ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ห้องสมุดรวบรวมตัวละครของ Eagle Sonic

    ลำดับตอนที่ #246 : Reborn Hero - เกิดอีกที ครั้งนี้ต้องลุย(2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 45
      0
      2 ก.ย. 64

     

     

     

    เครดิต: Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings

    “ในตอนที่เขาต้องการฉันมากที่สุด ฉันกลับไม่ได้อยู่ตรงนั้น”

    ชื่อ : เสี่ยวหลง

    เพศ : ชาย

    เป็น : มนุษย์(ดวงเพชรฆาต)

    อายุ : 25 ปี

    สัญชาติ : จีน(ปัจจุบันเปลี่ยนสัญชาติเป็นไทยแล้ว)

    เชื้อชาติ : จีน

    อาชีพ :

    -นักสู้ MMA ระดับมืออาชีพที่กำลังมีชื่อเสียงโด่งดังในขณะนี้

    -อาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้

    ประวัติ :

    ฉันชื่อ เสี่ยวหลง นามสกุลเดิมคือ จาง

    ฉันอาศัยอยู่กับป๊ากับม๊าที่เซี่ยงไฮ้ ในประเทศจีน ครอบครัวของเราเป็นครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย และป๊าของฉันก็เป็นนักธุรกิจที่ค่อนข้างจะเป็นที่รู้จักในประเทศจีน ดังนั้นในทุกๆเย็นหลังเลิกเรียน เขาจึงส่งคนรับใช้ที่บ้านให้ขับรถมารับฉันกลับบ้านทุกวันเพราะงานยุ่งจนปลีกตัวมาไม่ได้เสมอ

    “ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้างครับ คุณชาย?”

    เสียงของคนขับรถคนสนิทของพ่อถามฉัน

    “ก็ดีครับ”

    และฉันก็เลือกที่จะโกหกเขากลับไป

    ไม่บอกเรื่องที่เพื่อนๆที่โรงเรียนแอบนินทาฉันลับหลัง…

    “หน้าตาโคตรทุเรศ นี่ถ้าไม่ติดเรื่องที่มันรวยล่ะก็ฉันจะไม่เหลียวแลมองมันเลย”

    แต่ฉันชินแล้วล่ะ ชินแล้วกับการที่ผู้คนมักจะเข้าหาฉันเพียงเพราะว่าฉันเป็นลูกคนรวยมีฐานะ ชินแล้วกับรอยยิ้มจอมปลอมของพวกเขา ชินแล้วกับคำโกหกคำหลอกลวงที่พวกเขามีให้ฉัน

    ต่อหน้าทำตัวอีกอย่าง แต่ลับหลังกลับทำตัวอีกอย่าง

    ไม่มีแม้แต่ความจริงใจ

    ฉันแกล้งทำเป็นไม่สนใจ แต่จริงๆลึกๆในใจฉันเองก็อ่อนไหว

    ฉันไม่ใช่ผู้ชายที่แข็งแกร่ง

    ฉันเองก็เป็นแค่เด็กผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่อยากจะมีเพื่อนจริงๆกับเขาบ้าง

    ‘เพื่อน’ ที่จริงใจกับฉัน

    ‘เพื่อน’ ที่อยู่ด้วยกันแล้วรู้สึกสบายใจ

    ‘เพื่อน’ ที่ชื่นชอบการต่อสู้แบบเดียวกัน

    ผัวะ!! อันที่จริงป๊ากับม๊าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันชอบการต่อสู้ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ นั่นก็คือหัวหน้าลุงภารโรงที่อยู่ในโรงเรียนของฉัน ฉันไม่รู้เลยว่าเขาต่อสู้เป็น จนกระทั่งในวันที่พวกเราเจอกันครั้งแรก ในตอนที่เขากำลังอบรมพวกเด็กเกเรที่กำลังรุมรังแกเพื่อนด้วยวิชากังฟูจีน เขาดูเท่มากในสายตาของฉัน และแค่วินาทีนั้นแหละ หลังจากที่เด็กพวกนั้นไป ฉันก็พุ่งตรงไปหาเขาขอให้เขารับฉันเป็นลูกศิษย์ทันที

    “ได้โปรด สอนวิชาให้ผมด้วยเถอะ”

    ซึ่งในตอนแรกเขาไม่ยอมหรอก แต่พอเจอหน้าฉันบ่อยๆเข้าบวกกับความดื้อด้านและความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของฉันสุดท้ายก็ใจอ่อน ยอมสอนฉันในที่สุด

    และเขาก็เป็นคนเดียวที่จริงใจกับฉัน เป็นเพื่อนต่างวัยคนแรกเพียงคนเดียวที่อยู่ด้วยกันแล้วรู้สึกสบายใจ

    ฉันพยายามปิดบังเรื่องที่เรียนการต่อสู้กับป๊า(รวมถึงม๊าด้วย) เพราะรู้ดีว่ายังไงเขาก็คงไม่มีทางยอมรับแน่..เขาเกลียดการต่อสู้จะตายไปและเขาก็ชอบบอกกับฉันประจำว่าการต่อสู้เป็นเรื่องป่าเถื่อนและฉันก็ไม่ควรที่จะทำตามเป็นเยี่ยงอย่าง

    แต่สุดท้ายความจริงก็ถูกเปิดเผยอยู่ดี ในวันที่ฉันมีเรื่องชกต่อยกับคนที่อยู่ข้างนอกเพื่อปกป้องหญิงแก่คนหนึ่งที่ถูกทำร้าย ข่าวเด็กอายุสิบขวบซัดแก๊งวัยรุ่นนักเลงที่พยายามจะขู่เอาตังค์จากยายแก่ผู้น่าสงสารในวันนั้นดังกระจายไปทั่วทั้งเมืองและลงหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่ง แน่นอนว่าป๊าโกรธฉันมากตอนที่เขารู้เรื่องนี้

    เพี๊ยะ!!เขาถึงกับตบหน้าฉันทันทีที่กลับมาถึงบ้าน

    และนี่ก็เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันถูกเขาตบ

    “ไอ้ลูกไม่รักดี!! ฉันส่งแกไปเรียนไม่ใช่เพื่อให้แกทำตัวป่าเถื่อนแบบนี้นะ!”

    ตอนนั้นฉันโกรธป๊ามาก โกรธที่เขาไม่ยอมเข้าใจฉันเลย ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย หลังจากที่มีปากเสียงในวันนั้นฉันก็ไม่ยอมคุยกับป๊าอีก เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ยอมลงมากินข้าว ไม่ยอมพบหน้าเขา พอเขาไปแล้วถึงลงมา ตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอมก็เลยไม่มีปัญหา แต่ฉันก็ได้รู้ความจริงในภายหลังจากปากม๊าของฉัน

    ที่จริงแล้ว ป๊าเองก็เคยเป็นแบบเดียวกับฉัน เขาเคยเป็นนักสู้ แต่เพราะความผิดพลาดในอดีตทำให้คู่แข่งของเขาเจ็บหนักจนพิการไม่สามารถเดินได้อีก เขาก็เลยตัดสินใจเลิกต่อสู้และหันมาเอาดีทางด้านธุรกิจแทน หลังจากที่ได้รู้ความจริง ฉันก็ยอมยกโทษให้ป๊าและพูดคุยปรับความเข้าใจกับเขา บอกถึงเหตุผลที่ว่าทำไมฉันถึงชอบต่อสู้ ซึ่งเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดที่พยายามจะห้ามฉัน เขาเองก็ขอโทษกับฉันในสิ่งที่เขาทำลงไปด้วยเช่นกัน

    “เสี่ยวหลง”

    “ครับ”

    “ไปเที่ยวที่ประเทศไทยด้วยกันนะ”

    ฉันทำตาโตด้วยความตื่นเต้น ไม่รีรอรีบตอบตกลงทันทีด้วยความดีใจตามประสาเด็กน้อยที่กำลังจะได้ไปเที่ยวกับครอบครัวเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ผ่านมาป๊ามัวแต่ยุ่งอยู่กับงานตลอดเวลาเลยไม่ค่อยได้ใช้เวลาร่วมกับฉันและม๊ามากนัก ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ครอบครัวของเราจะได้ใช้เวลาด้วยกัน….

    พอมานึกย้อนกลับไปตอนนั้น ฉันช่างไร้เดียงสาจริงๆ

    ฉันไม่รู้เลยว่าเขาพยายามปิดบังไม่ให้ม๊ากับฉันรู้เรื่องที่เขา…

    กำลังจะล้มละลาย

    ปี้นๆ

    และความสุขนั้นก็ได้จบลงภายในช่วงเวลาอันสั้น

    เอี๊ยดดดดด

    หลังจากที่ป๊าให้สร้อยข้อมือปี่เซียะกับฉันเป็นของขวัญวันเกิดครบอายุสิบเอ็ดและกำลังจะขับรถพาม๊ากับฉันกลับโรงแรมหลังจากที่มาเที่ยวพักร้อนที่ประเทศไทย แต่คืนนั้นฝนตกหนักมาก สายฝนที่โปรยลงมาบดบังทัศนียภาพที่อยู่ตรงหน้าจนหมด

    พอรู้ตัวอีกที ก็มีแสงสว่างเจิดจ้าสาดส่องสวนตรงมายังนัยน์ตาของพวกเรา

    โครม!!!

    ก่อนที่ในวินาทีต่อมาจะมีรถบรรทุกพุ่งมาชนรถของเราอย่างแรง

    “เสี่ยวหลง!!!”

    ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากนั้น 

    เพราะพอลืมตาขึ้นมาอีกที

    ป๊ากับม๊า..ก็ไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว

    ฉันเป็นคนเดียวที่รอดจากอุบัติเหตุนั้น นั่นคือคำบอกเล่าจากพวกคนที่ช่วยชีวิตฉัน ตอนนั้นฉันไม่เหลือใครเลยญาติที่เซี่ยงไฮ้เองก็ไม่มี ภาษาไทยเองก็ฟังออกได้แค่บางคำ..

    ชีวิตของฉันพลิกกลับตาลปัตร เปลี่ยนไปเพียงชั่วข้ามคืน หลังจากนั้นไม่นานนักฉันก็ได้ถูกส่งไปที่บ้านเด็กกำพร้าแห่งหนึ่งในกรุงเทพและที่นั่นเองคือที่ที่ฉันได้พบกับ อากิระ

    ผัวะ!! เขาอายุเท่าๆกับฉัน เป็นหัวโจกของเด็กเกเรในบ้านเด็กกำพร้าที่พยายามจะมาแย่งสร้อยข้อมือปี่เซียะของต่างหน้าชิ้นสุดท้ายของป๊าไปจากฉัน แน่นอนว่าเขาไม่พอใจมากที่เห็นฉันทำร้ายเพื่อนๆของเขา ก็เลยท้าฉันสู้แต่ผลสุดท้ายก็จบลงที่เราเสมอกัน

    “ฮ่าๆๆ”

    และเพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้นเองก็ทำให้พวกเราได้เปิดใจคุยกัน..หลังจากถูกเจ้าของบ้านลงโทษให้มากวาดขยะที่ลานสนามเด็กเล่นในบ้านเด็กกำพร้า

    “ขำอะไรว่ะ?ตลกมากรึไง?”

    เขาเป็นคนแรกที่ทำให้ฉันเผลอหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ หัวเราะกับความรู้สึกเกลียดของเขาที่เปิดเผยกับฉันอย่างตรงไปตรงมาตรงมา…แตกต่างจากเพื่อนๆคนอื่นที่ฉันเคยเจอ

    “คุณสู้ได้ดีมากเลยนะ อากิ”

    ทว่าในวันนั้นฉันก็ได้สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างในตัวของอากิระด้วยเช่นกัน

    “หุบปาก อย่ามาเรียกฉันว่า อากิ”

    แววตาที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวดและความอ่อนแอที่เขาพยายามเก็บซ่อนเอาไว้ในใจได้เผยออกมาให้ฉันเห็นเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะอันตรธานหายไปหลังจากที่ฉันเรียกเขาว่าอากิ

    มันช่างเจ็บปวดรวดร้าวเกินกว่าที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ แต่ฉันก็ไม่รู้เลยว่าทำไม

    จนกระทั่งได้รู้ความจริงจากปากของเพื่อนที่อยู่บ้านเด็กกำพร้าที่ฉันพูดคุยด้วยมากที่สุด…

    ติ๋ง ฉับพลันที่ฉันได้ฟังเรื่องราวของเขาจบ น้ำตาของฉันก็ไหลออกมาทันที…เขาต้องทนกับการถูกรังแกแบบนั้นมานานแค่ไหนกัน เขาอดทนกับมันมาได้ยังไง?สิ่งที่เขาเจอมันเลวร้ายมากสำหรับเด็กคนหนึ่งที่แค่อยากจะเป็นเพื่อนกับทุกๆคน…เหมือนกับตัวฉัน

    และในวินาทีนั้นเอง ฉันก็ได้ตัดสินใจที่จะไม่เรียกเขาว่า อากิ อีก

    เพราะนั่นเป็นชื่อที่เด็กๆในบ้านเด็กกำพร้าที่ชอบกลั่นแกล้งเขาใช้เรียกเขา…

    ซ่าาาาา

    แต่หลังจากเหตุการณ์นั้น พวกเราก็แทบจะไม่ได้คุยกันแบบสนิทสนมแบบนั้นอีกเลย จนกระทั่งหลายปีต่อมา ในตอนที่พวกเราเรียนอยู่มัธยมต้น

    “ได้โปรด..”

    วันนั้นอากิระทำตัวแปลกๆจนอัญชัน เพื่อนของพวกเราสังเกตเห็นถึงความผิดปกติได้เลยเอาเรื่องนี้มาบอกกับฉัน และในเย็นวันนั้นหลังเลิกเรียน ฉันจึงได้ตัดสินใจแอบตามเขาไป ก่อนจะพบว่าเขานัดกับพวกนักเลงโรงเรียนอื่นยกพวกตีกัน….

    “อย่าเป็นอะไรไปนะ”

    ฉันไม่รู้ว่าใครเป็นคนเรียกตำรวจมา แต่ในวินาทีที่ฉันเห็นเขาถูกรุมทำร้าย ทุกภาพที่เขาถูกฟัน มันทำให้หัวใจของฉันเจ็บปวดจนเผลอกำหมัดแน่น เจ็บปวดเหมือนกับตอนที่ได้รู้ว่าป๊ากับม๊าตายเป็นครั้งแรก ฉันได้แต่กำหมัดด้วยความเจ็บใจที่ทำได้เพียงแค่เฝ้ามองอยู่ห่างๆด้วยความเป็นห่วง

    เพราะกลัวว่าถ้าหากเข้าไปฉันจะถูกเขาหาว่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง

    ตึกๆ

    ราวกับว่าเขาเป็นทุกอย่างในชีวิตของฉัน

    ฉันแบกร่างที่อาบโชกไปด้วยเลือดของอากิระไปที่โรงพยาบาล ตอนนั้นฉันกลัวมาก กลัวเหลือเกินว่าจะสูญเสียเขาไป ฝนที่ตกลงมาในวันนั้นมันตกแรงมาก ฉันได้ยินเสียงฟ้าที่ดังครื้นราวกับกำลังจะถล่มลงมา แต่ฉันก็ยังฝืนแบกเขาและมุ่งมั่นฝ่าอุปสรรคที่อยู่ตรงหน้าไปอย่างไม่เกรงกลัวจนในท้ายที่สุดก็พาเขาไปที่โรงพยาบาลที่อยู่ใกล้แถวนั้นได้สำเร็จ

    ฉันขอไม่ให้หมอบอกเรื่องนี้กับเขา…แม้แต่อัญเอง ฉันก็ขอให้เธอเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ

    มันจะดีกว่าถ้าหากเขาไม่รู้เรื่องนี้ เรื่องที่คนที่เขาเกลียดที่สุดช่วยชีวิตเขา

    “ข-ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

    แม้แต่ตอนที่ไปเยี่ยมเขาแล้วแบ่งลูกชิ้นให้เขากินฉันก็ไม่ได้บอก

    “ไม่เป็นไร”

    แต่ว่าวันนั้น ในตอนที่ฉันเผลอเรียกเขาว่าอากิอีกครั้ง ฉันกลับรู้สึกว่า..เขาดูเปลี่ยนไป

    แววตาดูอ่อนโยนลงยามที่มองมาที่ฉัน แววตาที่ฉันเองก็คาดไม่ถึงว่าจะได้เห็นจากเขา

    และฉันก็ได้เห็นแววตานั้นอีกครั้งในสองสามวันต่อมาหลังจากที่เขาออกจากโรงพยาบาล

    “บ๊อกๆ”

    ในระหว่างทางกลับบ้านหลังเลิกเรียนฉันได้เห็นอากิระกำลังเล่นกับลูกสุนัขจรจัดตัวหนึ่งใกล้ๆกับโรงเรียน ตอนแรกฉันกะว่าจะปล่อยไปแบบนั้นโดยไม่ทัก แต่ก็ถูกอากิระที่หันมาเห็นเข้าพอดี

    “เสี่ยวหลง?”

    ปกติพวกเราสองคนไม่ค่อยกลับพร้อมกันสักเท่าไหร่เพราะพอเลิกเย็นทีไร อากิระก็จะชอบไปอยู่กับเพื่อนของเขา ส่วนฉันก็จะกลับไปพร้อมกับอัญชันพาเธอไปส่งที่บ้าน

    “หวัดดี…”

    “แล้วยัยอัญชันล่ะ?”เขาถามฉัน“วันนี้ไม่กลับด้วยกัน?”

    “แม่ของเธอมารับกลับไปก่อนแล้วน่ะ”

    บังเกิดความเงียบขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่อากิระจะพูดกับฉัน

    “โอ้ คงเหงาน่าดูเลยสิ”

    “ก็..ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”

    ฉันตอบเขากลับ

    “ว่าแต่นายมาทำอะไรตรงนี้?”

    อากิระถอนหายใจเมื่อถูกฉันถาม จากนั้นก็อุ้มลูกสุนัขขึ้นมา

    “ฉันแค่มาดูเจ้านี่น่ะ”

    เขาบอกพร้อมกับลูบหัวของมันด้วยความนุ่มนวล

    “ลูกสุนัข?”

    “อือ”เขาพยักหน้า

    “แล้วแม่ของมันล่ะ?”

    ก่อนจะนิ่งไปหลังจากถูกฉันถาม

    “ตายไปแล้ว”

    คำตอบที่ได้กลับมาจากเขา ทำให้ฉันถึงกับพูดไม่ออก

    “ถูกรถชนตาย”

    แววตาดูเศร้าสร้อยยามที่พูดถึงเรื่องนี้ เช่นเดียวกับฉันที่จู่ๆก็คิดถึงเรื่องที่ป๊ากับม๊าถูกรถชน

    “แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ถูกทิ้งเหมือนฉันล่ะนะ”

    อา..จริงด้วยสิ ฉันลืมไปเลยว่าเขาถูกทิ้งไว้ที่บ้านเด็กกำพร้าตั้งแต่เกิดเลยนี่นา ดังนั้นถ้าจะรู้สึกเศร้าก็คงจะไม่แปลก แต่ฉันก็เลือกที่จะไม่ถามเรื่องนี้กับเขาต่อ เพราะไม่อยากให้เขานึกถึงเรื่องที่อาจจะทำให้เขาปวดใจ

    “แล้ว..มันชื่อว่าอะไรล่ะ?”

    อากิระนิ่งเงียบไปเล็กน้อยหลังจากที่ถูกฉันถาม เขานิ่งอยู่นานมาก ทำให้ฉันรู้ได้ทันทีว่าเจ้าสุนัขตัวน้อยที่อยู่ตรงหน้าพวกเรานั้นยังไม่มีชื่อ

    ซ่า!!

    ทว่าในตอนที่พวกเรากำลังจะได้พูดคุยกันต่อ จู่ๆฝนก็ตกลงมาซะงั้น ทำให้อากิระกับฉันต้องวิ่งเข้าไปหลบที่ป้ายรถเมลล์ที่อยู่ใกล้แถวนั้น

    ไม่ชอบฝนเอาซะเลย

    เพราะตอนที่ป๊ากับม๊าฉันตายก็เป็นวันที่ฝนตก

    “มั่วนิ่ม”

    “หือ?”

    ฉันประหลาดใจเล็กน้อยที่อากิระพูด

    “เมื่อกี้นายบอกว่าอะไรนะ?”

    “มั่วนิ่ม”

    อากิระพูดซ้ำ

    “เจ้าหมานี่…มันชื่อ มั่วนิ่ม”

    ตึกตัก

    ฉับพลันที่ฉันได้เห็นใบหน้าของอากิระกับเสื้อนักเรียนสีขาวของเขาที่เปียกชุ่มไปด้วยหยาดฝนกับลูกหมาตรงหน้าที่เขาอุ้มด้วยท่าทางและแววตาที่ดูอ่อนโยน จู่ๆหัวใจของฉันก็เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ…ดังลั่นราวกับกลองในวงดุริยางค์ของโรงเรียนเรา

    “….”

    ในตอนนั้นฉันได้เพียงแต่คิดอยู่ในใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวฉันกันแน่

    ตึกตัก

    หรือว่าเป็นเพราะเราวิ่งจนเหนื่อย หัวใจก็เลยทำงานหนัก?

    โชคดีที่อากิระไม่ทันได้สังเกต เพราะเขากำลังยุ่งอยู่กับการสนใจดูแลลูกหมาที่อยู่ตรงหน้าเขา ในขณะที่ฉันเอามือทาบอกสัมผัสกับหัวใจของตัวเองที่เต้นรัวจนแทบจะระเบิด

    เปรี้ยง!!

    “เหวอ!!”

    และมันก็เต้นรัวหนักกว่าเดิมหลังจากที่ฉันได้ยินเสียงฟ้าผ่าที่ดังเปรี้ยงสนั่นหวั่นไหวอย่างไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจ ฉันสะดุ้งจนเผลอกระโดดร้องจ๊ากโดยอัตโนมัติ เป็นเหตุให้อากิระที่อยู่ข้างๆหันหน้ามามองฉันทันที

    “จะตกใจอะไรขนาดนั้น เสี่ยวหลง”

    คงเป็นเพราะมัวแต่คิดด้วยแหละเลยไม่ทันระวัง

    “ก็แค่เสียงฟ้าผ่าเอง อย่าทำเป็นเว่อ..”

    เปรี้ยง!!

    พูดไม่ทันขาดคำ อากิระก็เผลอร้องจ๊ากสะดุ้งสุดตัวตามฉันไปอีกคนหลังจากที่ได้ยินเสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยงใกล้ๆกับที่ที่พวกเราอยู่…แบบไม่ทันได้ตั้งตัวเช่นกัน

    “….”

    เขาถึงกับทำตัวไม่ถูกหลังจากถูกฉันมอง

    “ล-ลืมมันไปเดี๋ยวนี้เลยนะ! ถ้าแกเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่นล่ะก็ ฉันจะฆ่าแกแน่”

    และแล้วในเย็นวันนั้นพวกเราก็ต้องยืนรอรถเมลล์จนกระทั่งถึงมืดถึงค่ำ..เพราะฝนไม่มีท่าทีที่จะซาลงง่ายๆและมันก็เป็นความโชคร้ายของพวกเราที่ไม่ได้พกร่มติดตัวมาด้วยเลยสักคัน เป็นเหตุให้ต้องมายืนติดแหง็กอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งรถเมลล์มาจอดที่หน้าพวกเรา

    พอขึ้นรถไปปุ๊บ อากิระก็ขอให้ฉันมานั่งข้างๆก่อนจะฟุ้บหลับไปบนรถทันทีพร้อมกับเจ้ามั่วนิ่ม ฉันไม่ได้ถามว่าทำไมเขาตั้งชื่อมันแบบนั้นเพราะเขาดูเหนื่อยมากจนฉันไม่อยากปลุก

    “….”

    เขาหลับลึกมาก เพราะในตอนที่หัวของเขาเอนมาซบกับไหล่ของฉัน เขาก็ไม่รู้สึกตัวเลย

    “….”

    และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นหน้าของเขาใกล้ๆ

    ใบหน้าของหนุ่มน้อยผู้แข็งแกร่งตรงหน้าฉันที่ดูผ่อนคลายไร้ความกังวลในยามที่ได้หลับไหล

    ฟี้…

    เขาไม่เคยรู้ตัวเลยว่าเขาดูน่ารักมากขนาดไหนในยามหลับ

    “อากิ..”

    ฉันลูบหัวเขาอย่างเบามือด้วยความระมัดระวัง

    “ไม่ต้องห่วงนะ”

    ราวกับว่าเขาเป็นโลกทั้งใบของตัวเอง

    “….”

    นายคือคนที่เปลี่ยนชีวิตของฉัน

    “….”

    แม้จะรู้ดีว่าถึงบอกไปนายก็ไม่มีทางได้ยิน

    “ฉันคนนี้จะเป็นคนปกป้องนายเอง..”

    แต่ฉันก็ยังอยากจะบอกอยู่ดี

    “ปกป้องนาย”

    อยากจะบอกกับนายว่า…

    “ไปชั่วชีวิต”

    ตุ้บ!!

    แต่สุดท้ายฉันก็ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ไม่ได้

    เพราะหลังจากที่กลับมาจากการไปเป็นนักเรียนทุนแลกเปลี่ยนที่อเมริกา ฉันก็ได้รับข่าวร้ายในทันทีว่า

    อากิระ

    “ธ-เธอว่าไงนะ?”

    ไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้

    “หลง”

    อีกต่อไป…

    “อากิระตายแล้ว”

    จากไปตลอดกาลอย่างไม่มีวันกลับ

    ฉับพลันที่ได้ยินประโยคสุดท้ายจากปากอัญชัน เข่าของฉันก็ทรุดลงไปกองกับพื้นทันทีอย่างอ่อนแรงราวกับว่าโลกทั้งใบของฉันได้พังทลายลง

    ตอนที่รู้ครั้งแรก ฉันช็อคมาก ช็อคเกินกว่าจะแสดงความรู้สึกออกมา เหมือนกับหุ่นยนต์ที่ระบบ Error และยิ่งพอได้เห็นธันวา คนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ฉันได้รู้จากคนรอบข้างยังเดินลอยนวลมาโรงเรียนหลังจากที่เขาเป็นต้นเหตุทำให้อากิต้องตาย แต่ศาลกับตัดสินว่าเขาไม่มีความผิดเพราะอีกฝ่ายฆ่าตัวตายเอง ฉันก็ยิ่งควบคุมความโกรธของฉันไม่อยู่ พุ่งเข้าไปหมายจะบีบคอเขาให้ตายคามือ ต่อหน้าต่อตาของเพื่อนๆทุกคน

    “นายเป็นเพื่อนสนิทเขาไม่ใช่หรอ? ทำไม!!”

    “อ่อก..”

    “ไอ้สารเลว ฉันจะฆ่าแก!!”

    เพี๊ยะ!!

    แต่ก็ถูกอัญชันตบหน้าเรียกสติ ก่อนจะพูดเตือนด้วยความหวังดีหลังจากที่พาฉันเดินหนีออกมาจากความวุ่นวาย

    “ต่อให้นายฆ่ามัน อากิระก็ไม่ฟื้นขึ้นมาหรอกโว้ย!!”

    อัญชันตะคอกใส่ฉันด้วยสีหน้าที่ดูโกรธมากจนฉันเถียงไม่ออก

    “ฉันเสียเพื่อนที่ฉันรักที่สุดไปคนหนึ่งแล้ว”

    แล้วเธอก็ร้องไห้ออกมา…

    “ดังนั้นได้โปรด หลง ฉันไม่อยากเสียนายไปอีกคน”

    ก่อนจะโผเข้ากอดฉัน และนั่นก็เป็นวินาทีที่น้ำตาของฉันไหลพรากออกมาเป็นครั้งแรกหลังจากที่อากิระตาย

    “ฮึ่ก”ฉันซบลงบนไหล่ของอัญและร้องไห้สะอึกสะอื้น ปล่อยให้น้ำตาชะล้างความเศร้าโศกจากการสูญเสียอากิที่ในตอนที่ร่วมงานศพของเขาฉันช็อคเกินกว่าที่จะแสดงออกมาให้ทุกคนที่มาร่วมงานเห็น

    อัญเองก็เจ็บมากเช่นเดียวกันในตอนที่เธอรู้ว่าอากิระได้จากโลกนี้ไปเป็นครั้งแรก ต้องขอบคุณเธอจริงๆ เพราะหากไม่มีเธอเตือนสติในวันนั้นฉันก็คงจะจมอยู่กับความเศร้าของอากิจนไม่เป็นอันทำอะไร

    เราทั้งคู่ได้ตัดสินว่าจะใช้ชีวิตทั้งหมดที่เหลืออยู่เพื่ออากิ

    และแล้วเวลาก็ได้ผ่านไปจนกระทั่งฉันเรียนจบม.6

    หลังจากจบ ฉันก็ได้รับการอุปการะจากสามีภรรยาคนไทยเชื้อสายจีนคู่หนึ่งที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย เพราะถูกชะตาในตัวฉัน และฉันก็ได้มารู้ทีหลังว่าพวกเขาเป็นเศรษฐีที่มีเงินทองมากมายมหาศาล หลังจากที่พวกเขาพาฉันกลับมาที่บ้านของพวกเขา ที่ไม่ใช่เพียงบ้านธรรมดา แต่เป็นคฤหาสน์หลักล้านเลย!! แถมข้างในนั้นก็กว้างมาก กว้างจนทำฉันหลงทางอยู่บ่อยๆ ใหญ่กว่าบ้านฉันอีก

    พวกเขาดูแลฉันอย่างดีราวกับว่าฉันเป็นลูกของฉันจริงๆ ฉันดีใจมาก และยิ่งดีใจขึ้นไปอีกที่พวกเขาสนับสนุนความชอบของฉัน ศิลปะการต่อสู้ ใช่ พวกเขาได้จ้างครูสอนศิลปะการต่อสู้จากทั่วทุกมุมโลกมาสอนฉัน ฝึกฉันให้กลายเป็นนักสู้ระดับมืออาชีพ แต่ในบรรดาศิลปะการต่อสู้ทั้งหมดที่ฉันชอบ ฉันชอบ MMA ที่สุด เพราะมันคือการรวบรวมศิลปะการต่อสู้ทุกแขนงเข้าไว้ด้วยกัน

    และเคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่พ่อแม่บุญธรรมช่วยฉันตามสืบเรื่องที่บ้านเกิดของฉันด้วยเพราะเห็นว่าฉันคิดถึงบ้าน แต่พอฉันได้รู้จริงๆมันกลับทำให้ฉันรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ ฉันได้รู้ว่าจริงๆก่อนที่ป๊าจะพาฉันมาเที่ยวที่ประเทศไทย เขากำลังประสบปัญหาทางการเงิน จนบริษัทต้องล้มละลาย เมื่อเห็นท่าจะไม่ดีเขาจึงได้ขายบ้านที่เซี่ยงไฮ้ทิ้งและเตรียมจะย้ายมาอาศัยอยู่ที่ประเทศไทยกับม๊าและฉัน เริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่ที่นี่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวหลังจากที่ไม่เคยมีเวลาให้

    แต่อุบัติเหตุก็ได้พรากพวกเขาสองคนไปจากฉันก่อนที่เขาจะได้บอกเรื่องนี้กับพวกเรา

    และฉันก็ได้รู้อีกว่าในตอนนี้ อาจารย์สอนวิชาการต่อสู้คนแรกในชีวิตของฉันที่ฉันให้ความเคารพมากที่สุดได้จากฉันไปหลายปีแล้ว เพราะหลังจากที่ฉันไปที่ประเทศไทย เขาก็ถูกไฟครอกตายเพราะที่โรงเรียนเกิดเหตุไฟไหม้ และเขาก็ได้เสียสละพุ่งเข้าไปช่วยเด็กที่อยู่ในนั้น

    ฉันเสียใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนอกจากการไปเยี่ยมหลุมศพอาจารย์ที่เซี่ยงไฮ้จดจำเขาเอาไว้ในหัวใจตราบนานเท่านานและใช้ชีวิตต่อไป

    พ่อแม่บุญธรรมได้ส่งฉันไปเรียนที่มหาวิทยาลัยดีๆที่อเมริกา และหลังจากที่เรียนจบฉันก็ได้ก้าวเข้าสู่วงการนักสู้ MMA อย่างเต็มตัว และคว้าชัยชนะจากการต่อสู้แทบทุกๆแมตซ์และทุกรายการที่ลงแข่ง เริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่ว

    แน่นอนว่า พ่อแม่บุญธรรมของฉันเองรู้สึกภูมิใจในตัวฉันมาก และพี่น้องคนอื่นๆที่พวกเขาอุปการะมาก็ชื่นชมฉันด้วยเหมือนกัน ชีวิตของฉันในตอนนี้มันดีมากๆเลย…

    แต่ถึงกระนั้น

    ฉันก็ไม่เคยลืมพื้นเพเดิมของตัวเอง

    จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังคงติดต่อกับอัญชันอยู่

    พวกเรายังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน

    และทุกครั้งเวลาที่อัญลำบากใจอะไร เธอก็มักจะนัดฉันดื่มเหล้าเพื่อระบายให้ฉันฟังเสมอ ซึ่งส่วนใหญ่เรื่องที่เธอระบายนั้นมักจะหนีไม่พ้นเรื่องความรักที่ไม่สมหวังของเธอ

    “ทำไมกัน ฉัน มัน ม่าย ดี ตรง หนายยยย…”

    “ถามจริง?”

    อึกๆ

    “ฉันว่าเธอบอกเรื่องนี้กับแม่เธอไปตรงๆเถอะ”

    “ม่าย”

    อัญชันส่ายหัว

    “ต่อให้ต้องตาย ยังงายก็บอกหล่อนม่ายด้ายยยเด็ดขาด”

    “ทำไม?แค่บอกเรื่องที่เธอเป็น…”

    “นายรักอากิระ”

    ก่อนจะย้อนฉันกลับด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของคนเมา

    “นายมีใจให้เขา…”

    ฉันถึงกับนิ่งไปเล็กน้อย

    “เธอเมาแล้วนะ อัญ”

    “เปล่าซะหน่อย”

    อัญสะบัดมือฉันที่พยายามจะเข้าไปพยุงเธอออก

    “นายต่างหากล่ะที่เมา”

    “……”

    “ทั้งๆที่มีโอกาสที่จะบอก..”

    “…..”

    “แต่กลับ…”

    โครม!!

    ทว่าก่อนที่จะได้พูดจบเธอก็สลบเหมือดคาบาร์เสียก่อนจนต้องลำบากฉันขับรถพาไปส่งถึงที่บ้านของเธอและส่งเธอให้แม่กับพี่ชายของเธอเป็นคนดูแลต่อ

    บรื้น หลังจากนั้นฉันก็ขับรถออกจากบ้านของอัญไป ขับรถไปตามท้องถนนของกรุงเทพในยามค่ำคืนเช่นเดิม ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ยกเว้นก็แต่สมองของฉันในตอนนี้ที่คิดแต่เรื่องที่อัญพูดกับฉันที่บาร์

    บางทีเธอคงอยากจะแกล้งฉันก็เลยพูดแบบนี้…

    “บ้าน่า คิดมากไปแล้ว หลง”

    เฟี้ยววว

    ทว่าในขณะที่กำลังขับรถอยู่ ในตอนนั้นเองฉันก็ได้สังเกตเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่วิ่งสวนรถที่ฉันขับไปอย่างรวดเร็ว

    ราวกับห้วงเวลาทั้งหมดได้หยุดนิ่งลง

    ในยามที่ฉันได้เห็นแววตาของเขา

    แววตาของใครบางคนที่ฉันคุ้นเคยเป็นอย่างดี

    ใครบางคนที่ฉันสัญญาว่าจะปกป้องไปชั่วชีวิต

    ใครบางคนที่ฉันคิดว่ายังไงชาตินี้ก็คงจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว

    เอี๊ยดดดด

    ฉันมองเห็นเพียงแว้บเดียว แค่แว้บเดียวเท่านั้น ทว่านั่นก็เพียงพอให้ฉันเหยียบเบรกจอดรถข้างถนนทันทีเพื่อเปิดประตูลงไปดูคนที่วิ่งผ่านฉัน

    “เดี๋ยว…”

    แต่ก็ช้าไปเพียงก้าวเดียวเพราะเขาได้หายไปในความมืดเสียก่อน

    “อะ”

    เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเขา

    “อะ…”

    เป็นไปไม่ได้

    “อา..”

    ไม่มีทาง

     

    “อากิ?”

     

    ช่วงสรุปแบบสั้นๆ(สั้นมากคร้าบบบบ)

    เสี่ยวหลงเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยที่เมืองเซี่ยงไฮ้ที่สังคมเบื้องหน้าผู้คนมักจะสวมหน้ากากปลอมๆต่อหน้าเขา ทำให้เขาหวังอยากจะได้เพื่อนที่จริงใจกับเขาสักคนหนึ่ง และชีวิตของเขาก็ได้พลิกกลับตาลปัตรหลังจากที่พ่อกับแม่ประสบอุบัติเหตุรถชนในระหว่างที่มาเที่ยวพักร้อนที่ไทย โดยที่ตัวเขาไม่รู้เลยว่าพ่อของเขากำลังจะล้มละลายเลยตั้งใจย้ายมาอยู่ที่ไทยก่อนแล้วและหลังจากที่กลายเป็นเด็กกำพร้าเพราะไม่มีญาติที่ทางเซี่ยงไฮ้เหลืออยู่ เขาก็เลยถูกส่งไปที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าในกรุงเทพ และที่นั่นก็คือที่ที่เขาได้พบกับอากิระและหลังจากที่อากิระตาย เสี่ยวหลงก็ได้รับการอุปการะจากพ่อแม่บุญธรรมในไทย ก่อนที่จะเติบโตขึ้นมาและกลายเป็นนักสู้ระดับมืออาชีพที่กำลังโด่งดังไปทั่วโลก ใช้ชีวิตเหมือนกับคนทั่วไป ก่อนที่เขาจะได้บังเอิญพบกับอากิระอีกครั้ง ในตอนที่เจ้าตัวกำลังถูกตามล่าอยู่พอดี

    โอย!!!แต่งเองมึนเองโว้ย 

    ยิ่งโดยเฉพาะไอ้ตอนเรื่องล้มละลายคือ ปวดกบาล จะแก้ยังไงให้ดูสมจริงก็แล้วแต่ไรต์เลย(ตรงขีดเส้นใต้นี่ตัวดี)

    พลังพิเศษ : -

    สิ่งที่ต้องแลก : -

    อุปนิสัย :

    -อบอุ่นดั่งดวงตะวัน เป็นมิตรและเฟรนลี่กว่า(คำเดียวกันแหละแต่ขอเอามาแต่งให้สวยๆ) ยิ้มแย้มและเข้าหาทุกๆคนที่ได้พบ เป็นคนที่แสดงออกทางสีหน้าและความรู้สึกได้หลากหลายรูปแบบ…ผิดกับอากิระ หากเปรียบเทียบระหว่างพวกเขาสองคน เสี่ยวหลงนั้นก็คือดวงตะวันที่มอบความอบอุ่นให้กับผู้คน ผิดกับดวงจันทร์ที่เป็นตัวแทนของอากิระซึ่งอยู่ภายใต้ความมืดตรงข้ามกับแสงสว่างของเสี่ยวหลง

    เสี่ยวหลงเป็นคนที่ร่าเริงกว่าและอัธยาศัยดีกว่า มีความอ่อนโยนกว่า นุ่มนวลกว่า และที่สำคัญ..มีมารยาทกว่า ดูได้จากการพูดจาที่จะเวลาอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่จะเป็นทางการกว่า แต่กับเพื่อนจะเป็นกันเอง ทว่าถึงกระนั้นในตอนที่เขาคุยกับเพื่อนและในตอนที่เขาโกรธที่สุดก็ไม่เคยมีคำหยาบที่ต้องเซ็นเซอร์หลุดออกมาเลยสักคำ ดังจะเห็นได้จากตอนที่เขาโกรธธันวา

    -ไหลไปตามน้ำได้ทุกสถานการณ์ เสี่ยวหลงเป็นคนที่ทำตัวกลมกลืนกับฝูงชน ในทุกๆที่ ทุกๆสถานการณ์ เสี่ยวหลงสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกๆกลุ่ม แม้ว่ามุขที่คุณเล่นจะเป็นมุขที่ฝืดที่สุดแต่เสี่ยวหลงก็ขำ ขำทุกมุม เขาสามารถชงมุข ตบมุข เล่นมุขเองได้ เป็นทั้งผู้พูดและผู้รับฟังที่ดี 

    เขาสามารถโกหกได้ถ้าคุณอยากให้เขาโกหก และเขาก็โกหกได้เนียนมากด้วยเนียนจนบางทีอาจจะแยกไม่ออกว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงหรือความเท็จ แต่เขาก็สามารถบอกความจริงกับคุณได้เช่นกันถ้าคุณต้องการ และความจริงที่เขาบอกมันก็จริงอย่างที่พูดจริงๆ จริงใจ ตรงไปตรงมาดุจไม้บรรทัด ไม่มีสิ่งใดแอบแฝง ทว่าถ้าบางเรื่องมันร้ายแรงจริงๆจนไม่สามารถข้ามได้เขาก็อาจจำเป็นต้องบอกไปตามความจริงอย่าหลีกเลี่ยงไม่ได้

    -ขี้สงสาร ใช่ เสี่ยวหลงเป็นคนขี้สงสารแต่ก็ไม่ได้ขี้สงสารมากถึงขนาดที่จะใจอ่อนไปเสียทุกเรื่อง ความขี้สงสารของเขานั้นมีขอบเขต อย่างเช่นถ้าหากคุณพยายามจะเรียกร้องความสงสารจากเสี่ยวหลงเพื่อหลอกให้เขาไปทำเรื่องในทางที่ผิดเพื่อตัวคุณเอง เขาจะไม่ทำ เด็ดขาด แม้เรื่องที่คุณบอกมันจะเศร้าจนเขาต้องหลั่งน้ำตาออกมาก็ตาม(ต่อให้เป็นคนที่เขารักเขาก็จะทำถึงแม้จะไม่เต็มใจก็ตาม แต่ตราบใดที่ไม่ถึงตายก็ไม่เป็นไร)

    และ ใช่ ทุกครั้งเวลาที่ได้ยินเรื่องราวในอดีตอันแสนข่มขืน ได้ยินเรื่องเศร้าๆเกี่ยวกับผู้คน ได้เห็นลิงที่กำลังดิ้นทุรนทุรายในขณะถูกควักสมองกิน หรือสัตว์ต่างๆที่ถูกทรมานเพียงเพื่อเอาไปตอบสนองความปราถนาที่ไม่มีวันสิ้นสุดของผู้คน ทั้งๆที่บางอย่างก็ไม่ควรค่าแก่การให้กิน น้ำตาของเขาก็จะไหลออกมาทันที ราวกับว่าเขาได้เห็นตัวตนของเขาเองในแววตาของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น

    บางทีเขาอาจจะกำลังคิด คิดว่าถ้าหากเขาถูกทรมานแบบนั้นบ้างเขาก็คงจะเจ็บปวดไม่ต่างกัน

    -น้ำตาของลูกผู้ชาย เสี่ยวหลงเป็นผู้ชายที่ไม่ได้พยายามทำตัวแข็งแกร่งแบบผู้ชายคนอื่น ซึ่งเชื่อมกับข้อที่สอง ความขี้สงสาร แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ใช่คนขี้แยที่ต้องร้องออกมาทุกครั้งในยามที่เจ็บหรือหกล้ม เขาจะหลั่งน้ำตาออกมาแค่เฉพาะเรื่องที่ทำให้เขาเจ็บปวดมากจริงๆ และส่วนใหญ่เรื่องที่เขาร้องก็เป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อจิตใจของมนุษย์ ที่บางที ต่อให้เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดก็อาจจะไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้เช่นกัน อย่างเช่น เรื่องที่พ่อแม่ตาย เรื่องอดีตอันข่มขืนของอากิระที่ถูกรังแกจนเกือบถึงชีวิต

    โดยมีเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่เขาพยายามจะกลั้นน้ำตา ซึ่งก็คือในตอนที่เขาได้รู้ข่าวเรื่องที่อากิระตาย ในตอนนั้นเขาช็อคเกินกว่าจะยอมรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ จนเลือกที่จะปิดกั้นตัวเองจากทุกคน ซึ่งส่งผลให้เขาจมดึ่งลงสู่อารมณ์ด้านลบและเกือบจะพลั้งมือฆ่าคนอื่น แต่ก็ยังดีที่อัญชันเพื่อนของเขาเป็นคนเตือนสติเขาไว้ โดยการพูด พูดให้เขาเลิกเก็บความเจ็บปวดเอาไว้แต่เพียงแค่ผู้เดียว และเลือกจะระบายมันออกมาให้รู้สึกสบายใจขึ้น

    -ใส่ใจทุกรายละเอียด ใส่ใจทุกความรู้สึก คืออีกหนึ่งข้อดีของเสี่ยวหลง เสี่ยวหลงเป็นคนที่ใส่ใจความรู้สึกของทุกคน ใส่ใจว่าคุณรู้สึกยังไงเวลาที่อยู่กับเขา เขาจะพยายามอยู่ห่างคุณทันที และไม่ยุ่งกับคุณเลย ถ้าคุณไม่ชอบเขา เขาจะไม่พูดในสิ่งที่คุณไม่ชอบถ้าหากเขาได้รู้ว่าคุณไม่ชอบมัน แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่ตอบเมื่อคุณไปถาม เขาจะทำตัวตามปกติ ถ้าหากเป็นคนที่ชอบหรือเขาก็จะพูดคุยกันอย่างเปิดเผย แบบตามประสาคนปกติที่พูดคุยกัน และเป็นที่พึ่งพิงให้ในยามที่ลำบาก เวลาถามอะไรก็จะตอบให้ และเวลาที่มีปัญหาเขาก็สามารถให้คำแนะนำกับคุณได้ ซึ่งนิสัยนี้เองเป็นนิสัยที่ปรากฎในประวัติของเขาที่เราได้อ่านไป โดยคนที่เขาใส่ใจมากที่สุดในบรรดาคนทั้งหมดที่เขารู้จักนั้น ยังไงก็หนีไม่พ้นอากิระแน่นอน เขารู้ว่าอากิระไม่ชอบเขาดังนั้นจึงพยายามไม่เข้าไปก้าวก่ายชีวิตของเขาแม้จะอยู่บ้านเดียวกัน ยกเว้นเสียแต่เรื่องที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย

    แต่เมื่อได้รับอนุญาตเขาก็จะปฏิบัติต่อคุณเหมือนกับเพื่อนและคนในครอบครัวคนหนึ่ง

    ยกเว้นก็แต่อากิระเท่านั้นที่ปฎิบัติเป็นพิเศษกว่าคนอื่น เป็นคนเดียวที่เขาคอยใส่ใจ ทะนุถนอมยิ่งกว่าคนอื่นๆ เป็นคนเดียวที่เขาสามารถทำทุกอย่างได้เพื่อให้อีกคนรู้สึกสบายใจ ยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อให้อีกฝ่ายปลอดภัย แต่ก็ไม่รักมากจนเกินไปจนปล่อยให้มันย้อนกลับมาทำร้ายอีกฝ่ายเอง

    ส่วนอัญชันนั้นเขาก็จะปฎิบัติเหมือนกับเพื่อนและน้องสาวคนหนึ่ง

    -เกลียดหรือชอบ คงบอกออกมาไม่ได้เต็มปาก แม้ว่าคุณจะนินทาลับหลังเขา แม้ว่าคุณจะทำร้ายเขา หรือเลวมากแค่ไหน เขาก็ไม่รู้สึกเกลียดคุณจนถึงขั้นอยากจะฆ่าให้ตาย อาจจะแค่ไม่ชอบ แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจแบบสุดโต่งเพราะสำหรับเขาแล้วมนุษย์ทุกคนล้วนเป็นสีเทา แล้วถ้าชอบล่ะ? ถ้าชอบก็ ทำตัวตามปกติ แต่ก็ไม่ได้กรี๊ดกร๊าด อู้หูวซะเว่อ ดังนั้นเรื่องการเมืองจึงเป็นเรื่องเดียวที่เขาจะขอไม่เขาไปยุ่งเกี่ยวและขอออกคอมเมนต์ด้วย เพราะคนเดียวที่เขาสนใจมีเพียงแค่อากิระเท่านั้น

    -ทำตามหัวใจตัวเอง เสี่ยวหลงเป็นคนที่หากชอบอะไรแล้ว อะไรก็ไม่สามารถขวางเขาได้อย่างเช่นเรื่องการต่อสู้ เขาเองก็ใช่ว่าจะโกรธไม่เป็น ถ้าคุณพยายามที่จะกีดกันเขาไม่ให้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ เขาจะรู้สึกไม่พอใจมากและเริ่มถอยห่างคุณโดยอัตโนมัติ แต่หากคุณพูดคุยกับเขาดีๆและถ้าใช้ด้วยหลักเหตุและผลเขาก็จะยอมรับฟัง แต่คุณเองก็ต้องยอมรับฟังเขา และยอมให้เขาได้พูดอธิบายถึงเหตุผลด้วยเหมือนกัน

    -หัวใจหล่อกว่าหน้าตา ดั่งเช่นในวัยสิบขวบที่เขาได้ช่วยคนแก่ที่ถูกทำร้าย นี่เป็นเรื่องเดียวที่ทำให้เขาของขึ้น การเห็นคนอื่นรังแกผู้หญิง คนแก่ เด็กและผู้อ่อนแอต่อหน้าต่อตาเขา คือสิ่งที่เขาทนรับไม่ได้จนต้องพุ่งตัวเข้าไปช่วยโดยอัตโนมัติ โดยไม่สนเลยว่าตัวเองจะได้รับบาดเจ็บรึเปล่า ขอเพียงแค่ช่วยคนอื่นได้ก็พอใจแล้ว

    เสี่ยวหลงไม่ใช่คนที่มีหน้าตาหล่อเหลาแบบเทพบุตร ทว่าถึงจะหน้าตาบ้านๆ แต่หัวใจของเขากลับดีงามมากกว่าคนหล่อบางคนที่อยู่บนโลกนี้เสียอีก ดังนั้นรูปร่างหน้าตาภายนอกจึงไม่ใช่สิ่งสำคัญที่จะเอามาใช้กำหนดหรือวัดความดีงามของตัวบุคคล

    -อัจฉริยะ ก็นะเสี่ยวหลงเป็นคนเรียนเก่ง ถ้าเขาจะฉลาดก็ไม่แปลก แต่ที่คุณไม่รู้ก็คือ จริงๆแล้วเขาเป็นอัจฉริยะ เขาเป็นคนที่เรียนรู้เร็วมาก และมีความจำดีเป็นเลิศ ถ้าคุณรู้สึกงงเราจะลองยกตัวอย่างให้ พจนานุกรมเล่มหนาที่คุณคิดว่ายังไงคุณก็ไม่มีทางอ่านจนจบภายในวันเดียวแน่ เสี่ยวหลงกลับสามารถอ่านมันจนหมดภายในชั่วโมงด้วยทั้งๆที่มีเป็นพันๆหน้า และเขาก็สามารถบอกความหมายของศัพท์และศัพท์ที่อยู่ในนั้นที่คุณถามเขาได้ทุกคำด้วยโดยที่ไม่ต้องเปิดหนังสือหาก่อนอีกรอบแล้วถึงจะเอามาตอบ

    ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยถ้าเขาจะเรียนรู้วิชาศิลปะป้องกันตัวได้เร็วกว่าคนอื่นๆและสามารถเอาไปปรับประยุกต์ใช้กับสไตล์ต่อสู้ของเขาเองได้ เขาเป็นคนที่ฉลาดและมีไหวพริบดังนั้นเวลาต่อสู้เขาจึงสามารถพลิกแพลงได้เสมอ…และเผลอๆบางทีเขาอาจจะเหนือกว่าอากิระอีก…ถ้าหากทันเล่ห์กลของอีกฝ่ายและไม่ใจอ่อนให้เขาล่ะนะ

    นอกจากนี้เสี่ยวหลงยังเป็นคนชอบเรียนรู้ เขาชอบเรียนรู้อะไรที่แปลกใหม่ที่สามารถนำมาปรับประยุกต์ใช้กับท่าต่อสู้และชีวิตประจำวันของเขาได้ เขาชอบแบ่งปันความรู้ให้กับคนอื่น ไม่เก็บเอาไว้คนเดียว เพราะสำหรับเขาแล้วการทำแบบนี้ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขอย่างหนึ่งด้วยเช่นกัน

    -โง่บรมและทึ่มในเรื่องความรัก เสี่ยวหลงเป็นคนที่ดูเหมือนจะเพอร์เฟคต์ไปหมดทุกอย่างแต่ที่จริงแล้ว เปล่า เขาสามารถเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองได้แทบทุกเรื่อง แต่เรื่องที่ทำให้เสี่ยวหลงผู้แสนชาญฉลาดดูกลายเป็นคนโง่มากที่สุดไปเลยก็คือ เรื่องความรัก เขามักจะชอบโกหกเข้าข้างตัวเองว่าเขาคิดกับอากิระเป็นแค่พี่น้องกับเพื่อน หลอกหัวใจตัวเองว่าไม่ได้คิดเกินเลยกับคนคนนั้น ทั้งๆที่จริงๆแล้ว เอ็งโคตรของโคตรของโคตรคนคลั่งรักเลยโว้ย!! คือขนาดยัยอัญยังสังเกตเห็นอ่ะ แต่ก็ยังอุตส่าห์หาข้ออ้างสารพัดนึก ไม่ยอมรับว่าตัวเองรักเขามากขนาดไหน แบบว่า อ๋อ เวลาที่หัวใจเต้น เราอาจจะแค่เหนื่อย ทั้งทีๆมันจะเต้นรัวเสมอเวลาอยู่กับอากิระเพียงคนเดียว

    เป็นห่วงเขาราวกับว่าเขาเป็นโลกทั้งใบของตัวเอง ตอนที่เขากำลังจะตายรู้สึกหวาดกลัวจนแทบเป็นบ้า ตอนที่เขาตายก็เจ็บปวดจนมิอาจจะทนรับได้ แบบนี่มันน่าจะไม่ใช่แค่พี่น้องเลยล่ะ หลงเอ๋ย

    แต่ก็ดันไม่เคยบอกตรงๆกับอีกฝ่าย เพราะบางทีในใจลึกๆแล้วเขาอาจจะกลัวว่าถ้าบอกกับอีกฝ่ายไปตรงๆ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนอาจจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีก อาจจะพังทลายลงจนไม่สามารถสานต่อกลับคืนมาได้อีกตลอดกาล…อีกทั้งเขายังกลัวว่าถ้าเขาเปิดเผยมันออกไป ชีวิตของคนรอบข้างเขาและตัวเขาเองอาจจะถูกมองไม่เหมือนเดิม

    ซื่อบื่อในเรื่องความรักเป็นที่สุด ขนาดสาวแอบมอง แอบตามสะกดรอย โดนหนุ่มตามจีบมันยังไม่รู้ตัว จนกระทั่งไปเปิดเผยเนี่ยแหละถึงได้รู้

    “เราชอบเธอ..แบบเพื่อนมากกว่าน่ะ”

    และนั่นก็เป็นคำพูดที่ดีที่สุดที่เขาสามารถถนอม รักษาน้ำใจอีกฝ่ายได้แล้ว แต่มันก็ทำให้คนที่หลงรักเขาเจ็บจี๊ดไปถึงขั้วหัวใจกันแทบทุกรายเลยล่ะครับ

    -กลัวการสูญเสีย เสี่ยวหลงเคยมีปมสูญเสียพ่อกับแม่ของเขาไป ดังนั้นในตอนที่เขาสูญเสียอากิระไปมันทำให้เขาเจ็บปวดแทบคลั่ง ดังนั้นในตอนที่ถ้าเขาได้รู้ว่าอากิระมีชีวิตอยู่ เขาคงไม่มีทางยอมให้อีกฝ่ายเป็นอะไรไปอีกแน่ และนอกจากนี้เขายังสามารถยอมสละได้แม้กระทั่งชีวิตเพื่อให้คนที่เขารักปลอดภัย

    -เวลาโกรธจริงจังจนน่ากลัว เสี่ยวหลงแม้ภายนอกจะดูเหมือนเป็นคนที่โกรธใครไม่ค่อยเป็น ทว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาโกรธขึ้นมาจริงๆจัง อย่างเช่นหากคุณทำร้ายอากิระกับอัญชัน และครอบครัวพ่อแม่บุญธรรมของเขาจนเกือบถึงแก่ชีวิต เส้นความอดทนของเขาจะขาดผึงในทันที เขาจะโยนเหตุผลทุกอย่างที่เคยมีจนหมดทิ้งและพุ่งเป้าไปจัดการคุณอย่างรวดเร็วราวกับเสือร้ายที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อได้ทุกเมื่อ แววตาของเขาจะแผ่ออร่าของนักล่าผู้น่าเกรงขามที่แม้แต่ผู้เกิดใหม่บางคนที่ต่อให้แข็งแกร่งที่สุดก็อาจจะถึงกับเข่าทรุดเมื่อมองเข้าไปในแววตาอันดุดันและเยือกเย็นของเขา นิสัยของเขาจะเปลี่ยนไปเป็นคนล่ะคน โหดเหี้ยม หมายจะปลิดชีพคนที่อยู่ตรงนี้และทำให้พวกมันทุกคนที่ทำร้ายคนที่เขารักต้องได้รับความทุกข์ทรมานก่อนตาย เสี่ยวหลงจะควบคุมสติไม่อยู่และเขาจะไม่ฟังคุณเลยหากคุณแค่สั่งให้เขาหยุด หรือพยายามจะใช้คำพูดสวยหรูเตือนสติเขา เพราะในเวลานั้นเขาจะไม่ฟังใครทั้งนั้นจะสนอยู่แต่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ดังนั้นทางเดียวที่จะหยุดเขาได้มีเพียงแค่การลงไม้ลงมือ โดยเฉพาะกับการตบหน้าเรียกสติแบบที่อัญชันเพื่อนของเขาทำเป็นต้น ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้เสี่ยวหลงหันมาฟังเสียงของคุณบ้างและยอมรับฟังเหตุและผลขึ้น

    นอกจากนี้เสี่ยวหลงยังมีความโกรธอีกรูปแบบหนึ่ง ความโกรธอันแสนเยือกเย็น ที่ถูกคนที่ตัวเองรัก คนที่สนิทหลอกหรือไม่ยอมบอกความจริง หรือเรื่องที่แบบมันเกินกว่าที่เขาจะรับไหวอย่าง..เรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นในตอนนี้ซึ่งก็คือ เรื่องที่อากิระยังไม่ตายแล้วเป็น ผู้เกิดใหม่อะไรนั้น

    เขาจะเงียบก่อน เงียบไปสักพัก เงียบไปนานจนรู้สึกอึดอัดและน่ากลัว แล้วถึงเริ่มพูดในสิ่งที่อยู่ในใจตัวเองออกมา เริ่มมีปากเสียงกับอีกฝ่าย โดยที่ไม่แคร์เลยว่าสายตาคนที่อยู่รอบข้างที่มองมาจะเป็นยังไง และนี่ก็คือเหตุการณ์คร่าวๆนิดหน่อยที่เราคิด

    หลังจากที่รู้ความจริงเรื่องที่เกิดกับอากิระ เสี่ยวหลงขอให้ทุกคนปล่อยเขาอยู่คนเดียวกับอากิระเพียงสองต่อสอง เขานิ่งอยู่นานเพื่อทำใจ ก่อนจะซัดหน้าอากิระหมัดนึง แล้วระบายความโกรธที่อยู่ในใจออกมาแล้วมีปากเสียงกับอากิระก่อนจะต่อสู้กัน จนดังไปถึงข้างนอกแม้ว่าทุกคนจะเข้ามาเพื่อบอกให้ใจเย็นๆ แต่ทั้งคู่ก็หันมาสวนคนที่เข้ามาบอกกลับอย่างสามัคคี

    “ไม่ต้องมายุ่ง!”

    ทำให้คนที่พยายามจะเข้าไปห้ามหน้ากลายเป็นหมาไปเลยทีเดียว

    -ไม่เคยลืมพื้นเพเดิม เสี่ยวหลงไม่เคยลืมความยากลำบากที่ตัวเองประสบพบเจอในอดีต แม้ว่าตอนนี้เขาจะสุขสบายแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยลืมคนที่เคยอยู่รอบข้างในตอนที่เขาลำบาก ไม่เคยลืมลุงของอัญชันที่สอนมวยไทยให้ ไม่เคยลืมแม่ของอัญชันที่ทำกับข้าวให้ทาน ไม่เคยลืมพระคุณของครูบาอาจารย์ที่อบรมสั่งสอน ไม่เคยลืมบุญคุณที่บ้านเด็กกำพร้าที่เลี้ยงดูเขา ไม่เคยลืมใครต่อใครที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นต่อให้เขารวยแค่ไหน เขาก้ยังคงใช้ชีวิตติดดินและไม่ดูถูกคนยากคนจนที่ลำบากกว่าเขา

    -น้ำใจนักกีฬา เสี่ยวหลงไม่ใช่คนที่ยึดติดกับชัยชนะ เพราะสำหรับเขาแล้ว ชัยชนะเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ยอมพ่ายแพ้ง่ายๆด้วยเช่นกัน ดังนั้นในเวลาต่อสู้เขาจะจริงจังกับมัน ทำให้เต็มทีที่สุดแล้วคว้าชัยชนะกลับมา แต่พอจบแล้วเขาก็จะไม่ดูถูกหรือสบประมาทคู่ต่อสู้ เขาจะให้เกียรติคู่ต่อสู้ทุกคนที่เขาสู้ด้วยและให้เครดิตกับพวกเขาว่าพวกเขาเองก็เป็นคนที่เก่งไม่แพ้กันกับเขา

    เขาเป็นคนถ่อมตนและไม่อวดตัวเอง ดังนั้นเขาจึงมีเพื่อนนักสู้มากมายจากทั่วทุกมุมโลกที่เข้าหาเขาเพราะความไม่ถือตัวและความมีน้ำใจนักกีฬาของเขาเอง แม้แต่คู่แข่งของเขาพอจบศึกบนสังเวียนแล้วก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อเขาอยู่และยังติดต่อหากันจนถึงทุกวันนี้

    -ใจเย็นและสุขุม เสี่ยวหลงเป็นคนที่รอบคอบ ใจเย็น ไม่ตีโพยตีพายไปก่อน เขาทำอะไรด้วยความระมัดระวังเสมอ ระวังกิริยาท่าทางที่ไม่ทำให้คนรอบข้างเขารู้สึกลำบากใจ…ยกเว้นก็แต่บางเรื่องที่มันน่าโกรธจริงๆ ตัวของเสียวหลงนั้นมีความเป็นผู้นำกว่าอากิระ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่เป็นผู้นำ เพราะเขารู้สึกว่าการเป็นผู้นำนั้นมันต้องแบกรับภาระและต้องมีความรับผิดชอบอะไรหลายๆอย่าง ดังนั้นเขาจึงอยากเป็นผู้ตามเสียมากกว่า แต่ในขณะเดียวกันเขาก็สามารถใช้คำพูดที่ไม่มีแม้แต่คำหยาบแท้ๆ จิกคนที่ชอบทำตัวเกเรและชอบพูดจาดูถูก เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ จี้แทงใจดำจนทำพวกเขาเหล่านั้นอ้าปากค้างกับกิริยาที่ดูสุภาพและน้ำเสียงที่ฟังดูเรียบร้อยที่สุภาพจนดูน่ากลัวของเสี่ยวหลงได้เช่นกัน

    “โปรดระวังคำพูดของคุณด้วย เด็กๆของผมไม่เคยใช้กำลังอย่างไม่มีเหตุผล นอกเสียจากพวกคุณทำเรื่องที่สกปรกโสมม ต่ำช้าจนไม่น่าให้อภัยต่อพวกเขา”

    จริงๆแล้วเสี่ยวหลงไม่ชอบหาเรื่องใครนอกเสียจากถ้าคนคนนั้นมาหาเรื่องเขาก่อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาก็จำเป็นจะต้องยอมรับคำท้าของคุณ แต่เขาจะพยายามอย่างถึงที่สุดโดยระมัดระวังไม่ให้คุณถึงแก่ความตาย

    -ไม่ปักใจเชื่อไปก่อน เขาจะไม่เอนเอียงไปตามข่าวลือ เขาจะพยายามศึกษาและค้นหาข่าวจากทุกๆแหล่ง ก่อนจะเอาสิ่งที่รวบรวมมาแยกออกจนได้ข่าวที่น่าเชื่อถือที่สุด ซึ่งทักษะนี้ทำให้เขาดูเหมือนกับนักสืบเลยทีเดียว เขาจะไม่ปักใจเชื่ออะไรตรงหน้าไปก่อนถ้าหากไม่มีมีหลักฐานยืนยันที่มากพอว่าสิ่งตรงหน้าเป็นความจริง

    เขาเป็นคนที่มองคำโกหกของอากิระออก ซึ่งก็ไม่ใช่อากิระคนเดียว คนอื่นก็ด้วย ต่อให้คุณพยายามจะสรรหาข้ออ้างมาโกหกเขาสักแค่ไหน เขาก็มองคุณออกอยู่ดีว่าคุณมีเรื่องปิดบัง..แค่ไม่รู้ว่าปิดบังเรื่องอะไร แต่เขาก็จะไม่คะยั้นคะยอถามคุณต่อถ้าหากคุณไม่ต้องการจะบอก

    ดังนั้นต่อให้ทุกคนบอกกับเขาว่าอากิระเป็นคนร้าย หรือบอกว่าอากิระไม่ดีอย่างงู้นอย่างงี้ เสี่ยวหลงก็ยังคงเชื่อใจอากิระอยู่ แต่ก็อาจจะยังไม่เต็มร้อย จนกว่าจะได้หลักฐานมายืนยันว่าอีกฝ่ายบริสุทธิ์ 

    -รักใครแล้วรักจริง นี่คือความรักของเสี่ยวหลงที่มีต่ออากิระ ต่อให้โลกทั้งใบแตกสลาย ความรักของเขาก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ถึงจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวโดยไร้ซึ่งคู่ครองเขาก็เต็มใจ เขาทุ่มเทหัวใจทั้งหมดให้อากิระ คอยปกป้องและดูแลเขาในยามยากลำบาก ใส่ใจทุกการกระทำและความรู้สึกของอีกคนอย่างสุดหัวใจ ดูแลอีกฝ่ายเป็นอย่างดี และในขณะเดียวกันก็สนับสนุนความชอบและสิ่งที่อีกฝ่ายเป็นด้วยเช่นกัน

    -แม้จะเคยเจ็บปวดแต่ก็ต้องก้าวต่อไป หลังจากที่ได้ระบายทุกอย่างกับอัญชันในวันนั้น เสี่ยวหลงก็ได้เอาความเจ็บปวดที่เขาเคยประสบพบเจอในอดีตมาเป็นเครื่องมือเตือนใจให้เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างคุ้มค่าเพื่อคนที่จากไปแล้ว ใช้ทุกวินาทีในชีวิตที่เหลืออยู่ให้คุ้ม เขาจะไม่มัวแต่จมปลักอยู่กับความเศร้า แต่ใช้ความเศร้านั้นเป็นแรงผลักดันให้ตัวเองก้าวเดินไปข้างหน้า เก็บเรื่องราวและช่วงเวลาอันน่าจดจำในอดีตเอาไว้ในความทรงจำ

    สรุปคีย์ทั้งหมดของเสี่ยวหลง เสี่ยวหลงเป็นผู้ชายที่ไม่เคยบอกว่าตัวเองแข็งแกร่ง เขาเป็นคนที่มีความอ่อนแอแต่ความอ่อนแอนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยอารมณ์ทางด้านบวกที่มีมากกว่าด้านลบ เป็นคนที่แสดงออกในทุกๆอารมณ์และความรู้สึก ยกเว้นเรื่องความรัก เขาเป็นคนที่ใส่ใจความรู้สึกของทุกคน เผลอๆอาจจะมากกว่าที่ใส่ใจตัวเองอีก เขาเป็นคนที่ดีแต่ก็มีด้านที่ไม่ดีด้วยเช่นกัน เป็นผู้ชายธรรมดาที่ทำทุกอย่างเพื่อคนที่ตนเองรัก แม้ว่าจะเคยประสบพบเจอกับปัญหามากมายแต่เสี่ยวหลงก็เลือกที่จะเดินหน้าต่อไปโดยไม่ลืมตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง

    คำเดียว ตอนแต่งหมอนี่…มึนว่ะ 

    อาวุธประจำตัว : กระบองสองท่อน

    เพิ่มเติม :

    -ไม่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ แบบโรนัลโด้ เสี่ยวหลงเป็นคนที่เลี่ยงสิ่งที่ส่งผลเสียต่อร่างกายของเขาทุกอย่างเพื่อรักษาสุขภาพ เพราะสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักสู้อย่างเขา ดังนั้นแม้ว่าในตอนที่อัญนักเขาไปดื่มที่บาร์ เสี่ยวหลงจะสั่งแค่เครื่องดื่มอย่างน้ำผลไม้หรือนมแทน แต่อย่างไรก็ตามเสี่ยงหลงก็สามารถดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนได้ เช่น ชา ซึ่งเป็นชาอู่หลง และนอกจากนี้เสี่ยวหลงยังไม่เคยสักรอยสักด้วย

    -ฤดูฝน ฤดูแห่งการสูญเสียและจุดเริ่มต้นของสายสัมพันธ์ เพราะว่าในฤดูนั้นคือฤดูที่เสี่ยวหลงสูญเสียพ่อกับแม่ ดังนั้นเขาก็เลยไม่ค่อยถูกโฉลกกับมันเท่าไหร่..เช่นเดียวกับอากิระที่เขาเองก็ถูกพ่อแม่ทิ้งในวันฝนตก แต่ในขณะเดียวกันจุดเริ่มต้นสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างทั้งคู่ก็เริ่มต้นมาจากฤดูกาลนี้ด้วยเช่นกัน

    ซึ่งฤดูฝนเป็นฤดูที่ทำให้อากิระรู้สึกหนาวสั่นกับแผลเป็นจากการตกตึกในวันนั้นด้วย และมันก็จะเป็นแบบนี้ทุกครั้งเวลาที่ฝนเริ่มตกโปรยปราย ส่วนเสี่ยวหลงนั้นเขาแค่ไม่ชอบแต่ไม่ถึงกับหนาว จริงๆแล้วเขาไม่ได้กลัวฟ้าผ่า แต่ตอนที่ตกใจตอนนั้นเป็นเพราะมันจู่โจมลงมาในตอนที่เขาสติไม่อยู่กับตัว เป็นคนอื่นก็คงอาจจะเป็นแบบเดียวกัน

    -ดวงเพชรฆาต เสี่ยวหลงเคยถูกหมอดูทักว่า ดวงของเขานั้นมีอันทำให้คนรอบข้างต้องตาย ซึ่งมันก็ไม่ผิดหนัก เพราะบางทีดวงของเขาเนี่ยแหละที่อาจจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้พ่อกับแม่เขา..ต้องเสียชีวิต แม้แต่อาจารย์ที่สนิทที่สุดก็ตายทันทีหลังจากที่เขาบินมาที่ประเทศไทย แม้แต่อากิระเองก็อาจจะเป็นด้วย

    และนอกจากนี้ยังมีเรื่องแปลกๆอีกอย่าง ลือกันว่า คนที่มักจะปองร้ายเสี่ยวหลงส่วนใหญ่จะถูกดวงของเสี่ยวหลงสังหารโดยการทำให้ประสบอุบัติเหตุตายในแบบที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่มีใครอยู่เบื้องหลัง

    ตอนนี้ที่น่าเป็นห่วงคืออัญชันกับครอบครัวพ่อแม่บุญธรรมของเขา เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าดวงของเขามันจะทำงานจนทำให้คนที่เหลือที่เขารักเหล่านี้ตายรึเปล่า แต่ก็คงไม่มีทางเกิดขึ้น หรือยังไม่เกิดขึ้นเร็วๆนี้หรอก

    -อาหารที่ชอบของเสี่ยวหลงคือ ซาลาเปาไส้หมูแดงร้อนๆ เขาชอบมันเพราะเวลาที่ได้สัมผัสมันเขาจะรู้สึกได้ถึงไอร้อนที่อบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วฝ่ามือของเขา นอกจากนี้เขายังชอบลูกชิ้นที่อากิระโปรดปรานด้วย

    -รูปร่างหน้าตาของเสี่ยวหลงนั้น หากจะให้พูด เขาไม่ใช่คนหล่อแต่ก็ไม่ได้ขี้เหร่ไปซะทีเดียว หน้าตาของเขานั้นจะออกไปทางแนวบ้านๆไม่ได้โดดเด่นจนน่าจับตามอง ไม่ได้ตรงกับความงามสุดแสนจะเว่อวังที่คนจีนคลั่งไคล้ ดวงตาของเขาเป็นตาชั้นเดียว ผมของเขาเป็นสีดำหวีเรียบร้อยกว่าอากิระซึ่งช่วยขับออร่าตรงจุดนี้ได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด เสี่ยวหลงมีซิคแพ็คและหุ่นที่ล่ำสันมากจนตกสาวๆและหนุ่มๆแทบทุกคนได้อยู่หมัดเลยล่ะ

    -ส่วนสูงเท่าๆกับอากิระ

    -สไตล์เสื้อที่ใส่ เสี่ยวหลงไม่ค่อยซีเรียสเรื่องการแต่งตัวมากนัก แต่ผู้คนส่วนใหญ่มักจะเห็นเขาใส่เสื้อสูทกับเสื้อออกกำลังกายเป็นหลัก เสี่ยวหลงชอบใส่รองเท้าผ้าใบ(โดยเฉพาะจอร์แดน)เพื่อให้สะดวกต่อการวิ่ง ชอบใส่กางเกงสีดำ และเสื้อเชิ้ตสีขาวที่มักจะไม่ชอบติดกระดุมคอบน สรุปเสี่ยวหลงเป็นคนที่แต่งตัวปรับเข้ากับทุกสถานที่ และส่วนใหญ่เสื้อของเขาจะออกไปทางแนวสีสันสดใสที่ไม่ได้ดูสดเกินจนกลายเป็นนกแก้วมาคอร์แต่ก็ไม่ได้หม่นมากไปจนดูมืดมน และบางครั้งเราอาจจะได้เห็นเสี่ยวหลงใส่ชุดจีนเวลาที่เขาอยู่ที่โรงฝึกสอนนักเรียนเหมือนกัน

    -หากนึกภาพของเสี่ยวหลงไม่ออกให้ดู Simu Liu

    -ปัจจุบันเขาเปิดโรงเรียนฝึกสอนวิชาจีทคุนโด้ที่แถวๆเยาวราช ในกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ซึ่งที่นั่นเขาเปิดรับสอนศิษย์ทุกเพศ ทุกอายุทุกเชื้อชาติ และก็มีศิษย์มากมายที่เรียนจบแล้วได้ดิบได้ดีกันเยอะอยู่ทีเดียวเชียวล่ะ

    -หากคุณบอกกับอากิระว่า “เสี่ยวหลงเป็นคนที่อ่อนแอ” อากิระจะเถียงคุณกลับมาทันทีว่า “เสี่ยวหลงไม่ใช่คนอ่อนแอ เขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้คนทั้งหมดที่ฉันเคยรู้จักมา และเผลอๆเขาอาจจะแข็งแกร่งกว่าพวกเราอีก”จะเห็นได้ชัดว่าอากิระนั้นค่อนข้างซีเรียสและออกตัวปกป้องเสี่ยวหลงบ่อยมากแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่เจ้าตัวไม่เคยรู้ตัวเลยว่าเขาแสดงความเป็นห่วงเสี่ยวหลงออกนอกหน้าขนาดไหน

    -ทาสน้องหมา และนี่ก็เป็นหนึ่งสาเหตุที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นความรักของเสี่ยวหลงที่มีอากิระก็เป็นได้ เขาชอบหมา ชอบมากๆ และในปัจจุบัน เขาก็ได้รับ เจ้ามั่วนิ่ม หมาจรจัดที่อากิระเอากลับไปเลี้ยงที่บ้านเด็กกำพร้ามาดูแล ให้ข้าวให้มันกิน ดูแลมันอย่างดีเสมือนกับเวลาที่เขาดูแลอากิระ

    เพิ่มเติม มั่วนิ่มเป็นชื่อหมาไร้บ้านสมัยเด็กของเรา จริงๆมันไม่มีเจ้าของ แต่มันชอบมาสิงอยู่ตามบ้านเราประจำแบบเนียนทำตัวว่าเป็นหมาบ้านเรา ดังนั้นพอมันไปก่อเรื่องข้างนอก บ้านเราต้องรับความซวยตลอด ดังนั้นยายเลยตั้งชื่อว่ามั่วนิ่ม เนื่องจากมันชอบมั่วนิ่มมาเข้าบ้านประจำ…

    แต่ในกรณีของอากิระ สาเหตุที่เขาตั้งชื่อมันแบบนั้นก็เพราะ เขาไม่รู้ว่าจะตั้งชื่ออะไรดีก็เลยตั้งชื่อลวกๆไปเลย

    -อ่านหนังสือและเล่นโกะ(หมากล้อม)เป็นงานอดิเรก เพราะเป็นคนที่เก่งคำนวณและการจำ สกิลการเล่นหมากล้อมของเสี่ยวหลงจึงเป็นสกิลที่โหดมากจนสามารถทำให้คนหลายคนสติแตกและพ่ายแพ้ไปในที่สุด เพราะเสี่ยวหลงเป็นคนสุขุมและใจเย็น แม้จะกำลังพ่ายแพ้เขาก็ไม่เผยช่องโหว่ออกมา จนสุดท้ายคนที่กำลังชนะเขาก็ต้องพลาดท่าเสียเอง

    -ความสัมพันธ์ระหว่างอากิระกับเสี่ยวหลง หากจะให้พูดก็คงจะแบบเดียวกับอากิระ คือเขารักใครไม่ได้อีกแล้วถ้าหากคนคนนั้นไม่ใช่ อากิระ ดังนั้นสาวๆและหนุ่มๆที่เข้ามาสารภาพรักกับเขาล้วนถูกเขาปฎิเสธทุกราย จนต้องร้องไห้กลับไปแม้ว่าเขาจะพยายามพูดแบบรักษาน้ำใจมากที่สุดแล้วก็ตาม ส่วนใหญ่คนที่หลงรักเสี่ยวหลงนั้นจะหลงรักที่ความเป็นมิตรของเขากับความหัวใจหล่อเป็นส่วนใหญ่

    แต่ถ้าจะพูด เสี่ยวหลงเป็นคนคลั่งรักกว่าอากิระ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ใช่คนขี้หึงแบบไม่มีเหตุมีผล เขาหึงแค่เฉพาะถ้าคนคนนั้นมันบังอาจจะมาลวนลามหรือออกตัวจีบอากิระจริง(ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าอากิระยังมีชีวิตอยู่ อันนี้จะเกิดขึ้นหากพวกเขาได้เจอกันแล้ว) ซึ่งถ้าอากิระรู้นี่คงได้แกล้งเสี่ยวหลงยกใหญ่แน่ ทว่าเสี่ยวหลงก็ไม่รู้หรอกว่าเขาแสดงมันออกมา

    อ๋อ ก่อนหน้านั้นเราเคยบอกว่า อากิระไม่สนใจเรื่องเสพสังวาสใช่มั้ย? ใช่ อากิระไม่สนจริง แต่ถ้าเสี่ยวหลงต้องการเขาสามารถให้ได้ เขาจะเป็นเริ่มเปิดให้เสี่ยวหลงก่อน โอ้ตรงนี้มาถึงจุดสำคัญล่ะ ตำแหน่ง Position ระหว่างพวกเขาสองคนที่เรายังไม่เคยบอกเลย และมันก็จะเป็น..

    ความ-ลับ อยู่แบบนี้ตลอดจร้าาาาา จ้างให้ฉันก็ไม่บอกหรอกโดยปกติคู่รักที่เป็นชายกับชาย หญิงกับหญิงที่เรียกว่า ยูริกับวาย จะต้องมีตำแหน่งรุก-รับ ใช่มั้ย? แต่ของฉันไม่มี(เปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเองจากเราเป็นฉันเฉย)ไม่มีบอก ถ้าคุณอยากให้พวกเขาสองคนเป็นตำแหน่งไหนก็ต้องจิ้นเอาเอง เพราะในที่นี้ทั้งสองคน ต่างอยู่ในตำแหน่งที่เป็นได้ทั้งสองโพ คือ ได้หมดทุกตำแหน่งรุก-รับ

    นั่นก็เพราะตัวละครทั้งสองคนนี้ต่างก็เป็นผู้ชายที่มีอดีตอันแสนเจ็บปวดกันทั้งคู่ ถ้าจะบอกว่าใครคนใดคนหนึ่งแกร่งหรือเหนือกว่าคนอื่นก็คงบอกได้ไม่เต็มปาก แม้อากิระจะบอกว่าเสี่ยวหลงแกร่งกว่าก็ตาม แต่ไม่ว่าจะยังไงทั้งสองก็มีสไตล์ความแข็งแกร่งที่โดดเด่นไม่แพ้กันเลย

    -คำขอจากคุณนักอ่านตาดำๆคนนี้ เรื่องที่เราต้องการจากไรต์มีอยู่สองเรื่อง คือ

    ข้อแรก คำสารภาพรัก คือทั้งเสี่ยวหลงและอากิระ ต่างก็เป็นคนที่ปากแข็งทั้งคู่ ทั้งๆที่รักอีกฝ่ายและเป็นห่วงอีกฝ่ายมากแค่ไหนก็ไม่เคยยอมเปิดเผยความรู้สึกที่อยู่ในใจออกมา ไม่เคยแม้แต่จะบอกคำว่า รัก ราวกับว่าคำคำนี้มันติดอยู่ค้ำคอพวกเขา แต่ก็ตรงนี้แหละเราต้องการให้ไรต์เขียนดึงมิตรภาพอันงดงาม และความเชื่อใจของทั้งสองที่คอยบรรเทาความเจ็บปวดให้อีกฝ่ายและร่วมทุกข์ร่วมสุขออกมาให้โดดเด่นที่สุด สร้างความสัมพันธ์จากศูนย์ไปถึงสิบ ถึงร้อย ค่อยพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป(แต่ไม่เอาความสัมพันธ์ทางกายจ้า ไม่เอาเลิฟซีน ให้ได้มากสุด แค่จุมพิตที่สัมผัสกับปากของอีกฝ่ายกับการตื่นขึ้นมาบนเตียงเดียวกัน)

    ส่วนข้อสอง อันนี้ง่ายกว่าข้อแรกหน่อย ให้เน้นที่รูปแบบสไตล์การต่อสู้ให้เยอะๆ อย่างอันนี้เลยที่เราแต่งกับตัวละครในนิยายเรา จิ้ม

    เขียนออกมาบรรยายเป็นภาพให้โหดที่สุดเท่าที่จะทำได้ และที่สำคัญเราอยากเห็นช่วงหลังๆหรือกลางเรื่อง จะดีมากหากเสี่ยวหลงกับอากิระร่วมสู้ด้วยกัน

    -เบื้องหลังการออกแบบ ตัวละครทั้งสองตัวอย่างเสี่ยวหลงกับอากิระนั้นถูกแต่งขึ้น ภายใต้กรอบที่ว่า “เราจะแต่งชายหนุ่มผู้มีใจรักชายหนุ่มอีกคนโดยที่ไม่มีเรื่องเพศมาเกี่ยวข้องได้อย่างไรโดยที่ทำให้ทุกคนอ่านแล้วรู้สึกสบายและรับรู้ได้ถึงความรักอันแสนงดงามของพวกเขา” ซึ่งมันค่อนข้างยุ่งยากมากกับฉากหวานๆ ที่เราจะใส่ความเกรียนเข้าไปเล็กน้อยเพื่อไม่ให้มันเลี่ยนจนเกินไป(มั้งนะ?)..ในตอนจบประวัติเสี่ยวหลง จริงๆมันจะมีการบรรยายความรู้สึกของเสี่ยวหลงตอนที่แบบได้เห็นคนหน้าเหมือนอากิระอีกครั้งด้วย แต่เนื่องจากขี้เกียจ เลยตัดจบแบบฮาร์ดคอดีกว่า ไปมโนกันต่อเอาเอง

    -[Last Station : อัญชัน] ตัวต่อไปต้องต่อที่อาทิตย์หน้าซึ่งคนคนนี้จะมาแนวโจ๊ก เพราะเนื่องจากสองตัวที่ส่งมาตอนนี้เรียกได้ว่าเค้นสมองควักออกมาเป็นเนื้อสดๆและด้นสดทั้งหมดล้วนๆเลย อีกตัวก็เลยต้องขอแบบเบาสมองหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สำคัญ เพราะถ้าคุณอ่านจากในประวัติเสี่ยวหลง อัญก็เป็นคนที่มีความสำคัญต่อเสี่ยวหลงอยู่พอควร อาจไม่มากเท่าอากิระ แต่ก็ไม่อาจปฎิเสธได้ว่าเธอเองก็เป็น MVP ของในกลุ่มตัวละครที่เราส่งด้วยเช่นกัน และใช่ที่สำคัญ มีความลับบางอย่างเกี่ยวกับเธอที่เราได้ทิ้งปมให้คุณไปลุ้นกันอีกในประวัติของเสี่ยวหลงด้วย ส่วนจะเป็นยังไงนั้นก็รอติดตามได้เลย

    ความสามารถอื่นเพิ่มเติม :

    -เก่งศิลปะการต่อสู้ อันนี้คือสุดยอดความสามารถที่โคตรโดดเด่นที่สุดในบรรดาความสามารถทั้งหมด เสี่ยวหลงเก่งวิชาแทบทุกอย่างที่เกี่ยวกับด้านนี้ ไม่ว่าจะเป็นเทควันโด(สายดำ) คาราเต้ จูโด ยูยิตสู มวยไท มวยปล้ำ มวยสากล คาโปเอร่า กังฟูจีน หมัดมวยไทเก็ก หย่งชุน จีทคุนโด้ และบลาๆๆอื่นๆอีกเพียบ แต่ที่ถนัดที่สุดคือแบบผสมผสาน MMA อย่างเช่นจีทคุนโด้ ที่เอาทุกอย่างรวมเข้าไว้ด้วยกัน ส่วนอาวุธนั้น เขาจะถนัดไปทางการใช้กระบองสองท่อนมากที่สุด

    สไตล์การต่อสู้ของเขา จริงๆแล้วสามารถพลิกแพลงได้เฉกเช่นเดียวกับอากิระ แต่การโจมตีของเสี่ยวหลงนั้นรุนแรงกว่าเพราะเขานั้นไม่เคยออมมือออมแรงให้ใคร ในขณะที่การตั้งรับของเขานั้นจะแข็งแกร่งดุจป้อมปราการจนคู่ต่อสู้แทบจะไม่สามารถบุกทะลวงเข้าไปได้ เขาจะต่อสู้แบบเปิดเผยมากกว่า ไม่ค่อยใช้เล่ห์มากนัก แต่หากให้ใช้ก็ย่อมได้ (นอกจากถ้าเป็นผู้หญิงอาจจะพอลดลงมาให้ระดับเท่ากับพวกเธอนิดหน่อย)จัดให้เต็มที่ อัดทีเดียวบางทีอาจไม่ตายแต่ต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเดือน แต่ก็ไม่ถึงขั้นป่าเถื่อนและไร้กฎเกณฑ์ตายตัวแบบอากิระ รวดเร็วและฉับไวจนคู่ต่อสู้แทบตั้งตัวไม่ทัน ยกเว้นกรณีที่คู่ต่อสู้เป็นหมาบ้าต่อให้ซัดยังไงก็ยังลุกขึ้นมาได้ เขาก็อาจจะเหนื่อยได้ถ้าสู้อยู่นานๆ

    นอกจากนี้ เสี่ยวหลงยังเป็นคนที่ประสาทสัมผัสไว ไม่จำเป็นต้องมองเขาก็สามารถรับกระบวนท่าของคุณที่พยายามจะเล่นงานตอนที่เขาเผลอได้ แม้แต่ตอนปิดตาต่อสู้กับคนเป็นสิบๆเขาก็ล้มคุณได้ทั้งหมดภายในชั่วเวลาอันสั้น

    ท่าต่อสู้ที่เสี่ยวหลงใช้บ่อยคือ หมัดหนึ่งนิ้ว

    สรุปง่ายๆคือ 

    สไตล์การต่อสู้ของอากิระนั้น จะเป็นสไตล์ที่ไร้กฎเกณฑ์ตายตัวและเป็นอิสระ

    สไตล์การต่อสู้ของเสี่ยวหลงนั้นจะมีกรอบเกณฑ์มากกว่า และใช่ งดงามกว่า

    แต่เหมือนกันตรงที่เน้นหนักไปที่หมัดเดียวจอด และจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

    -เก่งวิชาคำนวณ เพราะเสี่ยวหลงเกิดมาในครอบครัวคนจีนที่มีฐานะร่ำรวย เสี่ยวหลงจึงได้รับการอบรมสั่งสอนในด้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับวิชาธุรกิจและวิชาคณิตศาสตร์ การคำนวณ เขาสามารถท่องจำสูตรคูณได้ทั้ง 12 บทได้โดยพูดออกมาเพียงปากเปล่าไม่ต้องเปิดหนังสืออ่าน คิดเลขในใจแล้วตอบออกมาได้ในทันทีโดยที่ยังไม่ทันได้จับเวลา ไม่ต้องใช้เครื่องคิดเลขและการดีดลูกคิด แต่เขาเองก็ใช่ลูกคิดเป็นอยู่ แถมคล่องด้วยนะ

    -ความจำเป็นเลิศ อธิบายไปตรงช่วงนิสัยแล้วเลยขี้เกียจบอกมาก ไปย้อนดูเอา

    -ศิลปะจีน เสี่ยวหลงเคยเรียนวิชาการวาดภาพด้วยพู่กันจีนมาก่อน เขาก็เลยพอจะเขียนอักษรจีนหรือวาดภาพด้วยพู่กันได้ถ้าคุณหาอุปกรณ์ให้เขาวาดอ่ะนะ แต่เพราะไม่ได้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ ดังนั้นภาพที่ออกมาจึงแบบแค่สวยเฉยๆพอเอาไปประดับโชว์ได้ ไม่ได้อลังการจนต้องร้องว้าวแต่ก็ไม่ดูแย่ไปเลย

    -เคยทำงานหนัก เขาเคยทำงานพาร์ทไทม์ เป็นกรรมกรแบกของ เป็นพนักงานแคชเชียร์ในร้านสะดวกซื้อ เป็นเด็กเสิร์ฟ เด็กส่งจดหมาย เด็กล้างจาน และอื่นๆอีกมากมาย เลยทำให้สามารถทำงานหนักประเภทนี้ได้ และเรียนรู้จักที่จะเอาตัวรอดด้วยตัวเองได้ แม้ว่าที่บ้านพ่อแม่บุญธรรมจะมีคนรับใช้ในบ้านก็ยังเลือกที่จะทำเองอยู่ดี ล้างจานก็เป็น ทำงานบ้านก็เป็น ส่วนอาหารก็พอทำกินได้ แต่ไม่ใช่ระดับดาวมิชลินสตาร์

    -ขับรถเป็น มีใบขับขี่แล้ว เป็นคนหัวเย็นกว่าอากิระ ความอดทนสูงกว่าเยอะ ก็เลยปลงกับรถติดเป็นขบวนแห่มังกรจีนได้ ดีกว่าอีกคนที่เอะอะไรต้องบีบแตรทุกทีแล้วร้อง"เฮ้ย!!เมื่อไหร่จะไปว่ะ!!"

    -พูดได้สามภาษา ภาษาจีน ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ พูดได้คล่องป๋อและฟังออกหมดทุกคำ

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×