ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) OH! YES KAIHUN | Dusk Till Dawn

    ลำดับตอนที่ #33 : nanni122 ✥ | HELP

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 518
      0
      14 ก.พ. 59

    HELP


     

     

     

                “ที่เราเห็นอยู่นี้ ไม่ใช่บ้านนะคะ ที่นี่ คือ ตำหนักเทพ หรือถ้าจะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ ที่นี่เป็นสำนักของร่างทรงที่ทำหน้าที่ติดต่อกับวิญญาณ ทำพิธีเซ่นไหว้เพื่อของให้เทพช่วยปกปักษ์คุ้มครองพวกเรา ส่วนใหญ่ร่างทรงมักจะเป็นผู้หญิง อย่างในเรื่องจูมงที่มีธิดาเทพน่ะค่ะ แต่ร่างทรงท่านนี้เป็นร่างทรงผู้ชายหนึ่งในไม่กี่คนที่มีอยู่ในปัจจุบันค่ะ ในเมื่อท่านเป็นผู้ชาย พวกเราเลยเรียกท่านว่า บุตรแห่งเทพ แทนค่ะ”

     

                เสียงไกด์สาวผู้พาเดินชมสถานที่เล่าถึงประวัติความเป็นมาของสิ่งก่อสร้างสไตล์เกาหลีโบราณที่อยู่ตรงหน้า            ตัวอาคารเป็นรูปทรงแปดเหลี่ยมยกสูงจากพื้น รอบ ๆ อาคารมีระเบียงไม้สามารถเดินได้รอบ บริเวณตำหนักมีต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบให้บรรยากาศร่มครึ้มเย็นสบาย อันที่จริงทางตำหนักเองก็มีกำแพงปูนที่มีความสูงพอประมาณกั้นอยู่ แต่คุณไกด์ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ท่านร่างทรงที่เป็นเจ้าของอนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้ามาชมความงามได้ เพียงแต่ไม่สามารถเข้าไปชมภายในตัวอาคารได้

                ผมเป็นนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่อาจารย์ประจำวิชาสถาปัตยกรรมเกาหลีพามาทัศนศึกษารูปแบบสถาปัตยกรรมของเมืองเก่าถึงจังหวัดคังวอน พวกเราเดินตามไกด์สาวลัดเลาะชมหมู่บ้านเก่าแก่จนกระทั่งมาถึงตำหนักเทพแห่งนี้ ผมเดินดูรอบ ๆ ด้วยความสนใจเพราะตำหนักนี้มีรูปแบบที่ต่างจากบ้านเรือนที่คนทั่วไปอาศัยอยู่ มือก็ง่วนอยู่กับการสเกตภาพตำหนักเทพลงในสมุดบันทึกส่วนตัว

     

                “ชอบที่นี่มั้ยคะ” ผมเงยหน้าขึ้นก็พบกับคุณไกด์ที่เดินยิ้มเข้ามาทำให้ผมต้องยิ้มตอบกลับไป

                “ชอบนะครับ บรรยากาศก็ดี ตัวตึกก็สวยจนน่าอิจฉาเลย”

                “พูดขนาดนี้ถ้าให้มาอยู่ที่นี่ คุณคงจะยอมมาอยู่แน่ ๆ เลย” เธอพูดกลั้วหัวเราะเป็นเชิงหยอก

                “ถ้าให้มาอยู่ฟรีผมก็มานะครับ ได้เดินชมเมืองสวย ๆ  ทุกวันเลย” ผมตอบกลับยิ้ม ๆ

     

                ระหว่างที่เรากำลังสนทนากัน รถยนต์คันใหญ่สีดำสนิทก็แล่นตรงเข้ามาจอดบริเวณหน้าตำหนัก ผมกับคุณไกด์จึงถอยหลังออกมายืนอย่างสุภาพเมื่อเธอแอบกระซิบว่านี่เป็นรถประจำตัวของท่านเจ้าของสถานที่

                ผมหลุบตาลงอย่างสำรวม แต่ก็อดจะแอบมองเจ้าของตำหนักที่ได้ชื่อว่าเป็นบุตรแห่งเทพด้วยความสนใจไม่ได้ ภาพที่เห็นเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดฮันบกสีขาวล้วนกำลังก้าวลงมาจากรถ คะเนจากหน้าตาน่าจะอยู่ในช่วงอายุราว  30-40 ปี ทำให้ผมอดแปลกใจไม่ได้เมื่อคิดว่าร่างทรงน่าจะต้องเป็นคนแก่ ๆ ซึ่งต่างจากคนตรงหน้าค่อนข้างมากทีเดียว ผมมองเพลินจนกระทั่งบุตรแห่งเทพหันมาทางผมจนต้องก้มหลบสายตา แม้จะสบสายตากันเพียงนิดเดียว แต่ก็รู้สึกถึงความน่าเกรงขามจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นรัว

                ทันใดนั้นผมก็รู้สึกหนาววาบจนขนลุก ทั้ง ๆ ที่รอบตัวมีเพียงต้นไม้ใหญ่ยืนต้นตระหง่านอยู่เพียงเท่านั้น ไม่มีแม้แต่ห้องที่ติดเครื่องปรับอากาศอยู่ใกล้พอที่จะให้คิดได้ว่าเป็นไอเย็นที่เล็ดรอดออกมา ผมกวาดตามองรอบตัวอีกครั้งเมื่อท่านบุตรแห่งเทพได้เข้าตำหนักไปเรียบร้อยแล้ว

                “เมื่อกี๊เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ ทำไมอยู่ ๆ ก็เหมือนมีลมหนาววูบขึ้นมา” ผมหันไปถามคุณไกด์ที่ยืนอยู่ด้วยกัน แต่กลับได้รับสายตางุนงงกลับมา

                “หือ?? ไม่นี่คะ อากาศก็ปกตินี่ ฉันรู้สึกร้อนด้วยซ้ำไป”

                “จริง ๆ นะครับ เนี่ย ผมยังขนลุกอยู่เลย” ผมยื่นแขนที่ขึ้นเป็นตุ่มเล็ก ๆ เต็มสองแขนจากอาการหนาวเมื่อครู่ให้ดู

                “คุณจะเป็นไข้หรือเปล่าเลยครั่นเนื้อครั่นตัว คืนนี้กลับไปทานยาดักเอาไว้ก่อนก็ดีนะคะ”

                ถึงจะเป็นการคาดคะเนที่ผมไม่สู้จะเห็นด้วยเท่าไรนัก แต่ก็ดูมีความเป็นไปได้มากที่สุดแล้ว ผมจึงพยักหน้าเออออตามเธอแล้วชวนให้เดินไปสมทบกับคนอื่นที่รวมตัวกันอยู่ด้านนอก

     

     

    ***********************************************

     

     

                ความรู้สึกประหลาดบางอย่างทำให้ผมต้องละมือจากกระดานเขียนแบบตรงหน้าหันกลับไปมองทางด้านหลังของตัวเองอีกครั้ง

                ใช่...อีกครั้ง

                เพราะนี่เป็นครั้งที่ 3 แล้วที่ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังจ้องมองผมอยู่ แต่ทุกครั้งที่หันไปก็พบเพียงผนังว่างเปล่า ผมกรอกสายตามองไปรอบห้องที่มีเพียงช่องหน้าต่างบานเล็กอยู่เหนือโต๊ะทำงานที่ผมกำลังนั่งอยู่ ด้านหลังเป็นเพียงผนังกับบานประตูที่ปิดสนิทเท่านั้น

                ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พยายามกล่อมตัวเองว่าเป็นแค่เรื่องที่คิดไปเองเท่านั้น ยังมีงานเขียนแบบที่ต้องส่งภายในมะรืนนี้และถ้าทำไม่เสร็จอาจจะมีสิ่งที่น่ากลัวกว่านี้รออยู่ก็เป็นได้ เมื่อผมหันกลับมาเพื่อจะทำงานต่อไฟในห้องก็ดับวูบลง

                “เฮ้ยยยย ให้มันได้อย่างนี้สิวะ งานก็ยังไม่เสร็จ มึงจะมาไฟเสียอะไรกันตอนนี้ ไม่ทง ไม่ทำแม่งละ ห่า!!

                ได้แต่ก่นด่าและโยนดินสอเขียนแบบลงบนโต๊ะด้วยความหงุดหงิด เอื้อมไปหยิบมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะมาเปิดโหมดไฟฉายแก้ขัดจะได้ไม่เดินชนอะไรให้เจ็บตัวเล่น ระหว่างที่ผมหันออกจากโต๊ะเพื่อเดินไปที่เตียงนอนปลายหางตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่เหมือนคนยืนอยู่ที่ข้างประตู ผมสะดุ้งรีบหันไฟฉายไปทางด้านนั้นแต่ก็ไม่เจออะไร เพราะผมไม่ใช่คนขี้กลัวและไม่ได้เชื่อเรื่องลี้ลับอะไรมากมายนัก ผมจึงเพียงแค่ถอนใจออกมาอีกครั้งให้กับอาการตาฝาดของตัวเองแล้วเดินไปทิ้งตัวลงนอน

    .

    .

    .

                ผมลืมตาขึ้นมาเพราะรู้สึกอึดอัดเหมือนถูกพันธนาการไว้ด้วยอะไรสักอย่างจนขยับตัวไม่ได้ ผมพยายามดิ้นให้หลุดออกจากสิ่งที่รัดตัวอยู่ เหงื่อกาฬพรั่งพรูออกมาจนชุ่มไปทั้งตัว แต่ทว่า...ท่ามกลางความมืดนั้นผมก็รู้สึกถึงลมแผ่ว ๆ และเสียงแหบพร่าที่ดังอยู่ข้าง ๆ หู

                “แก...ไม่มีทาง...หนีพ้นหรอก”

     

                เฮือก!!

                ผมสะดุ้งลืมตาโพลงขึ้นมาพบกับแสงสว่างจากหลอดไฟกลางห้อง เสียงหอบหายใจปะปนกับเสียงหัวใจที่เต้นระรัว สายตามองไปรอบ ๆ ไม่มีสิ่งผิดปกติใด ๆ นอกเสียจากผ้าห่มนวมที่ม้วนตัวผมไว้จนแทบจะขยับไม่ได้ ผมทิ้งหัวลงกับหมอนอย่างเหนื่อยอ่อนทบทวนความฝันที่เกิดขึ้น สรุปกับตัวเองว่าที่ฝันร้ายก็เพราะโดนม้วนไว้ในผ้าห่มสินะ ผมยิ้มออกมาได้ก่อนจะค่อย ๆ คลายตัวออกมาจากผ้านวมผืนใหญ่ ยันตัวลุกขึ้นนั่งช้า ๆ เพราะยังรู้สึกเหนื่อยกับความฝันที่เพิ่งจบไปหมาด ๆ ผมคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูนาฬิกา

                04 : 04

                เวลาดีซะด้วย นี่ถ้าจะถูกผีหลอกก็ไม่แปลกใจละ ผมคิดในใจขำ ๆ กับความเชื่อของเกาหลีที่เชื่อว่าเลข 4 เป็นเลขอัปมงคลเพราะออกเสียงเหมือนคำว่าตาย ผมไม่ได้ลบหลู่ความเชื่อใด ๆ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับหวาดกลัวอะไรและมองว่าเป็นแค่ตัวเลขธรรมดาตัวหนึ่งเท่านั้น

                ผมขยับลงจากเตียงเพื่อจะทำงานที่ค้างไว้ต่อ เนื่องจากตอนนี้ตื่นเต็มตาจากฝันร้ายเมื่อสักครู่ ผมไม่ได้สนใจอะไรไปมากกว่างานตรงหน้าจนลืมนึกไปว่าหลอดไฟที่ดับไปก่อนจะเข้านอนตอนนี้กลับมาใช้ได้เป็นปกติแล้ว

     

     

    ***********************************************

     

     

                “เซฮุน ทำไมช่วงนี้มึงดูโทรมจังวะ” เสียงแบคฮยอนถามผมที่กำลังนั่งฟุบหน้าลงกับโต๊ะแบบหมดสภาพ

                “จะไม่โทรมได้ไงล่ะ ไอ้ห่า กูแม่ง ฝันร้ายทุกคืน แต่ละคืนก็โคตรน่ากลัว กูจะนอนไม่พออยู่แล้ว งานก็ต้องทำส่ง” พอพูดแล้วก็ขึ้น ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมฝันร้ายเพราะโดนผ้าห่มพันตัว ผมก็ฝันร้ายติดต่อกันมาตลอด บางวันก็เหมือนโดนรัดแน่น ๆ ตรงช่วงอก บางวันก็เหมือนมีคนมานั่งทับ แต่ทุกครั้งผมจะต้องรู้สึกตัวตื่นด้วยประโยคที่ว่า

     

                แก...ไม่มีทาง...หนีพ้นหรอก

     

                ถึงผมจะไม่ใช่คนขี้กลัว แต่เจอแบบนี้ทุกวันมันก็จิตตกได้เหมือนกัน ไม่นับว่าการฝันทำให้นอนหลับไม่สนิทจนตอนนี้ผมใกล้เคียงกับซอมบี้มากขึ้นทุกที

                “มึงโดนผีอำรึเปล่าวะ” ผมส่ายหน้าให้กับคำถามของแบคฮยอน

                “ไม่หรอกมั้ง ช่วงนี้กูคงเหนื่อยและเครียดมากกว่า”

                “แต่กูว่ามันแปลก ๆ นะ มึงไม่ลองไปหาพวกร่างทรงดูบ้างละ” แบคฮยอนแนะนำซึ่งผมได้แต่ส่ายหัวรัว ๆ

                “กูไม่ได้เชื่ออะไรพวกนี้เปล่าวะ”

                “แต่กูว่าลองดูก็ไม่เสียหายนะ มึงจำตำหนักเทพที่เราเคยไปได้ป่ะ? มึงไม่ลองไปปรึกษาท่านบุตรแห่งเทพดูละ” แบคฮยอนพูดขำ ๆ แต่ผมไม่รู้สึกขำด้วยสักนิด

                “ไม่เอาเว้ย ใครจะไป”

     

                คืนนั้นหลังจากแยกกับแบคฮยอน ผมก็ตรงกลับหอเพราะเมื่อคืนปั่นงานจนแทบจะไม่ได้นอน หลังจากอาบน้ำอาบท่าจนรู้สึกสบายตัว ผมก็ล้มตัวลงนอน

                “ดูซิว่าคืนนี้ใครจะแน่กว่ากัน กูหรือความฝันบ้า ๆ นี่”

    .

    .

    .

                ผมนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง ความรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างคืบคลานขึ้นมาบนตัว ผมพยายามฝืนเปิดดวงตาขึ้นมอง ก็พบเพียงเงาดำที่กำลังเลื้อยสูงขึ้นมาตามตัวของผมอย่างช้า ๆ ผมพยายามขยับตัวแต่ก็ทำไม่ได้อย่างที่ใจต้องการ ร่างกายเหมือนไม่อยู่ในการควบคุมของสมองอีกต่อไป สุดท้ายเงาดำนั้นก็คืบคลานมาจนถึงใบหน้าพร้อมความรู้สึกเหมือนโดนบีบคอด้วยแรงมหาศาล ผมดิ้นพล่านพยายามกระเสือกกระสนให้พ้นจากความทรมาน หูแว่วเสียงแหบพร่าที่ได้ยินจนคุ้นชิน

                “อย่า...ท้าทาย...ถ้ามึงยังไม่อยากตาย”

     

                ผมผุดลุกขึ้นนั่งหอบหายใจอยู่บนเตียง เสียงหายใจดังประสานกับสียงหัวใจที่เต้นรัวอยู่ในอก คราวนี้มันต่างกับทุกครั้ง คราวนี้มันเหมือนจริงกว่าทุกครั้ง ผมเหงื่อแตกทั้ง ๆ ที่อุณหภูมิในห้องเย็นเฉียบ พอตั้งสติได้ผมก็ลุกขึ้นจากเตียง ตั้งใจจะเดินไปล้างหน้าล้างตาให้รู้สึกดีขึ้น แต่พอผมเห็นเงาของตัวเองในกระจกก็ต้องตกใจสุดขีด

                รอบลำคอของผมมีรอยนิ้วสีแดงก่ำปรากฏอยู่ !!

                ผมมือไม้สั่นรีบวิ่งพรวดพราดออกมาคว้าโทรศัพท์มือถือที่วางไว้บนเตียงมากดโทรออกถึงใครบางคน

     

                “แบคฮยอน พรุ่งนี้มึงต้องไปตำหนักเทพกับกูนะ กูขอร้อง”

     

     

    ***********************************************

     

    M
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×