ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องวุ่นวายของนายวฤตต์ (The Incredible World of Varut)

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่หนึ่ง: และแล้วก็ได้พบกันอีก 2 - เฟย์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 31
      0
      12 ต.ค. 53


    - 2 -

     

                เสร็จจากเคารพธงชาติ อ.ธิติยาก็เข้ามาแนะนำตัวในฐานะอ.ประจำชั้น จากนั้นก็ให้นักเรียนแนะนำตัวทีละคน ซึ่งส่วนใหญ่ก็รู้จักกันดีอยู่แล้ว ยกเว้นสาวผมหน้าม้าคนนั้น

                “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อวทัญญู การุณย์วิสิฐ ชื่อเล่นชื่อ เฟย์ เพิ่งย้ายมาจากโรงเรียนวรราชรังสฤษดิ์ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

                เฟย์แนะนำตัวอย่างเรียบง่าย ดูสดใสเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา แต่เอ..ไม่รู้เพราะผมชอบผู้หญิงผมหน้าม้าเป็นทุนเดิมหรือเปล่า จึงรู้สึกว่าเธอดูน่ารักเป็นพิเศษ

                ขณะนั้นเอง เอสก็สะกิดผม

                “เฮ้ยไอ้ภพ เด็กใหม่น่ารักดีนี่หว่า”

                “อะไรที่มันใหม่ๆ ก็งี้แหละ” ผมว่า

                “พูดงี้แสดงว่าไม่สนสินะ งั้นฉันขอนะ”

                “ตามสบาย”

                ดูเหมือนคนที่สนใจเฟย์จะไม่ได้มีแค่เอส เพราะพอถึงพักกลางวันพวกสาวก็เข้าไปล้อมวงคุยกับเธอ จนไม่มีช่องว่างให้แทรก ส่วนพวกหนุ่มก็เหล่มองกันไม่วางตา

                พอได้จังหวะ เอสก็เอ่ยขึ้น

                “เฮ้ยภพ ตอนนี้แหละ เฟย์อยู่คนเดียวแล้ว”

                “จะไปก็ไปสิ มาบอกฉันทำไม”

                “ไม่เอาน่า ไปด้วยกันสิ!” ว่าแล้วเอสก็ลากผมออกจากโต๊ะ

                “หวัดดีจ้า เราชื่อเอส ส่วนเจ้านี่ชื่อภพ ถ้าอยากรู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่ก็ถามมาได้เลยนะ” เอสเข้าไปทักเฟย์

                “หวัดดีจ้ะ เอส ภพ”

                เฟย์ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

                จากนั้นเอสก็เริ่มชวนเฟย์คุย ส่วนผมเพียงแต่นั่งฟังเฉยๆ

                “กำไลนั่นสวยจัง ขอดูหน่อยได้ไหม” เฟย์ทำท่าสนใจ

               “หึๆ ตาแหลมมาก ไม่เหมือนใครบางคนแถวนี้” เอสพูดอย่างภูมิใจ

               “นี่คือ ‘มาธิเลีย’ เป็นกำไลเวทมนตร์ ของวง‘Rebellion-Mages’ ที่เล่าให้ฟังเมื่อกี้ กำไลสีครามที่ผมใส่อยู่นี้เป็นของ ดาเทะ เซย์จิ ที่มีฉายาว่า ‘Freeze Mage’” แล้วมันก็ถอดกำไลลายผลึกน้ำแข็งส่งให้เฟย์

                “แล้วเอสเล่นดนตรีด้วยหรือเปล่า” เฟย์ถาม

                “เราเป็นมือกีตาร์ เพื่อนๆ เรียกว่า ‘เอสเมจิกแฮนด์’ เพราะสามารถใช้กีตาร์เนรมิตรเสียงอะไรก็ได้ตามต้องการ จริงไหมภพ” เอสหันมาทางผม

                “กะ..ก็ประมาณนั้นแหละ” แกเพิ่งหัดเล่นกีตาร์ตอนปิดเทอมไม่ใช่เรอะ

                “จริงเหรอ ถ้างั้นวันหลังต้องขอให้เอสเล่นให้ฟังหน่อยแล้ว” เฟย์พูดอย่างตื่นเต้น

                นี่ฟังไม่รู้เรอะ ว่าไอ้เอสมันแหลอยู่...

     

                ถึงตรงนี้เฟย์ก็ดูเหมือนนักเรียนใหม่ทั่วๆ ไปคนหนึ่ง ซึ่งผมคงไม่นึกเอะใจอะไร ถ้าจู่ๆ เธอไม่เอ่ยขึ้นมาว่า

                “เอสมีชื่ออื่นอีกหรือเปล่า”

                “หมายความว่าไงเหรอ” เอสงง

                “อืม..ประมาณว่า ที่บ้านไม่ก็เพื่อนสมัยประถมเรียกเธอด้วยชื่ออื่นนอกจาก เอส หรือเปล่า”

                “อ่า..เอ่อ..ทุกคนเขาเรียกเรา ‘เอส’ มาตั้งแต่เกิดแล้วล่ะ ไม่เชื่อถามเจ้าภพดูก็ได้”

                ไอ้เอสโยนลูกให้ผมเป็นคำรบสอง พอแล้วเฟ้ย ทำให้ตูต้องช่วยมรึงโกหกด้วยฟะ

                “หรือ..โทษนะที่ถามอะไรแปลกๆ ดีแล้วที่ให้ความสำคัญกับชื่อที่บุพการีตั้งให้

                เอสสะดุ้ง ถ้าไม่คิดว่านี่เป็นคำพูดเล่นๆ เฟย์ก็กำลังตบหน้าเอสเลยนะเนี่ย

                ผมเพิ่งเห็นว่าเอสเป็นคนคุยสนุกก็ครั้งนี้นี่เอง ที่เป็นเช่นนี้เพราะเฟย์แสดงท่าทีสนอกสนใจในสิ่งที่เอสเล่า ซ้ำยังเลือกคุยแต่เรื่องที่เขารู้ดี ทำให้เอสมีความมั่นใจมากกว่าปกติ

                แล้วออดเข้าเรียนคาบบ่ายก็ดังขึ้น

                “แล้วค่อยคุยกันใหม่นะเอส ภพ” เฟย์ยิ้มให้เอส แต่พอหันมาทางผมก็หุบยิ้ม

                ถึงแม้ไม่ได้พูดอะไร แต่ดวงตากลมโตคู่นั้นก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเธอไม่พอใจผม

                นี่อย่าบอกนะว่ายังติดใจเรื่องคุณยายที่สะพานแล้ววันนั้นอยู่! คุณพระช่วย! อะไรมันจะแค้นฝังหุ่นขนาดน้านนน...

    ... ... ...

     

                “ภพ วันนี้กลับด้วยกันไหม”

                หลังเลิกเรียน แคลร์ก็มาหาผมที่หน้าห้อง ดูท่าวันแรกจะไม่มีงานให้กรรมการชั้นปีทำเท่าไร

                “ฮะฮ่า อย่างงี้นี่เอง มิน่าล่ะ นายถึงได้ไม่สนใจเฟย์” เอสมองผมอย่างมีเลศนัย

                “อะไรของนาย มีอะไรก็พูดมาเลยดีกว่า”

                “ป๊าดโธ่ ก็ใกล้เกลืออยู่แล้วจะกินด่างทำม้าย” เอสเหล่มองแคลร์ แคลร์ไม่รู้เรื่องอะไรจึงยิ้มทัก

                “ไอ้บ้า ฉันกับแคลร์ไม่ได้เป็นอะไรกันซักหน่อย ฉันไปละ” ผมเก็บของลุกออกไปหาแคลร์

                ขณะนั้น ผมก็รู้สึกเหมือนมีใครกำลังมองผม พอหันกลับไปก็เห็นพวกผู้หญิงจับกลุ่มคุยกันอยู่ ในนั้นมีเฟย์อยู่ด้วย

                หรือว่าเฟย์แอบมองผม...

                ว่าเข้าไปนั่น ไอ้ภพเอ๊ย... ถ้าจะคิดเข้าข้างตัวเองก็ให้มันน้อยๆ หน่อยเหอะ!

     

                ช่วงเลิกเรียนรถยังไม่แน่นมาก จึงพอมีที่ท้ายรถให้เรายืนคุยกันสบายๆ

                “เป็นไงบ้างเปิดเทอมใหม่” แคลร์ถาม

                “ไม่เห็นมีอะไร แค่แก่ขึ้นอีกปี” ทั้งเพื่อนๆ ทั้งครูก็หน้าเดิมๆ ทั้งนั้น

                เราสองคนคุยสัพเพเหระตลอดทางกลับบ้าน แต่ผมก็ไม่ได้เล่าเรื่องของเฟย์ให้แคลร์ฟัง

     

    วันถัดมา (วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 255X)

     

                วันนี้ผมออกจากบ้านช้ากว่าเมื่อวาน เพราะเผลองีบต่อหลังจากที่คุณแม่ปลุก ออกมาก็ไม่เจอแคลร์แล้ว

                ขณะยืนโหนรถเมล์ ผมก็นึกถึงเฟย์ขึ้นมา... ใครจะนึกว่าเราจะได้เจอกันอีก แถมยังได้เรียนห้องเดียวกันเสียด้วย นี่ล่ะมั้งที่เรียกว่าพรหมลิขิต...

                พอๆ เลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว มันก็แค่เรื่องบังเอิญเท่านั้นเอง!

                ผมอยากจะเชื่อเช่นนั้นแต่...

                เช้านี้อ.ธิติยาให้จับสลากเลือกที่นั่งใหม่ไม่จัดที่นั่งใหม่ แล้วเฟย์ก็ได้ที่นั่งริมซ้ายติดหน้าต่าง ส่วนผมได้นั่งทางขวามือของเธอ!

     
                บังเอิญ... มันต้องเป็นเรื่องบังเอิญแน่ๆ



                ขณะกำลังฟุ้งซ่านอยู่นั้น เฟย์ก็หันมาพอดี

                “แหะๆ บังเอิญจังเลยนะ” ผมหันไปยิ้มให้

                เฟย์ทำเป็นไม่สนใจ แล้วมองไปนอกหน้าต่าง

                “บ้านเฟย์อยู่แถวไหนล่ะ” ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียกเช่นเดิม...

                ง่า..แล้วท่าทียิ้มแย้มตอนคุยกับเอสเมื่อวานมันหายไปไหนหมดล่ะค้าบ หรือเมื่อวานนี้เป็นโปรโมชั่นพิเศษคุยฟรีไม่คิดสตางค์

                เพื่อนๆ ในห้องเริ่มผูกมิตรกับคนข้างๆ เรียบร้อย มีเพียงเราสองคนที่นั่งเงียบไม่พูดไม่จากัน

                ชักไม่ค่อยดีแล้วสิ ผมยิ่งคุยไม่เก่งอยู่ด้วย... จะให้เริ่มยังไงดีหว่า

                “ไม่รู้ว่าคุณยายวันก่อนจะเป็นยังไงบ้างนะ” หลังจากเค้นสติปัญญาอันน้อยนิดจนเกลี้ยงกบาลแล้ว ในที่สุดผมก็หันเข้าหาคติยอดฮิตที่ว่า ‘ทำแล้วเสียใจ ดีกว่าเสียใจที่ไม่ได้ทำ’ (แปลว่านึกอะไรออกก็พูดๆ ไปเหอะ)

                “เป็นห่วงด้วยเหรอ เห็นเอาแต่ยืนมองไม่สนใจ” เฟย์พูดทั้งที่ไม่หันมามอง ถ้อยคำยังคมกริบเป็นมีดโกนเหมือนเดิม

                เออ..อย่างน้อยก็มีสัญญาณตอบรับล่ะฟะ

                “โทษที ที่ตอนนั้นไม่ได้เข้าไปช่วย” จะแทงหวยถูกรึเปล่าไม่รู้ แต่ขอโทษไว้ก่อนก็ไม่น่าจะเสียหาย

                ทันใดนั้นเฟย์ก็หันมา

                “เปล่านี่ ฉันไม่ได้โกรธอะไรนายสักหน่อย” เธอทำสีหน้าอ่านยาก

                “ฉันอยู่ที่อพาร์ตเมนต์ใกล้ๆ บางกอกสแควร์ แล้วภพล่ะ ตอนนี้อยู่ที่ไหนเหรอ” เฟย์ดูเป็นมิตรขึ้น

                จู่ๆ ก็อารมณ์ดีขึ้นมา เฮ้อ..เดาใจไม่ถูกเลยแฮะ

     

                จากนั้นเราก็แทบไม่ได้คุยอะไรกันจนกระทั่งพักกลางวัน เฟย์ก็ลุกออกจากที่

                ทันใดเจ้าเอสก็เดินมาหาผมที่โต๊ะ

                “แก๊..เจ้าภพ ทั้งที่มีแคลร์อยู่แล้ว ยังจะหมายตาเฟย์อีกเรอะ ไอ้คนไม่รู้จักพอ! ฉันจะฟ้องแคลร์!!” มันโวยวาย

                “ฉันเป็นคนเลือกที่นั่งซะเมื่อไรเล่า!”

                “งั้นมาแลกที่นั่งกันซะ!”

                “ทำได้ที่ไหนล่ะ อาจารย์ธิติยาเขาอุตส่าห์ทำรายชื่อที่นั่งนักเรียนติดไว้บนโต๊ะอาจารย์แล้ว”

                “เชอะ ทำเป็นอ้างนู่นอ้างนี่ที่แท้ก็อยากนั่งใกล้เฟย์ใช่ม้า ทีตอนแรกล่ะทำเป็นไม่สน”

                ขณะที่เอสกำลังรำพึงรำพันอยู่นั่นเอง ผมก็เหลือบไปเห็นเฟย์กำลังนั่งคุยกับมิวส์ซึ่งนั่งอยู่ริมขวาของห้องฝั่งติดประตู

                มิวส์ เอ..รู้สึกว่าจะชื่อ อุรวศี อาภรณ์จรัส เป็นคนสวมแว่น มีใบหน้ารูปไข่รับกับผมสั้นตัดซอยปิดใบหู ผมมักจะเห็นเธอนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ อยู่ในห้องเรียนไม่ก็ห้องสมุด แม้ไม่ได้สนิทสนมกับใครเป็นพิเศษแต่เธอก็เป็นคนมีอัธยาศัยดีคนหนึ่ง

                อย่างเมื่อปีก่อนตอนที่ผมเดินสวนกับเธอบนระเบียงของอาคารเรียน 1 (อาคารมัธยมต้น) . . .

     

                “สวัสดีจ้ะภพ ข้อเท้ายังไม่หายดีอีกหรือ” มิวส์ว่าเมื่อเห็นผ้าพันแผลที่ข้อเท้าของผม

                “ที่จริงก็หายแล้วล่ะนะ แต่หมอยังให้พันผ้าอยู่” ผมแกว่งเท้าให้ดู

                “ว่าแต่ภพยังเล่นเปียโนอยู่หรือเปล่า”

                “เปล่า เลิกเล่นไปแล้วล่ะ”

                หลังจากที่เกิดความรู้สึกว่างเปล่าขึ้นมาตอนอายุ 13 ปี ผมก็เลิกเรียนเปียโนไป ดูเหมือนคุณพ่อคุณแม่จะไม่ได้ว่าอะไร เพราะพิณซึ่งหัดเล่นเปียโนหลังผมนั้น ดูเอาจริงเอาจังและมีพรสวรรค์มากกว่า

                “หรือ..น่าเสียดายจัง อุตส่าห์เล่นมาตั้งแต่ 9 ขวบ ไม่ใช่หรือ”


     

                . . . ขนาดรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างเรื่องที่ผมเริ่มเล่นเปียโนตอนกี่ขวบ เธอยังอุตส่าห์จำได้

                สิ่งที่น่าประทับใจเกี่ยวกับมิวส์อีกอย่างหนึ่งก็คือ บุคคลิกของเธอไม่ว่าจะยามยืน เดิน หรือนั่งที่ดูเรียบร้อยมีเสน่ห์ชวนมอง ยิ่งเป็นตอนที่เธออ่านหนังสือด้วยแล้ว ภาพด้านข้างของเธอซึ่งนั่งตัวตรงประคองหนังสือด้วยมือซ้ายห่างพองาม แล้วค่อยๆ ไล่สายตาไปทีละบรรทัดอย่างสงบนิ่งนั้น ดูงดงามดุจภาพวาดเลยทีเดียว

                แน่นอนว่าเธอเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มหลายคนมาก่อนรวมทั้งเอส แต่ด้วยความเป็นคนเรียบร้อยและมีความคิดอ่านสูงเกินเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน ไม่นานผู้ชายที่หวังจะคว้าใจเธอจึงทยอยถอนตัวกันไปเอง

                ภาพที่ผมเห็นในตอนนี้จึงนับว่าหาดูได้ยากยิ่ง เพราะเฟย์กับมิวส์กำลังพูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง ทั้งที่ตลอดสามปีมานี้ผมไม่เคยเห็นมิวส์คุยกับใครนานขนาดนี้มาก่อน

                “ภพ นี่นายฟังอยู่หรือเปล่า โธ่เอ๊ย ทำไมฉันถึงไม่โชคดีอย่างแกบ้าง” เอสยังไม่เลิกพล่าม

                ตูต่างหากที่เป็นฝ่ายอยากพูดประโยคนี้! นี่ผมไปทำเวรทำกรรมอะไรกับเฟย์ไว้กันแน่ เธอถึงได้คุยดีกับทุกคน ยกเว้นผม!



                ว่าแต่เฟย์เขาคุยอะไรกับมิวส์นะ...

    ... ... ...

     

    หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป... (วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม 255X)

     

                เช้านี้ผมต้องทำการบ้านเลขให้เสร็จก่อนเริ่มคาบแรก จะขอลอกเอสก็ไม่ได้ เพราะมันก็ไม่ได้ทำมาเหมือนกัน หนำซ้ำยังลงไปเล่นฟุตบอลอย่างสบายใจอีกต่างหาก

                “เด็กไม่ดี ไม่ยอมทำการบ้านให้เสร็จ โดนครูลงโทษแน่” เฟย์เดินเข้ามาเห็นผมกำลังปั่นการบ้านพอดี

                ไม่รู้วันนี้กินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า จึงเป็นฝ่ายชวนผมคุยก่อน

                “เธอนี่ไม่รู้อะไร บ้านนะคือโอเอซิส คือสรวงสวรรค์อันศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีใครเขาหอบการบ้านกลับไปทำที่บ้านหรอก" (ถึงมันจะชื่อ 'การบ้าน' ก็ตาม)

                “แล้วใครบอกว่าฉันเอากลับไปทำที่บ้านล่ะ ของอย่างนั้นฉันทำเสร็จตั้งแต่ที่โรงเรียนแล้ว”

                ผมอึ้งไปครู่หนึ่ง

                “งั้น..ขอดูของเธอหน่อยสิ”

                “จะดีหรือ.. ถ้าไม่หัดทำอะไรด้วยตัวเอง เอาแต่พึ่งคนอื่น ระวังจะกลายเป็นคนไม่เอาถ่านนะจ๊ะ” เธอยืนกอดอกยักคิ้วหลิ่วตากับผม

                ที่จริงเฟย์ก็ไม่ได้พูดอะไรผิดหรอก แต่ฟังแล้วรู้สึกเดือดร้อนแฮะ

                “เธอนี่ไม่น่ารักเอาเสียเลย”

                “ขอบใจจ้ะ ดีแล้วที่ดูไม่น่ารักในสายตานาย”

                ผมเผลอต่อปากต่อคำกับเฟย์จนกระทั่งถึงเวลาเคารพธงชาติโดยไม่ได้ทำต่อแม่แต่ข้อเดียว เมื่อถึงคาบแรกผมกับเอสจึงถูกครูธิติยาลงโทษให้เอาเฉลยวิธีทำทุกข้อไปคัดสิบจบ

                “ถือเป็นกำไรเลยนะ ได้ทำแบบฝึกหัดมากกว่าคนอื่นตั้งสิบเท่า” เฟย์ยิ้มร่า



                พอพักเบรกเอสก็เดินมาหาผม

                “เห็นไหม ฉันบอกแกแล้วว่า มาทำตอนเช้ามันก็ไม่ทันอยู่ดี สู้ลงไปเล่นฟุตบอลดีกว่าก็ไม่เชื่อ” เอสยืดอกพูดอย่างเต็มภาคภูมิที่ตนตัดสินใจไม่ผิด

                อืม..ถูกเอสหัวเราะเยาะยังไม่เท่าไร (- -*) แต่กับเฟย์นี่สิ คราวหน้าต้องชนะเธอให้ได้!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×