คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #33 : nanni122 ✥ | HELP
HELP
“ที่เราเห็นอยู่นี้
ไม่ใช่บ้านนะคะ ที่นี่ คือ ตำหนักเทพ หรือถ้าจะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ
ที่นี่เป็นสำนักของร่างทรงที่ทำหน้าที่ติดต่อกับวิญญาณ
ทำพิธีเซ่นไหว้เพื่อของให้เทพช่วยปกปักษ์คุ้มครองพวกเรา
ส่วนใหญ่ร่างทรงมักจะเป็นผู้หญิง อย่างในเรื่องจูมงที่มีธิดาเทพน่ะค่ะ แต่ร่างทรงท่านนี้เป็นร่างทรงผู้ชายหนึ่งในไม่กี่คนที่มีอยู่ในปัจจุบันค่ะ
ในเมื่อท่านเป็นผู้ชาย พวกเราเลยเรียกท่านว่า ‘บุตรแห่งเทพ’ แทนค่ะ”
เสียงไกด์สาวผู้พาเดินชมสถานที่เล่าถึงประวัติความเป็นมาของสิ่งก่อสร้างสไตล์เกาหลีโบราณที่อยู่ตรงหน้า ตัวอาคารเป็นรูปทรงแปดเหลี่ยมยกสูงจากพื้น
รอบ ๆ อาคารมีระเบียงไม้สามารถเดินได้รอบ
บริเวณตำหนักมีต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบให้บรรยากาศร่มครึ้มเย็นสบาย
อันที่จริงทางตำหนักเองก็มีกำแพงปูนที่มีความสูงพอประมาณกั้นอยู่
แต่คุณไกด์ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ท่านร่างทรงที่เป็นเจ้าของอนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้ามาชมความงามได้
เพียงแต่ไม่สามารถเข้าไปชมภายในตัวอาคารได้
ผมเป็นนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่อาจารย์ประจำวิชาสถาปัตยกรรมเกาหลีพามาทัศนศึกษารูปแบบสถาปัตยกรรมของเมืองเก่าถึงจังหวัดคังวอน
พวกเราเดินตามไกด์สาวลัดเลาะชมหมู่บ้านเก่าแก่จนกระทั่งมาถึงตำหนักเทพแห่งนี้
ผมเดินดูรอบ ๆ ด้วยความสนใจเพราะตำหนักนี้มีรูปแบบที่ต่างจากบ้านเรือนที่คนทั่วไปอาศัยอยู่
มือก็ง่วนอยู่กับการสเกตภาพตำหนักเทพลงในสมุดบันทึกส่วนตัว
“ชอบที่นี่มั้ยคะ” ผมเงยหน้าขึ้นก็พบกับคุณไกด์ที่เดินยิ้มเข้ามาทำให้ผมต้องยิ้มตอบกลับไป
“ชอบนะครับ
บรรยากาศก็ดี ตัวตึกก็สวยจนน่าอิจฉาเลย”
“พูดขนาดนี้ถ้าให้มาอยู่ที่นี่
คุณคงจะยอมมาอยู่แน่ ๆ เลย” เธอพูดกลั้วหัวเราะเป็นเชิงหยอก
“ถ้าให้มาอยู่ฟรีผมก็มานะครับ
ได้เดินชมเมืองสวย ๆ ทุกวันเลย”
ผมตอบกลับยิ้ม ๆ
ระหว่างที่เรากำลังสนทนากัน
รถยนต์คันใหญ่สีดำสนิทก็แล่นตรงเข้ามาจอดบริเวณหน้าตำหนัก ผมกับคุณไกด์จึงถอยหลังออกมายืนอย่างสุภาพเมื่อเธอแอบกระซิบว่านี่เป็นรถประจำตัวของท่านเจ้าของสถานที่
ผมหลุบตาลงอย่างสำรวม
แต่ก็อดจะแอบมองเจ้าของตำหนักที่ได้ชื่อว่าเป็นบุตรแห่งเทพด้วยความสนใจไม่ได้
ภาพที่เห็นเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดฮันบกสีขาวล้วนกำลังก้าวลงมาจากรถ คะเนจากหน้าตาน่าจะอยู่ในช่วงอายุราว
30-40 ปี
ทำให้ผมอดแปลกใจไม่ได้เมื่อคิดว่าร่างทรงน่าจะต้องเป็นคนแก่ ๆ ซึ่งต่างจากคนตรงหน้าค่อนข้างมากทีเดียว
ผมมองเพลินจนกระทั่งบุตรแห่งเทพหันมาทางผมจนต้องก้มหลบสายตา แม้จะสบสายตากันเพียงนิดเดียว
แต่ก็รู้สึกถึงความน่าเกรงขามจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นรัว
ทันใดนั้นผมก็รู้สึกหนาววาบจนขนลุก
ทั้ง ๆ ที่รอบตัวมีเพียงต้นไม้ใหญ่ยืนต้นตระหง่านอยู่เพียงเท่านั้น ไม่มีแม้แต่ห้องที่ติดเครื่องปรับอากาศอยู่ใกล้พอที่จะให้คิดได้ว่าเป็นไอเย็นที่เล็ดรอดออกมา
ผมกวาดตามองรอบตัวอีกครั้งเมื่อท่านบุตรแห่งเทพได้เข้าตำหนักไปเรียบร้อยแล้ว
“เมื่อกี๊เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ
ทำไมอยู่ ๆ ก็เหมือนมีลมหนาววูบขึ้นมา” ผมหันไปถามคุณไกด์ที่ยืนอยู่ด้วยกัน
แต่กลับได้รับสายตางุนงงกลับมา
“หือ?? ไม่นี่คะ
อากาศก็ปกตินี่ ฉันรู้สึกร้อนด้วยซ้ำไป”
“จริง ๆ นะครับ
เนี่ย ผมยังขนลุกอยู่เลย” ผมยื่นแขนที่ขึ้นเป็นตุ่มเล็ก ๆ
เต็มสองแขนจากอาการหนาวเมื่อครู่ให้ดู
“คุณจะเป็นไข้หรือเปล่าเลยครั่นเนื้อครั่นตัว
คืนนี้กลับไปทานยาดักเอาไว้ก่อนก็ดีนะคะ”
ถึงจะเป็นการคาดคะเนที่ผมไม่สู้จะเห็นด้วยเท่าไรนัก
แต่ก็ดูมีความเป็นไปได้มากที่สุดแล้ว ผมจึงพยักหน้าเออออตามเธอแล้วชวนให้เดินไปสมทบกับคนอื่นที่รวมตัวกันอยู่ด้านนอก
***********************************************
ความรู้สึกประหลาดบางอย่างทำให้ผมต้องละมือจากกระดานเขียนแบบตรงหน้าหันกลับไปมองทางด้านหลังของตัวเองอีกครั้ง
ใช่...อีกครั้ง
เพราะนี่เป็นครั้งที่
3 แล้วที่ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังจ้องมองผมอยู่
แต่ทุกครั้งที่หันไปก็พบเพียงผนังว่างเปล่า ผมกรอกสายตามองไปรอบห้องที่มีเพียงช่องหน้าต่างบานเล็กอยู่เหนือโต๊ะทำงานที่ผมกำลังนั่งอยู่
ด้านหลังเป็นเพียงผนังกับบานประตูที่ปิดสนิทเท่านั้น
ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
พยายามกล่อมตัวเองว่าเป็นแค่เรื่องที่คิดไปเองเท่านั้น ยังมีงานเขียนแบบที่ต้องส่งภายในมะรืนนี้และถ้าทำไม่เสร็จอาจจะมีสิ่งที่น่ากลัวกว่านี้รออยู่ก็เป็นได้
เมื่อผมหันกลับมาเพื่อจะทำงานต่อไฟในห้องก็ดับวูบลง
“เฮ้ยยยย
ให้มันได้อย่างนี้สิวะ งานก็ยังไม่เสร็จ มึงจะมาไฟเสียอะไรกันตอนนี้ ไม่ทง
ไม่ทำแม่งละ ห่า!!”
ได้แต่ก่นด่าและโยนดินสอเขียนแบบลงบนโต๊ะด้วยความหงุดหงิด
เอื้อมไปหยิบมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะมาเปิดโหมดไฟฉายแก้ขัดจะได้ไม่เดินชนอะไรให้เจ็บตัวเล่น
ระหว่างที่ผมหันออกจากโต๊ะเพื่อเดินไปที่เตียงนอนปลายหางตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่เหมือนคนยืนอยู่ที่ข้างประตู
ผมสะดุ้งรีบหันไฟฉายไปทางด้านนั้นแต่ก็ไม่เจออะไร เพราะผมไม่ใช่คนขี้กลัวและไม่ได้เชื่อเรื่องลี้ลับอะไรมากมายนัก
ผมจึงเพียงแค่ถอนใจออกมาอีกครั้งให้กับอาการตาฝาดของตัวเองแล้วเดินไปทิ้งตัวลงนอน
.
.
.
ผมลืมตาขึ้นมาเพราะรู้สึกอึดอัดเหมือนถูกพันธนาการไว้ด้วยอะไรสักอย่างจนขยับตัวไม่ได้
ผมพยายามดิ้นให้หลุดออกจากสิ่งที่รัดตัวอยู่ เหงื่อกาฬพรั่งพรูออกมาจนชุ่มไปทั้งตัว
แต่ทว่า...ท่ามกลางความมืดนั้นผมก็รู้สึกถึงลมแผ่ว ๆ
และเสียงแหบพร่าที่ดังอยู่ข้าง ๆ หู
“แก...ไม่มีทาง...หนีพ้นหรอก”
เฮือก!!
ผมสะดุ้งลืมตาโพลงขึ้นมาพบกับแสงสว่างจากหลอดไฟกลางห้อง
เสียงหอบหายใจปะปนกับเสียงหัวใจที่เต้นระรัว สายตามองไปรอบ ๆ ไม่มีสิ่งผิดปกติใด ๆ
นอกเสียจากผ้าห่มนวมที่ม้วนตัวผมไว้จนแทบจะขยับไม่ได้
ผมทิ้งหัวลงกับหมอนอย่างเหนื่อยอ่อนทบทวนความฝันที่เกิดขึ้น สรุปกับตัวเองว่าที่ฝันร้ายก็เพราะโดนม้วนไว้ในผ้าห่มสินะ
ผมยิ้มออกมาได้ก่อนจะค่อย ๆ คลายตัวออกมาจากผ้านวมผืนใหญ่ ยันตัวลุกขึ้นนั่งช้า ๆ
เพราะยังรู้สึกเหนื่อยกับความฝันที่เพิ่งจบไปหมาด ๆ
ผมคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูนาฬิกา
04 : 04
เวลาดีซะด้วย
นี่ถ้าจะถูกผีหลอกก็ไม่แปลกใจละ ผมคิดในใจขำ ๆ กับความเชื่อของเกาหลีที่เชื่อว่าเลข
4 เป็นเลขอัปมงคลเพราะออกเสียงเหมือนคำว่าตาย ผมไม่ได้ลบหลู่ความเชื่อใด ๆ
แต่ก็ไม่ได้ถึงกับหวาดกลัวอะไรและมองว่าเป็นแค่ตัวเลขธรรมดาตัวหนึ่งเท่านั้น
ผมขยับลงจากเตียงเพื่อจะทำงานที่ค้างไว้ต่อ
เนื่องจากตอนนี้ตื่นเต็มตาจากฝันร้ายเมื่อสักครู่
ผมไม่ได้สนใจอะไรไปมากกว่างานตรงหน้าจนลืมนึกไปว่าหลอดไฟที่ดับไปก่อนจะเข้านอนตอนนี้กลับมาใช้ได้เป็นปกติแล้ว
***********************************************
“เซฮุน
ทำไมช่วงนี้มึงดูโทรมจังวะ”
เสียงแบคฮยอนถามผมที่กำลังนั่งฟุบหน้าลงกับโต๊ะแบบหมดสภาพ
“จะไม่โทรมได้ไงล่ะ
ไอ้ห่า กูแม่ง ฝันร้ายทุกคืน แต่ละคืนก็โคตรน่ากลัว กูจะนอนไม่พออยู่แล้ว
งานก็ต้องทำส่ง” พอพูดแล้วก็ขึ้น ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมฝันร้ายเพราะโดนผ้าห่มพันตัว
ผมก็ฝันร้ายติดต่อกันมาตลอด บางวันก็เหมือนโดนรัดแน่น ๆ ตรงช่วงอก
บางวันก็เหมือนมีคนมานั่งทับ แต่ทุกครั้งผมจะต้องรู้สึกตัวตื่นด้วยประโยคที่ว่า
‘แก...ไม่มีทาง...หนีพ้นหรอก’
ถึงผมจะไม่ใช่คนขี้กลัว
แต่เจอแบบนี้ทุกวันมันก็จิตตกได้เหมือนกัน
ไม่นับว่าการฝันทำให้นอนหลับไม่สนิทจนตอนนี้ผมใกล้เคียงกับซอมบี้มากขึ้นทุกที
“มึงโดนผีอำรึเปล่าวะ”
ผมส่ายหน้าให้กับคำถามของแบคฮยอน
“ไม่หรอกมั้ง
ช่วงนี้กูคงเหนื่อยและเครียดมากกว่า”
“แต่กูว่ามันแปลก ๆ
นะ มึงไม่ลองไปหาพวกร่างทรงดูบ้างละ” แบคฮยอนแนะนำซึ่งผมได้แต่ส่ายหัวรัว ๆ
“กูไม่ได้เชื่ออะไรพวกนี้เปล่าวะ”
“แต่กูว่าลองดูก็ไม่เสียหายนะ
มึงจำตำหนักเทพที่เราเคยไปได้ป่ะ? มึงไม่ลองไปปรึกษาท่านบุตรแห่งเทพดูละ”
แบคฮยอนพูดขำ ๆ แต่ผมไม่รู้สึกขำด้วยสักนิด
“ไม่เอาเว้ย
ใครจะไป”
คืนนั้นหลังจากแยกกับแบคฮยอน
ผมก็ตรงกลับหอเพราะเมื่อคืนปั่นงานจนแทบจะไม่ได้นอน
หลังจากอาบน้ำอาบท่าจนรู้สึกสบายตัว ผมก็ล้มตัวลงนอน
“ดูซิว่าคืนนี้ใครจะแน่กว่ากัน
กูหรือความฝันบ้า ๆ นี่”
.
.
.
ผมนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง
ความรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างคืบคลานขึ้นมาบนตัว ผมพยายามฝืนเปิดดวงตาขึ้นมอง
ก็พบเพียงเงาดำที่กำลังเลื้อยสูงขึ้นมาตามตัวของผมอย่างช้า ๆ
ผมพยายามขยับตัวแต่ก็ทำไม่ได้อย่างที่ใจต้องการ
ร่างกายเหมือนไม่อยู่ในการควบคุมของสมองอีกต่อไป สุดท้ายเงาดำนั้นก็คืบคลานมาจนถึงใบหน้าพร้อมความรู้สึกเหมือนโดนบีบคอด้วยแรงมหาศาล
ผมดิ้นพล่านพยายามกระเสือกกระสนให้พ้นจากความทรมาน
หูแว่วเสียงแหบพร่าที่ได้ยินจนคุ้นชิน
“อย่า...ท้าทาย...ถ้ามึงยังไม่อยากตาย”
ผมผุดลุกขึ้นนั่งหอบหายใจอยู่บนเตียง
เสียงหายใจดังประสานกับสียงหัวใจที่เต้นรัวอยู่ในอก คราวนี้มันต่างกับทุกครั้ง
คราวนี้มันเหมือนจริงกว่าทุกครั้ง ผมเหงื่อแตกทั้ง ๆ ที่อุณหภูมิในห้องเย็นเฉียบ
พอตั้งสติได้ผมก็ลุกขึ้นจากเตียง ตั้งใจจะเดินไปล้างหน้าล้างตาให้รู้สึกดีขึ้น
แต่พอผมเห็นเงาของตัวเองในกระจกก็ต้องตกใจสุดขีด
รอบลำคอของผมมีรอยนิ้วสีแดงก่ำปรากฏอยู่ !!
ผมมือไม้สั่นรีบวิ่งพรวดพราดออกมาคว้าโทรศัพท์มือถือที่วางไว้บนเตียงมากดโทรออกถึงใครบางคน
“แบคฮยอน
พรุ่งนี้มึงต้องไปตำหนักเทพกับกูนะ กูขอร้อง”
***********************************************
M
ความคิดเห็น