  อากาศก็มีแต่มลพิษ  มันดีกว่าที่นี่ก็ตรงที่สะดวกสบายเท่านั้นเองฮะพ่อ”   เขาแสดงความคิดเห็นต่อบิดา

        พิเชฐถอนหายใจแล้วเฉไปพูดอย่างอื่นแทน  “วันนี้พ่อซื้อหนังสือแนวข้อสอบเอนทรานซ์มา 2 ชุด  ให้ต้นลองทำดูแต่พ่อขอตรวจเองนะ  แล้วใบสมัครสอบล่ะว่าไง  กรอกเสร็จแล้วใช่ไหม  อยู่ไหนล่ะเอามาให้พ่อดูหน่อยสิต้น”  ส่งหนังสือให้ลูกชายแล้วถามถึงใบสมัครสอบเข้ามหาวิทยา-

    ลัย

        ต้นไม่ว่าอะไรที่บิดาเปลี่ยนเรื่องพูด  ซึ่งมันแสดงว่าเขายังไม่ต้องการพูดเรื่องนี้ในตอนนี้  เขาจึงตอบคำถามตามปกติ  “ใบสมัครหรือฮะพ่อ  ผมยังไม่ได้กรอกเลยฮะแล้วก็…ว้า!  ผมลืมว่าผมเอาไปไว้ที่ไหนด้วยฮะพ่อ  พ่อเห็นบ้างไหมฮะ”  ต้นถามแล้วมองหน้าบิดา  เขากำลังคิดในใจว่าเขาอ่านหนังสือมากไปจนเบลอ

    “ไม่  พ่อไม่เห็นหรอก  แต่ตอนนั้นต้นเอามันไปไว้ในห้องแล้วไม่ใช่เหรอ”  พิเชฐปฏิเสธแล้วถามกลับ

        “เปล่าฮะ  เอ…ผมไม่แน่ใจ  เดี๋ยวนะฮะ”  ต้นเดินไปที่บันไดแล้วตะโกน  “ต้าร์  ต้าร์  ได้ยินพี่ไหม  ช่วยดูในห้องทีว่ามีใบสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยของพี่ไหม”

        “ไม่มีแล้วต้าร์ก็ไม่เคยเห็นด้วยฮะ  ผมไปอ่านหนังสือต่อนะฮะ”  ต้าร์น้องชายจอมทะเล้นตะโกนตอบลงมาแล้วหัวเราะคิกคัก  ปล่อยให้พี่ชายเดินงงกลับไปนั่งกินข้าวตามเดิม

        หัวเราะอะไรของมัน  ไอ้น้องชายตัวดีนี่  ทะเล้นนักนะ  ต้นคิดอย่างฉุนๆระหว่างเดินไปที่โต๊ะอาหาร  แล้วรายงานบิดาว่า  “ในห้องก็ไม่มีฮะพ่อ”

        “นี่เมื่อกี้เอะอะไรกันคะ  เสียงดังจัง”  อ.เมยานีที่เพิ่งลงมาจากชั้นบนถามแล้วมองคนโน้นทีคนนี้ที

        “ขอโทษครับ  ผมหาใบสมัครน่ะฮะ  แม่เห็นหรือเปล่า”  ต้นกล่าวขอโทษแล้วยิ้มแหยๆ

        “อ๋อ!  อยู่ที่เครื่องคอมพิวเตอร์แน่ะ  เล่นเกมเพลินจนลืมล่ะสิ  ใกล้สอบแล้วน่าจะเพลาๆลงบ้างนะเรื่องเกมน่ะ  เข้าใจไหม”  อ.เมยานีถือโอกาสสั่งสอนลูกชายไปด้วย

        “ฮะแม่  ผมไปเอานะฮะ”

        “เบาๆล่ะเดี๋ยวยายมนตื่น”

        “อ้าว!  ยายมนนอนเร็วจัง  ดีเหมือนกันนอนไวสมองก็ไวตามเนอะแม่เนอะ”  พิเชฐพูดยิ้มๆ

        “จ้า  คุณพ่อผู้แสนดี”  แล้วค้อนสามีประหลับประเหลือก  จากนั้นก็หันไปทางอั่งเปาก็เห็นว่ามันลืมตาแป๋วมองอยู่เหมือนกัน  “อั่งเปาถ้าจะไปทำธุระก็ไปสิ  ประตูก็ไม่ได้ปิดตายซักหน่อย  จะออกก็ออกไปเลยไม่ต้องมองฉัน”

        อั่งเปารีบวิ่งออกไปทันทีเพราะกลัวเจ้าของจะเปลี่ยนใจ  มันวิ่งตรงไปยังสนามหญ้าหน้าบ้าน  ข้ามถนนไปบ้านตรงข้าม  เลี้ยวซ้ายวิ่งต่อไปประมาณ 3-4 บ้าน  จากนั้นก็หยุดอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งมีประตูเหล็กดัดสีแดง  “โฮ่ง  โฮ่ง”  มันเห่าเพื่อเรียกเจ้าของบ้าน  สักพักก็มีหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับต้นมาเปิดประตูแล้วยิ้ม  เธอชื่อดาริน

        “อ้าว! อั่งเปาเองเหรอ  จะมาหาดุ๊ยดุ่ยล่ะสิ  ดุ๊ยดุ่ย  ดุ๊ยดุ่ย  อยู่ที่ไหนน่ะออกมาเร็ว  อั่งเปามาหาจ้ะ  ไปคุยกันบนระเบียงนะ”  เธอสั่งเมื่อเห็นดุ๊ยดุ่ยเดินออกมา

        อั่งเปาและดุ๊ยดุ่ยพากันเดินไปตามทางเดินขึ้นไปบนระเบียงที่ปูกระเบื้องลายดอกไม้หวานแหววตามแบบของดาริน

        อั่งเปาเป็นสุนัขพันธุ์พูเดิ้ล  วัย 5 เดือน  ขนสีน้ำตาลกำลังฟูสวยทีเดียว  เพศผู้  นิสัยร่าเริง  แสนรู้  รักเจ้าของ

        ดุ๊ยดุ่ยเป็นสุนัขพันธุ์บูล เทอร์เรีย  ขนเกรียน  สีขาว  เพศผู้  กตัญญูแสนรู้  อายุเกือบ 5 เดือน  ขี้เล่นแต่ก็สามารถทำหน้าที่เป็นยามรักษาบ้าน (และเจ้าของ)ได้เป็นอย่างดี

        ทั้งสองได้เริ่มเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยที่ดารินย้ายบ้านมาใหม่ๆ  ด้วยความที่อั่งเปาอยู่บ้านแล้วเหงา  พอรู้ว่าบ้านที่ย้ายมาใหม่นั้นมีสุนัขอยู่ด้วยหนึ่งตัว  อั่งเปาจึงรีบตรงดิ่งไปยังบ้านนั้นทันที  โดยที่มีต้นวิ่งตามไปด้วย  เพราะนึกว่าอั่งเปาจะหนีไปเที่ยวไกลบ้าน

        อั่งเปาวิ่งมาถึงบ้านก็เห็นดุ๊ยดุ่ยที่ยังเป็นลูกสุนัขคุ้ยดินจึงตรงเข้าไปทักทันทีโดยไม่สนใจว่าต้นจะตะโกนเรียกชื่อตนเองจนเสียงแหบแล้วก็ตาม

        ดารินเปิดประตูออกมาดูเพราะได้ยินเสียงต้นตะโกนโหวกเหวก  ซึ่งก็บังเอิญกันกับต้นที่วิ่งทะเล่อทะล่าตามอั่งเปาเข้ามาในบริเวณบ้านของดารินพอดี

        “มีอะไรให้ช่วยไหมคะ”

        เสียงหวานใสดังแว่วมาเข้าหูของต้น  สมองของเขาไม่ได้แปลเสียงที่ได้ยินมาเขารู้สึกเพียงแต่ว่ามันช่างเป็นเสียงที่ไพเราะซะจริงๆ  เขามองดูดารินอย่างงงงวยและค่อนข้างจะแน่ใจว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขาน่าจะเป็นนางฟ้ามากกว่ามนุษย์จนกระทั่งดารินถามขึ้นอีกครั้งเขาจึงรู้สึกตัว

        “อ๋อ!  ครับคือ…ผมมาตามสุนัขของผมน่ะครับ”  ต้นพยายามเก๊กเสียงหล่อเต็มที่พลางนึกขอบใจอั่งเปาที่วิ่งมาที่บ้านนี้  ซึ่งทำให้เขาได้พบผู้หญิงในฝันของเขาเข้า  ถึงแม้จะไม่ชอบสุนัขแต่คราวนี้เขาชักจะชอบอั่งเปาขึ้นมานิดๆแล้ว

        “ตัวนั้นใช่ไหมคะ ที่กำลังเล่นกับดุ๊ยดุ่ยสุนัขของดิฉันน่ะค่ะ  ตัวสีขาวนั่นแหละค่ะ”  เธอชี้ไปที่สุนัขทั้งสองที่กำลังเล่นกันอย่างสนิทสนม  “ดูท่าพวกมันคงจะคุยถูกคอกันนะคะ”

        “ครับ  มันรบกวนคุณหรือเปล่าครับ”  ต้นถามพลางมองหน้าดารินโดยไม่หันไปมองอั่งเปาเลยแม้แต่นิดเดียว

        “ไม่หรอกค่ะ  ดุ๊ยดุ่ยก็คงเหงาเหมือนกันตั้งแต่เจ้าโก้ถูกขายไป  มันค่อนข้างซึมค่ะ  เอ่อ…เชิญเข้ามาในบ้านก่อนไหมคะหรือว่าคุณจะเอาสุนัขของคุณกลับไปเลยคะ”  ดารินชักเขินที่ต้นเอาแต่จ้องหน้าเธอไม่ยอมหยุด  เธอจึงชวนเขาเข้ามาคุยในบ้าน

        “ครับ  ผมว่าผมเข้าไปคุยในบ้านดีกว่านะครับ  เพราะสุนัขทั้งสองตัวนั้นคงต้องการจะคุยกันมากกว่า”  ต้นยังคงพูดเสียงหล่อและจ้องเธออยู่แม้ว่าเธอจะหันหลังเดินเข้าในบ้านแล้วก็ตาม  ต้นจึงเดินตามเธอเข้าไปนั่งบนเก้าอี้รับแขกที่ห้องรับแขก  พลางนึกชื่นชมว่าบ้านของเธอช่างสะอาดเสียจริง  ไม่เหมือนห้องเราเลยสักนิด  ผมชื่อธรรมราตครับเรียกว่าต้นก็ได้นะครับ  แล้วคุณล่ะครับ”

        “ดารินค่ะ”  เธอตอบสั้นๆแล้วถามต่อ  “สุนัขของคุณน่ารักนะคะ  ชื่ออะไรเหรอคะ”

        เสียงใสจัง  ต้นคิดในใจ  “เสียงใสครับ  เอ้ย!  ไม่ใช่ครับ  ชื่ออั่งเปาครับ  อั่งเปา  แล้วสุนัขของคุณล่ะครับชื่ออะไร”

        “ชื่อดุ๊ยดุ่ยค่ะ  แปลกดีใช่ไหมคะคือตอนอยู่บ้านเก่าพ่อของดาชอบเรียกมันว่าดุ๊ยดุ่ยค่ะก็เลยเอาชื่อนี้มาตั้งให้มัน”

        “ครับ”  ต้นรับคำแต่ในใจอยากรู้เรื่องของเธอมากกว่าเรื่องของสุนัขทั้งสองตัว  “คุณกำลังสอบเข้ามหาวิทยาลัยหรือครับ  คือผมเห็นคู่มือเตรียมสอบน่ะครับ”  ต้นชี้ไปที่หนังสือเพื่อยืนยัน

        “กำลังจะสอบเข้าคณะวิทย์ฯค่ะ”

        “เหมือนผมเลย  คณะเดียวกันด้วย  มหาวิทยาลัยมหิดลหรือเปล่าครับ”

        “ค่ะ”

        “บ้านน่าอยู่จังครับ  ตกแต่งก็สวยครับ  เอ้อ…คุณอยู่บ้านคนเดียวเหรอครับ”

        “อยู่กับพี่สาวค่ะ  เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน  ที่บ้านเก่าคนเยอะค่ะดาก็เลยขอย้ายมาอยู่ที่นี่แทน”

        “แล้วถ้าผมจะขอมาติวกับคุณจะได้ไหมครับ  ไหนๆเราก็จะสอบที่เดียวกันคณะเดียวกันแล้ว”  ต้นถามแล้วนั่งลุ้นคำคอบใจระทึก

        “ดาไม่รังเกียจหรอกค่ะ  แต่คงต้องถามเจ้าดุ๊ยดุ่ยดูด้วยค่ะ  เพราะมันค่อนข้างหวงเจ้าของค่ะ  เมื่อก่อนเคยมีเสี่ยเจ้าของโรงงานแถวสมุทรปราการมาหาดาที่บ้านค่ะ  เจ้าดุ่ยมันไล่กัดจนเขาต้องกลับไปเลยล่ะค่ะ  แต่ดูท่ามันจะชอบสุนัขของคุณนะคะ  มันอาจจะอนุญาตให้คุณมาก็ได้ถ้าคุณพาอั่งเปามาด้วยนะคะ  อีกอย่างถ้ามันมีเพื่อนคุยอาจจะหายเหงาแล้วไม่มากวนใจตอนที่เรากำลังติวกันอยู่ก็ได้นะคะ  ให้ดาถามดุ๊ยดุ่ยก่อนนะคะ”  เธอเดินไปทางหน้าบ้านเพื่อดูสุนัขทั้งสองตัว  “ดุ๊ยดุ่ยมานี่ซิ  อั่งเปาด้วย  เข้าไปในบ้านกันเถอะ”

        เมื่อทั้งหมดไปถึงห้องรับแขก  ดุ๊ยดุ่ยก็รีบวิ่งไปนั่งข้างๆต้นทันที  ต้นมีท่าที่ตกใจเล็กน้อย  เขาไม่ชอบสุนัขแต่ก็พยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด  ดูเหมือนว่าดุ๊ยดุ่ยจะรู้ทันความคิดของต้นมันจึงเข้าไปเลียมือต้นแล้ววิ่งไปนั่งบนตักของดารินทันที  อั่งเปาหันไปสบตาดุ๊ยดุ่ยแล้วแลบลิ้นจากนั้นก็เดินไปนั่งข้างๆต้น

        “ดาว่ามันยอมให้คุณเข้ามาติวกับฉันแล้วล่ะค่ะ”  ดารินพูดพลางลูบหัวดุ๊ยดุ่ยที่มองต้นอย่างท้าทาย

        “ทำไมล่ะครับ”  ต้นถามแล้วจ้องตากลับไปยังดุ๊ยดุ่ยอย่างไม่ยอมแพ้

        “ก็มันเลียมือคุณน่ะสิคะ  ความจริงมันไม่ยอมให้ใครเอามือมาจับเลยล่ะค่ะยกเว้นคนในครอบครัวและคนที่มันชอบ  อย่างตอนที่ตาเสี่ยนั่นจะอุ้มเจ้าดุ่ย  มันทำอย่างไรรู้ไหมคะ  มันหลบค่ะ  หลบแล้วมันก็วกกลับไปกัดขาเลยค่ะ  แล้วก็ไล่กัดอยู่นั่นแหละค่ะจนเสี่ยนั่นต้องวิ่งออกจากบ้านไปเลยล่ะค่ะ  ดาก็ไม่ค่อยชอบเขาหรอกค่ะ  เขาดูเจ้าชู้แบบเฒ่าหัวงูค่ะ  ตอนที่เจ้าดุ่ยกลับมาบ้านมันคาบอะไรกลับมาด้วยรู้ไหมคะ  มันคาบรองเท้ากลับมาค่ะ  รองเท้าข้างเดียวซะด้วย  นอกจากนั้นก็มีเศษผ้า  ดาเดาว่าคงจะเป็นกางเกงแล้วก็กระเป๋าสตางค์อีกอย่างหนึ่ง  ดาคิดๆไปแล้วก็ขำนะคะที่เขาต้องเดินทางกลับบ้านโดยที่ใส่รองเท้าข้างเดียว  สตางค์ก็ไม่มี  รถก็ไม่ได้เอามา  จะกลับมาเอาที่บ้านก็ไม่กล้าเลยต้องโทรศัพท์กลับมา  พ่อของดาก็เอากระเป๋าสตางค์กับรองเท้าไปคืนเขาที่สถานีรถไฟ  ขนาดตอนจะเอากระเป๋าสตางค์เจ้าดุ่ยมันยังไม่ยอมปล่อยเลยล่ะค่ะ  คาบไว้ซะแน่นเชียว  พอคิดถึงเรื่องนี้ทีไรดาขำทุกทีเลยค่ะ  แล้วสุนัขของคุณล่ะคะเคยมีวีรกรรมอะไรแบบนี้หรือเปล่าคะ”

        “กับคนอื่นน่ะมันไม่ไล่กัดเขาหรอกครับ  มันชอบแกล้งแต่ผม  สงสัยมันจะรู้มังครับว่าผมน่ะไม่ชอบ…”  ต้นชะงักคำพูดที่เขาจะพูดว่า  “ไม่ชอบสุนัข”  เอาไว้  เขาไม่ต้องการให้ดารินรู้  เพราะดูท่าดารินคงชอบสุนัขเหมือนน้องๆของเขาแน่ๆ

        “ไม่ชอบอะไรเหรอคะ”  ดารินถามเพราะเห็นต้นนิ่งไปนาน

        “คือผมไม่ชอบ  เอ่อ…ไม่ชอบเดินเท้าเปล่าออกนอกบ้านน่ะครับ”  ต้นโพล่งออกมาหลังจากนิ่งคิดไปสักพัก  มันอาจจะดูติงต๊องไปนิดแต่ก็เป็นเรื่องเดียวที่เขาคิดได้  “เพราะอย่างนี้อั่งเปาเลยชอบคาบรองเท้าของผมไปซ่อนทุกทีที่ผมกำลังจะออกจากบ้านเลยครับ  บางทีก็ซ่อนใต้ต้นไม้  หลังเก้าอี้  ล่าสุดครับเมื่อวานนี้เองมันคาบไปซ่อนในถังซักผ้าครับ  คือแม่ของผมท่านใส่น้ำกับผงซักฟอกไว้ในเครื่องซักผ้าแล้ว  เครื่องซักผ้าบ้านผมเป็นรุ่นเก่าครับใช้มานานแล้ว  เวลาซักผ้าต้องเติมน้ำกับผงซักฟอกแล้วค่อยใส่ผ้าลงไปซัก  ทีนี้แม่ของผมยังไม่ได้ใส่ผ้าลงไปเพราะกำลังรับโทรศัพท์อยู่  อั่งเปาก็เลยเอารองเท้าผมไปใส่ไว้ในนั้นแล้วออกมานั่งเล่นกับน้องชายผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ผมลงมาจากชั้นบนก็นึกว่าคราวนี้มันคงไม่เอารองเท้าไปซ่อนแล้ว   ที่ไหนได้พอผมจะไปหยิบรองเท้าในชั้นวางรองเท้ามาใส่  มันกลับหายไปซะนี่  ผมหารองเท้าคู่นั้นทั้งบ้านเลย  ถามใครเขาก็บอกว่าไม่รู้  แต่พอถามน้องชายผมมันกลับตอบยวนๆกลับมาว่า  ‘รองเท้าของพี่น่ะเหรอ  สงสัยอั่งเปามันคงจัดการทำความสะอาดให้แล้วล่ะฮะ’  พูดจบมันก็หัวเราะคิกคักหันกลับไปเล่นกับอั่งเปาต่อ  ผมก็ไม่ว่าอะไรเพราะนึกรู้อยู่แล้วว่าเจ้าน้องตัวดีคงต้องรู้อะไรแน่ๆ  แต่ผมก็ไม่ถามต่อนะครับ  ถ้าถามต่อล่ะก็คงได้รับคำตอบแบบยวนๆกลับมาอีกแน่ๆ  ผมก็ยงคงหาต่อไปทั้งในบ้าน  นอกบ้าน  ชั้นบน  ชั้นล่าง  ใต้ตู้  โต๊ะ  เตียง  แม้แต่ในชักโครก  แต่สุดท้ายแม่ของผมก็บอกว่ารองเท้าของผมอยู่ในเครื่องซักผ้า  ผมก็เลยต้องเอามันไปล้างไปเช็ดก่อนที่จะใส่ไปข้างนอก  แต่ผมก็ยังรู้สึกชื้นๆอยู่เลยตอนที่ผมใส่มัน  พอผมเอาเรื่องนี่ไปบอกพ่อ  ท่านกลับไม่ว่าอะไรอั่งเปาเลยซักนิด  แล้วยังชมว่ามันเก่งที่สามารถคาบรองเท้าของผมไปโดยไม่มีใครสงสัยและยังเปิด-ปิดฝาเครื่องซักผ้าโดยที่ไม่มีเสียงซักแอะ  ผมก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับมันดีเพราะเผลอเมื่อไหร่มันเอาไปซ่อนทุกที”  ต้นเล่าจบแล้วหัวเราะแบบแค้นๆ

    “จะว่าไปสุนัขของคุณก็เก่งนะคะ  เห็นตัวเล็กๆอย่างนี้  แต่กลับปีนไปเปิดเครื่องซักผ้าได้แล้วยังไม่ทำเสียงดังให้ใครได้ยินอีกด้วย”  ดารินออกความเห็นพร้อมกับหัวเราะนิดๆ

    “อ้าว!  ทำไมคุณไปชมมันล่ะครับ  ผมต่างหากที่เป็นฝ่ายเสียหาย  แต่ทุกคนกลับชมแต่อั่ง-เปา”  ต้นแกล้งทำเสียงตัดพ้อ

    “แหม!  ดาล้อเล่นค่ะ”

    จากนั้นทั้งสองก็คุยกันอย่างสนุกสนานราวกับเพื่อนเก่าทั้งๆที่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน  โดยมี

    สุนัขแสนรู้ทั้งสองตัวนั่งมองหน้ากันเหมือนรู้ทันเจ้านายของตน
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×