ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องวุ่นวายของนายวฤตต์ (The Incredible World of Varut)

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่หนึ่ง: และแล้วก็ได้พบกันอีก 1 - เปิดเทอมใหม่

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 46
      0
      11 ต.ค. 53


    Chapter 1: Nice to See You Again!


     
    - 1 -



                “ภพเอ๋ย รู้ไหม ที่เจ้าได้รู้จักกับหนูนิดนะ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก” คุณยายศศิธรว่าพลางลูบหัวผมเบาๆ

                ขณะนั้นเป็นเวลาโพล้เพล้ ผมกับคุณยายศศิธรกำลังนั่งอยู่ที่ม้านั่งใต้ต้นโพธิ์ภายในวัดสันติสวัสดิ์

                “หมายความว่าไงฮะ” ผมเงยหน้ามองท่านงงๆ ท่านหันมายิ้มให้อย่างอ่อนโยน

                “แล้วเจ้าจะเข้าใจเอง”




    วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 255X

     

                “ภพเอ๊ย ตื่นได้แล้วลูก” เสียงคุณแม่ปลุกผมจากความฝัน

                ผมควานหาโทรศัพท์มือถือตรงหัวเตียงเพื่อดูเวลา

                “อะไรกัน นี่เพิ่งจะตีห้าครึ่งเองไม่ใช่เหรอแม่...”

                “นั่นแหละ ตื่นได้แล้ว วันนี้โรงเรียนเปิดเทอมแล้วไม่ใช่เหรอ”

                ผมงัวเงียลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวตามความเคยชิน แล้วเดินออกจากไปบ้านไปรอรถเมล์

                ขณะนี้ฟ้ายังไม่สว่างดี ไม่มีแดด อากาศเย็นสบาย ที่นี่เป็นชานเมือง สองข้างทางจึงมีพื้นที่บางส่วนเป็นทุ่งรกร้าง ตอนนี้มีบางบ้านเริ่มนำกับข้าวออกมาตั้งเพื่อเตรียมตักบาตร ในขณะที่ร้านโจ๊ก ร้านปาท่องโก๋ และร้านน้ำเต้าหู้ประจำซอย ต่างก็เปิดร้านส่งกลิ่นหอมยวนใจกันแต่เช้าตรู่

                เป็นภาพบรรยากาศเดิมๆ ที่สัมผัสได้ทุกเช้าเวลาไปโรงเรียน จนผมไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองโตขึ้นอีกปี...

                ว่าไปแล้ว ชีวิตคนเราก็แค่นี้ เกิดมา เรียนหนังสือ ทำงาน แล้วก็ตาย ไม่เห็นมีอะไรน่าตื่นเต้นเลย

                พูดถึงเรื่องตาย ผมก็นึกถึงความฝันเมื่อเช้า กี่ปีแล้วนะ ที่ไม่ได้ฝันถึงคุณยายศศิธร...

     

                เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนที่ครอบครัวของผมยังอยู่ที่บ้านเก่าซึ่งห่างจากที่นี่ไปเกือบยี่สิบกิโล ใกล้ๆ นั้นมีวัดสันติสวัสดิ์อยู่ คุณยายศศิธรท่านทำงานธุรการและงานจิปาถะอื่นๆ อยู่ที่วัดนั้น

                ได้ยินว่าคุณยายศศิธรรู้จักกับคุณตาของผมที่เสียไปนานแล้ว ท่านจึงเอ็นดูผมเหมือนหลาน และผมเองก็ชอบเข้าวัดไปขอให้ท่านเล่านิทานให้ฟังอยู่เรื่อย

                แต่พออายุได้6ขวบ ครอบครัวของผมก็ต้องย้ายมาอยู่ที่นี่ หนึ่งปีหลังจากนั้นผมก็ได้ข่าวว่าท่านเสียไปแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ผมจึงได้ฝันถึงท่านนะ

     

                ขณะนั้นเอง ผมก็เห็นสาวน้อยคนหนึ่งที่หน้าป้ายรถเมล์

                “อรุณสวัสดิ์จ้ะ ภพ”

                “หวัดดีแคลร์”

                แคลร์ หรือ นลิน ดุจสายชล เป็นเด็กระแวกนี้ เธอเป็นเพื่อนคนแรกของผมที่นี่ เราเรียนที่โรงเรียนเดียวกันมาตลอดตั้งแต่ป.1

                เมื่อก่อนเราไปกลับโรงเรียนด้วยกันแทบทุกวัน แต่หลังจากแคล์ได้รับเลือกเป็นกรรมการชั้นปีตอนม.3 เธอก็เริ่มมีกิจกรรมมากขึ้น เราจึงไม่ค่อยได้เจอกัน

                วันนี้แคลร์ปล่อยผมประบ่า ซ้ำเปลี่ยนมาใส่ชุดเครื่องแบบมัธยมปลาย จึงทำให้เธอดูแปลกไป จะว่ายังไงดีล่ะ เหมือนที่เขาชอบพูดกันว่าดูเป็นสาวขึ้นล่ะมั้ง

     

                “นานแล้วนะที่ไม่ได้ไปโรงเรียนด้วยกันแบบนี้” แคลร์เปรยกับผม ขณะนั่งอยู่ในรถเมล์

                “นั่นสินะ ลืมไปแล้วว่าเคยขึ้นด้วยกันครั้งสุดท้ายเมื่อไร”

                “ครั้งสุดท้ายก็ตอนที่เธอข้อเท้าเคล็ดเพราะถูกเพื่อนสไลด์เสียบขาก่อนวันสอบกลางภาคไง”

                “เออใช่ จำได้แล้ว” ช่วงนั้นแคลร์เป็นห่วงผมเลยมารอขึ้นรถเมล์ด้วยกันทั้งอาทิตย์จนผมหายเป๋

                “ไม่นึกเลยนะว่าปีนี้จะได้ไปด้วยกันตั้งแต่วันเปิดภาคเรียน”

                แคลร์ซึ่งนั่งติดหน้าต่างหันมายิ้มกับผม ขณะนั้นเองแสงอาทิตย์ยามเช้าก็ส่องเข้ามากระทบดวงหน้าที่สดใสของเธอ

                “ภพ... ที่หน้าฉันมีอะไรติดอยู่หรือ” ผมคงเผลอจ้องหน้าเธอนานไปหน่อยแคลร์เลยถามขึ้น

                “เอ้อเปล่าๆ บังเอิญจังเลยนะ ที่เราได้เจอกันตั้งแต่วันแรก”

                แม้ปัจจุบันมนุษย์จะสามารถอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติด้วยทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์ แต่ผมก็ยังเรียกการพบกันของคนเราว่าเป็น ‘ความบังเอิญ’ อยู่ดี

                “ไม่คิดว่าเป็นเพราะโชคชะตาหรือ ไม่แน่นะ หลังจากนี้อาจจะมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นอีกก็ได้”

                โชคชะตา... หมายถึงสิ่งที่คอยควบคุมชีวิตของเราอย่างนั้นหรือ ให้อธิบายด้วยทฤษฎีความน่าจะเป็นยังจะฟังดูเข้าท่ากว่า แต่พอเห็นรอยยิ้มของแคลร์แล้ว ผมก็พลอยรู้สึกไปกับเธอว่าอาจจะมีเรื่องดีๆ รออยู่จริงๆ ก็ได้ ทั้งที่ไม่มีความเป็นเหตุเป็นผลสักนิด

    ... ... ...

     

                สี่สิบห้านาทีต่อมา เราสองคนก็มาถึงโรงเรียนธรรมรักษ์วิทยา

                ที่ด้านหน้าโรงเรียนมีสนามฟุตบอลเขียวขจี หลังสนามฟุตบอลจึงเป็นอาคารเรียน ฝั่งซ้ายเป็นอาคารเรียน 1 ของมัธยมต้น ฝั่งขวาเป็นอาคาร 2 ของมัธยมปลาย

                “ทางนี้ต่างหากล่ะภพ” แคลร์ร้องทักเมื่อเห็นผมเดินวนทางซ้ายของสนามฟุตบอล

                “เออจริงสินะ” จากวันนี้เป็นต้นไปพวกเราคือนักเรียนม.ปลายนี่นะ

                ผมเดินวนขวาตามแคลร์ไปซึ่งจะใกล้อาคารเรีย 2 มากกว่า ต่อหน้าแคล์ซึ่งเป็นนักเรียนดีเด่นจะให้เดินลัดสนามคงไม่ดีเท่าไร

                ทั้งที่เป็นโรงเรียนเดิมๆ แต่พอเปลี่ยนมาเดินวนขวา ผมก็รู้สึกว่าทิวทัศน์แปลกไป อาจเป็นเพราะดอกราชพฤกษ์สีเหลืองอร่ามที่ห้อยเป็นพวงระย้าซึ่งเคยอยู่ทางซ้าย บัดนี้ได้ย้ายมาอยู่ทางขวาก็ได้

                ขณะนั้นเอง แคลร์ซึ่งกำลังเดินนำหน้าผมอยู่ก็หันกลับมายิ้ม

                “ยินดีต้อนรับ สู่ชีวิตม.ปลายจ้ะ”

                สายลมก็พัดมาวูบหนึ่ง ทำให้ผมเส้นเล็กๆ ของเธอพริ้วสยายพร้อมๆ กับดอกราชพฤกษ์ที่ปลิวมาตามลม

                หัวใจผมเต้นแรงขึ้น ทั้งที่วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่เหมือนวันอื่นๆ แต่ผมกลับรู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างไม่เหมือนเดิม

                เป็นเพราะแคลร์... หรือเป็นเพราะผมขึ้นม.ปลาย... หรือเพราะอะไรก็ไม่รู้ แต่ผมรู้สึกได้ว่าชีวิตที่น่าเบื่อของผมกำลังจะเปลี่ยนไป...


     

                แคลร์กับผมเรียนคนละห้อง หลังจากส่งเธอที่หน้าห้องแล้วผมจึงเดินไปที่ห้องตัวเอง
     

                “หวัดดีภพ ปิดเทอมทำอะไรบ้างวะ” เอสทักผมที่หน้าห้อง ดูท่าจะเพิ่งมาถึงเหมือนกัน

                “ก็ไม่มีอะไร นอนดูทีวีอยู่กับบ้าน”

                ผมกับเอสเดินเข้าไปเลือกที่นั่งติดกัน

                ชายหน้าตี๋รูปร่างผอมสูงคนนี้คือ เอส หรือ วิศรุต ก้องเกียรติ เป็นเพื่อนที่เรียนห้องเดียวกันมาตั้งแต่ตอนม.1 ผมเคยไปบ้านเขาสองสามครั้ง แม่ของเอสเรียกเขาว่า "อาโก" แต่มันบอกเพื่อนๆ ว่าชื่อ "เอส"

                “งั้นเรอะ..ฉันมีเรื่องจะเล่า ฟังแล้วอย่าตกใจล่ะ” เอสพูดด้วยท่าทีขึงขัง “ฉันหัดเล่นกีตาร์อยู่”

                “หรือ...” ผมไม่สู้สนใจเท่าไร

                เอสเป็นอย่างนี้มานาแล้ว ช่วงหนึ่งก็บ้าวาดการ์ตูน ทำได้พักเดียวก็เลิก ต่อมาก็ฮิตเลียนแบบดาราเกาหลี ล่าสุดถึงขนาดลงทุนไปเรียนภาษาเกาหลี เพราะเห็นว่าอยากไปแจ้งเกิดที่นั่น

                “โธ่ นี่แกไม่ตื่นเต้นเลยเรอะ” เอสผิดหวัง

                “ไม่ล่ะชินแล้ว ว่าแต่เลิกเรียนภาษาเกาหลีแล้วเรอะ”

                “เลิกแล้วเพราะแม่บอกให้ตั้งใจเรียนจะได้สอบได้คะแนนดีๆ”

                เอ่อ..ถ้าคุณแม่ของเอสอยากให้มันตั้งใจเรียนก็คงไม่ซื้อกีตาร์ให้เล่นหรอกมั้ง

                “แล้วคราวนี้ไปเจออะไรมาอีกล่ะ”

                “หึๆ ถามได้ดีมาก ก็วง ‘Rebellion-Mages’ ที่กำลังมาแรงในช่วงนี้ไงล่ะ เป็นวง J-Rock ที่แต่งตัวแบบจอมเวทย์ในเกมส์ RPG ฮิปมากๆ ถ้าไม่เคยฟังละก็ วันหลังจะเอามาให้ฟัง” เอสว่าพลางเต๊ะท่าดีดกีตาร์

                ลึกๆ แล้วผมอาจจะอิจฉาเจ้าเอสอยู่ก็ได้ เพราะถึงมันจะทำอะไรจริงๆ จังๆ ได้พักเดียว ก็ยังดีกว่าผมที่ไม่คิดจะทำอะไรเลยสักอย่าง

                เสียงออดเตรียมตัวเข้าแถวเคารพธงชาติดังขึ้น ผม เอส และเพื่อนคนอื่นๆ จึงเดินออกไปหน้าชั้นเรียน ในตอนนั้นเองผมก็สวนกับหญิงสาวคนหนึ่งที่หน้าประตูห้อง

                “ใครน่ะ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย” เอสว่า

                “เด็กใหม่มั้ง” ผมเหลียวกลับไปมอง

                พริบตานั้นผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เพราะสาวน้อยที่เพิ่งเดินสวนพวกเราเข้าไปในห้อง คือผู้หญิงผมหน้าม้าที่บางกอกสแควร์เมื่อวันก่อน!

                หัวใจผมเต้นแรงขึ้นมาทันที ในวินาทีนั้น ผมรู้สึกว่าชีวิตใหม่ในรั้วโรงเรียนได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว พร้อมกับการพบกันอีกครั้งของเรา...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×