การเก็บข้อมูลของผม - การเก็บข้อมูลของผม นิยาย การเก็บข้อมูลของผม : Dek-D.com - Writer

    การเก็บข้อมูลของผม

    อ่านประกอบเรื่องsuicide2

    ผู้เข้าชมรวม

    620

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    620

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    3
    หมวด :  สืบสวน
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  29 ก.ค. 48 / 16:41 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      (เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง บุคคล สถานที่ เหตุการณ์ระยะเวลาต่างๆ และทุกสิ่งที่ปรากฏในเรื่องนี้
          เป็นสิ่งสมมุติทั้งสิ้นไม่มีมูลความจริงแม้แต่น้อยนิด โปรดใช้วิจารณญานในการรับชม)


      วันหนึ่งขณะที่ผมมองลงไปที่แม่น้ำสายหนึ่งที่มีข่าวการปล่อยตะกั่วและสารปนเปื้อนลงไปในแม่น้ำ
      และเห็นเด็กกลุ่มหนึ่งแก้ผ้าเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานทำให้ผมคิดว่าการที่มีข่าวเรื่องสารปนเปื้อน
      ในแม่น้ำนั้นไม่ทำให้คนเราระวังตัวมากขึ้นเลยเหรอ หรือผมต่างหากที่คิดมากไปเอง
          พอเห็นรอยยิ้มอย่างมีความสุขของเด็กเหล่านั้นผมกลับรู้สึกว่าผมคงคิดมากไปเองจริงๆ
      ผมลุกขึ้นจากที่นั่งและเอาอาหารไปให้เจ้าดำสุนัขที่บ้านของผม อ้อ..ผม ลืมบอกไปเจ้าดำนี่แก่มากแล้วครับ
      ผมเห็นมันมาตั้งแต่ผมเกิดก็ถ้าเทียบอายุเป็นคนก็คงเกือบร้อยปีแล้ว เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่มันเคยโดนหรือที่ผมเดาว่าอาจจะโดน
      ใครสักคนฟันมันเข้าที่คอและมีเลือดไหลออกจากคอที่เป็นแผลเหวอะหวะ ผมสงสารเจ้าดำมากดูสภาพของมันที่นอนอยู่
      กับกองเลือดผมได้กลิ่นคาวและกลิ่นยาฆ่าเชื้อถึงแม้ว่าผมจะพันแผลที่เหวอะออกจนแทบจะเห็นหลอดลมที่คอของมัน
      แต่เจ้าดำคงรำคาญมันจึงกัดผ้าพันแผลออกอยู่เสมอจนผมต้องยอมแพ้ ผ่านมาเป็นสัปดาห์จนผมเห็นหนองสีขาวหล่นลงมาจากแผล
      ของเจ้าดำตอนนั้นผมทำใจแล้วว่ามันอาจจะไม่รอดแล้วเพราะอายุของมันแล้วยังบาดแผลนี้อีก หลังจากนั้น1เดือนมันก็หายดี
      ทำให้ผมรู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่ช่างเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่จริงๆผมอยากจะถ่ายทอดความรู้สึกของผมให้แก่คนทั่วไปทราบว่า
      ความหวังยังคงมีอยู่เสมอตราบใดที่ยังไม่ตายต้องมีโอกาสอีกแน่นอน   จนเป็นที่มาของเรื่องนี้
         ผมเอาต้นฉบับที่ผมร่างไว้หลายแผ่นทั้งในกระดาษทิชชู่ กระดาษสมุด กล่องขนมไปให้เพื่อนดูเพื่อปรึกษาด้านเนื้อเรื่อง
      เพื่อนผมนั้นบอกอย่างยิ้มแย้มว่า.  \"นายตั้งใจจะนำเรื่องนี้ให้ใครดูหนะ จะต้องทำเรื่องให้เหมาะสมกับกลุ่มอายุของผู้ชม
      การเอาแต่เขียนอย่างสนุกมือของนายหนะเป็นการยัดเยียดความคิดของนายมากเกินไป ถ้าเขียนให้วัยรุ่นรับชมหนะนะ
      เขียนเรื่องของความรักสิ เรื่องภาษีเงินไดับุคคลธรรมดากับความตายหนะไม่ใชเรื่องที่น่าสนุกขนาดคนสนใจมากๆหรอกนะเพื่อน \"
        ผมคิดสักพักแล้วตอบว่า  \"แต่นั่นก็เป็นความจริงไม่ใช่เหรอเพื่อนที่คนเราต้องตาย และพ่อแม่ครอบครัวที่เลี้ยงดูเรามาก็ต้องจ่ายภาษีทำงานมากกว่า10ชั่วโมง
      ต่อวันเพื่อจะให้เรามีกินมีใช้อยู่ทุกวันนี้ แล้วการที่บ่นว่าพ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูกทุกวันนี้หนะ คิดว่าพ่อแม่อยากทำงานวันละเป็น10ชั่วโมง
      ให้เจ้านายโขกสับคำนินทาจากผู้ร่วมงาน และปัญหาต่างๆที่คนยังไม่ได้ทำงานด้วยตนเองยังไม่รู้แน่นอนมันน่าหงุดหงิดแค่ไหน
      การที่ต้องมาดูแลลูก..\"(โดนพูดขัดขึ้นมาว่า)  \"และเป็นเรื่องที่เด็กๆไม่เข้าใจเลย ความเข้าใจในประเด็นที่นายต้องการสื่อคือเรื่องสำคัญเลยนะเพื่อน
      ข้อผิดพลาดอย่างมากของนายประการแรกคือ อายุของตัวละครเอกที่มากเกินไปควรลดมาประมาณ17-18ถึงจะดี\"...
      (เรื่องนั้นจะเอาไว้เขียนภาคต่อเว้ย เพื่อเฉลยปริศนาคาใจถ้าอ่านเรื่องนี้จบแต่ยังเฉลยไม่ได้ทั้งที่อยากเฉลยจะแย่่เรื่องของตัวละครเอกตอนที่
      ยังเป็นวัยรุ่นอยู่และการวางแผนที่กินเวลากว่า15ปี)   ประการที่สอง ตัวละครที่มากเกินไปจนแย่งกันเด่นนี่แหละตกลงเราเข้าใจว่านี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการ
      เลือกตั้งซะอีกนะเนี่ยเพราะเพื่อนพระเอกเด่นจนเกินไปตัวประกอบนายก็ยกเนื้อเรื่องให้1ตอนเต็มๆซะอีกทั้งที่ควรจะบอกว่าทำไมหน่วยเงินที่ใช้เป็น
      เครดิต แล้วเมือง กรีนวู้ดนี่มันอยู่ที่ไหน(นิยายเรื่องนีเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับบุคคล นิติบุคคล  สมาคม  ห้างหุ้นส่วนที่จำกัดและไม่จำกัด
      บริษัทที่จดทะเบียนและไม่จดทะเบียน ธุรกิจที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย สกุลเงิน ระบบการปกครองของรัฐใดๆ
      เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ใดๆทั้งสิ้น) ทั้งก่อนพิมพ์ ขณะพิมพ์ และหลังพิมพ์ไปแล้ว
      แล้วที่ยกหน้าให้ตัวประกอบมาเยอะทำเรื่องมันดูมีเลือดเนื้อและความรู้สึกมากขึ้นไง  เพื่อนตอบมาว่า
      นี่ไม่คิดจะยอมรับความเห็นและนำไปปรับปรุงเลยใช่ไหม
      ....
      ....
      ...
      เขาสองคนก็ยังเถียงกันต่อไปจนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ
           จนมาเข้าประเด็นที่ว่า \"นายว่าน้องแน็ทออกถึงเวอร์ชั่นไหนแล้ว \"ตอบโดยไม่หยุดคิดเลยสักนิดว่า \"12เว้ย\"

      ผมได้ทีจึงพูดกดดันไปว่า\"นายนี่รู้ละเอียดเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องอย่างนี้จริงนะ\" เพื่อนผมตอบอย่างยิ้มๆว่า\"เราก็เรียนรู้มาจากนายนั่นแหละ\"

        มีเพื่อนอีกคนอักษรย่อของชื่ที่ใช้ในอินเตอร์เนตคือ(ว.) เพื่อนคนที่ผมคุยด้วยตอนแรกอักษรย่อของชื่อที่ใช้ในอินเตอร์เนตคือ(บ.)

      โดยว.นี้เขาหลงรักผู้หญิงแถวบ้านอักษรย่อM.  โดยที่M.  นั้นไม่สนใจว.เลยแต่เขาก็พยายามเข้าไปคุยด้วยกับM.อยู่เสมอ

      โดยลากผมกับ บ.เข้าไปคุยร่วมอยู่ด้วยเสมอ แต่ก็นั่นแหละครับผู้ชาย3คนคุยกับผู้หญิงคนเดียวบทสนทนา จะไปถึงขั้นแสดง

      ความสนิทสนมมากกว่าเพื่อนได้อย่างไรเล่า วันหนึ่งผมกับ บ.นั่งตบยุงคอยเพื่อให้ ว.คุยกับM.  ให้เสร็จ  M.ก็หาวขึ้นมาผมกับ บ.

      นึกในใจว่าฝ่ายหญิงทำกิริยาเป็นนัยว่าเบื่อและพยายามสิ้นสุดการสนทนาแล้วทำไม ว. ยังไม่รู้ตัวอีกนะ

      (ถ้อยคำจริงๆที่พูดกันหยาบคายกว่ามากแต่ต้องดัดแปลงเพื่อความเหมาะสม)   จนM.  อดรนทนไม่ไหวพูดขึ้นมาว่า\"นี่ดึกแล้นะพรุ่งนี้ต้องไปเรียนแต่เช้า\"

      ว. ก็พูดอย่างไม่รู้สึกเลยว่า\"ยังไม่ดึกเลยอยู่คุยกันอีกหน่อยเถอะ\"  ผมกับ บ.กระซิบกันว่า \"นี่ยังไม่รู้ตัวอีกหรือนี่ กลับบ้านกันเถอะปล่อยให้มันคุยกันจน

      สว่างเลยเถอะ\"  \"ไม่ได้เว้ย กุญแจรถเรา มันเก็บไว้อยู่\" \"รถนายเองนี่หว่านายเกรใจอะไรกันนักหนา\"

      \"นายกล้าก็ไปขอกุญแจจาก ว.ตอนนี้สิดูว่าจะให้มาหรือเปล่า\" ผมกับ บ.จึงใช้เวลาว่างไปอย่างไม่ค่อยเป็นประโยชน์ไปอีก25นาที 17วินาที

      การรอคอยที่ทรมานก็ผ่านไปเมื่อM.  \"ง่วงแล้วล่ะต้องกลับไปนอนแล้ว\"แม้ว.จะพยายม เอ๊ย พยายามตื้อเท่านั้นที่ครองโลก

      ด้วยประโยคประมาณว่า \"อยู่คุยกันก่อนเถอะ  ยังไม่ดึกเลย อยู่คุยกับเธอสนุกมาก\" ผมกับ บ.ก็ประมวลผลในหัวได้ทันทีว่าถ้า

      ผู้หญิงเขาเอ่ยปากขั้นนี้ละก็ไม่สำเร็จแน่นอน และก็จริงดังคาดครับรั้งไว้ไม่อยู่จนM.  เดินเข้าไปในบ้าน

      (ด้วยข้ออ้างที่ดีครับM.  อ้างว่าเข้าไปเก็บของในร้านเนื่องจากบ้านเธอเป็นร้านขายของและไม่ออกมาอีกเลย)

      ได้ผลครับว.ก็บ่นกระปอดกระแปดกับ ผมและบ.ก็ขึ้นรถมอเตอร์ไซค์กลับบ้านนอนดูเวลาคือห้าทุ่ม23นาที เริ่มมาตอนทุ่ม20นาที

      4ชั่วโมงทั้งที่ไม่ใช่คนที่ผมจีบเลยนะนี่ และว.ก็เทียวไปเทียวมาบ้านผู้หญิงเกือบทุกวันเป็นเวลากว่า3เดือน โดย บ.ต้องไปด้วยตลอดโชคดี

      ที่ผมหาข้ออ้างได้ว่าไม่อยากนอนดึก  จน ว.พยายามใช้ให้บ.ที่คิดว่าหน้าตาดีกว่าไปสารภาพรักว่า ว.รักM.  

      ผู้หญิงกลับมาบอกตอนที่ผมอยู่ด้วยกันกับบ.(ว.อายจนหลบไปอยู่ข้างหลังที่ห่างไป25เมตร ประมาณช่วงเสาไฟฟ้าครับ)

      ว่า \"จริงๆแล้วM.  ชอบ บ.\" พวกเราก็ไปบอกว.ตามที่ M. พูด ได้เรื่องเลยครับ ว.โกรธพวกเราขึ้นมาทันทีและไม่คุยกันไปอีกหลายวัน

      โดยว.หาว่า บ.นั้นทรยศเพื่อน บ.ก็พูดอะไรไม่ออก จากตอนนี้นั่นเองที่ผมกบ บ.มาวิเคราะห์กันว่า M.  น่าจะรู้แต่แรกแล้วว่า ว.

      หลงชอบอยู่ แต่ M.  ไม่ชอบ ว.  แต่ก็พูดไม่ได้เนื่องจาก ว.ยังไม่ได้พูดว่าชอบM.  คนทั่วไปจึงไม่มีเหตุผลมาปฏิเสธ

      คนที่ขอมาเป็น\"เพื่อน\"เฉยๆ การที่ ว.ไปสารภาพรักก็เหมือนกับขุดหลุมฝังตนเองที่สร้างโอกาสให้M.  ในการปฏิเสธความรักของว.นั่นเอง

      ส่วนคำกล่าวที่ว่า ชอบ บ.อยู่นั้น  ผมวิเคราะห์ว่า เป็นเหตุผลที่ดีที่แสดงถึงความฉลาดของM.  มากกว่าที่พอบอกว่าชอบ บ.อยู่ก่อนแล้ว

      ก็เหมือนกับการกล่าวกับ ว. ว่าเธอเป็นคนดีแต่มาช้าเกินไป ซึ่งแน่นอนเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดในการบอกเลิกผู้ชาย ซึ่งข้อนี้ บ.ไม่เห็นด้วย

      \"ที่ว่าบอกเลิก เนื่องจากยังไม่ได้คบกันสักนิดจะเรียกว่าบอกเลิกได้อย่างไรและเราคิดว่าเธอชอบเราจริง ๆ\" ผมคิดว่า(ไม่ค่อยจะหลงตัวเองเลยนะ บ.)

      จากข่าวที่ทราบมาภายหลังได้ข่าวว่าM.  มีคนมาชอบเยอะและเมีเพื่อนผู้ชายมาก ส่วนจะมีความสัมพันธ์เกินความเป็นเพื่อน่หรือไม่นั้น

      ผมไม่ขอยืนยันเพื่อปกป้องเกียรติและศักดฺิ์ศรีของฝ่ายหญิง ซึ่งคิดได้ว่า ว.เพื่อนของผมก็เป็นแค่ตัวเลือกหนึ่งในตัวเลือกที่มีอยู่มากมายเพราะด้วย

      เรื่องราวของความสัมพันธ์แล้วฝ่ายหญิงก็มีสิทธิที่จะเลือกคนเช่นกัน โดยส่วนตัวนั้นผมไม่ตำหนิM.  เลยในข้อนี้แต่สะกิดใจนิดเดียวที่ทำไม เธอต้องใช้
      เหตุผลว่าชอบ บ.ด้วย ทำให้ผมต้องเสียเวลาเดินจูง บ.กับ ว.มาคืนดีกันตั้งหลายวัน  นึกมาถึงตอนนี้ผมเลยถามบ.หลังจากที่เรื่องนี้ผ่านมาสัก1ปีว่า
      \"ตกลงเรื่องของ M.  เป็นอย่างไรต่อ เราไม่ได้สนใจเลย อยากรู้หนะ\" บ.ตอบแบบหัวเราะว่า\"แต่งงานแล้ว\"
      \"หา จริงดิกับวัยรุ่นแถวนั้นหรือเปล่า\" \"เปล่าแต่บอกไว้เลยว่าลูกเขยกับพ่อตาสนิทกันมากเพราะอายุเท่ากัน\" ผมอึ้งไปพักหนึ่ง
      พ่อM.  อายุเท่าไร \"45\" แล้วสามีของM.  ล่ะ \"52\"  คงเป็นพ่อตาลูกเขยที่สนิทกันเลยละเพราะรสนิยมคงเหมือนๆกันอย่างส่องพระ
      ปลูกต้นไม้เลี้ยงไก่ชนอะไรทำนองนี้ \"\"ใช่เลยเพื่อน\" \"งั้นเรื่องนี้ก็จบอย่างมีความสุขสินะ\"
      ....zzzคืนนั้นผมหลับอย่างมีความสุขแต่เรื่องพึ่งจะเริ่มเท่านั้นเอง
         วันต่อมาเพื่อนมาบอกผมว่า \"นายมีจรรยาบรรณของนักเขียนบ้างหรือเปล่า ถึงได้เขียนเรื่องที่ไม่จริงอย่างนั้นลงไป\"
      ผมงงและเกาศรีษะก่อนตอบว่า \"ไม่จริงตรงไหนกัน\" บ.ถอนหายใจก่อนตอบว่า\"ก็ในเมื่อสามีของ M.อายุ57ปีต่าวหาก
      และตอนนั้น M.เรียนปวชอยู่ก็ประมาณ16-17เองนะทำไมไม่บอกอายุของ M.และสามีของเธอให้ถูกต้องล่ะ\"
      ผมถอนหายใจก่อนตอบไปว่า\"ด้วยจรรยาบรรณของนักเขียนไงเล่า  การที่ M.อาุยุต่ำกว่า18ปีจะผิดกฏหมายฐานพรากผู้เยาว์นะ
      เราไม่สนับสนุนการทำผิดกฏหมาย และเพื่อความเหมาะสมของท้องเรื่องจึงลดอายุของสามี M.มาแค่5ปีเองอายุจะได้ดูต่างกันน้อยลง\"
      บ.ตอบอย่างชัดเจนว่า\"พรากผู้เยาว์เป็นความผิดต่อพ่อแม่และผู้ปกครองของเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ถ้าพ่อแม่ยินยอมก็สามรถทำได้
      โดยขอให้ศาลอนุญาตให้แต่งงานตามกฏหมายได้ แต่ดูจากกรณีนี้คงไม่มีการถึงโรงถึงศาลหรอกนะเพื่อน คงแต่งงานกันเอง
      แบบไม่จดทะเบียนมากกว่า และถ้าไม่หย่าหรือเลิกกันก็ยังไม่มีปัญหาเรื่องข้อกฏหมายหรอก ก็แปลว่าเขายังไม่ได้ทำผิดกฏหมาย
      ไม่ต้องกังวลว่าทำให้คนทำผิดกฎหมายมากขึ้นหรอกนะ และอายุน่ะ52หรือ57 ก็ไม่ต่างกันหรอกเพื่อน เราแค่ต้องการให้นายให้แต่ข้อมูลที่ถูกต้องและ
      ชัดเจนต่อผู้ชมเท่านั้น อาจจะเขียนไว้ก่อนก็ไดันี่เพื่อนว่า [B]โปรดใช้วิจารณญานในการรับชม[/B]
         หลังจากนั้นเราสองคนก็คุยกันึงเรื่องที่ไร้สาระและไม่เป็นประโยชน์อย่างอื่น ที่เคยพูดกันเสมอ
      เช่นเรื่อง ประเทศเราควรเปลี่ยนกฏหมายควบคุมการทำแท้งหรือไม่ การจัดเก็บภาษีที่ไม่เป็นธรรมที่ว่าควรลดภาษีสินค้าจำเป็นแล้วไปเพิ่มส่วนต่างเอากับสินค้าฟุ่มเฟือยเช่น เหล้า บุหรี่  งบประมาณในการสร้างถนนของเทศบาลที่ดูแปลกๆ เป็นต้น

        ผ่านไป2-3วัน ผมไปถามเพื่อนว่า \"เอ่อ..นี่ขอถามเรื่องM. ต่ออีกนิดได้ไหม\" บ.ตอบมาว่า\"พอได้แล้วน่า \"อย่างไม่สนใจพร้อมกับหยิบประมวลกฎหมายอาญาขึ้นมาอ่าน แล้วชี้ให้ดูว่า \"เห็นฎีกานี้ไหมน่าสนใจจริงๆ\" ผมเดินไปดึงหนังสือ ออกจากมือ บ.
      \"สนใจเรื่องที่เราถามก่อนสิโว้ย(ครับ)\"  บ.มองอย่างเซ็งๆพร้อมกับถามว่าสงสัยเรื่องอะไร เพื่อน\"   ผมถามทันทีว่า
      \"ที่M.แต่งงาน ตอนอายุ17นี่เขาจดทะเบียนกันได้ด้วยเหรอ\"  \"อ่อนหัดไปแล้วเพื่อนการเคร่งข้อกฎหมายมากเกินไป ทำให้นายมองความเป็นจริงไม่ออกนะ\" บ.สอนผม  ผมคิดแล้วตอบว่า \"เราก็พอรู้อยู่หรอกนะว่าการแต่งงานตามความหมายของชาวบ้านหนะ คิดถึงแค่การจัดงานเลี้ยง
      ทำบุญเลี้ยงพระ ขบวนขันหมาก ประตูเงินประตูทองเท่านั้นเองแต่ถ้าไม่จดทะเบียนสมรสเพื่อให้เป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย
      เวลาเกิดบุตรขึ้นมาจะลำบากนะถ้าไม่มีชื่อคนเป็นพ่อ และอีกหลายๆอย่างด้วย\" บ.วางประมวลกฏหมายอาญาลงพร้อมกับพูดว่า
      \"ไม่ต้องอ้อมค้อมน่า ที่จริงนายสงสัยว่าถ้าหย่ากันแล้วไม่จดทะเบียนจะมีปัญหาเรื่องการแบ่งสินสมรสที่หลังหรือเปล่าสินะ\"
      \"เอ่อ..(แหมรู้ทัน)เพราะเราคิดว่าฝ่ายชายอายุมากขนาดนั้นแล้วจะมีภรรยามีลูกมาก่อนก็ไม่แปลก  ถ้าภรรยาเก่าตายแล้วก็ดีไป
      แต่ถ้ายังมีชีวิตอยู่ละก็เราคงมีเรื่องที่สนุกกว่าตำนานรักดอกเหมยให้ ชมบ้านทรายทอง ดาวพระศุกร์ และมิสเตอร์บีนคงจืดไปเลยแน่ๆ\"
        บ.ยิ้มพร้อมกับหยิบหนังสือคืนจากมือผม\" เรื่องสุดท้ายไม่ค่อยเข้าประเด็นนะ แต่ถ้าไม่จดทะเบียนเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามกฏหมาย ต่อให้อยู่กินกันมา25ปี แต่งงานอย่างเริดหรูจนชาวบ้านอิจฉา ค่าสินสอดที่แพงลิบลิ่ว  ก็จะไม่ได้แบ่งสินสมรสแม้แต่แดงเดียว
      ถ้าหย่ากันขึ้นมา หรือสามีเสียชีวิตอย่างกระทันหันโดยยัง ไม่ทันได้ทำพินัยกรรมไว้...แต่นายไม่จำเป็นต้องกังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงหรอกนะ\"
         หลังจากนั้นก็เป็นแค่บทสนทนาที่ไร้สาระ  ...
            อยู่มาอีกวันหนึ่งผมเริ่มประเด็นในการคุยว่า \"นายคิดว่าการรักคนที่มีแฟนอยู่แล้วผิดหรือเปล่า\" บ.ตอบว่า
      \"คำถามนี้ตกไปเราอนุญาตให้นายถามคำถามได้ใหม่อีกครั้ง\" (ก็ได้)   ผมไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคิดคำถามใหม่เพราะ ว.เดินมาพอดี
      และชักชวนให้ผมทำในสิ่งหนึ่งที่ทำให้เป็นที่มาของเรื่องนี้  มันเพิ่งจะเริ่มเท่านั้น  
      (ติดดามต่อในอ่านประกอบsuicide3สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำเวลาคุณถืออุปกรณ์งัดแงะ)

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×