ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (SF/OS) #OHARHAFIC | CHANBAEK SEKAI

    ลำดับตอนที่ #19 : ▽ baekyeol | A SECRETARY (2/3)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.54K
      14
      8 เม.ย. 60

     

     

     

     

    A SECRETARY

    BYUNBAEKHYUN l PARKCHANYEOL

    - OHARHA -

     

     

     

     

     

    ( 2 / 3 )

     

     

     

     

     

    เสียงนาฬิกาปลุก...

     

     

    เขาลืมตาตื่นขึ้นในตอนเช้า เห็นเพดานสีขาว แสงแดดที่ลอดผ่านผืนผ้าม่าน กลิ่นน้ำหอมปรับอากาศอ่อนๆ มือใหญ่สอดเข้าใต้หมอนโดยอัตโนมัติเพื่อควานหาต้นเสียงเมื่อสักครู่นี้ จอโทรศัพท์มือถือยังเป็นสีดำมืด ไม่มีหน้าเสียงเตือนหรือเวลาปรากฎขึ้นแต่อย่างใด ครั้นกดปลดล็อก คิ้วสองข้างของปาร์คชานยอลก็ยิ่งขมวดมุ่นเมื่อพบว่ายังเหลืออีกตั้งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาตื่นจริง

     

     

    “...”

     

     

    หลอนไปเองหรือนี่...

     

     

    ชายหนุ่มถอนหายใจ วางท่อนแขนก่ายหน้าผากขณะหลับตาลงอีกครั้งเพื่อทดแทนอาการมึนงงจากการนอนไม่พอ เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาทำไมกัน เพราะตื่นเต้นกับการประชุมวันนี้ในฐานะพนักงานใหม่หรือเป็นเพราะเรื่องเมื่อคืน... คนคนนั้นมีผลกระทบอะไรในชีวิตเขากัน ต่อให้บยอนแบคฮยอนจะแก้ผ้าเต้นแร้งเต้นกากลางเมือง ทั้งหมดก็ไม่ใช่สิ่งที่ปาร์คชานยอลจะต้องเก็บมาทรมานตัวเองแต่อย่างใด

     

     

    ท้ายแล้วชานยอลก็ตัดสินใจเข้าบริษัทก่อนเวลาทั้งอย่างนั้น แก้วกาแฟร้อนแบบเทคอเวย์ถูกวางลงกับโต๊ะ ไหนๆ ก็มีเวลาสำหรับวันนี้เพิ่มขึ้นมานิดหน่อยแล้ว การยอมใช้มันไปกับเรื่องที่เตรียมจะพูดในการประชุมก็ไม่เลว ถ้าเขาทำได้ดีสักหน่อย การเปิดตัวในฐานะพนักงานฝ่ายการตลาดก็คงจะรุ่งตามไปด้วย

     

     

    แต่พออยู่ในช่วงอารมณ์กดดันแล้ว เวลาที่กลัวที่สุดก็มาถึงไวจนน่าตกใจ จุนมยอนเดินมาสะกิดเขาในตอนเก้าโมงสี่สิบห้านาทีเพื่อให้เข้าไปรอในห้องประชุมของแผนกการตลาด ท่านประธานแจ้งว่าจะลงมาตอนสิบโมง และถ้าทุกอย่างราบรื่นดีก็สามารถจบการประชุมได้ไวโดยไม่ต้องเบียดเบียนเวลาพักเที่ยงของพนักงาน

     

     

    ชานยอลไม่อยากให้เวลาสัปดาห์กว่าๆ ที่ลงทุนไปเสียเปล่า ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่แน่ใจนักว่าสิ่งที่ได้เตรียมมานั้นน่าสนใจพอสำหรับคนอื่นหรือไม่ เขากลัวว่าตัวเองจะจำกัดอยู่ที่ความคิดระดับสมัยเรียน กลัวจะกลายเป็นพนักงานการตลาดที่ไร้ชั้นเชิง ความกลัวหลายอย่างเข้าเล่นงานชายหนุ่มจนรู้สึกมวนท้อง การทิ้งตัวนั่งในเก้าอี้ห้องประชุมเป็นครั้งแรกไม่ได้ช่วยในการสงบใจแต่อย่างใด ประธานบริษัทนี้จะเป็นคนแบบไหน ทั้งที่ลองหาตามสื่อแล้วแต่ก็รู้แค่อายุมากกว่าเขาไม่กี่ปี ทันทีที่รับช่วงต่อจากประธานคนก่อนก็ปรับปรุงโครงสร้างการบริหารขนานใหญ่ บางทีอาจเป็นพวกเด็ดขาดและดุดันก็เป็นได้

     

     

    เพราะถูกมู่ลี่บังเอาไว้หมด คนภายในห้องประชุมจึงไม่เห็นความเคลื่อนไหวทางด้านนอกจนกว่าจะมีใครเปิดประตูเข้ามา เขาเลิกแขนเสื้อขึ้นมองฬิกาข้อมือ นับถอยหลังในใจอีกประมาณห้านาที ชานยอลเชื่อว่าคนระดับสูงคงไม่ตรงเวลาต่อการประชุมเล็กๆ แบบนี้นักหรอก ยิ่งเป็นการประชุมภายในของฝ่ายการตลาด แค่ท่านประธานให้เกียรติมานั่งฟังด้วยก็ถือว่าเยี่ยมมากแล้ว

     

     

    “อรุณสวัสดิ์”

     

     

    ทว่าคนที่เปิดประตูเข้ามากลับทำให้เขาอ้าปากค้าง หัวใจที่คิดว่าสงบลงบ้างแล้วพลางสั่นไหวอย่างระส่ำระส่ายอีกครั้ง

     

     

    “ผมใช้คำนี้ถูกไหมนะ นี่มันสิบเอ็ดโมงแล้วนี่” อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ คลอไปกับคนอื่น ไม่นานนักตาเรียวรีคู่นั้นก็หันมาเห็นเขา ชายหนุ่มรีบหลุบสายตาลงต่ำ ทบทวนกับตัวเองในใจว่าสิ่งมีชีวิตตรงหน้าคือเจ้าของชื่อบยอนแบคฮยอนตัวจริงหรือไม่ และถ้าใช่... ประธานบริษัทนี้ก็คือ --

     

     

    ชื่อที่เขาเคยเห็นในเว็บไซต์ก่อนตัดสินใจมาสมัครงานที่นี่คืออะไรกันนะ?

     

     

    เขาลอบมองคนในชุดสูทสีกรมท่า เนคไทพาดลายเฉียงสีน้ำเงินเข้มสลับแดงให้ความรู้สึกผ่อนคลายแต่ก็หนักแน่นในคราวเดียวกัน หลังทักทายกันพอเป็นพิธีทั้งห้องประชุมก็ตกอยู่ในความเงียบ เอาสารที่แบคฮยอนถือติดมาด้วยถูกจัดวางลงที่หัวโต๊ะ ให้ตาย... ชีวิตของเขาคงแย่แน่แล้ว ข้อมูลที่เตรียมมาเหมือนไหลลงจากศีรษะไปสู่ข้อเท้าอย่างไรอย่างนั้น ปาร์คชานยอลมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ในตอนนี้ อย่าว่าแต่ผ่านทดลองงานสามเดือนเลย นี่ยังไม่ถึงสองสัปดาห์ด้วยซ้ำไป

     

     

    “คนนี้น่ะ”

     

     

    “เอ๊ะ ครับ?” เขาเผลอสะดุ้งน้อยๆ ในตอนที่จุนมยอนเอียงตัวมากระซิบบอกสถานะของคนหัวโต๊ะ แบคฮยอนยังไม่มีทีท่าว่าจะนั่งเก้าอี้ พอจัดเอกสารเสร็จก็กลับถอยตัวออกไปยืนนิ่งอยู่ที่มุมห้อง ถกแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อยเพื่อดูนาฬิกาข้อมือและมองตรวจความพร้อมของเครื่องโปรเจ็กเตอร์

     

     

    “คนนี้ชื่อบยอนแบคฮยอน เป็นเลขาฯของท่านประธาน”

     

     

    เขาเผลอผ่อนลมหายใจออกไปต่อหน้ารุ่นพี่หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจตัวเองนัก ในใจรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาทันควัน คล้ายหินหนักๆ ที่คอยทับมันอยู่เมื่อไม่กี่นาทีก่อนถูกยกออกอย่างไรอย่างนั้น

     

     

    ตาสีเข้มเหลือบมองคนหัวโต๊ะ ดูๆ ไปบุคลิกของบยอนแบคฮยอนก็เหมาะจะเป็นเลขานุการดี ทั้งอัธยาศัยดี ดูน่าเชื่อถือ และยังวางตัวได้อย่างดีเยี่ยมถ้าไม่นับสิ่งที่เขาบังเอิญไปเห็นเมื่อคืนนี้ แล้วผู้ชายคนนั้นเป็นใครกัน การมาทำเรื่องอย่างว่าในพื้นที่บริษัทตอนดึกๆ มันไม่เสี่ยงเกินไปหน่อยหรือ

     

     

    แบคฮยอนคงรู้ตัวว่าถูกมองอีกแล้ว ตาคู่นั้นถึงได้เสมองตอบพร้อมทั้งยกรอยยิ้มเล็กๆ เป็นการทักทายเช่นที่ทำกับคนอื่น ชานยอลก็อยากทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่มันยากเกินไป เขาไม่กล้าสบตาคนคนนี้เลยแม้แต่วินาทีเดียว เพราะถ้าหากเผลอจับจ้องเข้าตรงๆ อีก น่ากลัวว่าภาพซ้อนทับที่มีของเหลวสีขาวขุ่นไหลย้อยจากปากนั่นคงจะตามมาหลอกหลอนจนยิ่งมองหน้ากันไม่ติดแน่

     

     

    ชานยอลสูดลมหายใจลึก ย่ามใจว่าการประชุมก็แค่ไม่กี่ชั่วโมง พอหมดจากตรงนี้ก็คงยากที่จะเจอกันอย่างเช่นเมื่อหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ถ้าสามารถทำเหมือนไม่อะไรเกิดขึ้นในระหว่างนี้ได้ เขาก็ได้กลับไปเป็นแค่พนักงานธรรมดาที่ไม่รู้ความลับของคนในบริษัทอีกครั้ง

     

     

    “...”

     

     

    ถ้าไม่เพียงแต่ทุกคนจะเอ่ยทักทายคนเข้ามาใหม่ในลำดับสุดท้ายว่าท่านประธาน

     

     

    โล่งใจไปได้ไม่กี่นาที ปาร์คชานยอลก็รู้สึกเหมือนกับเขาจะล้มลงไปกองบนพื้นได้ทั้งที่นั่งเก้าอี้อยู่ เหงื่อเย็นผุดพรายจนขมับชื้น ทั้งร่างรุมร้อนรุมหนาววูบวาบจนควบคุมไม่ได้ หางตาลอบมองชายผิวแทนในชุดสูทสีเทาจากทอมฟอร์ดค่อยๆ หย่อนตัวนั่งที่เก้าอี้หัวโต๊ะ กล่าวขอโทษคนในแผนกการตลาดที่มาสายไปเกือบห้านาที

     

     

    ยิ่งเมื่อท่านประธานหันมาเห็นเขา ต่างฝ่ายก็ต่างหน้าถอดสีจนแทบเก็บอาการไว้ไม่อยู่ ทั้งคนที่เจออยู่กับบยอนแบคฮยอนที่บริคบาร์ คนที่ลนลานใส่กางเกงหลังจากได้สำเร็จความใคร่หน้าห้องน้ำเมื่อคืนนี้ และคนที่ยื่นมือสั่นเทาออกไปรับเอกสารมาจากเลขานุการซึ่งยังสงบนิ่งมาจนถึงเมื่อครู่ ไม่ว่าจะพยายามคิดหลอกสายตาตัวเองแค่ไหน แต่ทั้งหมดคือคนคนเดียวกันไม่ผิดแน่

     

     

    อา... ปาร์คชานยอลประสบเข้ากับหายนะจริงๆ ด้วย

     

     

    คิมจงอิน กระแอมไอเบาๆ แสร้งทำเป็นเปิดแฟ้มนำเสนองานราวกับอยากเริ่มวาระการประชุมย่อยเต็มแก่แล้ว “มาเริ่มกันเถอะครับ”

     

     

    เขาทำได้ห่วยแตกอย่างที่คิดไว้เลย ทั้งยังไม่กล้ามองหน้าคนสำคัญของบริษัทตรงๆ พูดก็ตะกุกตะกัก แถมเหตุผลและหัวข้อที่นำมาเสนอยังฟังดูเป็นเด็กน้อยเสียจนทันทีที่พูดออกไป คนเกือบทั้งห้องนี้ถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่เว้นแม้แต่บยอนแบคฮยอนที่นั่งอยู่บนโซฟาตรงมุมห้องเพื่อคอยจดรายละเอียดสำคัญผ่านปากกาและสมุดปกหนังสีน้ำตาลขนาดพกพา

     

     

    “ถึงมันอาจจะฟังดูกำปั้นทุบดินไปหน่อย แต่ผมก็คิดว่าจากพฤติกรรมและมุมมอง ผู้บริโภคให้คุณค่ากับสินค้าเราอย่างนั้นจริงๆ ครับ” ชานยอลพูดเสริมช่วงท้ายก่อนจะโค้งศีรษะลงเล็กน้อยแล้วนั่งลงอย่างเดิม ทุกคนยังมีรอยยิ้มเปื้อนอยู่บนใบหน้า เว้นเสียแต่คิมจงอินที่ยังเท้าคางครุ่นคิด ในหัวคงกำลังประมวลผลความเป็นไปได้หลายๆ อย่าง

     

     

    “ผมว่าน่าสนใจ” เมื่อได้ยินประธานกล่าวเช่นนั้น แบคฮยอนก็ก้มหน้าจดยิกๆ ลงสมุดโดยไม่หลุดยิ้มอีก “คุณ... ปาร์คใช่ไหม ผมอยากให้คุณทำรายงานเรื่องนี้มาเสนออย่างเป็นทางการเพื่อพิจารณาอีกที แล้วก็อยากให้ประเมินงบประมาณที่ต้องใช้เบื้องต้นมาด้วยนะครับ จะให้คุณจุนมยอนช่วยก็ได้”

     

     

    ความเป็นมืออาชีพของคิมจงอินช่างน่านับถือเหลือเกิน ทั้งที่ตอนแรกชานยอลแน่ใจว่าอีกฝ่ายคงจะยังตระหนกเรื่องเมื่อคืนนี้ไม่ต่างจากเขา แต่พอเป็นในฐานะประธานบริษัทแล้ว การคิดวิเคราะห์และรับฟังเรื่องงานกลับไม่ขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่นิดเดียว ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ที่กลัวว่าจะถูกนำเรื่องส่วนตัวมาบีบบังคับกันด้วยตำแหน่งก็คงไม่น่าเป็นห่วงแล้วกระมัง

     

     

    สุดท้ายแล้วการประชุมก็กินเวลาพักกลางวันมาเกือบครึ่งชั่วโมง ท้องของเขาไม่งอแงเลยสักนิดเมื่ออยู่กลางสถานการณ์กดดันอย่างเช่นเมื่อครู่ ผิดกับคนอื่นๆ ที่รีบรวบเก็บเอกสาร พากันรีบออกจากห้องเพื่อหามื้อกลางวันลงท้องตามเวลาในชีวิตประจำวัน ถึงจะบอกว่าไม่หิว แต่ปาร์คชานยอลก็ไม่คิดจะปล่อยให้ตัวเองท้องว่างตลอดทั้งช่วงบ่ายแต่อย่างใด

     

     

    หลังจากวางเอกสารไว้บนโต๊ะเรียบร้อยดีแล้ว ชายหนุ่มก็รุดไปหาจุนมยอนและคนอื่นๆ ที่บริเวณทางเข้าแผนก เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกพับแขนขึ้นไปสามทบ ชานยอลคิดว่าตัวเองในกระจกตอนนี้ได้ดูกลมกลืนไปกับการเป็นพนักงานบริษัทจริงๆ แล้ว เขาปัดผมสีน้ำตาลย้อมที่ตกลงมาปรกหน้าขึ้นอย่างลวกๆ พลางหันไปยิ้มให้รุ่นพี่ในสายงานอย่างนอบน้อม บางทีที่ทำงานแรกในชีวิตของเขาอาจจะน่าอยู่กว่าที่คิดก็เป็นได้

     

     

    ทว่าสองขากลับชะงักค้างเมื่อก้าวพ้นประตูประจก ที่ม้านั่งตรงทางเดินรวม ใครบางคนกำลังค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้น ในมือยังมีเอกสารและสมุดพกปกน้ำตาลที่เห็นในห้องประชุมเมื่อสักครู่นี้ ริมฝีปากบางทรงเชิดกำลังค่อยๆ เหยียดยิ้ม ตาเรียวรีคู่นั้นมองจ้องเขาด้วยความหมายที่ชานยอลแน่ใจว่าคงไม่ใช่แค่การทักทายแน่

     

     

    “อ้าว คุณแบคฮยอนไม่ได้ขึ้นไปกับบอสหรือครับ” จุนมยอนเอ่ยถาม หยุดยืนสนทนากับคนที่เหมือนจะจงใจรอพวกเขาอยู่ก่อนแล้วด้วยทีท่าสบายๆ

     

     

    “ท่านประธานมีนัดข้างนอกน่ะครับ”

     

     

    “แล้วแบบนี้... ถ้าไม่รังเกียจไปกินกับพวกเราไหมครับ?”

     

     

    ชานยอลเผลอกำมือที่ทิ้งอยู่ข้างลำตัวแน่น และดูเหมือนบุคคลที่สามเองก็จะทันสังเกตเห็น แบคฮยอนถึงได้คลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิมเพื่อปฏิเสธพนักงานงานฝ่ายการตลาดอย่างสุภาพ รวมถึงแจ้งจุดประสงค์ที่ยอมอดทนนั่งรอโดยไม่เปิดโอกาสให้คนถูกกล่าวถึงได้ปฏิเสธ

     

     

    “ขอบคุณครับ แต่ผมไม่ค่อยหิวเท่าไร หวังว่าคงไม่โกรธกันนะ” เสียงทุ้มนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ “แล้วก็... อยากจะขอตัวคุณปาร์คชานยอลสักครู่น่ะครับ พอดีว่าตอนอยู่ในห้องประชุมมีรายละเอียดในส่วนที่ผมบันทึกไว้ไม่ทันอยู่นิดหน่อย”

     

     

    “ถ้าอย่างนั้นให้ผมไปด้วยไหม” จุนมยอนชี้ตัวเอง หากเลขานุการหนุ่มก็ส่ายหน้าเป็นคำตอบ

     

     

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่คำถามนิดหน่อย ลำพังคุณปาร์คก็คงให้คำตอบผมได้”

     

     

    ถึงอยากตอบว่าไม่ได้ใจจะขาด แต่ถึงอย่างนั้นชานยอลก็คิดว่าเขาควรยอมคุยเรื่องนี้ตามที่อีกฝ่ายต้องการเช่นกัน จากที่รักษาท่าทีสงบนิ่งเอาไว้ได้มาตลอด ผิดจากเขาหรือท่านประธานที่เผลอลนลานออกมาอย่างเห็นได้ชัดแล้ว อย่างไรเสียเรื่องนั้นก็คงทำให้ผู้ชายคนนี้ร้อนใจอยู่เหมือนกัน การทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นคงไม่ใช่สิ่งที่สมควรทำสำหรับคนนอกอย่างเขานัก

     

     

    บยอนแบคฮยอนพาเขาขึ้นลิฟท์มายังชั้นผู้บริหารที่ทั้งเงียบเชียบและแทบไม่มีใครอื่นโผล่มาให้เห็นเลย เป็นสถานที่ที่ดีในการคุยเรื่องส่วนตัวแล้วไม่ต้องการความบังเอิญใดๆ อีก ชานยอลคิดว่าโต๊ะทำงานของแบคฮยอนคงอยู่ในห้องประธาน หากคนตัวเล็กกว่ากลับพามาจนถึงห้องสวัสดิการที่ทั้งแคบและเล็ก มีเครื่องทำกาแฟหัวเดียวจำนวนหนึ่งตัวบนเคาน์เตอร์ ตู้เย็น อ่างล้างมือ รวมถึงแก้วชามสำหรับรับรองลูกค้าคว่ำอยู่บนชั้นสะเด็ดน้ำ

     

     

    ลำพังแค่ผู้ชายสองคนยืนอัดกันอยู่ในนี้ หลังของชานยอลก็แทบจะทาบติดผนังอยู่แล้ว แต่แบคฮยอนกลับปิดประตูล็อกขังทั้งคู่ให้อยู่ในบรรยากาศอุดอู้ สายตาแบบเดียวกับการสนทนาบนรถไฟเมื่อสัปดาห์ก่อนถูกใช้ส่งถึงเขาอีกครั้ง แต่ความรู้สึกของเขามันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

     

     

    ชานยอลรู้สึกผิดนิดหน่อยที่มองแบคฮยอนแปลกไปเสียแล้ว เขาไม่ได้มีอคติกับรักร่วมเพศ เพียงแต่การมีเซ็กส์ในที่สาธารณะมันก็ค่อนข้างรับได้ยากเกินไปสักหน่อย ร่างสูงเผลอเม้มริมฝีปาก ฝ่ามือเริ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ ขณะที่คนตรงหน้าเอนตัวพักสะโพกกับเคาน์เตอร์ด้วยท่าทีสบายๆ ผิดกับสายตาซึ่งจับจ้องเขาไม่วาง

     

     

    “อย่าทำหน้าเครียดแบบนั้นสิครับ เป็นผมมากกว่านะที่ต้องอาย”

     

     

    ถึงจะพูดออกมาอย่างนั้น แต่รอยยิ้มของเลขานุการบยอนกลับไม่ได้ใกล้เคียงกับความอายเลยแม้แต่นิดเดียว

     

     

    “ผม...” น่าอึดอัด การจะหนีออกไปจากความกดดันแบบนี้ได้ต้องทำอย่างไรกัน “ขอโทษครับ เรื่องเมื่อคืนนี้ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”

     

     

    เขาโค้งตัวขอโทษจนเห็นรองเท้าหนังของอีกฝ่ายชัดเจน หากบยอนแบคฮยอนก็แค่เงียบ ประสานมืออยู่บนหน้าขา กดสายตามองปาร์คชานยอลที่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นสบกันตรงๆ บรรยากาศภายในห้องแคบยิ่งน่าอึดอัดขึ้นเป็นเท่าทวีเมื่อไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก จนทนความรู้สึกนั้นไม่ไหว คนฝ่ายการตลาดถึงได้ยอมหยัดตัวขึ้นยืนหลังตรง หลบตาหนีจากคนตรงหน้าไปมองข้าวของทุกอย่างที่อยู่ภายในห้องนี้แทน

     

     

    “ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ความผิดคุณครับ ทางนี้ต่างหากต้องขอโทษที่ให้มาเห็นภาพแบบนั้น” ผิดคาดที่แบคฮยอนโค้งศีรษะให้เขา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองกันตรงๆ โดยไร้ซึ่งความหวั่นไหวใดๆ “ถึงจะรู้อย่างนั้นก็ตาม แต่การที่ท่านประธานถูกเห็นว่าอยู่กับผมคงไม่ใช่สิ่งที่จะปล่อยผ่านไปได้”

     

     

    “ครับ... ผมเข้าใจ” แบคฮยอนยังมองเขานิ่ง นิ่งจนชานยอลไม่รู้จะทำอะไรต่อ หากเขาก็พยายามจบเรื่องนี้ด้วยวิธีที่ง่ายและไวที่สุด “คิดเสียว่าผมไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนผมเองก็จะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกันครับ”

     

     

    “...”

     

     

    เลขานุการบยอนจะยอมรับได้หรือเปล่านั้น เขาไม่แน่ใจนัก

     

     

    “ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดี...” คนตัวเล็กกว่าแย้มรอยยิ้มในที่สุด “กรุณารักษาคำพูดด้วยนะครับ”

     

     

     

     

     

     

     

    ปาร์คชานยอลเท้าสองมือลงกับอ่างล้างหน้า ตามองตัวเองในกระจกห้องน้ำชั้นที่ทำงานพลางนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อชั่วโมงก่อน เขารู้สึกคลื่นไส้ หวาดหวั่น ลบภาพดวงตาสีเข้มของเลขานุการคนนั้นออกไปไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว หายนะที่มาจากความบังเอิญจบสิ้นในที่สุด ลึกๆ แล้วชานยอลก็ไม่คิดว่าตัวเองผิดทั้งหมดที่เดินไปเห็น แต่ในเมื่ออีกฝั่งเป็นถึงประธานบริษัท คนที่ต้องก้มหน้ายอมรับข้อแม้และทนอยู่กับความกดดันกลับกลายเป็นตัวเขาเองเสียได้

     

     

    ถ้าไม่มีเหตุให้เกี่ยวข้องกันอีกก็คงดี แม้ในใจภาวนาให้เป็นอย่างนั้นทว่าความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม ในเมื่อคนที่ต้องคอยรับเรื่องจากฝั่งการตลาดเพื่อเตรียมเอกสารวางบนโต๊ะของคิมจงอินก็คือผู้ชายคนนั้น ทั้งที่การทำดิสเพลย์ส่งเสริมการขายไม่ใช่โครงการใหญ่อะไรเลย สร้างความแปลกใจให้กับคิมจุนมยอนหรือแม้แต่คนอื่นเป็นอย่างมากที่เลขานุการของท่านประธานลงทุนแวะเวียนลงมาที่แผนกหลายครั้ง

     

     

    “ไม่ไว้ใจผมสินะครับ” ชานยอลพูด มือก็เก็บเอาเอกสารลงกระเป๋าทรงแซทเชลที่ได้ซื้อมาใช้ตามความตั้งใจจริงๆ ตาของเขาเหลือบมองบยอนแบคฮยอนที่วันนี้อยู่ในชุดสูทสีเทา แต่เป็นคนละแบบกับตัวที่เจอกันครั้งแรก ริมฝีปากทรงเชิดหยักยกรอยยิ้มบางๆ ขณะรอให้เขาจัดการสัมภาระตัวเองจนเสร็จ

     

     

    “ผมดูหยาบคายขนาดนั้นเลยหรือครับ”

     

     

    “เปล่าหรอกครับ...” เขาตอบอ้อมแอ้ม “พี่จุนมยอนบอกว่าปกติไม่ค่อยเจอคุณที่ชั้นนี้บ่อยนัก”

     

     

    “ครับ แต่ครั้งนี้ผมจงใจมาพบคุณ” แบคฮยอนตอบเสียงเรียบ แผนกการตลาดพากันกลับบ้านจนเกือบหมดแล้ว เหลือแค่ปาร์คชานยอลกับคนอีกไม่กี่คนที่ยังอยู่ทำงานต่อจนฟ้ามืด ถ้าไม่ใช่พวกที่ขี้เกียจในเวลางานก็คงเป็นพวกทุ่มเทให้บริษัทจนเกินไปกระมัง

     

     

    อา... และคำพูดนั้น ชานยอลก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี

     

     

    “บ้านของคุณอยู่ที่สถานีซังกอลไม่ใช่หรือไงครับ” ดูเหมือนแบคฮยอนพยายามที่จะคลายความอึดอัด แต่ทำไมผลลัพธ์ถึงได้ออกมาตรงกันข้ามนัก ชานยอลไม่สามารถตอบเกี่ยวกับหัวใจตัวเองได้เลย “ผมแค่รู้สึกดีที่มีคนกลับบ้านด้วยกันน่ะ”

     

     

    สิ่งเดียวที่เขารู้คือทั้งหมดนี้ล้วนเป็นคำโกหก แต่ด้วยวิธีใดก็ไม่ทราบ เขาถึงได้ยอมไหลตามน้ำแล้วเดินไปสถานีกับอีกฝ่ายเป็นครั้งที่สองนับตั้งแต่รู้จักกัน ชายหนุ่มอยากเปิดปากถามจริงๆ ว่าแบคฮยอนคิดอะไรอยู่ หรือคิดว่าการเข้ามาป้วนเปี้ยนในชีวิตของเขาแล้วกดดันกันด้วยมิตรภาพครึ่งๆ กลางๆ จะช่วยปิดปากเรื่องที่ทำกับท่านประธานสำเร็จ

     

     

    จะว่าไป... ไม่มีอะไรเกี่ยวกับคนคนนี้ที่เขาได้รู้จักเพิ่มขึ้นมาเลยสักข้อ นอกเหนือจากหน้าที่การงานหรือเรื่องนั้น

     

     

    ทั้งสองคนขึ้นรถไฟเงียบๆ มาจนถึงสถานีซังกอลตามที่แบคฮยอนแสดงความต้องการในที่สุด การต้องทนอยู่กับความลับดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุดของวันแล้ว นาทีต่อจากนี้เขาจะได้เป็นอิสระ นอนพักผ่อนอยู่ห้องและตื่นมาเจอวันหยุดที่แสนสุขสันต์เสียที เมื่อเดินขึ้นบันไดมาถึงถนน ชานยอลก็แทบรอคอยที่จะปลีกตัวออกไปไม่ไหว

     

     

    “จริงสิ” หากบยอนแบคฮยอนกลับทำลายโอกาสบอกลานั้นลงอย่างง่ายดาย “พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ ถ้าอย่างไรเราไปหาร้านนั่งดื่มด้วยกันไหมครับ”

     

     

    “ครับ?”

     

     

    “ผมรู้จักร้านหนึ่งแถวๆ นี้”

     

     

    แบคฮยอนเดินนำไปโดยไม่รอคำตอบ อา  ถ้าเขาตะโกนปฏิเสธออกไปตอนนี้อาจจะแก้ไขสถานการณ์ทันก็ได้ แต่ไม่รู้ว่าทำไมแผ่นหลังในสูทสีเทาที่อยู่กลางกรอบสายตานั้นถึงได้สำแดงพลังพิเศษออกมาอีกจนได้ มันหุบปากเขาจนเงียบเชียบ จูงโซ่ล่ามคอให้เดินตามไปโดยไม่มีข้อแม้

     

     

    น่าหงุดหงิดจริง ตอนนี้ปาร์คชานยอลเป็นอะไรไปกันแน่

     

     

    สถานที่ที่แบคฮยอนพามาไม่ใช่ร้านเหล้าหรือบาร์อย่างที่เขานึกภาพเอาไว้แต่อย่างใด หากแต่เป็นโพจังมาจา ซุ้มอาหารที่ขึงด้วยเตนท์สีแดงซึ่งพบเห็นได้ทั่วไป ไม่มีดนตรี ไม่มีที่นั่งนุ่มสบาย ทั้งราคายังไม่สูงและติดดินเสียจนชานยอลนึกไม่ถึงว่ามันจะอยู่ในสายตาเจ้าของสูทฮิวโก้บอสตรงหน้าต่างหาก แบคฮยอนเลือกโต๊ะนั่ง สั่งโซจูและหันมาถามเขาว่าอยากกินอะไรเป็นมื้อเย็น ซึ่งให้ตายเถอะ ชานยอลรับมือไม่ถูกแล้ว

     

     

    “ร้านนี้รสชาติใช้ได้นะครับ”

     

     

    “ครับ...” เขาคีบปลาหมึกเข้าปาก มองขวดโซจูเปล่าๆ ที่ตั้งอยู่ตรงริมโต๊ะแล้วก็นึกเป็นห่วงทั้งตัวเองและคนตรงหน้า แบคฮยอนยังดื่มโซจูไม่หยุด ส่วนเขาเองก็ดื่มไปเยอะจนเริ่มจะมึนๆ บ้างแล้ว ถึงอย่างนั้นสติสัมปชัญญะของปาร์คชานยอลก็ยังถูกรักษาเอาไว้ครบถ้วนเพื่อที่จะส่งตัวเองกลับอพาร์ตเมนท์ไหว

     

     

    ลงท้ายแล้วทำไมถึงกลายเป็นอย่างนี้ไปได้ ชานยอลก็ไม่แน่ใจนัก ขวดสีเขียวที่สี่หรืออาจจะห้าถูกวางรวมกับขวดอื่นหลังแบคฮยอนกระดกมันจนหมด สูทฮิวโก้บอสราคาแพงถูกพับวางคู่กับกระเป๋าหนังอยู่บนเก้าอี้ข้างตัวอีกฝ่าย บนแก้มขาวเริ่มมีริ้วแดงแล้ว หากเขากลับลังเลว่าควรจะยั้งแบคฮยอนเอาไว้หรือไม่

     

     

    “เมาหรือเปล่าครับ” เขาพูดมันในที่สุด ทว่าที่ได้รับกลับมานั้นเป็นเพียงรอยยิ้มเล็กๆ ที่แต่งแต้มบนริมฝีปาก เลขานุการหนุ่มวางโซจูขวดใหม่ลงกับโต๊ะ จ้องเขาด้วยสายตาสงบนิ่งเหมือนอย่างทุกที

     

     

    “เปล่าหรอกครับ แต่หน้าผมแดงง่ายเวลาดื่มแอลกอฮอล์”

     

     

    ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็คงดี ชานยอลได้แต่คิดในใจ จะว่าไม่เชื่อเลยก็คงไม่ถูก เพราะเท่าที่เห็นในตอนนี้ แม้จะอยู่ในร้านโพจังมาจาและดื่มโซจูไปมากมายแค่ไหนก็ตาม แต่อากัปกิริยาสุขุมนุ่มลึกและการวางตัวที่ปรากฏในผู้ชายคนนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงแต่อย่างใด แผ่นหลังยังคงตั้งตรง ไหล่ที่ลาดลงเล็กน้อยภายใต้เสื้อเชิ้ตยังผ่าเผยเหมือนกับตอนอยู่ที่บริษัท

     

     

    บุคลิกสุดยอดจริงๆ

     

     

    “ที่จริงแล้วผมรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยน่ะครับ”

     

     

    ถึงคราวชานยอลชะงักบ้าง เขาค่อยๆ ลดมือที่ยกเจ้าขมวดสีเขียวขึ้นดื่ม มองตอบคนที่กำลังนั่งเท้าคางเหมือนคุยเรื่องลมฟ้าอากาศทั่วไป พอเป็นคำว่าแปลกใจที่ออกมาจากปากคนตรงหน้าแล้ว เขาถึงกลัวว่ามันคงไม่ธรรมดาแน่

     

     

     

    “อุตส่าห์พาคุณมานั่งร้านแบบนี้แล้วแท้ๆ แต่ทำไมถึงไม่ผ่อนคลายขึ้นเลยนะ”

     

     

    “อา...” เขากำลังเขิน อย่างไรการถูกพูดเหมือนว่าดูออกมาตลอดก็ช่างน่าอายอยู่ดี

     

     

    “การที่ผมมาข้องเกี่ยวกับคุณแบบนี้มันคงน่าอึดอัดใช่ไหมครับ” หนุ่มร่างสูงชักจะรู้สึกอึดอัดอย่างที่คนตรงหน้าว่ามายิ่งกว่าเก่า ชานยอลยกมือขึ้นปลดเนกไทให้หลวมขึ้นอีกหน่อย อย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจคนที่กำลังยิ้มขณะพูดเรื่องพวกนี้ออกมาได้หน้าตาเฉยเลยจริงๆ “ทุกอย่างมันออกมาทางสีหน้าคุณหมดเลยนะ”

     

     

    “ไม่ใช่หรอกครับ...” เขาพยายามปฏิเสธ แต่ก็ไม่ต่างอะไรจากการปดคำโต

     

     

    “ถ้าจะรักษาน้ำใจกันก็น่าจะโกหกให้เนียนกว่านี้สิครับ”

     

     

    ปาร์คชานยอลมองริมฝีปากทรงเชิดที่กำลังหัวเราะเบาๆ มองดวงตาฉ่ำวาวไปด้วยพิษสิ่งมึนเมากำลังจับจ้องเขาห่างออกไปแค่หนึ่งช่วงแขน มองสีแดงที่แต่งแต้มบนใบหน้าขาว ลากยาวไปจนถึงใบหูที่น่าจะร้อนฉ่า มือของแบคฮยอนเรียวสวย และผมสีน้ำตาลนั่นก็เส้นเล็กละเอียดจนอยากเอื้อมมือไปจับสักครั้ง

     

     

     

    เขากำลังทำอะไรอยู่... ใช้สายตาพินิจพิเคราะห์ผู้ชายด้วยกันอย่างนั้นหรือ?

     

     

    “ชานยอล ผมสงสัยมาตลอด”

     

     

    “...”

     

     

    “คุณน่ะ... ทำไมถึงได้มองผมบ่อยๆ ล่ะครับ”

     

     

    ความรู้สึกของเขาเหมือนถูกกระชากลงใต้น้ำอย่างไรอย่างนั้น

     

     

    “ตั้งแต่ตอนที่เจอกัน ที่บริคบาร์ หรือแม้แต่ในที่ประชุมเมื่อวันก่อน คุณก็เอาแต่มองผมไม่วางตาเลยนะครับ” เขาหายใจไม่ออก อาการวูบโหวงในท้องรุนแรงจนอยากอาเจียนนี้คงเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ดื่มไปแน่ “ทั้งที่ทำอย่างกับว่าไม่อยากอยู่ใกล้ผม แต่ทำไมถึงไม่ยอมละสายตาไปล่ะ”

     

     

    เสียงนั้นยิ่งใกล้ราวกับกำลังกระซิบอยู่ข้างหู ในใจของเขาต่อต้านสุดแรงว่าสิ่งที่บยอนแบคฮยอนพูดไม่ใช่ความจริงเลยสักนิดเดียว เขาหลบหน้าคนคนนี้มาตลอด ทั้งพยายามไม่สังเกตชุดสูทที่สวมใส่ ไม่มองมือที่จับปากกาขยับไปมาบนสมุดพกพลางคาดเดาว่าสิ่งที่ถูกเขียนคืออะไร ไม่มองรองเท้าหนังทรงอ็อกฟอร์ดยามมันแตะลงบนพื้นจนเกิดเสียงดังทุ้ม ไม่มองรอยยิ้มที่ก้ำกึ่งระหว่างความจริงใจกับเสแสร้งกำลังส่งมอบให้คนอื่นไปทั่ว ไม่มองใบหน้านิ่งสงบแล้วจินตนาการถึงมันตอนที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำสีขาวเหมือนอย่างคืนนั้น

     

     

    เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด เขาไม่ได้ --

     

     

    “คุณ... เป็นคนรักของประธานคิมหรือครับ”

     

     

    แวบหนึ่งที่เขาเห็นประกายวิบวาวในดวงตาสีเข้ม

     

     

    “หืม... ทำไมถึงสนใจขึ้นมาล่ะครับ” แบคฮยอนอมยิ้ม ราวกับทั้งพอใจและจงใจใช้สายตาในจินตนาการนั้นมองมายังเขาเพื่อเย้าหยอก “เปล่าครับ ผมไม่ได้มีความสัมพันธ์อื่นใดกับท่านประธานนอกเหนือไปจากการเป็นเจ้านายกับลูกน้อง”

     

     

    ชานยอลเห็นมือของตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลใดเขาถึงควบคุมมันไม่ให้กำเข้าหากันไม่ได้ กลีบปากอิ่มอ้าออกเล็กน้อยเพื่อสูดลมหายใจ บางทีเขาอาจจะเมาแล้วก็ได้ถึงไม่รู้สึกว่าในโลกนี้มีสิ่งใดกำลังเคลื่อนไหวอยู่อีก ทั้งรถที่แล่นผ่าน ผู้คนในโต๊ะอื่น ทั้งหมดล้วนหายไปจากสายตาของชายหนุ่มแล้วทั้งสิ้น

     

     

    “อา... อย่างนั้นหรือครับ”

     

     

    เขาเห็นแค่บยอนแบคฮยอนแจ่มชัด ใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ผสมไปกับกลิ่นแอลออฮอล์

     

     

    “แล้วงานเลขาเนี่ย... ต้องทำอะไรบ้างครับ?”

     

     

    ทำไมถึงยังยิ้มอยู่อีก ทำไมแบคฮยอนถึงเอาแต่ยิ้มอย่างกับว่าไม่รู้สึกรู้สาเลยที่โดนเขาเห็นตัวเองในสภาพกำลังสำเร็จความใคร่ให้คนอื่นแบบนั้น

     

     

    เลขานุการหนุ่มลดมือลงวางบนโต๊ะ พูดตอบเขาด้วยน้ำเสียงสบายๆ จนน่าโมโห

     

     

    “ทุกอย่าง”

     

     

    “...”

     

     

    “ผมทำทุกอย่างนั่นแหละครับ”

     

     

    ชานยอลร้อนวูบวาบไปทั้งตัว ให้ตาย... เขาอยากกลับไปนอนที่ห้องเสียตอนนี้เลย

     

     

    “ท่าทางคุณจะเมาแล้วนะครับชานยอล”

     

     

    เสียงทุ้มนุ่มเหมือนจะใกล้เข้ามาอย่างไรอย่างนั้น ใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ ใกล้จนกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ เมื่อสักครู่นี้คลุ้งเตะจมูก ใกล้จนปลายผมเส้นเล็กละเอียดสัมผัสเข้าที่ขมับขณะอีกฝ่ายกระซิบบอกคำที่แสนธรรมดา

     

     

    “ถ้าอย่างนั้น... เรากลับกันไหมครับ?”

     

     

     

     

    TBC

     

     

     

    --------------------

    คอมเมนท์หรือติดแท็กเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ <3

     

    #OHARHAFIC

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×