ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) I SAW THE DEVIL | chanbaek

    ลำดับตอนที่ #2 : 01 | TO: THE SHORT MEMORIES

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 332
      3
      14 พ.ค. 59

     

     

     

    I SAW THE DEVIL

    (CRIME/TRILLER)

    CHANYEOL | BAEKHYUN

     

     

     

    ( 1 )

    ‘TO: THE SHORT MEMORIES’

     

     

     

     

    หลังการอยู่ให้ปากคำเพื่อเป็นประโยชน์ในการนำจับต่อไป บยอนแบคฮยอนก็ขอปลีกตัวจากกองสืบสวนเพื่อตรงดิ่งไปโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยชองบุก ใช้เวลาขับรถราวยี่สิบนาทีจากสถานีตำรวจก็ถึงที่หมาย นายตำรวจหนุ่มกดปุ่มหน้าลิฟท์ประจำตึกผู้ป่วยในก่อนจะรอจนเจ้ากล่องสี่เหลี่ยมเคลื่อนตัวลงมาถึงชั้นหนึ่ง เขารอกระทั่งคนในลิฟท์เดินออกจนหมดแล้วจึงพาตนเองเข้าไป กดปุ่มเลือกหมายเลขชั้นอีกครั้ง

     

    เท้าก้าวไวๆไปจนถึงห้องผู้ป่วยพิเศษที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบสองคนยืนเฝ้าอยู่ แบคฮยอนจำได้ทั้งคู่คือคนของสน.วังจู เจ้าของท้องที่ที่เกิดเหตุ แล้วดูเหมือนว่านายตำรวจสองคนก็จำเขาได้เช่นกันจึงโค้งหัวเล็กน้อยเป็นการทักทาย

     

    แบคฮยอนโค้งตอบ ก่อนจะออกปากถามถึงคนข้างในไม่ให้เป็นการเสียมารยาท เขาไม่ควรบุ่มบ่ามเข้าไปทันที “เด็กคนนั้นเป็นอย่างไรบ้างครับ”

     

    “ยังช็อกอยู่เลย” เจ้าของป้ายห้อยคอเจ้าหน้าที่ชิมตอบ “ตอนนี้อยู่กับนักจิตวิทยา ต้องรอให้อาการดีขึ้นก่อนถึงจะพาไปสอบปากคำที่สำนักอัยการได้”

     

    “แล้วพ่อแม่แกล่ะครับ”

     

    ถึงตรงนี้ เจ้าหน้าที่ชองถอนหายใจก่อนจะส่ายศีรษะไปมาเบาๆ “ไม่มีน่ะซี เป็นเด็กกำพร้าอยู่กันสองพี่น้อง เหยื่อคือพี่สาวที่เป็นนักข่าว”

     

    ความเงียบโรยตัวลงมาโดยฉับพลัน เจ้าหน้าที่จากเขตวังจูทั้งสองหลีกทางให้เขาเปิดประตูเข้าไปข้างในห้อง เห็นหญิงสาววัยกลางคนในชุดสูทสุภาพและกระโปรงสอบยาวถึงเข่ากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้เยี่ยมข้างเตียง ส่วนเด็กคนเมื่อคืนค่อยๆเงยหน้าหน้าขึ้นมองเขา แบคฮยอนยิ้มให้นักจิตวิทยาที่ลุกหลีกทางไปนั่งตรงโซฟา ก่อนจะหันกลับมามองผ้าพันแผลรอบศีรษะเด็กน้อยในชุดผู้ป่วย

     

    “เป็นอย่างไรบ้างเรา”

     

    คนตรงหน้าไม่ตอบ หากแต่โค้งตัวลงร้องไห้โฮแล้วยื่นมือมาขยำเสื้อเชิ้ตของเขาเอาไว้เป็นหลักยึด นักจิตวิทยาทำท่าจะเข้ามาช่วย แต่แล้วก็ถอยกลับไปนั่งที่เดิมเมื่อเห็นเขาโอบวงแขนกอดปลอบเด็กน้อยพร้อมทั้งกระซิบกระซาบปลอบโยนไปด้วย แบคฮยอนค่อยๆทิ้งสะโพกนั่งกับขอบเตียง ทำเช่นเดิมซ้ำๆกระทั่งเสียงสะอื้นไห้ค่อยๆเงียบลง

     

    “ไม่เป็นไรแล้ว พี่อยู่กับเธอตรงนี้นะ”

     

    เขารินน้ำใส่แก้วแล้วป้อนให้ดื่ม ริมฝีปากยังขยับพูดให้กำลังใจไม่ขาด จากแฟ้มคดี พยานและผู้เสียหายคนนี้ก็คือปาร์คชานยอล วัยสิบปีห้าเดือน อาศัยอยู่กับพี่สาวที่อพาร์ตเมนต์ในเขตวังจู โดยปาร์คยูรา ผู้เป็นพี่สาวทำงานเป็นผู้สื่อข่าวในสถานีท้องถิ่นเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวที่เหลือกันเพียงสองพี่น้องเพราะสูญเสียพ่อแม่จากอุบัติเหตุตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อน

     

    เช่นนั้นแล้วแบคฮยอนจึงรู้แก่ใจดี ไม่ว่าคดีนี้จะจบลงอย่างไร ชานยอลก็ต้องลงเอยด้วยการไปอยู่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า เว้นแต่จะมีญาติผู้ใหญ่แสดงตัวขอรับเลี้ยง ซึ่งถ้าอ้างอิงจากเหตุการณ์เมื่อสี่ปีก่อนที่ปาร์คยูราต้องกลายเป็นเสาหลักให้น้อง เขาคิดว่าคงไม่มีญาติผู้ใหญ่คนไหนอีกแล้ว

     

    นอกจากร้องไห้ เด็กชานยอลก็ไม่พูดอะไรกับใครอีกเลย ลำพังแค่อ้าปากยอมให้ป้อนอาหารก็ดีเท่าไรแล้ว ดวงตากลมโตนั้นแดงก่ำจากการเสียขวัญ แผลจากการถูกก้อนหินตีเข้าที่ศีรษะไม่น่าเป็นห่วงอย่างที่กลัว แต่แพทย์ก็แนะนำให้ดูอาการเพื่อสแกนสมองอีกที

     

    ราวบ่ายสามโมงเย็น นายตำรวจหนุ่มก็ขอตัวกลับเพราะถูกแฟนสาวโทรตามเป็นครั้งที่สี่ เขาเลี่ยงที่จะคุยกับเธอขณะขับรถ แต่เมื่อไปถึงบ้านของคังโซยอน ทั้งคู่ก็ต้องทะเลาะกันอย่างรุนแรงจนตัดสินใจว่าจะปล่อยให้ระยะห่างทำงานของมันไปสักพัก แบคฮยอนจำต้องขับรถผ่านจุดเกิดเหตุเมื่อคืนระหว่างกลับคอนโดมิเนียมในเขตชอนจูของตนเอง นั่นทำให้เขารู้สึกผิดและสะเทือนใจอย่างสุดกลั้นอีกครั้ง นึกโกรธแค้นเจ้าฆาตกรต่อเนื่องคนนั้นจนตัดสินใจได้ว่าจะพาตัวเองเข้าสู่ทีมสืบสวนของคดีนี้ให้จงได้

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    สองวันต่อมา ปาร์คชานยอลถูกพาตัวไปยังสำนักอัยการในเขตชอนจูเพื่อให้ปากคำเกี่ยวกับเหตุสะเทือนใจในคดีนั้นอีกครั้ง แบคฮยอนถึงกับแปลกใจตอนที่ตนเองถูกเรียกตัวอย่างเร่งด่วนในฐานะบุคคลที่พยานให้ความไว้วางใจ หากเขาก็ได้แต่นั่งเงียบๆอยู่ข้างชานยอลโดยที่มีเจ้าหน้าที่สืบสวน อัยการ และนักจิตวิทยาเด็กรายล้อม เมื่อได้ฟังความเป็นมาจากปากคนในเหตุการณ์แล้ว ความโกรธแค้นในใจเขาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นหลังรู้ว่าฆาตกรทำอะไรกับสองพี่น้องผู้ไร้ทางสู้ลงไปบ้าง

     

    คืนเกิดเหตุ ยูราขับรถไปรับชานยอลที่โรงเรียนสอนพิเศษหลังจากเธอเลิกงาน แล้วโชคร้ายก็มาเยือนเมื่อรถเกิดเสียกลางทางโดยไม่ทันตั้งตัว ถึงจะโทรเรียกอู่ซ่อมเพื่อขอความช่วยเหลือแล้ว แต่ความเปลี่ยวของถนนที่รายล้อมด้วยป่าก็ไม่ทำให้เธอวางใจนัก

     

    ระหว่างรอช่างซ่อม แสงไฟจากรถคนอื่นปรากฏขึ้นบนถนน ก่อนรถแวนสีขาวจะค่อยๆขับเลียบเข้ามาใกล้พร้อมทั้งถามไถ่ตามประสา ยูราเล่าความโชคร้ายของเธอและน้องตามจริง ชายในฮู้ดสีเทาเข้มบนรถแวนจึงเสนอความช่วยเหลืออย่างน่าซึ้งใจ ด้วยเหตุผลที่ยูราเห็นพ้องต้องกันว่าบริเวณนี้ช่างอันตรายนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อช็อลลาเหนือกำลังมีข่าวฆาตกรรมต่อเนื่องที่ไม่สู้ดีอยู่ด้วย

     

    ปาร์คยูราชั่งใจว่าเธอควรจะต้องรอช่างซ่อมอยู่ที่นี่หรือไม่ แต่เมื่อหันไปเห็นน้องชายที่นั่งหิวและอึดอัดกับบรรยากาศในรถไม่ติดเครื่องเต็มทีเธอจึงใจอ่อน ยูรารับความช่วยเหลือจากชายแปลกหน้าว่าเขาจะแวะส่งเธอที่ตัวเมืองชอนจูแล้วรอโทรศัพท์ติดต่อกับช่างจากตรงนั้นคงดีกว่าเป็นไหนๆ เพราะเจ้าของรถแวนเองก็กำลังจะเข้าเมืองเช่นกัน

     

    สองพี่น้องลงจากรถและสำรวจความเรียบร้อยอีกครั้ง จากนั้นจึงขึ้นไปนั่งด้วยกันที่เบาะหลังของรถชายแปลกหน้า ก่อนรถแวนสีขาวจะเคลื่อนตัวออกอีกครั้งพร้อมบทสนทนาที่ชวนให้บรรยากาศผ่อนคลายไปตลอดทาง ชานยอลได้ลูกอมรสน้ำผึ้งมาสองเม็ด แต่ในขณะที่กำลังจะแกะกิน ไฟหน้ารถก็ค่อยๆดับลงจนแทบไม่เห็นทาง เสียงเครื่องยนต์ติดๆดับๆก่อนจะเงียบไปพอดีกับที่ชายแปลกหน้าหักรถเข้าข้างทางได้พอดิบพอดี

     

    เขาบ่นกระปอดกระแปดถึงความโชคร้ายของทั้งสามคนในคืนนี้ ยูราทั้งขอโทษและขอบคุณด้วยความเกรงใจ สองพี่นั่งรอด้วยกันบนรถโดยที่ผู้ชายเพียงคนเดียวบอกจะลงไปดูเครื่องสักหน่อย เขาง่วนอยู่กับกระโปรงหน้ารถ ก่อนจะเดินเข้ามาขอความช่วยเหลือให้ยูราเปลี่ยนไปคอยสตาร์ทรถตรงที่นั่งคนขับให้หน่อย

     

    พี่สาวของชานยอลลงจากรถอย่างเต็มใจ แต่ในขณะที่เธอกำลังจะเปิดประตูฝั่งคนขับ ร่างก็ถูกฉุดกระชากออกไปและกระแทกศีรษะเข้าที่ตัวรถอย่างแรง เธอกรีดเสียงร้องจากการถูกทำร้าย เมื่อโดนจับกระแทกอีกสองครั้งกับต่อยท้องน้อยแรงๆหนึ่งที หญิงสาวก็ล้มลงไปนอนขดตัวหมดแรงกับพื้นถนน ส่วนชายแปลกหน้ารุกคืบเข้ามาที่เบาะหลัง แปะเทปกาวปิดปากเด็กชายที่ร้องโวยวายแล้วมัดมือมัดเท้าจนแน่นหนา

     

    ชานยอลส่งเสียงร้องอู้อี้หลังจากประตูรถถูกกระแทกปิด พยายามมองผ่านหน้าต่างออกไปก็เห็นพี่สาวถูกลากหายลับเข้าไปในป่า หลังจากนั้นอีกพักใหญ่ รถยนต์อีกคันก็แล่นเข้ามาจอดใกล้ๆ ก่อนจะมีผู้ชายอีกคนพยายามเคาะกระจกเรียกจากข้างนอก

     

    และคนคนนั้นก็คือบยอนแบคฮยอน ความโชคดีเพียงอย่างเดียวในค่ำคืนที่แสนโหดร้ายของเด็กชายปาร์ค

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    คดีถูกโอนกลับมาที่สน.ชอนจู ภาพสเกตช์จากผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวไม่ตรงกับฐานข้อมูลอาชญากรที่ทางตำรวจมีอยู่เลย ครั้นนำไปเช็กกับกรมการขนส่งก็ไม่เจอผู้ต้องสงสัยอีก รถแวนสีขาวซึ่งเป็นของกลางในคดีมีการตรวจพบว่าถูกแจ้งความว่าโดนขโมยตั้งแต่หนึ่งสัปดาห์ก่อน ข้อมูลที่ตำรวจมีกลับไปเท่ากับศูนย์อีกครั้งเมื่อไม่สามารถสาวถึงตัวคนร้ายได้

     

    “ตรวจสอบทุกโรงพยาบาลในจังหวัดแล้วครับ มีผู้เข้ารักษาบาดแผลที่มือเจ็ดคน แต่สามคนเป็นผู้หญิง อีกสองคนแผลเกิดจากของมีคม ส่วนที่เหลือมีรายงานประกันว่าเกิดจากอุบัติเหตุเครื่องมือในโรงงานครับ” สิบตำรวจโทคนหนึ่งในกองสืบสวนรายงานผลจากคำสั่งเมื่อสามวันก่อน ตามคำให้การของร้อยตำรวจโทบยอนที่ปะทะกับคนร้ายแล้ว ผู้กองอีก็ลงความเห็นว่าฆาตกรต้องไปรักษาอาการบาดเจ็บที่สถานพยาบาลสักแห่ง

     

    “เป็นไปได้ไหมครับว่ามันจงใจเลี่ยงโรงพยาบาลใหญ่ๆ เพราะรู้ว่าเราจะสืบไปถึง” แบคฮยอนพาตัวเองเข้าสู่ทีมสืบสวนได้สำเร็จ เดิมทีคำพูดของตำรวจจบใหม่อย่างเขาไม่ค่อยมีน้ำหนักมากนัก เว้นเสียแต่คดีนี้ที่แบคฮยอนได้กลายเป็นพยานคนสำคัญรองจากเด็กชายปาร์ค

     

    “คุณหมายถึงพวกคลินิกหรือ”

     

    น้องใหม่ในที่นี้พยักหน้ารับ “ครับผู้กอง ต่อให้เป็นคลินิกเล็กๆก็สามารถทำแผลได้สบายอยู่แล้ว”

     

    “ถ้าเป็นแบบนั้นก็แย่หน่อย เพราะมีคลินิกอีกเป็นร้อยแห่งให้เราตามสืบ” ผู้กองอีตบเอกสารในมือลงกับโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์นัก ก่อนจะเรียกจ่าโทให้เลิกก้มหน้าจมกระดาษเสียที “เดี๋ยวคุณรับหน้าที่ลงไปดูพวกคลินิกทั่วๆไปหน่อยนะ จะใหญ่จะเล็กก็ดูให้หมดว่ามีบันทึกที่ใกล้เคียงกับอาการบาดเจ็บของคนร้ายหรือเปล่า เอาคนไปช่วยอีกสักคนสองคนก็ได้”

     

    แบคฮยอนมองกระดานปักหมุดบนผนังด้านหนึ่งของห้อง มีภาพถ่ายของเหยื่อทั้งหกถูกแปะเอาไว้ตามเครื่องหมายบนแผนที่วาดมืออย่างคร่าวๆ เชือกทั้งสามสีถูกสลับกันใช้โยงแต่ละจุดเกิดเหตุเข้าด้วยกัน ผู้ตายไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยสักคน และกองสืบสวนก็พยายามหาจุดร่วมอย่างเช่นลักษณะภายนอกหรือว่าปูมหลัง

     

    เมื่อเหลือกันอยู่แค่สองคนในห้องประชุมเล็ก ก่อนจะได้รวบเก็บเอกสารและเดินออกไป ผู้กองอีก็เรียกเขาเอาไว้เสียงเครียด

     

    “คุณคิดอย่างไรกับคดีนี้” แบคฮยอนทวนคำถามในใจขณะเงยขึ้นมองกระดานบันทึกรูปคดีอีกครั้ง “เรายังขาดอะไรไป ถึงไม่ทันมันสักที”

     

    “ไม่รู้สิครับ” เขาตอบไม่หนักแน่น “ผมรู้สึกเหมือนเรากำลังหลงทาง”

     

    “หลงทางหรือ”

     

    “ผมไม่คิดว่าคนร้ายจะสุ่มหาเหยื่อแล้วลงมือทันทีครับ บางทีมันอาจไม่ได้พกริบบิ้นติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา หรือแค่เดินตามใครไปเรื่อยๆแล้วหาโอกาสฆ่า” มือที่กระชับแฟ้มเอกสารเอาไว้บีบแน่นจนชื้นเหงื่อ ในหัวยังวนเวียนถึงสิ่งที่เด็กชานยอลเล่า และสาเหตุที่ไม่เหลือหลักฐานให้สาวถึงตัวคนร้ายแม้จะผ่านมาถึงหกคดีแล้ว “เป็นไปได้ไหมครับที่มันจะวางแผน

     

    คราวนี้ผู้กองอีขยับตัวนั่งหลังตรง ไม่ได้ผายมือเชิญให้เขานั่งเก้าอี้อีกครั้ง หากดวงตาของชายวัยกลางคนกลับสั่นระริกด้วยความตื่นเต้น

     

    “ผม... ยังไม่กล้ามั่นใจกับความคิดนี้หรอกครับ แต่ถ้าเราสามารถหาจุดร่วมของเหยื่อแต่ละคนได้ ผมเชื่อว่าเราจะใกล้ทางออกของคดีนี้มากขึ้นกว่าเดิมแน่นอน”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    สื่อเรียกคดีนี้ว่าฆาตกรรมริบบิ้นแดง ข่าวของปาร์คยูราเด่นหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์อีกร่วมเดือน กระทั่งค่อยๆถูกแย่งชิงพื้นที่หน้าหนึ่งไปด้วยข่าวอื่นในที่สุด ระหว่างนี้ยังไม่มีเหยื่อรายที่เจ็ดเกิดขึ้น แต่ก็น่ากลัวว่าภายในระยะเวลาสองถึงสามเดือนนี้ ตำรวจจะต้องถูกโจมตีอย่างหนักอีกรอบแน่นอน

     

    แบคฮยอนเลือกจอดรถบริเวณจุดที่มีชายคากันแดด เขาซื้อขนมติดไม้ติดมือมาสามถุง ติดต่อเจ้าหน้าที่หญิงสาวบริเวณโถงด้านหน้าก่อนจะเดินตามเธอไปยังสนามหญ้าด้านในที่รายล้อมด้วยอาคารตรงตัวยู ตาเรียวรีกวาดมองเด็กชายวัยสิบขวบที่น่าจะเล่นกับเพื่อนใหม่อยู่ตรงไหนสักแห่ง แต่แล้วก็ผิดคาด เมื่อปาร์คชานยอลอยู่กับหนังสือเล่มเดิมที่ได้จากเขาตอนอยู่โรงพยาบาล อ่านมันซ้ำเป็นรอบที่สองโดยอาศัยต้นไม้ใหญ่เป็นร่มเงา

     

    นายตำรวจหนุ่มตั้งใจจะเดินเข้าไปหา แต่ชานยอลก็หันมาเห็นและเป็นฝ่ายวิ่งเหยาะๆมาทางอาคารเสียก่อน คนแก่กว่าร้องบอกให้ระวังลื่นบันไดหินอ่อน กระทั่งร่างสูงถึงข้อศอกมาหยุดอยู่ตรงหน้า ทิ้งตัวกับม้านั่งริมระเบียงทางเดินติดกับสวน

     

    “พี่ซื้อขนมฮันกวามาฝากด้วย”

     

    ชานยอลแย้มยิ้มกว้าง มองลอดสายตาเข้าไปในถุงที่คนซื้ออ้าออกให้ดู “เยอะจังครับ”

     

    “จะได้แบ่งเพื่อนๆด้วยไง” เด็กน้อยลดสีหน้าลงเมื่อได้ยินคำถาม แน่นอนว่าแบคฮยอนเห็นชานยอลอยู่คนเดียว แต่เขาก็เลือกจะถามหยั่งเชิงออกไปอยู่ดี “เพื่อนใหม่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง เข้ากันได้ดีไหม”

     

    เด็กชายปาร์คถูกพาตัวมาอยู่ที่สถานสงเคราะห์ทันทีที่ออกจากโรงพยาบาล หรือก็คือเมื่อเกือบสองสัปดาห์ก่อน ทรัพย์สินและค่าใช้จ่ายทั้งหมดถูกโอนเป็นชื่อชานยอลแทนที่พี่สาว หากแต่มันถูกเก็บไว้อย่างดีจนกว่าเด็กจะรู้ประสามากกว่านี้ แบคฮยอนไม่รู้ระบบของที่นี่มากนัก บางทีอาจเป็นสิบห้าปีหรือว่าตอนบรรลุนิติภาวะ แต่การอยู่ในนี้ ชานยอลก็ไม่ต้องใช้เงินอยู่แล้ว

     

    แบคฮยอนเสยหน้าม้าอีกฝ่ายขึ้นไม่ให้ปรกหน้า สัมผัสโดนรอยแผลตกสะเก็ดก็นึกโทษว่าเป็นความผิดตนเองอีกครั้ง หากปากก็ยังขยับพูดเสียงอ่อนโยน

     

    “กินยาครบทุกมื้อหรือเปล่า”

     

    ชานยอลพยักหน้ารับ

     

    “ดีมาก ไม่มีใครดูแลเราได้ดีเท่ากับตัวเองหรอกรู้ไหม”

     

    เขาแวะเวียนมาเยี่ยมชานยอลทั้งหมดห้าครั้งในหนึ่งเดือน แต่ได้มาที่นี่เป็นครั้งที่สอง ถึงจะเป็นห่วงเด็กคนนี้มากเท่าไร แต่ระยะห่างระหว่างทั้งคู่ก็คือคนอื่น และเขาคิดว่าชานยอลก็คงรู้ว่าเราเป็นแค่คนแปลกหน้าที่บังเอิญมาเจอกัน แบคฮยอนให้ความเห็นเท่าที่จะให้ได้ แต่สักวันหนึ่งความเห็นใจนั้นก็จะน้อยลงแบบที่เขาไม่อยากนึกภาพมันนัก

     

    “จับคนที่ฆ่าพี่ยูราได้หรือยังครับ” เด็กชายถามเสียงเบาหวิว ทุกครั้งที่เจอกันชานยอลจะรวบรวมความกล้าเมื่อพูดมัน และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องรวบรวมความกล้าเพื่อตอบอย่างกระดากใจ

     

    “ยัง” แบคฮยอนส่ายศีรษะ “แต่ใกล้แล้วล่ะ”

     

    ไม่รู้ว่าชานยอลเชื่อคำตำรวจที่ไม่แม้แต่จะกล้าเหนี่ยวไกทันทีที่เห็นตนตกอยู่ในอันตรายหรือไม่ กระนั้นเด็กน้อยก็แค่ยิ้มรับ ก้มลงมองหนังสือเรื่องจินตนาการไม่รู้จบที่อยู่บนตักราวกับมันเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวเพียงหนึ่งเดียวในโลกแสนโหดร้ายใบนี้

     

    “ขอบคุณครับ”

     

    หากเสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังมาจากเด็กกลุ่มหนึ่งในสนาม เจ้าหน้าที่ที่ดูแลเด็กๆอยู่อีกฝั่งรีบวิ่งเข้าไปพยุงเด็กชายซึ่งถูกผลักจนหงายหลังลงกับพื้น เป็นเด็กชายผิวขาว คิ้วหนา ตาจ้องเขม็งไปทางเด็กสามคนที่เป็นผู้รุมกระทำอย่างโกรธเคือง ทั้งหมดถูกว่ากล่าวตักเตือนเรื่องทะเลาะวิวาท ก่อนจะถูกลงโทษให้ไปเก็บขยะคนละยี่สิบชิ้นและช่วยกันล้างจานหลังมื้อเย็นวันนี้

     

    ชานยอลมองภาพนั้น ริมฝีปากขยับเป็นคำพูดเลื่อนลอยให้แบคฮยอนได้ยิน “มีคนในนี้บอกว่า แม่ของคนนั้นก็ถูกฆ่าเหมือนกับพี่ยูราหรือครับ”

     

    แบคฮยอนไม่แน่ใจนัก แต่ก่อนหน้าที่เขาจะได้เข้ามาร่วมทำคดี เคยมีคนในกองสืบสวนมาคุยกับเด็กที่เป็นลูกชายของเหยื่อคนที่สามในสถานสงเคราะห์แห่งนี้ ซึ่งถ้าใช่เด็กคิ้วหนาคนที่ชานยอลว่า ก็คงเป็นลูกของโดมิจินกระมัง

     

    เขาเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่อง หยิบขนมฮันกวาขึ้นมากินกับชานยอลหนึ่งห่อและชวนคุยสัพเพเหระเท่าที่จะนึกออก ให้เล่าเรื่องจินตนาการไม่รู้จบว่าหนังสือเป็นอย่างไร สนุกไหม แล้วชานยอลก็ทำให้เขายิ้มได้ด้วยการจำเรื่องราวทั้งหมดได้ละเอียดยิบ แบคฮยอนจึงสัญญาว่าคราวหน้าจะซื้อหนังสือเล่มใหม่มาให้อีก เล่มที่เป็นของชานยอลแค่คนเดียว ไม่ต้องคอยคืนห้องสมุดเพื่อให้คนอื่นยืมต่อก็ได้

     

    “ไว้พี่จะมาเยี่ยมอีกนะ”

     

    “เมื่อไรหรือครับ” ชานยอลรั้งไว้ แบคฮยอนที่กำลังจะเดินจากไปจึงหันมามอง ทันเห็นเด็กน้อยตกใจตัวเองที่เผลอเอาแต่ใจใส่พี่ตำรวจใจดีเข้าเสียแล้ว

     

    “อืม... อาจจะวันเสาร์หน้า”

     

    ชายหนุ่มตอบทั้งรอยยิ้ม โดยที่จำไม่ได้แม้แต่ว่าตนเองผิดนัด และมาหาชานยอลอีกครั้งในวันอังคารถัดจากที่บอกไว้สามวัน

     

     

     

     

    50%

     

     

     

     

    -------------------------------------------

     

    ชอบไม่ชอบยังไง คอมเมนท์หรือติดแท็กเป็นกำลังใจให้กันได้ที่ #devilcb นะคะ

     

     

     

     

     

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×