สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ 2 - สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ 2 นิยาย สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ 2 : Dek-D.com - Writer

    สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ 2

    โดย omen

    อ่านประกอบ suicide 4ครับ ..สิ่งทีีเราควรทำและไม่ควรทำคืออะไรกันแน่ ในสถานการณ์ที่บีบบังคับไม่ว่าทางไหนก็เลวร้ายทั้งสองทาง

    ผู้เข้าชมรวม

    893

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    7

    ผู้เข้าชมรวม


    893

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    2
    หมวด :  สืบสวน
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  24 มี.ค. 49 / 15:00 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      หลังจากที่ผมทานเนื้อย่างเกาหลีเรียบร้อยแล้วนั้น ใจผมคิดว่าคืนนั้นคงเป็นคืนที่ผมหลับอย่างมีความสุข
      ดังเช่นคืนที่ผมมีความสุขเกี่ยวกับการกินอย่างคืนนี้
      แต่ผมคิดผิดถนัด   คืนนั้นเหตุการณ์ยังไม่เข้าเรื่องเลยด้วยซ้ำ คิดๆดูแล้วผมไม่ควรเริ่มประโยคที่ว่า
      "นายคิดไหมว่าผีมีจริง" ผมพูดขณะที่คิดหาหัวข้อสนทนาอื่นไม่ออกขณะหาทางกลับบ้าน
      ในความมืดของถนนที่กลับบ้านั้นผมมองแทบไม่เห็นสีหน้าของบ.เลยั
      บ.หันกลับมาพูดว่า "ของพรรค์นี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"
      ผมตะโกนว่า "อย่าหันกลับมาคุยสิ (ฟะ) นายขับรถอยู่นะเดี๋ยวได้เป็นผีเฝ้าถนนกันทั้งคู่จริงๆหรอก"
      ผมบอกขณะที่ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของบ. อยู่ดีจริงๆที่ไม่ต้องขี่รถด้วยตนเองนี่
      บ.หันกลับไปมองถนน ค่อยยังชั่วผมคิดในใจหลังจากนั้น แวบเดียวได้มีสิบล้อแซงรถของเราขึ้นมาอย่าง
      ไม่มีวี่แวว บ.หักหลบไปทางซ้ายทำให้เกือบจะชนรถยนต์ที่กำลังจะเลี้ยวเข้าสู่ถนน
      เฮ้อยังไม่ทันขาดคำเลยผมคิดอย่างนั้น "ขับดีๆหน่อยสิครับเพื่อนที่รัก" พูดดีๆไว้ครับเพราะผมรู้ว่า
      ชีวิตของผมอยู่ในกำมือของบ. เกิดบ.มันสมาธิวอกแวกอีกละก็มีหวังชื่อถนนที่เขาเรียกว่าโค้ง100ศพจะ
      ได้เปลี่ยนชื่อเป็น102ศพแน่ และผมก็ยังไม่อยากพิสูจน์ว่าโลกหน้ามีจริงไหม ในตอนนั้นนั่นเอง
      ผมและบ.ได้ขับรถผ่านป่าช้าวัดญวณและสุสานที่ฝังเหล่าเชลยศึกในสงครามโลกครั้งที่สอง
      ที่ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งหนึ่งในจังหวัดของผม มุมองประวัติศาสตร์นี่ก็แปลกนะครับ
      จากชาติที่เคยมีการกักตัวเชลยกัน ปัจจุบันเราเอาหูไปนาเอาตาไปร่กับเรื่องของซากศพเหล่านี้ซะแล้ว
      บ.พูดขึ้นมาว่า"งั้นถ้านายไ่กลัวผีอย่งที่เคยพูดจริงๆละก็นะ แน่จริงนายองไปนั่งบนฮวงซุ้ยที่วัดญวณดูไหม"
               "ตกลง" ผมตอบตกลงทันทีเพราะคิดว่า เลยวัดญวณมาแล้วคงไม่บ้าขนาดกลับไป
      เร็วเท่าความคิดครับ บ.หักรถจักรยานยนต์ทันทีจนรถด้านหลังรถบีบแตรดัง ปี้น (ตอนนั้นถ้าเป็นรถสิบล้อคงชนเราไปแล้ว
      ไม่มาบีบแตรอยู่หรอกคิดดีดี แล้วตอนนั้นหวาดเสียวดีจริงๆ) ลืมนึกนิสัย บ.ไปเลย
      มันเป็นประเภทพุดปุ๊บทำปั๊บครับ เราจึงมุ่งหน้าไปที่สุสานคนจีนกัน(ไม่ใช่สุสานสัมพันธมิตรนะครับ แต่อยู่ใกล้ๆกัน)
      มองสองข้างทางมืดมากเลยครับ ผม จึงพูดขึ้นเพื่อสร้างบรรยากาศว่า
      "ใครเป็นคนคิดสร้างสุสานให้อยู่ตรงข้ามห้องสมุด นะ ช่างคิดดีจริงๆ" ผมเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ
      ของสุสานตอนกลางคืนที่มีแสงจากดวงจันทร์สองมา และมีไฟนีออนติดๆดับๆอยู่อีก1ดวงเข้าบรรยากาศจริงๆครับ
      อากาศค่อนข้างเย็น ลมได้พัดมาหวิวๆ เหมือนเอามีดมากรีดผิวอย่างนั้นเลยครับ
      " เราว่าเขาสร้างสุสานมาก่อนที่ห้องสมุดประชาชนจะสร้างมานะเพื่อน "  บ.ตอบคำพูดของผมท่ามกลางความมืด
      "ดังนั้นจะโทษคนสร้างสุสานไม่ได้หรอก ควรจะโทษคนสร้างห้องสมุดมากกว่า "
      บ.จอดรถตรงสุสานแล้วผมไปนั่งบนฮวงซุ้ยขณะที่บ.อยู่บนรถ ผมเห็นของเซ่นแล้วคิดในใจว่ายังกินได้ไหมนะ
      "จะว่าไปแล้วเราก็คาใจกับคนวางผังเมืองจริงๆ ห้องสมุดแหล่งความรู้ควรจะสร้างไว้ใกล้ๆแหล่งชุมชนนะ
      ไม่ใช่วางไว้ห่างไกลผู้คนอย่างนี้คนจะมาค้นข้อมูล เสริมสร้างความรู้ให้ตนเองก็ลำบาก" ผมกล่าวแล้วถอนหายใจ
      พอหยุดพูดแล้วหลับตาบรรยากาศก็ไม่เลวจริง มีเสียงจักจั่น และสุนัขเห่าเล็กน้อย ลมก็พัดกรีดผิวไปหน่อย
      แต่ก็ไม่เป็นไรความเงียบในเวลากลางคืนทำให้ผมหยุดครุ่นคิดในเรื่องต่างๆ แล้วน้ำตาก็พาลจะไหลออกมาไม่หยุด
      บรรยากาศในสุสานโดยรวมก็ถือว่าดีครับเงียบลมเย้น แม้ว่าลมออกจะบาดผิว และยุงกัดสักหน่อยและสุนัขเห่าด้วย
      แต่ก็เหมากับการมานั่งใช้ได้เหมาะสำหับการครุ่นคิดเรื่องชีวิตและความตาย ผมยกมือขึ้นแล้วปัดยุงที่เกาะอยู่ทีขา
      ไม่ตบครับเพราะมันก็ดุดเลือดเราเพราะมีความจำเป็น ที่จะต้องนำเลือเราไปใช้ ในชีวิตใครเล่าที่ไม่มีเหตุผล
      ใครเล่าที่ไม่มีความจำเป็น เรื่องที่ตนเองทำลงไปทุกเรืองก็มีเหตุผล ด้วยกันทั้งนั้นตอนนั้นมีบางอย่างสะกิดใจผม
      เดี๋ยวสิ เมือ่กีสุนัขเห่าเรอะ ตอนแรกเห่าแฃล้วหยุด ก็แสดงว่าเห่าพวกเราสองคน
      แต่เห่าครั้งทีสองนี่แปลว่ามีคนเดินผ่านมันอีกเหรอ แย่แล้วผมคิดในใจและลืมตามองขึ้นมา
      ก็ได้เห็น บ.มองไปทางต้นเสียงเนผู้ชายใส่กางเกงขาสั้น ผมยาวรุงรัง เดินถือมีดเข้ามาหา
      อากาศคืนนั้นค่อข้างเย็นแตผมกลับรู้สึกร้อนขึ้นมางในท้อง ผมจึงบอกบ.ว่า
      "นายสตาร์ท รถรอไว้ก่อนเลยดีกว่าเพื่อน "บ.ทำตามอย่างว่าง่ายโดยไม่
      ต่อปากต่อคำผมให้เสียเวลา บ.มีข้อดีตรงนี้แหละครับถ้าคับขันเขาจะไม่ล้อเล่นเด็ดขาด
      งบ.ติดเครื่องยนต์ของรถขึ้นแล้วผมก็อุ่นใจขึ้นนิดหนึ่ง แต่ผมคิดไปเองหรือเปล่านะ
      ราวกับว่าผู้ชายที่ถือมีดคนนั้นวิ่งตรงมาทางนี้ยังงั้นแหละครับ  
      ผมตกใจลุขึ้นจากการนั่งบนฮวงซุ้ยทันที ในหัวของผมนึกถึงใบหน้าของอาจารย์ที่บอกว่า
      สิ่งแรกที่เธอควรมีในใจเวลาเกิดปัญหาไม่ใช่ความกล้าแต่คือสติ
      ขณะผมคิดดังนั้นตัวผมก็ไม่หยุดเคลื่อนไหว ได้รีบขึ้นรถของ บ.อย่างว่องไวและพุดว่า ไปเร็วๆเลย"
      ก่อนที่ผมจะพูดจบประโยคด้วยซ้ำ บ.ก็ได้ติดเครื่องไว้และออกตัวไปก่อนแล้ว
      และฝ่ายผุ้ชายคนนั้น ก็วิ่งถือมีดเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ผมไม่เสียเวลาถามเขากหรอกครับว่าวิ่งเข้ามาทำไม
      5เมตรเท่านั้นเองตอนเราติดเครื่องออกไป (ตอนนั้นผมคิดได้ว่าถ้าเขาขว้างมีดอีโต้นั้นออกมาคงเข้ากลางหลังผมเต็มๆแน่นอน)
      เนืองจาก5เมตรเป็นระยะที่แม้ต่ผมที่ไม่ค่อยเงยังขว้างลูกบอลโดนคนในระยะ5เมตรได
      รถได้ติดเครื่องและออกตัวอย่างรวดเร็วจนผมรู้สึกถึงแรงกระชากในช่องท้อง จาก5ร่นเข้ามาเป็น3เมตร
      ช่วงแขนของคนยาวประมาณ70 เซนติเมตร ผมรู้ว่าหมายความว่าอย่างไร (ความยาวอีโต้ ประมาณคร่าวๆ25เซนติเมตร)
      ถ้าเขาร่นระยะมาอีก2ก้าวละก็คงฟันโดนผมได้แน่  บ.ตั้งใจขับรถเต็มที่ผมไม่ตั้งใจจะกวนเขาให้เสียสมาธิและ
      รถก็ค่อนข้างเก่าและอัตราเร่งไม่ดี จึชายคนนั้นจึงร่นระยะห่างเข้ามาอีก1ก้าว และ..รถไกระตุกขึ้นมาเหมือนดับไปแป็บหนึ่ง
      ฉึก วัตถุมีคมได้มาที่คอและทำให้ผมรู้สึกเย็นวาบๆ ที่คอและสติก้ดับวูบลง ความตายเป็นอย่างไรผมคงจะได้รู้แล้ว
      ....

      ...


      ...
      "นายอย่าอำคนอ่านอีกสิเพื่อน"บ.พูดขึ้นหลังจากพวกเรารถึงบ้านแล้ว" ความจริงเป็นอย่างไรก็เล่าๆไปสิเพื่อน
      นายชอบแปลงข้อมูลอยู่เรื่อยเลย"  "แหมก้อยากให้เรื่องมันตื่นเต้นขึ้นนี่ "ผมพูดขึ้นหลังจากปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก
      "นิดเดียวจริงๆเลยนะ บ. ถ้าเราทำอะไรช้ากว่าตอนนั้น แค่วินาทีเดียวละก็" ผมพุดพร้อมกับสั่นหัวอย่างสยองไม่หาย
      "ทีคี่เราตื่นเต้นที่สุดก็ตอนเห็น ไอ้บ้านั่นเดินเข้ามานั่นแหละนายก็มัวแต่นั่งหลับตาอยู่บนฮวงซุ้ยอยู่ได้ เดี๋วอีกหน่อยนายได้
      ไปอยู่ในฮวงซุ้ยแน่" บ.ตอบอย่างหัวเสีย  "เราว่าตอนที่ตื่นเต้นที่สุดเป็นตอนที่จะฝ่าไฟแดงเพื่อเข้าไปในถนนล่ะมั้ง
      ตอนนั้นนายบิดไม่คิดชีวิตเลยนี่ เสียวสิบล้อจะเสยรอบสอง  หรือจะโดนตำรวจซิวซะแล้ว ตอนที่อีกนิดเดียวที่ไอ้บ้าที่นายว่าจะมาถึงรถนั่นหนะ
      ถ้าเป็นในหนังสยองขวัญก็พอขำอยู่หรอกแต่พอเจอเข้ากับตัวจริงๆไม่ขำเลยล่ะ"ผมพูดพร้อมกับถอนหายใจ
      "พูดถึงในหนัง นายก็เคยคิดเหมือนเราใช่หรือเปล่าที่ฆาตกรมันมาอย่างใจเย็นมาก เดินเอ้อระเหย แต่ทำไมของจริง มันถึงวิ่งเร็วพอๆกับ
      ตัวนักกรีฑาจังหวัดเลยล่ะ" ผมหยุดหายใจและปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก
      "และที่สำคัญที่สุดในหนังมันจะเฉลยปริศนาตอนท้ายแต่ทำไมเรื่องจริงที่พวกเราเจอ กลับไม่มีใครมาเฉลยให้เลย"
      บ.ที่หลังจากเริ่มทำใจได้กับเหตุการณ์ตื่นเต้นก็ยิ้มออกอีกครั้ง
      " เราก็ได้แต่คาดเดาแหละเพื่อน จริงๆแล้วเขาอาจจะไม่ได้เข้ามาทำร้ายเราก็ได้นะ"
      ผมคิดว่าก็อาจจะจริงของบ. เขาอาจจะเข้าใจว่าเราเป็นขโมยเลยอาจเข้ามาทำร้ายก็ได้
      "ในหนังนะเพื่อน เราสงสัยทุกทีว่าอยู่กันตั้งเยอะทำไมถึงปล่อยให้ฆาตกรฆ่าตายไปทีละคนได้
      พอมาเจอกับตัวจริงๆทำให้คิดว่า ความกลัว และเหตุการณืไม่คาดฝันทำให้คนขาดสติได้นะ
      ว่าแต่ เราก็อยู่กันสองคนนี่ตอนนั้น ขอเพียงแย่งมีดมาได้ ท่าทางไม่ได้ออกกำลังกายอย่างั้น จะมาสู้กับคนที่
      ยกน้ำหนักทุกวันอย่างนายได้ยังไง เพราะอะไรตอนนั้นพวกเราถึงคิดจะหนีท่าเดียว"
      บ.ตบไหล่ผม แล้วกล่าวว่า"เพราะเราสองคนมีความคิดใกล้เคียงกันนะสิเพื่อน จริง ที่พวกเราแค่คนใดคนหนึ่งก็จัดการคนที่ดูท่าทางเมาหล้า(เมายา?)และดูท่าทางไม่ได้ออกกำลังกายอย่างนั้นได้ ประเด็นอยู่ที่มีดที่ขาถือต่างหากในระยะประชิดแชลมุน นั่น ถ้าโดนมีดเข้า
      สักทีก็ขยับขาหรือชกไม่ออกแล้ว ไอ้แขนหักขาหักก็ยังต่อสู้ไปได้นั่นมันมีแต่ในหลังหรือนิยายนั่นแหละ
      และนั่นมันมีดนะโว้ย เข้าที่สำคัญทีนึงก็ถึงตายแล้ว  "
      "แต่ถ้าพวกเราคนใดคนหนึ่งเข้าชาร์จคนถือมีดก็ได้แล้วนี่นาหลังจากนั้น เจ้าคนนั้นก็โดนพวกเรายำแน่ๆ"ผมพูดกับ บ.
      "ปัญหาก็คือเราก็คิดแผนนั้นได้เหมือนกันทั้งคู่ และยิ่งกว่านั้น ก็คิดเหมือนกันอีกย่างคือให้อีกฝ่ายเป็นคนเข้าชาร์และเสี่ยงที่จะโดน
      มีดฟันแทน และตัวเองก็คอยซ้ำทีหลังนะสิเพื่อน"บ.กล่าวจบ เราสองคนก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน
      เฮ้อก้เป็นคืนที่สนุกสนานอีกคืนของพวกเราสองคน แต่ความสนุกสนานในคืนนั้นอีกอย่างกำลังจะเริ่ม
          
        ตนที่พวกเราสองคนนินทากันตอนหัวค่ำก็เดินเข้ามาหา ว.กับสและช.นั่นเอง
      ก็เหมือนเคยครับพอพวกเรามาเจอกันก็ชอบทำเรื่องอะไรแผลง ๆ กินเหล้า เบียร์กันบ้างเป็นบางคราว
      (ผมไม่กินครับเนื่องจากกินเบียร์แค่แก้วเดียวก็เวียนหัวแล้ว) และก็ขอย้อนความเดิมจากหลายตอนที่แล้ว
      ที่ผมเคยบอกว่า ว.เคยจีบสาวแล้วแห้วมาหลายคน ตอนนี้พวกเราก็กำลังยืนอยู่หน้าบ้านของผู฿หญิงคนนั้นอยู่ครับ
      และเนื่องจากพวกว.นึกครึ้มอะไรขึ้นมาก็มิอาจทราบได้ ว.กล่าวว่า" เข้าไปในห้อง(ขอสงวนนามครับ)กันเถอะเราเตรียมไขควงมาเรียบร้อยแล้ว
      แค่กลอนประตูธรรมดา ไขควงอันเกดียวก็เกินพอที่จงัดเข้าไปแล้ว" ลองทายดูสิครับว่าตอนนั้นผมคิพดอะไร
      นอกจากมาตรา364ของประมวลกฎหมายอาญา(ความผิดฐานบุกรุกเข้าเคหสถานของผู้อื่น)บวกกับเหตุฉกรรจ์ที่ทำให้โทษหนักขึ้น
      ตามมาตรา365วรรค3 คือในเวลากลางคืนแล้ว ระวางโทษจำคุกไม่เกิน5ปีแล้วผมยังคิดอะไรต่อไปอีก
      แน่นอนครับผมใช้เวลาทำใจอยู่นานพอสมควรทีเดียวครับกว่าจะกลั้นใจเขียนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้นขึ้นมาทั้งหมด
      เพราะตอนนั้นผมร้อนใจจนแทบจะลืมสังเกตอะไรหลายอย่างจริงๆ  
        
        แรกเริ่มเดิมทีมันเริ่มจากที่พวกเรา (ผมไม่ได้ทำแต่ก็ไม่ได้ห้ามเลยเป็นเหมือนผู้สมรู้ร่วมคิด)ไปแอบดูห้องของเด็กผู้หญิงคนนั้น
      ในคืนก่อนๆที่ผ่านมา เราได้แอบดูโดยวิธีใช้ไขควงงัดแงะ เนื่องจากบ้านของผู้หญิงฝาบ้านทำด้วยไม้จึงง่ายมากที่จะใช้ไขควงงัดให้เป็นช่อง
      แอบดูเราก็ได้แอบดูผู้หญิงทำ อิริยาบทที่ สุภาพสตรีโดยทั่วไป ...เอ่อต้อง แน่ใจอย่างที่สุดว่าไม่มีคนเห็นเท่านั้นจึงจะทำ
      ผมไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วเธอทำอะไรบ้างเนื่องจากไม่ได้ไปแอบดู แต่จากฟังเพื่อนบอกแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรบอกแก่สื่อสาธารณะสักเท่าไร


      ก็ไม่ใช่ความผิดของเธอที่ทำกิริยาเหล่านั้นหรอกครับ เป็นความผิดของพวกโรคจิตอย่างเพื่อนผมมากกว่าในคืนต่อๆมารูที่แอบดูนั้ร
      ก็ถูกปิดโดยโปสเตอร์ ฟังจากที่เพื่อนเล่ามาผมสันนิษฐานว่าผู้หญิงคงจะรู้ตัวแล้ว ล่ะครับว่ามีพวกโรคจิตกลุ่มหนึ่งแอบดูเธออยู่
      และสายตาเธอที่มองผมก็มองดูแปลกๆกว่าเดิมซะอย่างนั้นแหละครับเนื่องจากบ้านอยู่ใกล้กัน เจอหน้ากันแทบทุกวันจะเข้าหน้ากันไม่ติดก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะรู้สึกไม่ดีครับ แต่พอรู้ว่า ถูกปิดรูแอบดูไปแล้วพวกเพื่อนผมก็บ่นกันอุบอิบเลยครับ

      ....แต่จะให้พวกเขาท้อแท้ใจละก็ไม่มีทาง (ผมคิดว่าถ้าพวกเขาเอาความพยายามเหล่านี้มาใช้กับเรื่องเรียนละก็คงได้เกียรตินิยมไปแล้ว)
      พวกเขาทำอย่างไรหรือครับโดยทางเทคนิผมไม่รู้โดยละเอียด แต่คราวนี้พวกเขาเจาะรูห้องน้ำดูเลยครับ
      ผมเคยถามช.ว่า "เฮ้ ช.นายเจาะรูแอบดูได้อย่างไรกันส่วนห้องนอนเป็นไม้ยังพอแงะได้ส่วนของห้องน้ำนั่นคนละเรื่องเลยนะ
      เพราะมันเป็นซีเมนต์" ช.หันมาพูดว่า"ดูด้วยเหรอถึงมาถาม อยากดูก็บอกมาเถอะน่าทำเป็นอายไปได้"
      "เราถามเพราะความอยากรู้จริงๆบอกมาเถอะ ถึงแม้โดยส่วนตัวเราอยากให้พวกนายเลิกทำก็เถอะนะ"
      "อ้างไปเรื่อยเลยนะ บอกก็ได้มันง่ายกว่าที่คิด" ครับมันเป็นวิธีที่ง่ายแบบกำปั้นทุบดิน วิธีที่ทื่อที่สุดและได้ผลที่สุด

           ครับ...สว่านไฟฟ้าเจาะ  ในหัวผมมีข้อหาคำว่าความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ลอบผุดขึ้นมาเมื่อ
      ได้ยินคำว่าสว่านไฟฟ้าเจาะผนัง ผมมองหน้าช.อย่าง งงๆไประยะหนึ่ง
      ช.เห็นผมพูดไม่ออกเลยช่วยสานต่อบทสนทนา "มันก็ทำง่ายๆ บ้านเราเป็นพ่อเราเป็นช่างอยู่ใช่ไหมล่ะ
      อุปกรณ์เจาะผนังก็หาได้ง่ายๆตามกล่องเครื่องมือ ตอน ส.มาขอให้เราทำเราก็เห็นด้วย เลย
      ไปหยิิบเครื่องมือมาและเอาปลั๊ก3ตามาต่อสายไฟ เปิดสวิตช์แล้วเจาะ จบ .. ง่ายๆแค่นี้แหละ"

         มีคำถามหลายอย่าง ประโยคที่อยากพูดหลายประโยค แต่สิ่งที่ผมพูดออกมาเป็นประโยคแรก กลับเป็นประโยคนี้
      "ทำไม" ผมกล่าวหลังจากตั้งสติได้แล้ว ช.กล่าวตอบรับว่า"ทำไม อะไรเหรอ"
      "ทำไม พวกนายต้องทำอย่างนี้ด้วย "ผมกล่าวพร้อมกับการถอนหายใจ
      "ก็เพราะพวกเราอยากทำนะสิ ถ้าพูดให้ถูกก็คือถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากใช้วิธีเจาะห้องน้ำหรอก มันเปลืองเวลากว่า
      วิธีเก่าที่แงะช่องระหว่างฝาบ้านที่เป็นไม้ตั้งเยอะ" ช.พยายามพูดให้ผมเข้าใจ

        สิ่งที่เราควรทำและไม่ควรทำคืออะไร เมื่อกลุ่มเพื่อนทั้งหมดเห็นดีเห็นงาม
      ไปกับการเจาะผนังห้องอาบน้ำผู้หญิงเมื่อผมพยายามห้าม กลับรู้สึกเหมือนเป็นแกะดำของกลุ่ม
      เพื่อนๆในกลุ่ม จะมองด้วยสายตาแปลกๆเมื่อผมไม่เห็นด้วยกับวิธีที่พวกเขากระทำอยู่
      เจตนาที่ผมต้องการห้ามกลับส่งไปไม่ถึงพวกเขา   สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำในสภาวะเช่นนี้คืออะไรกันแน่

        ข้ันแรกผมพยายามหว่านล้อมด้วยเหตุผล"นี่นายทำอย่างนี้ไม่กลัวเหรอว่าเขารู้แล้วจะว่าอย่างไรกับ
      พวกเราถ้าเขาเอาเรื่องขึ้นมาพวกเรามีโอกาสที่จะเสียชื่อเสียงมองหน้าใครไม่ติดแน่ๆ"
        ส.ที่เงียบมาตอลอดพูดขึ้น "ย.ห. อย่าห่วง เรื่องอย่างนี้ผู้หญิงเขาจะอับอายเอง
      ไม่มีใครกล้าเอาเรื่องไปแพร่กระจายข่าวหรอก ถ้าพ่อของเขาทำลูกสาวเขาเองนั่นแหละที่จะเสียหาย"
        
      ื    ผมพยายามต่อไปอีก" แล้วนายไม่สงสารผู้หญิิงเขาหรอกเหรอ คิดดูสเิขาเป็นเพศหญิงเพศเดียวกับแม่ของเรา
      เราไม่ควรทำอย่างนี้นะในฐานะของลููกผู้ชายแล้ว"

        ว.ที่ท่าทางจะทนเงียบมานานก็บอกว่า"ไปกันซะที่เถอะไม่มีเวลาทั้งคืนนะ "และ ว.หันกลับมองมาทางผม
      "คนที่ถอยกลับเพราะความกลัวหนะ ไม่ใช่ลูกผู้ชายหรอก ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น
      และนายคิิดเหรอว่าเราอยากเปลืองแรงทำอย่างนี้ถ้าผู้หญิงยอมให้ดูดีๆ เราก็ไม่มาเจาะหรอก"

         เออ นายมีความพยายามสูงแต่ใช้ผิดเรื่องไปหน่อยมั้ง ผมพยายามใช้ไม้แข็ง
      "เฮ้ ถ้าพวกนายจะเข้าไปในห้องผู้หญิงละก็ราะบอกให้หมดเลยว่าพวกนายทำอะไรมาบ้าง กับพ่อของผู้หญิง
      พ่อเขายิ่งดุๆอยู่ด้วยนะ คิดดูดีๆนะเพื่อน พวกนายทำเรื่องเสี่ยงๆมาพอแล้วหยุดแค่นี้เถอะ"

         ผมพยายามทั้งขู่ทั้งปลอบ มันน่าจะได้ผลมันควรจะได้ผลถ้้าตอนนั้นไม่มี บ.อยู่ด้วย
      "ลองดูสิ พ่อคนดีเอ๊ย"บ.กล่าวกับผม "นายคิดเหรอว่าถ้าไปบอกพ่อของผู้หญิงแล้ว เขาจะไม่มองนายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดไปด้วย
      นายยิ่งสุมหัวกับพวกเราทุกคืน เขาจะไม่มองนายเป็นพวกเราก็แปลกไปแล้ว และถ้าเขามีข้อสงสัยในใจขึ้นมาละว่า
      ไอ้หนุ่มนี่คิดยังไงถึงมาบอกเรื่องนี้กับเรา มันเคยทำเรื่องชั่วๆมาตั้งหลายครั้งถึงมาบอกก็ไม่ยกโทษให้หรอก
      หึ เพราะตามความคิดของพ่อเขานั่นนะถ้ามาบอกอย่างน้สันดานมนุษย์ยอมมีความระแวงอยู่แล้ว
      เขาจะเหมานายตั้งแต่ต้นนั่นแหละว่าแอบดูลูกสาวขามาในครั้งก่อนๆด้วย
      นายจริงใจกับใครมันก็ดีแต่ถ้าทำอย่างนี้ไม่มีผลลัพธ์ที่ดีหรอกนะ"
        
        บทแทรกพล็อตเรื่องใหม่เล็กน้อยกันผมลืมครับ

      มีชายคนหนึ่งชื่ออึ่ง เขาเป็นคนที่....ผมคงพูดอะไรไม่ได้มากแต่ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนชอบเล่นอินเตอร์เนต
      โดยใช้นามแฝงว่า omen ทั้งที่หน้าตาเขาก็ออกไปทางไทยแท้ (ตัวดำผมหยิก ผอม)สืบสาวตระกูลไป3ชั่วรุ่นก็ไม่มี
      เชื้อต่างประเทศสักนิด แต่ดันใช้ชื่อนี้  การค้นพบโลกกว้างที่อยู่ในหน้าจอสี่เหลี่ยมที่มีแต่เลขฐานสอง 0กับ1 วิ่งไปมา
      จะเป็นอย่างไรต่อไปติดตามการผจญภัยของเขาได้เร็วๆนี้ ...อึ่งเอ๋ยปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วออกมาข้างนอกเดินเล่นหรือ
      ออกกำลังกายบ้างเถอะ

        กลับมาเข้าเรื่องกันต่อนะครับ หลัจากที่ บ.พูดเช่นนั้นไป ผมเตรียมเหตุผลที่แก้ได้แล้วครับแต่ตอนนั้นพูดไม่ออกเลย
      อาจจะจริงทีีผมแก้สถานการณ์ในภาวะฉุกเฉินไม่เก่งก็ได้ทำให้ทั้งกลุ่มตัดสินใจเจาะรูโดยสำเร็จไปอย่างง่ายดาย
      จนไม่ต้องบรรยายขั้นตอนการขุดเจาะด้วยซ้ำ  ทุกท่านที่อ่านคงจะสงสัยว่ามันน่าจะมีเหตุคับขันบ้างสิถึงควรจะนำมาเล่า
      อย่างตอนที่แวะสุสานยังเจอคนไล่ฟันเลย ท่านผู้อ่านที่ติดตามเรื่องของผม โลกนี้อาจจะมีคนอยู่2ประเภทคือคนที่ทำชั่วไม่ขึ้น
      และคนที่ทำชั่วขึ้น พวกนั้นเป็นประเภทที่สองครับ การขุดเจาะไร้อุปสรรคใดๆอย่างสิ้นเชิงหลังจากที่ผมเดินกลับไป
      บ้านเนื่องจากห้ามพวกนั้นไม่สำเร็จ วันต่อมา บ.ก็บอกผมว่าทุกอย่างเรียบร้อยไร้ปัญหา ตอนนี้ที่ผนังห้องน้ำมีรูแอบดู
      ขึ้นมาเรียบร้อยแล้วอยากแอบดูเมื่อไรก็ตามสะดวก
              
         หลายวันผ่านไปจนผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำ(ที่จริงผมแกล้งทำเป็นลืมเพื่อจะไม่โดนติเตียนจากมโนธรรมในจิตใจ)
      ว่าพวกนั้นเจาะรูแอบดูไว้เรียบร้อย คืนหนึ่งขณะที่คุยกัน ว.ก็พูดขึ้นว่า "เข้าไปในห้องของผู้หญิงกันเถอะ"
      พวกนั้นก็เห็นดีเห็นงามด้วย ส่วนผมหมดความพยายามที่จะห้ามแล้ว  

         เนื่องจากตอนนั้นเป็นโอกาสดีที่ผู้หญิงไม่อยู่และคนในบ้านก็ไม่อยู่เลย ถ้าหากผมเป็นคนที่จะมาขโมยของ
      ผมคงจะเลือกเวลาเช่นนี้ ผมรู้สึกมาตลอดว่าเพื่อนของผมทั้งกลุ่มไม่ใช่คนโง่เลย  ถ้าจะเปรียบเทียบความฉลาด
      ผมคงอยู่อันดับ บ๊วยของกลุ่ม การทีี่พวกเขาตัดสินใจเลือกเวลานั้นเข้าไปได้พิสูจน์จากข้อเท็จจริงในภายหลังแล้วว่า
      พวกเขาเลือกเวลาได้ถูกต้องแล้ว....ในฐานะนักถ้ำมองพวกเขาตัดสินใจถูก  แต่ไม่ใช่ในฐานะผู้ชายที่ดีเลย
          
        ผมก็พยายามที่จะห้ามพวกเขาอีกครั้งแต่ก็ออกมาในรูปแบบเดิม ครับ ไม่สำเร็จ   วิธีการก็
      "ง่ายกว่าคราวเจาะรูเยอะเพื่อน แค่ไขควงกับไม้บรรทัดเหล็กก็เหลือเฟือ" ครับมันง่ายกว่าที่เขาพูดด้วยซ้ำ
      เพราะตอนที่งัดกุญแจบ้านเข้าไปใช้เวลาไม่ถึง2นาทีด้วยซ้ำ (แต่สำหรับผมมันนานเหมือนชั่วชีวิตเลยครับ
      ช่วงไม่ถึง2นาทีนั้นผมเข้าความรู้สึกของผู้ร้ายในหนังเลยครับว่าจะมองว่าคนรอบข้าง มองผมแบบสงสัยไปหมดเลย
      เพราะตอนที่เขาไขประตูผมทนอยู่ด้วยไม่ได้เลยไปซื็อน้ำมาดื่ม ทั้งที่เจ้าของร้านมองหน้าผมแบบทุกวัน
      แต่ผมกลับรู้สึกว่าเจ้าของร้านค้ามองผมแปลกๆ นี่สินะคืออุปสรรคของฆาตกรในหนังที่จะหวาดระแวงสิ่งรอบกายไปหมด
      พอโดนนักสืบลักไก่หรือขู่เข้าเล็กน้อยก็พาลจะอาละวาดต่อหน้าตำรวจและสารภาพว่าตนเองเป็นคนฆ่าเอาได้ง่ายๆ
      โดยเฉพาะฆาตกรที่ฆ่าคนอื่นที่เห็นเหตุการณืก็เหมือนกันไม่คิดซะบ้างว่ายิ่งฆ่าก็เหมือนยิ่งเพิ่มหลักฐาน
      ที่ตำรวจสามรถจะนำเป็นหลักฐานที่ตำรวจจะนำเสนอไปให้อัยการ และนำคดีไปสู่ศาลในที่สุด

         ที่เราควรทำที่สุดเวลาตำรวจสงสัยคือ เรียกทนายความมาปรึกษา ....อ๊ะผมคิดมากไปแล้วกลับมาเรื่องถ้ำมองก่อนดีกว่าครับ
      พอผมกลับมาพวก ว ส และชอยู่ในห้อง (บ.ดูต้นทาง ) ผมคิดขึ้นมาได้ว่า (เรื่องการเข้าสังคม บ.มันเก่งกว่าเราจริงๆแฮะ
      ผมรู้ดี บ.ก็เป็นคนที่คิดแบบเดียวกับผมนั่นแหละครับ ว่าของพรรค์นี้ไม่คุ้มค่าที่จะดูหรอกเมื่อเทียบกับ หลายๆอย่างที่เสียไปหากถูกจับได้
      ผมกับ บ.เคยคุยกันหลังจากเหตุการณ์เจาะด้วยสว่านไฟฟ้าในตอนแรกว่า" ทำไม นายถึงต้องพูดอย่างนั้นตอน ที่เรากำลังเกลี้ยกล่อมด้วย "
      "โอ(ชื่อผู้แต่ง) .. นายนี่ไม่สำนึกบุญคุณที่เราช่วยนายตอนนั้นเลยนะ เราทำคุณบูชาโทษแท้ๆ"
           "นี่แปลว่าเราต้องขอบคุณนายใช่ไหมนี่ " ผมพูดอย่างโมโห
        "ใช่เลย ..นายคงคิดในใจตอนนั้นสินะว่าอีกนิดเดียวก็จะเกลี้ยกล่อมพวกนั้นได้แล้ว"
      ผมคร่นคิดสักพก และ บ.ก็พูดต่อว่า"ซึ่งเราขอบอกเลยนะว่า นายคิดผิดมหันต์  ว ส ชไม่เปลี่ยนความตั้งใจ
      หรอกไม่ว่านายจะพูดอะไร ให้พวกนั้นมีความกังวล มากขึ้นแค่ไหนก็ตาม นายดูถูก สิ่งที่เรียกว่าความตั้งใจ หรือเรียกอีกอย่างว่า ..
      เอ่อ ค..ความโรคจิตของพวกนั้นก็ได้ เกินไปแล้ว ไม่ว่านายจะสร้างความกังวลแค่ไหนพวกนั้น
      จะไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจเด็ดขาด สิ่งที่นายทำก็จะเป็นแค่การทำให้พวกนั้นเกลียดนายมากขึ้นเท่านั้นแหละ
      เพราะถ้าสิ่งที่นายพูดเกิดขึ้นจริงนายก็เหมือนแช่งพวกนั้นและอาจดูเป็นคนขายเพื่อนด้วย
      แต่ถ้าสิ่งที่นายทักไม่เกิดขึ้นจริง นายก็กลายเป็นไอ้ขี้ขลาดที่กังวลไม่เข้าเรื่อง
      เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราพูดไปไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อมก็เป็นการช่วยเหลือนายอยู่ดี
      และนายคิดจริงๆหรือว่า เราต้องการแอบดู"  
      พวกเรา2คนพูดขึ้นมาพร้อมกันว่า "มันไม่ใช่ของที่ควรค่าแก่ความพยายามที่จะดู"
      และก็หัวเราะพร้อมกัน" ใช่เลย ที่เราแอบดูก็เพื่อเข้ากลุ่มกับ ว ส ชเท่านั้นเอง ไม่ได้มีความอยากดูเลย"

        ตอนนั้นผมคิดขึ้นมาในใจว่าบ.นี่มีการแก้ตัวและการเข้าสังคมที่เป็นเลิศจริงๆ เขาสามารถพูดจนทั้งสองฝ่าย  
      มองเห็นเขาเป็นพวกเดียวกันได้  "นายคงคิดว่าเราเป็นคนเข้าได้กับทั้งสองฝ่ายล่ะสิ " บ.พูดออกมา

          เขารู้ว่าผมคิดว่าอะไร " หึ นี่ก็พิสูจน์ได้เหมือนกันแหละว่า นายเป็นคนเก่ง บ.แต่นายใจกล้าไปหน่อยหรือเปล่า
      (เข้าได้กับทั้งสองฝ่ายคนอื่นอาจเห็นว่า เป็นพฤติกรรมนก2หัว ตี2หน้าหรือ อะไรที่ดูเสียหาย แต่สำหรับผมกับ บ.
      ถือว่าเป็นคำชมทุกคนมีจุดยืน เหตุผล หลักการคิด คติความเชื่อและผลประโยชน์ที่ต่างกัน การที่ความคิด
      ของฝ่ายหนึ่งถูกไม่ได้แปลว่า ความคิดของอีกฝ่ายจะผิด เพราะเวลาถกเถียงกันใครเล่าจะคิดว่าตนเองเป็นคนผิด
      คนเราทุกคนก็เป็นคนดีไม่ใช่เหรอจากมุมมองของเราเอง  ฆาตกรร้อยศพเป็นคนเลว เพราะเราเอาตัวเราไปวัดนั่นเอง
      ถึงผมกับ ว ส ช จะความคิดเห็นไม่ตรงกันในเรื่องการเจาะรูแอบดูอย่างนี้  ผมเชื่อว่า มันไม่คุ้มค่าที่จะเสี่ยงทำโดยแรก
      กับชื่อเสียงและมโนธรรมในใจของเราเอง แต่ ว สและ ชก็มีความเชื่อและความคิดของเขาเช่นกันว่ามนัคุ้มค่าที่จะเสี่ยงที่จะตอบสนองความต้องการของตนเอง ผมรู้ได้ว่าที่ผมพูดไปให้ ว สและช ฟังนั้นเป็นแค่การพูดสิ่งที่ใจเขากังวลออกมาเท่านั้นเอง และผมก็โดนขัดจังหวะความคิดโดยเสียงพูดของ บ. "และจริงๆแล้วเราว่านายอย่ามาโกหกกันเลย ถ้านายคิดจะห้าม ว ส หรือ ชจริงๆ แล้วละก็นายทำได้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว"  บ. กับผมสบตากันครู่หนึ่งแล้วก็หัวเราะพร้อมกัน
         เรื่องหลังจากนั้นผมอยากเล่าว่า พวก ว ส ชโดนจับได้แล้วได้รับผลกรรมที่ก่อไว้
      ตามหลัก กฏแห่งกรรมและนิยายทีดีที่ธรรมะย่อมชนะอธรรม แต่อย่างที่มีคำกล่าวที่ว่า  นืยายมันดีที่สุดตรงที่ เขียนให้พระเอกชนะได้ และหาทางออกให้กับเรื่องราวที่ความจริงนั้นไม่มีทางออก  ผมจึงอยากให้เรื่องที่เขียนสอนตัวผมเองอีกอย่างว่า
      ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น 
           เนื่องด้วยผลของความพยายามจาก ว สและช ทำให้เข้าไปในห้องสำเร็จ
      การที่พวกเขาทำสำเร็จโดยไม่มีใครเห็นนั้นไม่ได้มาจากโชคช่วย แต่มาจากที่เขาเฝ้าสังเกตบ้านของผู้หญิงเป็นเดือน ทำตารางเวลาเข้าและออกจากบ้านของคนในบ้าน
      (โดยผลัดกันเฝ้าดู สามัคคีคือพลังที่นำไปสู่ความสำเร็จครับ) คำนวณเวลาเข้าห้องน้ำ หรือพูดแบบง่ายๆก็คือ เรียนรู้และสังเกตสิ่งที่ผู้ทำเองยังไม่รู้ตัว
           หลังจากที่เข้าไปในห้องได้ โดย บ ตามไปด้วย ผมไม่เข้าไป บ.จึงให้ดูต้นทางไว้
      ผมคิดขึ้นมาตอนนั้นว่านี่คือความฉลาดอย่างหนึ่งของกลุ่มหรือเปล่าที่ให้คนที่ไม่ดูมาเฝ้าต้นทาง ทำให้คนที่อยากดูได้ดูทั้งหมด อย่างนี้หรือเปล่าที่ตำราพิชัยยุทธในสมัยโบราณกล่าวว่า ใช้คนให้ถูกงาน    เก็บจากคำบอกเล่าภายหลังผมพบว่า
       พวก ว. ส. ช.และบ ก็เข้าไปเปิดดูเสื้อผ้าในห้อง ไดอารี่ และข้าวของที่ เอ่อ..
      (เพื่อปกป้องชื่อเสียงของผู้หญิงผมไม่ขอพูดถึง)  และขวดโหล ทอฟฟี่ที่ให้กันเป็นของขวัญ  ว.ย่ามใจถึงขนาดหยิบออกมากินด้วยทั้งที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเจ้าของห้องเขาก็เห็นอยู่ทุกวันแทๆ้ยังทำได้จะย่ามใจมากไปแล้ว  แต่ก็อย่างที่ผมบอกข้างต้นมีบางคนที่ทำชั่วขึ้น  หลังจากนั้นก็ออกมาจากห้องตามเวลาที่คำนวณไว้ และคุยกันอย่างออกรสอและสนุกสนานกับเหตุการณ์ที่ได้เข้าไปในห้อง  ความสนุกก็หมดลงเมื่อ ว.บอกว่าลืมไขควงเอาไว้ในห้อง (จริงๆแล้วตรงนี้ บ.กับผมมาวิเคราะห์ว่า ว.น่าจะจงใจลืมไขควงเอาไว้ และถือเป็นโอกาสเข้าไปในห้องอีกครั้ง) ก็ตกใจกันสักพักและเข้าไปในห้องและว.
      ก็เปิดชั้นเก็บกางเกงในและเอากางเกงในมาเล่นอีกครั้ง เหตุการณ์ในตอนนั้นแม้แต่ บ.ที่เยือกเย็นอยู่เสมอยังต้องใส่อารมณ์ให้รีบออกไป เพราะจากการคำนวณของ บ.
      พวกเราควรจะอยู่ข้างนอในเวลาที่เสี่งต่อการที่เจ้าของบ้านจะกลับมาเช่นนี้ ว.แสดงสีหน้าไม่พอใจแต่ก็ เก็บกางเกงในเข้าชั้น และออกจากห้องไปพร้อมกับไขควงที่ตอนแรกลืมวางเอาไว้บนเตียงของผู้หญิง(คิดดูสิครับความไม่แตกว่ามีคนเข้ามาก็ให้รู้ไป)
        หลังจากนั้นก็โดนจับได้ตามหลักทีี่ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วครับ
      คนชั่วร้ายก็จะได้รับผลจาการกระทำนั้น โดนบันทึกประจำวันที่สถาานีตำรวจพ่อแม่ต้องเสียเงินเพื่อให้คดีนี้ไม่มีการเอาความกัน และถูกดูหมิ่นดูแคลนจากคนในละแวกนั้นไปอีกนานเท่านาน
           ซะที่ไหนล่ะครับ มีเสียงหัวเราะดังกึกก้องมากในคืนนั้นเพรราะคลาดกันแค่3นาทีคุยกันยังไม่จบประโยคด้วยซำ้เจ้าของบ้านก็กลับมา ไฟหน้ารถฉายมาที่ผมและเพื่อนที่อยู่กันครบทั้งกลุ่มไม่มีใครขาดหายไป บ.คงยิ้มย่องในใจว่า ไม่มีหลักฐานแล้วจับมือใครดมไม่ได้หรอก ส่วนผมกลับคิดว่าถ้าทำต่อไปคงพลาดกันได้ แต่การคาดการณ์ไว้หมดแล้วและเตรียมแก้ไขไว้จะทำให้เราผ่านเรื่องเลวร้ายไปได้ บ.บอกกับผมว่าเขาไม่ค่อยภูมิใจเท่าไร
      ที่เกิดเหตุไม่คาดหมายอย่างการลืมไขควงไว้ แต่ผมก็บอกว่า อย่าคิดมากเลยมันเป็นบทพิสูจน์ว่าในชีวิตจริง ปัจจัยที่เราคาดฝันไม่ถึงจะมีเยอะแยะไปหมด นายเตรียมไว้หมดทั้งการดูต้นทางทั้งการคำนวณเวลากลับบ้าน แต่ก็พลาดได้
      แล้วเรา2คนก็หัวเราะดังลั่นในคำ่คืนนั้น ก็อย่างที่ว่าแหละครับ ถ้าทำต่อไปอีกก็พลาดจนได้ มีรุ่นน้องแถวนั้นอยากจะเจริญรอยตามรุ่นพี่ พวกเขาจึงถามวิธีแอบดู
      (เมื่อวิธีแอบดูรั่วไหลออกนอกกลุ่ม บ.จึงหาข้ออ้างบ่าสยเบี่ยงในครั้งต่อไป)
      ว. ส.ช.ก็บอกอย่างไม่ปิดบังในฐานะรุ่นพี่ที่ดี จากนั้นรุ่นน้องพวกนั้นก็ถูกจับได้ว่าไปแอบดู แม้จะพยายามแก้ตัวว่าแค่แอบดูครั้งนี้ครั้งเดียวก็แก้ตัวไม่ขึ้น
      จึงโดนเหมารวม ว่า ได้ทำในสิ่งที่พวกผมทำในครั้งก่อนๆไปด้วยปิดบัญชีได้อย่างสวยงาม พร้อมกับบอกรุ่นน้องว่าได้สงสัยหลายครั้ง แต่จับไม่ได้คาหนังคาเขาสักทีแต่สุดท้ายก็จับได้จนได้ ก้โดนเจ้าของบ้านขู่ไปตามระเบียบ  แม้จะพยายามซักว่ามีคนอื่นอีกไหมแต่ด้วย บ.เคยสมมุติสถานการ์จำลองเช่นนี้ขึ้นมาก่อนแล้วพวกนี้จึงโดนไป
      ทั้งหมดโดยสาวมาไม่ถึง ว. ส.และช. (ส่น บ.มันไม่ออกหน้าเลยด้วยซำ้ว่าอยู่ในกลุ่มด้วยเพื่อป้องกันตนเองไว้ก่อน ) แต่ว ส. ชก้โดนจับตาดูมากขึ้นหลังจากนั้นจึงต้องเลิกการแอบดูไป โดยรุ่นน้องพวกนั้นกลายเป็นคนทำผิดในเรื่องที่พวกผมทำมาก่อนแทน


        ผมกับ บ.มาคุยกันหลังจากนั้น "เฮ้อ แค่คนดูต้นทางก็ยังไม่มีรุ่นน้องพวกนั้นมันประมาทไปแล้ว แค่เจ้าของบ้านลงจากรถไม่เปิดไฟแล้วเข้ามาในบ้านแค่นี้ถ้าทิ้งคนไว้สักคนก็คงรู้ตัวไปนานแล้ว ไม่ต้องพูดเรื่องการสื่อสารหรอกก็ใช้โทรศัพท์มือถืออย่างที่เคยวางแผนกันนั่นแหละ แย่จริงๆทำอะไรไม่รอบคอบเลยชีวิตจะประสบความสำเร็จได้อย่างไรน้อ ดีนะที่สาวมาไม่ถึงเรา อืม เรื่องนี้ก็สำคัญนะ เราไม่พลาด แต่คนอื่นที่รู้เรื่องด้วยพลาด ดีนะที่เตี๊ยมกันไว้ก่อนแล้ว ไม่งั้นซวยแน่"บ.พูดพร้อมกับถอนหายใจ

        ผมไม่พูดอะไร บ.พูดต่อไปว่า"ไม่ต้องกังวล เรื่องมาไม่ถึงนายหรอกน่า เพราะนายไม่ชอบออกหน้าอย่าง ว ส ช เขาจึงไม่สนใจนายด้วยซ้ำ ทั้งที่นายถือเป็นคนสำคัญเลยนะในความสำเร็จล้มเหลวของเรื่องนี้"   "อย่าพูดอย่างนั้นสิเพื่อนอย่างที่เตี๊ยมกันไว้ ไงล่ะ เราไม่รู้เรื่องนี้" ผมยิ้มยิงฟันขณะพูดสายตาจ้องไปที่ บ.เขม็งด้วยสีหน้าที่ยิ้มที่ขัดกับแววตาอย่างสิ้นเชิง  บ.ยิ้มอยว่างรู้ทันความคิดของผมที่ไม่อยากให้เรื่องมาถึงตัว
      บ.มองไปทางอื่นแล้วถาม ว่า "คิดบ้างไหม omen ถ้าไม่มีเราสองคนอยู่พวกนั้นคงโดนจับไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องของการยกหางว่าตนเองฉลาดแต่เป็นเรื่องของความรอบคอบต่างหากที่ทำให้เรารอดมาได้ เจ้าของบ้านก็เก่งนะที่หาวิธีเข้ามาแบบไม่ให้รู้ตัว
      โชคดีจริงที่ตอนนั้นเป็นรุ่นน้องเข้ามาแทน" ผมพูดพร้อมกับตบไหล่ บ.
      "ไม่ใช่นายจงใจให้มีใครสักคนที่รอบคอบน้อยกว่านาย มาทำเรื่องนี้หรอกเหรอเพื่อน
      ให้โดนจับได้จะได้ปิดคดีนี้อย่างไม่ถึงนาย" "เราไม่เก่งขนาดนั้นหรอกน่า" บ.ตอบ
      "ที่เตี๊ยมคำตอบกันไว้ก็เห็นกันชัดอยู่แล้วอย่าปฏิเสธเลย"ผมกล่าวยืนยัน
        "ไม่หรอกน่าเพราะนายเป็นคนบอกกับเจ้าของบ้านโดยการพิมพ์คอมเพื่อไม่ให้จับลายมือได้มากกว่า"  บ.สวนผมมาเช่นกัน " ลองทายดูสิ" เราทั้งสองคนหัวเราะพร้อมกัน  และกอดคอกันเดินไปขึ้นรถ คราวหน้าไปกิน เสต็กกันไหม


         เพราะผมเชื่อเสมอว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
      สวรรค์ต้องเข้าข้างคนเลวหนึ่งคร้ังคนดีหนึ่งครั้งจึงจะถือว่าสวรรค์ยุติธรรม
      เรื่องก็จบอย่างมีความสุข คนที่ถำ้มองก็โดนจับ เจ้าของบ้านและผู้หญิงก็สบายใจ
      "ที่คิดว่า" ไม่มีคนถ้ำมองอีกต่อไป ว ส ชก็มีความสุขกับการแอบดูบ้านอื่นไปเรื่อยๆ
       บ.ก็มีความสุขดีกับ การวางตัวที่ดีของเขา ผมก็พยายามหลบหน้าไม่ให้ใครเห็นอยู่
      ว่าผมรู้เรื่องนี้ด้วยและทานคุกกี้ก่อนนอนกับนมเปรี้ยวอย่างมีความสุข  และผู้อ่านโปรดทราบว่า ข้อความเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นไม่มีความจริงอยู่เลยทั้งสิ้นถ้าไปพ้องกับบุคคลใดก็ขออภัยเป็นอย่างยิ่ง  เชื่อเถอะว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นไม่มีมูลความจริงอยู่เลยสาบานก็ได้ เอ้า


            ติดตามผลงานเรื่องหน้าของผมต่อไปนะครับ

       ถือว่าเรื่องนี้เป็นการเฉลยเรื่อง   suicide นะครับถ้าลองเอาตัวละครมาเทียบกันดู

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×