เปิดร้านสู้โลก! เมื่อฉันได้ ‘ระบบต้นไม้วิเศษ’ มาครอง - นิยาย เปิดร้านสู้โลก! เมื่อฉันได้ ‘ระบบต้นไม้วิเศษ’ มาครอง : Dek-D.com - Writer
×

    เปิดร้านสู้โลก! เมื่อฉันได้ ‘ระบบต้นไม้วิเศษ’ มาครอง

    Little Story

    ค้นพบโลกใหม่ของการทำอาหาร! เมื่อริญได้รับ "ระบบต้นไม้วิเศษ" ที่สานฝันทำร้านอาหารฝ่าความท้าทายแห่งโชคชะตา ทั้งระบบพิเศษและวัตถุดิบลึกลับจะช่วยเธอพลิกชีวิตจากลูกมือธรรมดากลายเป็นเจ้าของร้านคนต่อไป

    ผู้เข้าชมรวม

    64

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    64

    ผู้เข้าชมรวม


    64

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    6
    หมวด :  แฟนตาซี
    จำนวนตอน :  5 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  8 มี.ค. 68 / 00:00 น.
    ดูเพิ่มเติม
    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ย่านการค้าแห่งเมืองรานาเซียยามเช้าดูคึกคักเสมือนทุกวัน แม่ค้าตะโกนแข่งกันเรียกลูกค้า กลิ่นอาหารทอด-ผัดโชยไปทั่วตลาด โรงเตี๊ยมเปิดประตูต้อนรับคนงานจากเมืองใกล้เคียงที่แห่กันมารอขึ้นเกวียน พ่อค้าหาบเร่เดินสลับกับรถม้าและเกวียนขนของ ทว่าท่ามกลางความจอแจนั้น ถ้ามองให้ลึก จะเห็นว่าอารมณ์ของผู้คนในตลาดเริ่มเปลี่ยนไปไม่เหมือนช่วงหลายปีก่อน หลายร้านเงียบเหงาลงเพราะมีคู่แข่งใหม่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด บ้างก็ต้องลดราคาแบบไม่มีกำไรเพื่อประคองธุรกิจ เหมือนลมหายใจของเมืองนี้กำลังร้อนระอุ รอวันที่จะปะทุเดือด

    “มาถึงแล้วเหรอ ริญ” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากหน้าร้านอาหารโครงไม้เล็ก ๆ ตรงหัวมุมตลาด ยิ่งเข้าใกล้ กลิ่นควันจากกระทะก็ยิ่งชัดจนแสบจมูก ตัวร้านเป็นเพิงเรียบง่าย แขวนป้ายไม้เก่า ๆ มีตัวอักษรสลักด้วยลายมือชาวบ้าน: “บัวเงินโภชนา” แม้จะดูไม่หรูหรา แต่ชาวตลาดต่างก็รู้จักบ้านนี้ดี—เพราะเปิดมานานหลายปี ลูกค้าขาประจำเคยแวะเวียนเข้ามาตลอด

    หญิงสาวผู้ถูกเรียกชื่อว่า “ริญ” ก้าวเท้าเข้าร้านด้วยท่าทีอิดโรยจากการแบกถุงวัตถุดิบใบใหญ่ สภาพเธอภายนอกไม่ต่างกับลูกมือเด็กในร้านอาหาร สวมเสื้อสีซีดและกางเกงผ้าลินินเก่า ๆ รวบผมประบ่าไม่เรียบร้อยนัก ดวงตาแฝงแววเบื่อหน่ายปนกังวล

    “จ้ะ… ขอโทษที่ช้า พอดีแถวนั้นคนเยอะ” เธอตอบเสียงอ่อย สายตากวาดหาสมาชิกครอบครัว เหลือบเห็นทั้งแม่และพี่ชายยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ แม่กำลังจัดการเครื่องปรุง ส่วนพี่ชายกำลังเช็กสต๊อกหมูสับและผักใบเขียว

    แวบหนึ่ง ริญก็จับสังเกตได้ว่าร้านวันนี้ดูเงียบ ลูกค้ามีแค่นิดหน่อย ทั้งที่ช่วงเช้าปกติจะมีพ่อค้าแม่ค้าแวะมากินก่อนออกไปตั้งแผง เธอเม้มปากนิด ๆ ไม่กล้าถามตรง ๆ ว่า “ทำไมยอดขายมันดูตกอีกแล้ว” เพราะกลัวเสียงบ่นจากแม่

    “เสร็จแล้วไปล้างจานหลังร้านนะริญ” แม่พูดสั้น ๆ หน้านิ่ง ดวงตาบ่งบอกความเครียดไม่ต่างจากทุกครั้งที่เห็นว่าร้านเริ่มซบเซา ริญพยักหน้าอย่างว่าง่าย เธอไม่ได้คาดหวังเสียงยกย่องหรือกำลังใจอยู่แล้ว ตั้งแต่เล็กจนโตครอบครัวก็มองว่าเธอไม่เอาไหน ทำอะไรก็ผิดพลาดตลอด

    เมื่อเดินอ้อมไปหลังร้าน เธอก็พบกะละมังสแตนเลสใบใหญ่ที่ใส่จานเก่า ๆ แช่ค้างน้ำไว้ ควันบาง ๆ ของเตาถ่านหลังร้านลอยมาปะทะใบหน้า กลิ่นอาหารมันเลี่ยนผสมควัน สะท้อนชีวิตชาวบ้านที่วนเวียนในครัวอย่างไม่สิ้นสุด

    “เฮ้อ…” เธอถอนหายใจก่อนก้มหน้าลงล้างจานทีละใบ ความรู้สึกเหน็บหนาวในอกยิ่งตอกย้ำเมื่อได้ยินบทสนทนาระหว่างพี่ชายกับแม่จากด้านใน

    “คนหายไปไหนอีกแล้วล่ะแม่”
    “คงไปร้านเปิดใหม่ที่หัวมุมฝั่งใต้เขาล่ะ โปรฯ แรงขนาดนั้น เราสู้ไม่ได้”
    “ถ้าเป็นแบบนี้เรื่อย ๆ ไม่เกินเดือนก็คงลำบากแน่”
    เสียงของแม่กับพี่ชายตีกันไปมา ฟังแล้วก็มีแต่ความอึดอัด ริญชินแล้วที่จะเป็นผู้ฟังเงียบ ๆ ไม่เสนอความเห็น กลัวว่าจะโดนย้อนกลับมาว่า “แกมีปัญญาทำอะไรสักอย่างหรือเปล่า”

    แต่ภายในใจ เธอก็แอบคิด: “ฉันจะทำอะไรได้บ้างนะ… ฉันชอบทำอาหาร อยากพัฒนาสูตร แต่แม่ก็คงไม่ไว้ใจ… ถ้าเรามีจุดขายแปลกใหม่แบบร้านอื่นบ้างก็คงดี” เธอวักน้ำขึ้นล้างคราบมันบนจาน ลูบจนสะอาดเหมือนกำลังลูบฝันบางอย่างให้มันกลับมาเป็นประกาย

    น่าเสียดายที่ฝันนั้นอาจจะเป็นแค่ความเพ้อของคนไร้ความสามารถ ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็บอกว่า “ริญ” เป็นตัวปัญหา ไม่มีฝีมือโดดเด่น ไม่เก่งการค้าขาย ไม่ขยันขวนขวาย แค่ไม่สร้างความเดือดร้อนก็บุญแล้ว เธอเองไม่รู้จะเถียงอย่างไร เพราะดูเผิน ๆ มันก็จริง

    “เห้อ… เป็นแบบนี้ทุกวัน คงไม่มีอะไรเปลี่ยนไปหรอก” ริญบอกตัวเองในใจ ปลงกับโชคชะตาของตน

    ตกบ่าย ร้านเงียบหนักเข้าไปอีก มีลูกค้าขาจรแวะมากินสองโต๊ะแล้วก็ลากลับ เหลือที่นั่งโล่ง ๆ ทั้งสี่โต๊ะ จนแม่เดินหายออกไปสักพัก ไม่รู้ไปไหน พี่ชายก็ขังตัวเองอยู่กับเอกสารค่าใช้จ่าย พ่อเองก็ส่ายหน้ามึนตึง

    ริญเลยได้โอกาสแอบเอนหลังพิงกำแพงไม้ใกล้ ๆ ครัว หยิบผ้าเช็ดโต๊ะขึ้นมาถือไว้ทำทีว่าจะเช็ด ทำไปก็ทอดสายตาผ่านซี่ไม้ระแนงของร้าน เห็นฝูงชนที่เดินขวักไขว่ตรงปากทางไปยังตลาดใหญ่ บางคนคุยกันหน้าร้านว่า “ร้านเปิดใหม่ใส่อะไรในอาหารนะ ทำไมถูกและอร่อย” บ้างก็เล่าข่าวลือว่าผู้จัดการร้านนั้นมีเส้นสาย หรือได้วัตถุดิบหายากจากป่าไกล

    “วัตถุดิบหายาก…” ริญขบคิดเพียงประเดี๋ยว นึกอิจฉาเล็ก ๆ เพราะถ้าร้านเรามีของดีราคาถูกมาล่อใจบ้างก็คงดึงคนกลับมาได้ เธอฝันลม ๆ แล้ง ๆ ไปอีกพักหนึ่ง ก่อนแม่จะกลับมาเจอว่าเธอเอาแต่ยืนเหม่อ เลยโดนเอ็ดให้ไปเตรียมผักในครัว ไม่ให้ขี้เกียจ

    แดดสีส้มชะโลมท้องฟ้าเมื่อเวลาบ่ายคล้อย ส่งสัญญาณว่าร้านใกล้เวลาปิดเต็มที บางวันหากมีลูกค้าเย็น เราจะปิดช้า แต่วันนี้ดูท่าแล้ว แทบไม่เหลือใครมาอีก ริญช่วยพี่ชายเก็บของเข้ารถม้า แม่ตรวจเงินสดในกล่องแล้วส่ายหัว เพราะยอดขายไม่ถึงครึ่งของสัปดาห์ก่อน

    “เดี๋ยวค่ำค่อยคุยกันที่บ้านว่าจะเอายังไงต่อ” แม่บอกเสียงเรียบ แต่ทุกคนสัมผัสได้ว่ามันเครียดเพียงใด

    ในรถม้าที่เคลื่อนตัวต๊อกแต๊ก ริญนั่งเบียดหลังกับกองผักเหี่ยว ๆ มุมหนึ่ง สองมือกอดเข่าอย่างเหนื่อยล้า เธอปรายตามองถนนฝั่งข้างนอก เห็นแสงตะวันโรยรา นักเดินทางบางกลุ่มผ่านไปอย่างเร่งรีบเพื่อหาที่พัก ราวกับบอกว่าใครมีเป้าหมายชัดเจนก็จะก้าวต่อไปได้ แต่คนไม่มีจุดหมายอย่างเธอกลับติดแหง็กอยู่กับความจืดชืดในแต่ละวัน

    หัวใจริญรู้สึกด้านชา เธอไม่อยากฟังพ่อกับแม่ทะเลาะเรื่องค่าใช้จ่ายใด ๆ อีก คิดแค่ว่ากลับไปถึงบ้านก็ล้างตัวแล้วหลบไปนอนในห้อง เพื่อหนีจากความกดดัน แต่ใครเล่าจะรู้ว่า บางทีค่ำคืนนี้อาจนำพาบางสิ่ง…บางสิ่งที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตสามัญให้พลิกผันชนิดหยุดไม่อยู่ เหมือนโชคชะตาจงใจเลือกคนที่ไม่ถูกยอมรับอย่างเธอให้เผชิญ ‘พรหมลิขิต’ บางอย่าง

    รถม้าจอดสนิทหน้ารั้วบ้าน ลมเย็นท้ายวันหอบฝุ่นคลุ้งมาเบา ๆ พี่ลุคลงก่อนและเดินตรงเข้าบ้าน แม่กับพ่อก็แบ่งหน้าที่ขนของ คนละเล็กละน้อย ริญยืนลังเลครู่หนึ่งจนแม่ขึ้นเสียงอีกครั้ง เธอจึงรีบไปรับถุงเครื่องปรุงสองใบ อุ้มพะรุงพะรังเข้าประตู มองซ้ายขวาก็เห็นสภาพบ้านเก่า ๆ ทรุดโทรม บ่งบอกว่าครอบครัวนี้ไม่ได้ร่ำรวยอย่างร้านอื่นที่ทุนหนา

    อาจจะเป็นเช่นที่คนทั้งหมู่บ้านพูด… ว่า “ริญจะไปได้ไกลกว่านี้จริง ๆ หรือ เธอไม่มีฝีมือพิเศษอะไร…” หญิงสาวคล้ายจะยอมจำนนต่อวาทะนั้น เหลือแค่ก้าวต่อ ๆ ไปด้วยความว่างเปล่า

    ตลอดช่วงหัวค่ำ เธอขลุกอยู่ในครัวอย่างเงียบเชียบ ช่วยแม่ทำอาหารเย็นให้คนในบ้าน พี่ลุคยังคงตั้งหน้าตั้งตาอ่านเอกสารบัญชี พ่อเองก็เสนอมุมมองต่าง ๆ แม่ก็พึมพำปวดหัว ซึมเศร้าไม่พูดกับลูกสาวมากนัก ริญได้แต่นั่งมองวงอาหารเงียบ ๆ ที่มีแต่คำบ่นเบา ๆ และหน้าตากังวลของทุกคน บรรยากาศน่าอึดอัดจนเธอแทบหายใจไม่ทั่วท้อง

    “หนูขอตัวไปนอนก่อนนะคะ” เธอพูดพลางรวบจานของตัวเองเดินไปหลังบ้าน ล้างเสร็จก็เข้าห้องเล็กขนาดพอดีเตียง สิ่งเดียวที่อยากทำคือปิดตาแล้วหวังว่าพรุ่งนี้จะมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นบ้าง แม้จะเป็นแค่ความฝันก็ยังดี

    คืนนั้น ดวงจันทร์รูปเล็บโค้งส่องแสงบาง ๆ เข้าทางหน้าต่างห้องของริญ หญิงสาวนอนขดตัวด้วยสภาพอ่อนล้า ครั้นเมื่อตะเกียงในห้องดับไปได้ไม่นาน ก็มีเสียงบางเบาดังจากผนังเรือนไม้…ก๊อก…ก๊อก…เหมือนใครเคาะเบา ๆ ริญลืมตาขึ้น แต่พอเงี่ยหูฟังก็เงียบลงเหมือนไม่มีอะไร เธอจึงหันข้างกลับมาหลับต่อ

    ทว่าท่ามกลางความมืดที่โอบรอบห้อง เสียงฝีเท้าลึกลับยังคงดังแผ่วกรอบแกรบ เหมือนวิ่งผ่านนอกหน้าต่างหนึ่งไปอีกหน้าต่างหนึ่ง ริญกึ่งหลับกึ่งตื่นคิดว่าอาจเป็นแค่หนูหรือแมลง แต่ทันทีที่เธอจะข่มตาให้ลึกอีกครั้ง สัมผัสบางอย่างลอยผ่านสายลมเข้าสู่ประสาทรับรู้ ราวกับจิตใต้สำนึกกระซิบบอกว่า “กำลังมีบางอย่างมุ่งตรงมาหาเธอ…บางอย่างที่จะฉุดดึงชีวิตเธอให้พลิกผัน”

    เธอสลัดความฝันฟุ้งซ่านออก พร่ำบอกตัวเองว่าคงแค่เหนื่อยมากไป พรุ่งนี้ก็ตื่นไปล้างจาน ช่วยงานตามปกติ ไม่มีอัศจรรย์เกิดขึ้นหรอก ชีวิตไม่ได้ง่ายดายแบบในนิยาย

    แต่ใต้เงาจันทร์ที่เลือนราง เสมือนมีเส้นทางใหม่รอคอยอยู่ ตรงไหนสักแห่งของโลกใบนี้—หรืออาจจะใกล้กว่าที่คิด—กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาหา “ริญ” อย่างเงียบเชียบ เมื่อกงล้อโชคชะตาหมุนมาบรรจบที่เธอ ในขณะที่คนรอบข้างยังคงมองไม่เห็นค่าในตัวลูกสาวบ้านบัวเงินผู้ “ไม่ได้เรื่อง” ผลลัพธ์ของการมาบรรจบครั้งนี้จะเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง ไม่มีใครเดาได้ ราวกับผืนน้ำที่ดูสงบนิ่ง แต่มีคลื่นใต้น้ำรอจะแตกซัดขึ้นเมื่อใดก็ไม่รู้

    ราตรีนั้นอาจผ่านไปเหมือนทุกคืน แต่หลังม่านแห่งความมืด ริญกำลังจะได้พบโอกาสที่รอคอย หรืออาจเป็นความวุ่นวายครั้งใหม่ที่เปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล…

    สารบัญจำนวน 0 ตอน
    ตอนแรกสุด

    ลำดับตอน
    ชื่อตอน

    รีวิวจากนักอ่าน

    Empty Review

    นิยายเรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว

    มาเป็นคนแรกที่เขียนรีวิวนิยายให้กับนิยายเรื่องนี้กัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    กำลังโหลด...