ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (SF/OS) #OHARHAFIC | CHANBAEK SEKAI

    ลำดับตอนที่ #18 : ▽ baekyeol | A SECRETARY (1/3)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.17K
      15
      6 เม.ย. 60

     

     

     

     

    A SECRETARY

    BYUNBAEKHYUN l PARKCHANYEOL

    - OHARHA -

     

     

     

     

     

    ( 1 / 3 )

     

     

     

     

     

    เขาเจอ บยอนแบคฮยอน เป็นครั้งแรกในวันพุธที่หนึ่งของเดือน

     

     

    “คุณครับ... ทำนี่ตกไว้หรือเปล่า”

     

     

    ร่างสูงโปร่งชะงักฝีเท้า สูดลมหายใจเข้าก่อนจะหันไปพบกับชายในชุดสูทฮิวโก้บอสสีเทาเข้ม เข้ากับรองเท้าหนังทรงอ็อกฟอร์ดสีน้ำตาลเรียบซึ่งกลายเป็นความฉูดฉาดเล็กๆ บนร่างสมส่วนของอีกฝ่าย เรือนผมซอยสั้นถูกเซ็ตเป็นทรงเรียบร้อย ทำให้หน้าดูแก่ขึ้นแต่ก็สร้างความภูมิฐานและน่าเชื่อถือในเวลาเดียวกัน ริมฝีปากบางหยักยิ้มเป็นการทักทายเพียงเล็กน้อย ยื่นซองเอกสารที่เก็บขึ้นจากพื้นมาให้

     

     

    “อา ขอบคุณครับ”

     

     

    ปาร์คชานยอล คิดว่าตัวเองเซ่อซ่าตั้งแต่วันแรกที่มาทำงาน เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าซองสำเนาเอกสารส่วนตัวหลุดจากมือไปตั้งแต่เมื่อไร ตาสีเข้มเหลือบมองกระเป๋าทรงแซทเชลที่คนตรงหน้าถืออยู่ คิดในใจว่าเลิกงานเย็นนี้ก็อยากจะไปหาซื้อสำหรับใส่เอกสารบ้างสักใบ เพราะชุดสูทที่ต้องใส่มาทำงานอยู่ทุกวันคงไม่เข้ากับกระเป๋าเป้ตามรสนิยมของตนสักเท่าไร

     

     

    เขารับซองเอกสารด้วยท่าทีสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถัดจากกระเป๋าก็เผลอมองมาถึงมือของอีกฝ่าย เป็นมือที่ทั้งเรียวสวยและดูสะอาดสะอ้าน เล็บถูกตัดแต่งเป็นทรงโค้งมน ชานยอลรู้สึกประหลาดนิดหน่อยที่เผลอพิจารณามือของผู้ชายด้วยกันเช่นนี้

     

     

    คนตรงหน้าเขาเป็นฝ่ายหันหลังและเดินจากไปก่อน หากชานยอลก็ไม่ได้มองตามจนลับสายตาอย่างประเจิดประเจ้อ รูปลักษณ์ของชายคนนี้ทำให้เขารู้สึกประทับใจ ทั้งหน้าตาที่อาจจัดได้ว่าน่ารัก ส่วนสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบกว่า และรสนิยมในการแต่งตัวที่ทำให้อีกฝ่ายดูคล้ายกับความสมบูรณ์พร้อม

     

     

    ถ้าได้มีโอกาสรู้จักกันก็คงดี... ปาร์คชานยอลพยายามหาเหตุผลให้ความคิดเช่นนั้น แต่เขาก็ต้องล้มเหลวไม่เป็นท่า

     

     

     

     

     

     

     

    การทำงานที่นี่เริ่มต้นได้ดีกว่าที่คิด ทีแรกเขาทั้งกังวลว่าจะเข้ากับใครไม่ได้ เพราะถึงจะเคยผ่านการฝึกงานเป็นระยะเวลาสามเดือนเมื่อสมัยมหาวิทยาลัย แต่พอต้องมาเป็นมนุษย์เงินเดือนจริงๆ ทุกคนคงจะมองเขาในฐานะพนักงานอย่างเท่าเทียม นั่นรวมถึงการให้อภัยเมื่อมีความผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้นด้วย

     

     

    “คิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง” คิมจุนมยอน พนักงานที่ถูกวานให้เป็นพี่เลี้ยงสอนงานเขาในช่วงเดือนแรกแวะเวียนมาถาม งานที่ชานยอลบรรจุเข้ามาคือเจ้าหน้าที่ในแผนกการตลาด และวันแรกของเขาก็เริ่มที่การศึกษาสัดส่วน ส่วนแบ่งทางการตลาด วิจัยความต้องการของผู้บริโภค หรือแม้แต่วิธีการที่ทางบริษัทใช้เพื่อกระตุ้นผลประกอบการ

     

     

    “ก็พอเข้าใจอยู่ครับ” เขายิ้มรับ ชั่งใจว่าควรจะพูดถึงความคิดที่ไหลเวียนอยู่ในหัวมาตั้งแต่เมื่อครู่ดีหรือไม่ “คือ... คิดว่าเปอร์เซ็นต์การซื้อของผู้บริโภคค่อนข้างน่าตกใจนิดหน่อยน่ะครับ ในหนึ่งร้อยครอบครัวจะซื้อซอสปรุงรสของเราแค่สิบเอ็ดครอบครัว ถ้าเทียบกับจำนวนประชากรมันก็แค่คนละประมาณหนึ่งจุดหกขวดต่อปีเท่านั้นเอง”

     

     

    จุนมยอนดูจะแปลกใจนิดหน่อยที่เขาพูดถึงเรื่องนี้ ผลประกอบการในส่วนของซอสปรุงรสน้อยลงก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีสินค้าอื่นของบริษัทที่ยังสร้างผลกำไรได้ดีจนทดแทนในส่วนนี้ได้

     

     

    “ทั้งที่แบรนด์เป็นที่รู้จัก... ผมถึงไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงยังขายสินค้าได้น้อยลงครับ”

     

     

    “อืม นั่นสินะ เราเองก็พยายามเข็นโปรโมชั่นใหม่ๆ ออกมาตลอดแท้ๆ

     

     

    รุ่นพี่ในแผนกทำท่าคิดตาม ชานยอลชักไม่แน่ใจแล้วว่าเขาเผลอพูดมากเกินไปไหม โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นพนักงานใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์การทำงานมาก่อนอย่างนี้แล้ว ความน่าเชื่อถือก็ยิ่งไม่มี แบบนี้จะเหมือนไปดูถูกคนที่ทำงานมาก่อนหรือเปล่า

     

     

    “ขอโทษนะครับ ผมแค่รู้สึกสงสัยนิดหน่อยเลยเผลอพูดออกไปแบบนั้น...”

     

     

    “ไม่เป็นไร” หากอีกคนกลับแค่หัวเราะ ตบไหล่เขาเบาๆ อย่างไม่ถือสา “ที่นายพูดมามันก็จริง บางทีฝ่ายการตลาดอย่างเราคงมีแต่ต้องทำการบ้านเพิ่มขึ้นล่ะมั้ง”

     

     

    “ครับ...”

     

     

    “แล้วนายล่ะชานยอล อยากจะลองดูไหม?”

     

     

    “ครับ?” เขาเลิกคิ้ว ทำตาโตใส่คำพูดที่ตัวเองยังไม่เข้าใจความหมายของมันได้ตรงตัวนัก

     

     

    “สัปดาห์หน้าแผนกการตลาดจะมีประชุมกับบอส ทำไมนายไม่ลองเสนออะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูล่ะ”

     

     

    ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่อยู่ดีๆ จะให้คิดแผนการตลาดที่ไม่รู้ว่าทำได้จริงหรือเปล่าไปเสนอต่อหน้าประธานบริษัท ชานยอลก็คิดว่ามันค่อนข้างหินไปหน่อย เขาเองยังรู้จักบริษัทนี้ไม่มากเท่าที่ควร ทั้งยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับตลาดการขายซอสปรุงรสในประเทศนี้ดีด้วย ลงท้ายเย็นนี้ก็จบด้วยการถอนหายใจกังวลไปล่วงหน้า ชายหนุ่มเก็บของลงกระเป๋า มองโต๊ะทำงานโล่งๆ ที่ยังไม่มีอะไรมากไปกว่าคอมพิวเตอร์ เห็นทีพรุ่งนี้คงจะต้องเอาแคคตัสสักต้นมาวางประดับหน่อยแล้ว

     

     

    เขาแยกกับคิมจุนมยอนตรงสถานีรถไฟฟ้า มองนาฬิกาข้อมือก่อนจะคำนวณอย่างคร่าวๆ ว่าคงไปถึงเวลานัดหมายของเพื่อนสมัยเรียนได้พอดิบพอดี ทุกคนต่างเริ่มทำงานในเวลาไล่เลี่ยกัน และวันแรกของชีวิตมนุษย์เงินเดือนคนสุดท้ายในกลุ่มก็กลายเป็นวันฉลองการเริ่มต้นชีวิตวัยใหม่อย่างช่วยไม่ได้

     

     

    ปาร์คชานยอลมาถึงร้านเป็นคนที่สาม คิมจงแดและโดคยองซูเป็นฝ่ายนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มถอดสูทตัวนอกออกพาดกับพนักเก้าอี้ มองบรรยากาศร้านที่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรกจากฝีมือการเลือกของจงแด ที่นี่เป็นบริคบาร์สไตล์ลอฟท์แท้ๆ ตกแต่งด้วยต้นไม้เน้นใบสีเขียวและสีแดงของอิฐ โต๊ะนั่งสีดำติดกระจกใส ทั้งอาหารรสชาติดีราคากลางๆ กับเบียร์ที่แพงกว่าร้านสะดวกซื้อสามสิบเปอร์เซ็นต์ ดูอย่างไรก็คนละระดับกับร้านนักศึกษาสมัยวิทยาลัยอยู่ดี

     

     

    “อี้ชิงล่ะ” เขาถาม จากนั้นจึงหันไปพยักหน้าขอบคุณพนักงานร้านที่นำแก้วใบใหม่มาเสิร์ฟพร้อมทั้งรินเบียร์ให้จนเต็มแก้ว ชานยอลรู้ตัวว่าคืนนี้เขาดื่มหนักไม่ได้ พวกจงแดเองก็คงเช่นกันถึงได้ไม่มีใครสั่งเหล้ามาเลย

     

     

    “เห็นว่าวันนี้ต้องเลิกงานช้านิดหน่อย แต่จะตามมาไม่ให้เกินสามทุ่มน่ะ” คยองซูตอบ

     

     

    ได้รับรู้อย่างนั้นก็หายห่วง ตั้งแต่ที่ทุกคนเริ่มทำงานก็นัดเจอกันยากขึ้นพอสมควร อี้ชิงงานยุ่งจนหัวหมุน จงแดเหมือนจะกำลังดูใจกับคนในที่บริษัท ส่วนคยองซูทำงานอยู่ไกล ในแต่ละวันจึงเหนื่อยไปกับการเดินทางจนไม่อยากเที่ยวเล่นสักเท่าไร เขาเองเป็นคนเดียวที่ว่างอยู่นาน พอมาตอนนี้ก็เหมือนจะได้เข้าใจเพื่อนทั้งสามมากขึ้นบ้างแล้ว

     

     

    เกือบสองชั่วโมงถัดมาอี้ชิงก็โผล่เข้ามาในร้านตามนัดจริงๆ เพียงแต่แทนที่สายตาจะจับจดอยู่กับเพื่อน ความสนใจของปาร์คชานยอลกลับเบนไปหาคนที่เดินตามหลังอี้ชิงเข้ามาติดๆ แล้วแยกไปนั่งอีกโต๊ะ เป็นผู้ชายในชุดสูทแบรนด์ฮิวโก้บอสสีเทาเข้ม เรือนผมซอยสั้น กับกระเป๋าทรงแซทเชลใบเดียวกับที่เขาเห็นเมื่อตอนเช้า รอยยิ้มบางๆ บนใบหน้ากับอิริยาบถขณะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้นั้นดูผ่อนคลาย แต่ขณะเดียวกันก็สง่าอย่างที่เขาไม่คิดว่าเจ้าของใบหน้าน่ารักอย่างนั้นจะสามารถเป็นได้

     

     

    เดี๋ยว... เขาเผลอชมผู้ชายด้วยกันว่าน่ารักอีกแล้วอย่างนั้นหรือ

     

     

    “เป็นอะไรไปชานยอล” อี้ชิงที่เพิ่งมาใหม่เอ่ยถาม มองคนที่ถือแก้วค้างไว้ไม่ยอมวางด้วยสายตาแปลกจนอีกสองคนเริ่มมองตาม

     

     

    “ไม่มีอะไร มาช้านะ” ชานยอลเปลี่ยนเรื่อง หากไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ยังนึกสนใจคนที่นั่งอยู่โต๊ะทางนั้นอยู่ตลอด ผู้ชายคนนั้นมากับใครกัน เป็นคนที่ดูดีใช่ย่อย ให้ความรู้สึกคล้ายๆ กันทั้งคู่

     

     

    แอบมองได้ไม่ทันไร เจ้าของชุดสูทฮิวโก้บอสที่ตกเป็นเป้าสายตาอยู่นานก็เหมือนจะรู้ตัวในที่สุด ตาเรียวรีนั้นมองสบเขา ก่อนริมฝีปากจะแย้มออกเป็นรอยยิ้มเล็กๆ แล้วก้มลงให้ความสนใจกับเมนูอาหารต่อ ชานยองคิดอยากฟุบหน้าหนีเสียตั้งแต่ตรงนี้ แต่ถ้าเขาทำอย่างนั้น อีกฝ่ายคงได้คิดว่าพนักงานใหม่ในบริษัทคนนี้เป็นโรคจิตแน่

     

     

    แต่ถ้าคนคนนั้นทำงานอยู่ที่เดียวกัน... ทำอยู่แผนกไหนกันนะ

     

     

    สุดท้ายแล้วเขาก็ปล่อยให้ตัวเองเมาจนได้ ถึงจะไม่ขนาดคอพับหรือไม่ได้สติ แต่ชานยอลก็คิดว่าการตื่นเช้าแล้วไปทำงานเป็นวันที่สองได้อย่างกะปรี้กะเปร่าคงเกิดได้ยากเต็มที มือใหญ่กวักเอาน้ำจากก๊อกมาลูบหน้า ตั้งใจให้สร่างเพื่อจะนั่งรถไฟกลับอพาร์ตเมนท์ได้ การเสียเงินไปกับค่าแท็กซี่แพงหูฉี่ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนักสำหรับคนที่ยังทำงานไม่พ้นเงินเดือนเดือนแรก

     

     

    ประตูสุขาถูกเปิดออก ใครคนหนึ่งเดินมาเปิดก๊อกล้างมือที่อ่างข้างๆ เผยให้เห็นใบหน้าเปื้อนริ้วแดงๆ ให้ชานยอลมองผ่านกระจกได้ชัดเจน เขาเผลอตัวอีกแล้ว ทั้งนี่ยังเป็นครั้งที่สองที่อีกฝ่ายรู้ตัวว่าถูกมองเสียด้วย

     

     

    “คุณคือคนที่ทำเอกสารตกเมื่อเช้าสินะครับ”

     

     

    สาบานได้ว่าผู้ชายตัวใหญ่อย่างปาร์คชานยอลสะดุ้งคงไม่ใช่ภาพที่น่าดูนัก แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วหลังคำทักทายจากน้ำเสียงทุ้มนุ่มที่เปล่งออกมาผ่านริมฝีปากบางเฉียบ เขาเผลอจับขอบอ่างล้างมือเสียแน่น ใจเต้นไม่เป็นส่ำอย่างแปลกประหลาดเมื่อถูกจู่โจมโดยไม่ทันคาดคิด

     

     

    “ครับ...”

     

     

    “เห็นว่าคุณมองอยู่น่ะครับ ก็เลยพยายามนึกแทบตายว่ารู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า”

     

     

    “ครับ...”

     

     

    “เราทำงานที่เดียวกันหรือครับ?”

     

     

    อีกฝ่ายปิดก๊อกแล้ว พอไม่มีสูทตัวนอกคลุมร่างกายเอาไว้ จากสายตาของปาร์คชานยอลก็ยิ่งเห็นคนตรงหน้าตัวเล็กลงไปกว่าเดิม เขาเผลอเกาแก้ม เก้ๆ กังๆ รู้สึกว่ามือทั้งสองข้างกลายเป็นอวัยวะแสนเกะกะไปเสียอย่างนั้น

     

     

    “คิดว่าอย่างนั้นครับ -- ผมเพิ่งเข้ามาทำงานใหม่น่ะครับ”

     

     

    “ถึงว่า...” คนที่น่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานใหม่คลี่ยิ้ม “ผมไม่คุ้นหน้าคุณเลย”

     

     

    “ครับ...”

     

     

    ยังไม่ทันจะได้คุยอะไรกันต่อ โดคยองซูก็เข้ามาในห้องน้ำ บอกชานยอลว่าเสร็จธุระแล้วให้เรียกพนักงานมาคิดเงินได้เลย ระหว่างที่รับคำของเพื่อน คนที่สนทนากับเขาอยู่ก่อนหน้าก็เลี่ยงเดินออกไปจากห้องน้ำก่อนเสียแล้ว ชานยอลเสียดายโอกาสเมื่อสักครู่นี้นิดหน่อย หรืออันที่จริงก็คือเขาไม่ค่อยเข้าใจความกังวลของตัวเองนัก ในเมื่อทำงานบริษัทเดียวกัน อย่างไรก็คงมีโอกาสให้ทำความรู้จักอีกมากอยู่แล้ว

     

     

    คยองซูกลับมาถึงโต๊ะพอดีกับที่พนักงานนำบิลมาวางให้ พวกเขาตัดสินใจแยกย้ายกันกลับหลังจากนั้น คยองซูไปทางหนึ่ง ส่วนจงแดกับอี้ชิงจะนั่งแท็กซี่กลับด้วยกันอีกทางหนึ่ง ส่วนชานยอลเองตั้งใจว่าจะกลับรถไฟฟ้าอย่างขามา เขาเช่าอพาร์ตเมนท์ใหม่อยู่ใกล้บริษัทแค่ไม่กี่สถานี

     

     

    หลังแยกย้ายกับเพื่อนที่หน้าร้านก็พบคนในชุดสูทสีเทาเข้มกำลังช่วยประคองผู้ชายที่ดื่มด้วยกันออกมาพร้อมส่งขึ้นแท็กซี่เสร็จสรรพ คนคนนั้นคงเมาน่าดู เหลือแค่ปาร์คชานยอลกับคนที่ทำให้เขาใจเต้นอย่างไร้เหตุผลกำลังยืนอยู่ริมถนน

     

     

    “กลับทางรถไฟหรือเปล่าครับ?”

     

     

    ชานยอลชะงักไปเล็กน้อย “อ้อ ครับ... ผมว่าจะเดินไปสถานี”

     

     

    เมื่อได้ยินคำตอบจากปากเขา คนตรงหน้าก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าปกติแล้วผู้ชายคนนี้มนุษยสัมพันธ์ดีกับทุกคนเลยหรือเปล่า แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็คงไม่แปลกกระมัง

     

     

    “โชคดีจังเลยครับที่มีเพื่อนเดิน”

     

     

    “ครับ...” ให้ตาย เขาจะเอาแต่ตอบรับแบบนี้คงไม่ดี ครั้นจะให้ชวนคุยก็คิดว่ามันช่างยากกว่าทุกทีอีก “คุณลงสถานีไหนหรือครับ” ละลาบละล้วงเกินไปหรือไม่นั้นชานยอลไม่แน่ใจ แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีทีท่าที่แปลกไปจากเดิม เขาถึงได้โล่งใจขึ้นมา

     

     

    “ซังกอลครับ คุณล่ะ”

     

     

    “เอ๊ะ?” อยู่ดีๆ หัวใจมันก็ดันเต้นแรงขึ้นมาอีก อ่า... หน้าอกของเขามันกำลังสั่นหรือเปล่านะ ดีจริงๆ ที่มีเสื้อสูทช่วยปิดไว้ “ซังกอลเหมือนกันครับ”

     

     

    “หืม...” คนข้างๆ เลิกคิ้วขณะหันมามองเขา ชานยอลไม่แน่ใจอีกแล้วว่าเขาเดินช้าลงหรือคู่สนทนาก้าวขาเร็วขึ้นกันแน่ และวันนี้เขาได้รับรอยยิ้มอย่างนี้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วนะ “บังเอิญอีกแล้วนะครับ”

     

     

    “นั่นสินะครับ” เขาหัวเราะเบาๆ ในลำคอตามอีกฝ่าย นี่มันข้ามขั้นเกินไปหรือเปล่านะ... ทั้งที่ยังไม่รู้จักชื่อกันเลยแท้ๆ แต่ถ้าถามออกไปมันจะแปลกหรือเปล่า คงไม่เป็นไรใช่ไหม ครั้นอ้าปากจะถามสิ่งที่คิด

     

     

    “ผมชื่อบยอนแบคฮยอนครับ”

     

     

    -- เขาก็พบว่าตัวเองอาจถูกอ่านใจออกจนทะลุปรุโปร่งก็เป็นได้

     

     

    “ปาร์คชานยอลครับ เพิ่งเข้าทำงานที่แผนกการตลาด”

     

     

    “ยินดีที่ได้รู้จักครับชานยอล”

     

     

    มือเรียวสวยที่ตัดเล็บเป็นทรงมนอย่างเรียบร้อยกำลังยื่นมาหาเขา ทั้งคู่ค่อยๆ เดินช้าลงจนหยุดยืนนิ่งระหว่างทาง ทางลาดลงสู่ถนนใหญ่อีกฝั่งไม่ค่อยมีคนเดินผ่าน แต่ทั้งแสงไฟและเสียงรถกลับเด่นชัด มันอื้ออึงเสียจนเหมือนว่าทั้งโลกของผู้ชายที่ชื่อปาร์คชานยอลกำลังหยุดนิ่งอย่างไรอย่างนั้น

     

     

    เขาไม่อยากจับมือตอบเพราะกลัวว่าคนตรงหน้าจะรู้ถึงอาการปั่นป่วนข้างในนี้ ถึงจะคิดอย่างนั้นก็ตามที หากความอุ่นจากมือของบยอนแบคฮยอนกลับหยุดทุกอย่างเอาไว้ กลบเสียงรถ แสงไฟ และความฟุ้งซ่านทั้งหมดให้พุ่งตรงไปที่ดวงตาเรียวรีสีเข้ม มองริมฝีปากบางที่เชิดขึ้นน้อยๆ กำลังหยักยิ้มกว้างกว่าเดิม

     

     

    “ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”

     

     

     

     

     

     

     

    นอกจากชื่อแล้ว ปาร์คชานยอลก็ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นเลยสักนิดเดียว ตลอดทางกลับบ้านเมื่อคืนนี้กลับเป็นฝ่ายเขาเสียเองที่ถูกถามถึงการทำงานวันแรก ทัศนคติที่มีต่อบริษัท รวมถึงมหาวิทยาลัยที่เรียนจบมา พอได้จังหวะจะถามคืนบ้างรถไฟก็มาถึงสถานีพอดิบพอดี ความบังเอิญของทั้งสองคนจบลงที่สถานีซังกอลเมื่อแบคฮยอนบอกลาและแยกกลับอีกทาง

     

     

    ชานยอลรู้สึกปั่นป่วนในใจจริงๆ เขาหาทางแก้ไขมันไม่ได้และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรมาจนถึงวันนี้ด้วย ถึงจะรู้ว่าทำงานบริษัทเดียวกันก็ตามแต่กลับไม่เคยเจอแบคฮยอนสักครั้ง จนกระทั่งล่วงเข้าสัปดาห์ถัดมา ใกล้วันที่จะต้องเข้าประชุมแล้วทุกที

     

     

    จุนมยอนเองคงรู้สึกผิดที่คะยั้นคะยอน้องใหม่อย่างเขาแบบนี้ถึงกลับคำเอาว่าไม่ต้องจริงจังนักก็ได้ แต่ว่าสิ่งนี้ก็กลายเป็นงานของเขามาตลอดหนึ่งสัปดาห์กว่าแล้ว เจ้าขวดซอสปรุงรสฉลากสีเหลืองทรงหยดน้ำตั้งแน่นิ่งอยู่บนโต๊ะทำงาน ตลกสิ้นดีที่จะบอกว่าหลายวันมานี้เขาเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตจนเหมือนชายหนุ่มชอบจ่ายตลาด ทั้งยืนจ้องชั้นวางของผลิตภัณฑ์บริษัทตัวเอง สำรวจพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค ไปจนถึงพินิจพิเคราะห์วิธีการของคู่แข่ง

     

     

    เขากดย้อนดูโฆษณาบนจอคอมพิวเตอร์เป็นรอบที่ยี่สิบ เหมือนจะเข้าใจเหตุผลที่ยอดขายลดลงแต่ก็ยังคิดไม่ตกว่าสิ่งที่จะใช้นำเสนอในที่ประชุมวันรุ่งขึ้นมันดีแล้วหรือไม่ ถึงจะเป็นการประชุมภายในแผนกแล้วท่านประธานแค่ลงมาฟังด้วย แต่จะมองมุมไหนมันก็สำคัญไม่ต่างจากการประชุมใหญ่อยู่ดี

     

     

    คนอื่นๆ ในแผนกกลับไปตั้งแต่เมื่อหลายชั่วโมงก่อน เหลือเพียงปาร์คชานยอลที่ตัดสินใจปิดคอมพิวเตอร์หลังเซฟไฟล์ใส่แฟลชไดร์ จุนมยอนบอกว่าถ้าเกินสองทุ่มประตูด้านหน้าจะปิด ให้ออกทางลานจอดรถไปโผล่ด้านข้างบริษัทแทน อาจต้องเดินไกลกว่าเดิมนิดหน่อยแต่ชานยอลก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นปัญหาอะไร ตอนนี้สี่ทุ่มครึ่ง นอกจากพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ชั้นล่างแล้ว เขาคงเป็นคนสุดท้ายในตึกนี้กระมัง

     

     

    หนุ่มตัวสูงหาวหวอดขณะก้าวอาดๆ ไปตามทางเดิน ถึงจะยังมีไฟส่องสว่างอยู่ แต่พอมองไปด้านข้างที่เคยคาคั่งไปด้วยผู้คนถูกปิดไฟมืดแล้วก็รู้สึกวังเวงไม่น้อย เขาไม่กลัวผี ใครถามก็คงตอบไปว่าอย่างนั้น แต่ตามสัญชาตญาณมนุษย์แล้วพอตกอยู่ในบรรยากาศชวนให้คิดถึงสิ่งลึกลับ คำว่าไม่กลัวที่พูดได้อย่างสนุกปากตอนไม่ได้อยู่คนเดียวก็กลับถูกกลืนหายลงคอ

     

     

    “...” ถ้ามีอะไรโผล่ออกมาจริงๆ คงแย่แน่

     

     

    ขายาวเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น รอลิฟท์จากชั้นล่างสุดขึ้นมาถึงอย่างใจจดใจจ่อ เงาวูบไหวตรงทางเข้าห้องน้ำนั่นชานยอลจะแกล้งทำเป็นไม่เห็น แต่ยิ่งตั้งใจอย่างนั้น เสียงแปลกๆ คล้ายคนครวญครางก็ดังแว่วมาเป็นระยะ เขายกมือขึ้นทาบอก หายใจเข้าออก มองตัวเลขสีแดงเหนือประตูลิฟท์ที่ค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้น

     

     

    ใจมันไม่สงบ ชานยอลรู้ตัวเช่นนั้น เขาหงุดหงิดตัวเองจริงๆ ที่กำลังปอดแหกในสิ่งพิสูจน์ไม่ได้ ต่อให้เจอแล้วอย่างไรล่ะ สิ่งนั้นจะทำอะไรมนุษย์ได้อย่างนั้นหรือ

     

     

    ท้ายแล้วชายหนุ่มก็คิดว่าเขาควรชนะใจตัวเอง หากลึกๆ ในใจก็ยังหวังให้บริเวณห้องน้ำมีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีอะไรโผล่ออกมา แค่ดูแล้วเขาก็จะกลับมาที่ลิฟท์ กลับบ้าน ข่มตาหลับเพื่อตื่นมาเตรียมใจสำหรับการประชุมในวันรุ่งขึ้น

     

     

    มันไม่มีอะไร หัวใจร่ำร้องอย่างนั้น

     

     

    ยิ่งเข้าไปใกล้ก็ยิ่งเห็นเงาวูบไหว ถึงจะเป็นผู้ชายตัวสูงอย่างไร แต่กับสิ่งที่ไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรก็เป็นอีกเรื่อง เขาสั่งให้ตัวเองเปลี่ยนใจ หันหลังกลับ พอดีกับที่เสียงเรียกจากลิฟท์ดังติ๊งขึ้นมา

     

     

    “แบคฮยอน...”

     

     

    “...”

     

     

    เขาได้ยินเสียงพูดชื่อที่คุ้นเคย ยังไม่ทันจะตัดสินใจอะไร ขามันก็ก้าวต่อไปเองจนถึงทางเลี้ยวเข้าห้องน้ำเสียแล้ว

     

     

    เจ้าของชื่อนั้นหันมามองเขา หรืออันที่จริงอาจจะเป็นเพราะเสียงลิฟท์ที่ดังขึ้นอย่างพอดิบพอดีเพราะมีคนกดเรียกก็เป็นได้ ถ้าเป็นสถานการณ์ที่มีแค่สองคนแล้วชานยอลคงเต็มให้เรียกมันว่าความบังเอิญอีกครั้ง เพียงแต่ภาพตรงหน้ากลับเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับอะไรในโลกที่เขาพิเรนทร์พอจะนึกถึง

     

     

    บยอนแบคฮยอนคุกเข่าอยู่ในชุดสูทแบรนด์ฮิวโก้บอสมากรสนิยมอย่างวันนั้น หากเรือนผมกลับยุ่งเหยิงไปด้วยมือสีแทนของใครอีกคน ริมฝีปากบางที่เคยยิ้มเป็นมิตรให้เขาเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำสีขาวข้น มันเลอะไปทั้งแก้ม ไหลย้อยจนถึงคาง ดวงตาสีเข้มไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา มือเรียวสวยจับรั้งอยู่กับสะโพกของชายที่ยืนพิงผนังซึ่งมีสีหน้าตื่นตระหนก เป็นผู้ชายผิวแทนคนเดียวกับที่ชานยอลจำได้ว่าเจอพร้อมแบคฮยอนในบริคบาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

     

     

    “ปล่อยก่อน!” ชายคนนั้นปัดมือของแบคฮยอนออกเบาๆ ก่อนจะรีบดึงกางเกงขึ้นสวมจนเกิดเสียงหัวเข็มขัด หากคนถูกสั่งกลับค่อยๆ ใช้หลังมือปัดคราบบนริมฝีปาก สายตาไม่ละจากบุคคลที่สามเช่นเขาไปแม้แต่วินาที

     

     

    “ขอโทษครับ...”

     

     

    ชานยอลคิดออกเพียงเท่านั้น เขาไม่น่าเดินมาตรงนี้เลย ไม่น่าทำอะไรงี่เง่าและขึ้นลิฟท์กลับบ้านไปแต่แรก ปล่อยให้วันนี้เป็นวันปกติเช่นเดียวกับทุกวันที่ผ่านมา มือใหญ่กดปุ่มหน้าลิฟท์อีกครั้งก่อนจะพาตัวเข้าไปในกล่องสี่เหลี่ยมแคบๆ ใบหน้าของเขาร้อนฉ่า เห็นมันแดงไปถึงใบหูและลำคอจนต้องยกมือขึ้นปิดหน้าเอาไว้

     

     

    ภาพสายตาเรียบเฉยและคราบน้ำรักเปรอะเปื้อนนั่น... ไม่ว่าอย่างไรก็ซ้อนทับกับภาพที่คนคนนั้นยื่นมือมาให้ไม่ลงเลยจริงๆ ทั้งรอยยิ้มมากไมตรี เสียงทุ้มนุ่มที่ชวนคุย --

     

     

    จนถึงเมื่อสักครู่นี้... บยอนแบคฮยอนเป็นแบบไหนกันแน่

     

     

     

     

    TBC

     

     

     

    --------------------

    คิดล่ะสิว่า... โอ้อะฮ่าจะกล้าพลิกเรือแน่เร้อ..... (หัวเราะแลง)

    จะมาไว มาเร็ว มาแรงแค่ไหน กราบเรียนตรงๆ เลยว่าขึ้นอยู่ความกรุณาของท่านผู้อ่านแล้วกันค่ะ

    ช่วงนี้ใจบางอะ  ( ̄ε(# ̄)

     

    #OHARHAFIC

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×