ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) I SAW THE DEVIL | chanbaek

    ลำดับตอนที่ #1 : 00 | TO: THE HATE AND REVENGE ENDLESSLY

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 846
      6
      14 พ.ค. 59

     

     

     

    I SAW THE DEVIL

    (CRIME/TRILLER)

    CHANYEOL | BAEKHYUN

     

     

     

    ( 0 )

    ‘TO: THE HATE AND REVENGE ENDLESSLY’

     

     

     

     

     

    การเข้าเวรกลางดึกดูเหมือนจะกลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว เมื่อห้านาทีก่อน เขาชวนจ่าคิมกวางซูไปซื้อกาแฟดำในร้านสะดวกซื้อมานั่งดื่มแก้ง่วงแล้วก็กลับเข้ามาในอาคารได้ทันฝนตกเฉียดฉิว เหยียดตัวบิดขี้เกียจพลางเลื่อนดูโซเชียลเน็ตเวิร์คบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งมีภาพเพื่อนๆที่กำลังสังสรรค์กันอยู่ลานเบียร์ จะขาดก็แต่คนเบี้ยวนัดอย่างนายตำรวจหนุ่มใหม่ไฟแรง

     

    บยอนแบคฮยอนมองนาฬิกาข้อมือสลับกับนาฬิกาแขวนผนังเหนือโต๊ะนายดาบคนหนึ่ง แล้วจ่าคิมก็เอ่ยทักขึ้นมาเป็นประโยคที่เขาอยากได้ยินที่สุด นั่นก็คือจุดหมายของความเหนื่อยล้าในค่ำคืนนี้

     

    “หมวดครับ อีกครึ่งชั่วโมงก็ถึงเวลาออกเวรแล้วนะ ฮะๆ”

     

    เขายิ้มตอบแบบขอไปที ก่อนจะจัดการเคลียร์งานเอกสารบนโต๊ะหลายต่อหลายอย่างจนเลยเวลาออกเวรมาเกือบยี่สิบนาที แบคฮยอนเพิ่งได้บรรจุเข้าเป็นตำรวจเต็มตัวได้ไม่ถึงปีหลังจากจบโรงเรียนนายร้อย จะว่ากำลังมีไฟก็คงไม่ผิดนัก

     

    “พรุ่งนี้หมวดมีทำคดีอีกไม่ใช่หรือครับ กลับไปนอนพักเถอะน่า” จ่าคิมทักทายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะขอตัวกลับไปก่อน เหลือไว้เพียงนายดาบที่ทำหน้าจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่กับนายตำรวจอีกราวสี่ถึงห้าคน

     

    หลังจากนั้นไม่ถึงห้านาทีแบคฮยอนก็ตัดสินใจรวบของบนโต๊ะเก็บอย่างเป็นระเบียบในลิ้นชักและตู้เอกสารทางด้านหลัง คว้าเอาเสื้อแจ็กเกตบนเก้าอี้มาพาดไว้กับแขน หยิบกระเป๋าคู่ใจแล้วก้าวอาดๆออกจากตัวอาคารพร้อมพยักหน้ารับการความเคารพจากนายตำรวจยศต่ำกว่าที่เหลือ

     

    เงยหน้าขึ้นมองเม็ดฝนที่พากันตกลงมาไม่ขาด แบคฮยอนไม่ใช่คนพกร่มเพราะเขามีรถส่วนตัวที่อาจจะต้องตากฝนไปอีกสักยี่สิบก้าวกว่าจะถึงโรงจอดเล็กๆด้านข้างอาคาร มือยกกระเป๋าหนังอย่างดีขึ้นแทนร่มแล้วออกตัววิ่งเหยาะๆ ถือว่ายังช้าเกินไปอยู่ดีถ้าเทียบกับไหล่ที่เปียกเป็นวง

     

    แบคฮยอนสตาร์ทรถแล้วเคลื่อนตัวออกจากบริเวณสถานีตำรวจ เพราะดึกมากแล้วรถจึงน้อยกว่าที่คิด ชอนจูเป็นเขตที่ค่อนข้างเจริญมากพอสมควร แต่ก็ใช่ว่าทุกตารางวาจะพลุกพล่านไปด้วยผู้คนเหมือนอย่างโซล ขับเลยตัวเมืองไปหน่อยถนนทั้งสายก็เริ่มมืด เขาอยากจะกลับไปนอนที่ห้องเต็มแก่ ถ้าไม่เพียงแต่แฟนสาวส่งข้อความมาบอกว่ายังรอให้ไปหาอยู่

     

    อีกเรื่องคือเขาไม่ชอบขับรถตอนกลางคืน มันทั้งอันตรายแล้วก็เสี่ยงจะเกิดอุบัติเหตุ แต่แล้วอย่างไรเล่า ต่อให้บอกแฟนสาวว่าพรุ่งนี้ไม่ใช่วันหยุด แต่ผู้หญิงก็คือผู้หญิงวันยังค่ำ ถึงมีเวลาเจอกันแค่สิบนาที เธอก็ยินดีหากเขายอมไปหา

     

    บยอนแบคฮยอนบรรจุเข้าเป็นตำรวจได้ปีกว่าแล้ว แต่ถ้าเทียบกับอายุงานทั้งชีวิตก็นับว่ายังอยู่ในวัยกระเตาะ แน่นอนเขาไม่เคยได้ทำคดีใหญ่ในชื่อตัวเอง ไม่มีวันไหนที่เขาจะไม่หงุดหงิดเพราะคำสั่งของผู้บังคับบัญชาบื้อๆคนนั้น

     

    อย่างที่รู้กันว่านักเรียนนายร้อยอย่างพวกเขาจบมาก็ได้บรรจุเป็นร้อยตำรวจโทแล้ว ใช้เวลาอีกสี่ถึงห้าปีเป็นอย่างช้าสำหรับการเลื่อนขั้นขึ้นเป็นร้อยตำรวจเอก แต่จุดสำคัญมันอยู่ตรงนี้ จะได้ไปต่อเป็นสารวัตรกับเขาบ้างหรือเปล่าก็ขึ้นอยู่กับผลงานและเส้นสาย อย่างแรกไม่เด่นก็หันไปพึ่งอย่างหลัง ถือเป็นอีกเรื่องที่รู้กันในสายอาชีพ

     

    แบคฮยอนเหยียบคันเร่งช้าลงเพราะถนนหนทางค่อนข้างมืด ชายหนุ่มขยับตัวนั่งจนหลังตั้งฉากกับพื้น เพ่งมองภาพตรงหน้าโดยไม่ประมาท หากแต่คิ้วก็ต้องขมวดน้อยๆเมื่อเห็นรถแวนสีขาวจอดพักอยู่ข้างทาง มันดับเครื่องเอาไว้ แล้วชายหนุ่มก็คิดว่าคงไม่มีใครหน้าไหนเลือกพักเครื่องเอาแถวๆนี้ เว้นเสียแต่รถเสีย -- หรือว่าอยากจู๋จี๋กันให้หนำใจ

     

    ทั้งที่จะเลือกขับผ่านไปเฉยๆก็ได้ แต่พอพินิจเรื่องเวลาและบรรยากาศรอบข้างแล้ว วิญญาณตำรวจดันพลุ่งพล่านขึ้นมา ตอนนี้ไม่มีรถวิ่งผ่านเลยสักคัน ถ้าคนในรถกำลังต้องการความช่วยเหลือ เขาไม่กลายเป็นคนไร้น้ำใจไปเลยหรือ เขาชะลอความเร็วก่อนจะขับเทียบเข้าไปใกล้ๆ ติดฟิล์มมืดทึบขนาดนี้น่ากลัวจะเป็นเรื่องอย่างว่า แต่ถึงอย่างไรก็ควรลงไปดูให้แน่ใจเสียหน่อย

     

    สุดท้ายแบคฮยอนก็เลือกที่จะเลี้ยวไปจอดข้างหน้ารถคันดังกล่าว ความเป็นตำรวจสอนให้เขารอบคอบไม่ว่ากรณีใดๆก็ตาม นายตำรวจหนุ่มไม่เคยจอดรถเสียบกุญแจทิ้งเอาไว้ต่อให้แค่ลงไปรับของแค่ไม่ถึงครึ่งนาที ครั้งนี้เขายังทำเช่นนั้น โดยไม่ลืมหยิบที่จะกระบอกปืนเหน็บเอาไว้ข้างตัวเผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน ไม่เช่นนั้นถ้าเป็นเหตุปล้นชิงทรัพย์แล้วคนร้ายมีอาวุธ เขาจะเอาอะไรไปสู้

     

    ก๊อก ก๊อก

     

    เลือกเคาะกระจกฝั่งคนขับเพื่อรอดูปฏิกิริยาจากทางด้านไหน ฟิล์มทึบแสงทำให้สายตามองผ่านได้ยาก น่ากลัวจะทึบเกินกฎหมายกระมัง แถวนี้ก็ป่าทั้งนั้น ถ้าไม่มีสัญญาณตอบกลับมา บยอนแบคฮยอนอาจจะต้องโทรประสานงานตำรวจท้องที่เผื่อเอาไว้

     

    ก๊อก ก๊อก

     

    เขาเคาะอีกสองครั้ง แล้วก็ต้องสะดุ้งจนตัวโยนพลางเลื่อนมือไปจับด้ามปืนโดยอัตโนมัติเมื่อรถแวนเกิดโยกไปมา โอ ตายล่ะ ความคิดลามกประสาผู้ชายทำเอาเขาคิดไกลเรื่องการขย่มรถเสียแล้ว แบคฮยอนเองก็พอจะเคยมีประสบการณ์เซ็กซ์นอกสถานที่บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นคนข้างในก็ควรจะกระดากใจที่มีคนนอกอย่างเขามายืนแสดงความเป็นห่วงบ้างไม่ใช่หรือ

     

    ตุบ

     

    การตอบโต้แปลกๆทำเอานายตำรวจหนุ่มต้องระแวดระวังขึ้นแม้ว่าจะยังไม่มีการเคลื่อนไหวที่รุนแรง แบคฮยอนเพ่งมองกระจกประตูเบาะหลังซึ่งเป็นต้นเสียงเมื่อครู่ แล้วมันก็ดังขึ้นอีก

     

    ตุบ

     

    โอเค มีคนอยู่ข้างในนั้นแน่ เขาลองย้ายมาเคาะเรียกคนข้างในที่กระจกเบาะหลัง ถ้าได้รับเสียงทุบตอบกลับมาเป็นครั้งที่สามก็แน่ใจได้ว่ามันอาจเป็นสัญญาณการขอความช่วยเหลือ

     

    ก๊อก ก๊อก

     

    ตุบ

     

    ติดอยู่ในรถหรือ? นั่นคือสิ่งแรกที่แวบเข้ามาในความคิด เขาจะต้องทำอย่างไรเพื่อสื่อสารกับคนข้างใน ความร้อนใจแนะนำให้เดินไปหยิบหินสักก้อนมาทุบกระจกเสีย มันเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด (แน่นอนว่าง่ายกว่าการใช้กระสุนแบบไม่จำเป็น) ถ้าคิมกวางซูอยู่ด้วยคงเสนอให้ใช้กุญแจผี แต่นั่นไม่ใช่ความสามารถติดตัวร้อยตำรวจโท อย่างน้อยก็สำหรับหมวดบยอน

     

    เดินไปหยิบก้อนหินข้างทางขึ้นมาแล้วถอดเสื้อแจ็กเกตตัวนอกออกหุ้มมันไว้เพื่อช่วยเก็บเสียง ถ้าคนในรถรออยู่ฝั่งที่ใช้สื่อสารกับเขาเมื่อครู่ แบคฮยอนก็ควรอ้อมไปอีกฝั่ง ออกแรงทุบสักหน่อยกระจกก็เกิดรอยร้าวขึ้นในครั้งที่สอง และหวังว่าคนในรถคงฉลาดพอที่จะถอยไปห่างๆเรื่องเจ็บตัว

     

    “ระวังดีๆล่ะ”

     

    พูดไปก็คงไม่ได้ยิน เขาบ่นขณะตัดสินใจใช้คมหินกระทุ้งเข้ากับรอยร้าวจนกระจกแตกในที่สุด ดวงตาเรียวรีเบิกกว้างเมื่อเห็นภาพภายในรถ เด็กชายอายุไม่น่าจะเกินสิบสองปีอยู่ในสภาพถูกมัดมือมัดเท้าและมีก้อนผ้าอุดปาก ร่างนั้นขดตัวพิงประตูรถอีกฝั่ง เห็นเรือนผมยุ่งเหยิงแล้วถึงได้เข้าใจว่าเสียงตุบเมื่อครู่ก็คือการเอาศีรษะโขกกระจกเพื่อสื่อสารกับเขานั่นเอง มันเป็นสิ่งเดียวที่ทำได้ในสภาพถูกพันธนาการไว้แน่นหนาเช่นนี้

     

    “เฮ้เจ้าหนู ใครจับเธอมัดไว้เนี่ย”

     

    รีบสอดมือเข้าไปทางรอยแตกแล้วปลดล็อกประตูเปิดอย่างง่ายดาย ครั้นโน้มตัวเข้าไปข้างในเพื่อช่วยเอาก้อนผ้าออกจากปากก็เห็นว่าเด็กชายกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น มือไม้นายตำรวจหนุ่มสั่นและร้อนวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาสังหรณ์ใจว่าเด็กคนนี้คงอยากพูดอะไรออกมาแน่

     

    “ช่วยพี่ยูรา ช่วยพี่ของผมด้วย! มันจับพี่เข้าไปข้างในนั้น!

     

    เด็กน้อยร้องโวยวาย แล้วข้างในนั้นที่ว่าก็คือป่ารกชัฏทางด้านหลังซึ่งไม่มีแม้แต่ทางให้คนเดิน “ใครจับพี่เธอเข้าไป พวกเธอโดนปล้นหรือ”

     

    หากแต่เสียงดังสวบสาบจากพงไม้ที่ถูกชี้เมื่อครู่กลับเรียกความสนใจได้ชะงัด บยอนแบคฮยอนจำต้องผละตัวออกไปทั้งที่ยังแก้มัดให้เด็กน้อยไม่เสร็จ “รอนี่ก่อนนะ” มือขวาหยิบปืนจากเอวขึ้นมาปลดเซฟตี้เตรียมไว้ ก่อนจะย่างสามขุมเข้าไปหาต้นเสียงข้างในป่าทั้งใจไม่ดี

     

    ใครๆก็รู้ว่าตอนนี้ชอนจูและเขตใกล้เคียงกำลังมีข่าวน่ากลัว เขาไม่คาดหวังอยากสร้างผลงานทั้งที่อยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบแบบนี้สักเท่าไร แบคฮยอนเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ขอยอมรับจากใจจริงเลยว่ากลัวตายเป็นเหมือนกัน มันเป็นความรู้สึกคนละแบบกับตอนปฏิบัติงานกันเป็นทีม เขากำลังฉายเดี่ยว แถมยังเป็นสถานการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ว่าจะเจอกับอะไรบ้าง

     

    มันอยู่ส่วนไหนในความมืด เขาไม่มีทางรู้ ถ้าคนร้ายรู้จังหวะและชาร์ตเข้าใส่เขาตอนนี้ แบคฮยอนอาจไม่มีชีวิตรอดกลับไปก็ได้

     

    เขาทบทวนความได้เปรียบที่เท่ากับศูนย์ของตนเอง ในมือไม่มีแม้แต่ไฟฉาย ปืนใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่หากไม่สามารถสังเกตเห็นเป้าหมายได้แม่นยำพอ ใช่ นี่คือความจริงที่นายตำรวจจบใหม่อย่างเขามายืนล่อเป้าอะไรอยู่ตรงนี้

     

    ยิ่งเดินลึกเข้ามาเรื่อยๆก็ยิ่งได้กลิ่นแปลกๆลอยเตะจมูก มันไม่ใช่กลิ่นเน่า ไม่ได้เหม็นสาบ แต่ก็คาวเหมือนกับการยืนห่างโรงฆ่าสัตว์ไปไม่ถึงร้อยเมตร

     

    แล้วกลิ่นแบบนี้ ร้อยทั้งร้อยก็เป็นคดี --

     

     

     

    “อ้าก!

     

    เด็กนั่น...!?

     

     

     

    “บ้าฉิบ!

     

    ชายหนุ่มรีบหมุนตัวแล้ววิ่งกลับไปทางเดิมทั้งยังกระชับปืนในมือแน่น หัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมาจากอก ใจกระวนกระวายว่าจะเกิดอะไรที่ข้างนอกนั่น เขาถูกล่อเข้ามาในป่าหรือ นี่เป็นแผนของคนร้ายใช่หรือไม่

     

    บยอนแบคฮยอนตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นภาพบริเวณรถแวนสีขาวเต็มสายตา ชายร่างท้วมในชุดวอร์มสีเทาเข้มสวมหมวกฮู้ดคลุมศีรษะ ดวงตาฉายแววอำมหิตโผล่พ้นเหนือผ้าปิดปากสีขาวมองตอบกลับมา สองมือถือก้อนหินหุ้มเสื้อแจ็กเกตของเขา ก้อนเดียวกับที่ใช้ทุบกระจกรถเมื่อครู่ ต่างกันที่ครั้งนี้เป้าหมายคือเด็กน้อยซึ่งถูกมัดคนนั้น

     

    คนร้ายลากเด็กออกมาจนพ้นตัวรถ แววตาตื่นตระหนกส่งมาขอความช่วยเหลือ แบคฮยอนได้แต่ก่นด่าตัวเองที่ปืนในมือมันสั่นไปหมด เขาอยากลั่นไกออกไปเสียเดี๋ยวนี้ มันกำลังตั้งใจจะฆ่าเด็กให้ตาย ทำอะไรอยู่บยอนแบคฮยอน!

     

    “ช่วยผมด้วย...”

     

    เด็กน้อยโอดครวญ และในจังหวะที่หินกำลังจะถูกเหวี่ยงเข้าปะทะกับศีรษะเล็ก ชายหนุ่มก็เหนี่ยวไก ปล่อยลูกกระสุนวิ่งฝ่าอากาศจนกระทั่งเฉียดเข้าที่มือคนร้ายจนเสียหลัก

     

    แต่ช้าไปแล้ว ศีรษะของเด็กชายถูกทำร้ายก่อนที่เขาจะกล้าลงมือ ก้อนหินเปรอะคราบเลือดหล่นตุบลงบนพื้น จากนั้นคนร้ายจึงวิ่งหนีข้ามฝั่งถนนแล้วหายเข้าไปในโพรงหญ้าก่อนที่แบคฮยอนจะตัดสินใจวิ่งตาม ทว่านายตำรวจหนุ่มกลับถลาไปทรุดตัวลงข้างร่างเด็กน้อยที่หมดสติ มือรีบล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงแล้วกดโทรหาเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมทั้งแจ้งพิกัดให้ทราบด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า

     

    เลือดไหลอาบใบหน้าของเด็กชาย กลุ่มผมสีดำเปียกโลหิตเป็นหย่อมชื้นชวนให้ใจเสีย นั่นทำให้เขาต้องรีบยกนิ้วขึ้นอังจมูกก่อนจะเขย่าร่างในวงแขนเบาๆ เด็กไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบแต่ก็ยังหายใจอยู่

     

    “เจ้าหนู แข็งใจไว้นะ...”

     

    บยอนแบคฮยอนแค้นใจความอ่อนแอของตนเอง เขาแน่ใจว่าจะสามารถทำได้ดีกว่านี้อย่างเช่นปกป้องเด็กคนนี้ไม่ให้ถูกทำร้าย แต่เขาก็เป็นฝ่ายที่ช้า ไม่กล้าตัดสินใจลงมือจนเรื่องเป็นแบบนี้ ถ้าเด็กนี่เป็นอะไรไป คนที่ต้องรับผิดชอบก็คือร้อยตำรวจโทบยอนแบคฮยอน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ร้อยตำรวจโทบยอนแบคฮยอนจากส.น.ชอนจู”

     

    โชว์บัตรประจำตัวเจ้าพนักงานขณะที่สายตาก็จับจ้องร่างของเด็กชายซึ่งกำลังถูกพาขึ้นรถพยาบาลเพื่อนำตัวไปรักษา แบคฮยอนไม่เคยคิดว่าแสงวิบวับของไฟไซเรนจะคล้ายคลึงกับแสงของความหวังจนกระทั่งคืนนี้ หากแต่เสียงฮือฮาจากการตรวจค้นภายในป่าก็เรียกให้เขาต้องรีบสาวเท้าตามนายตำรวจท้องที่ไปยังจุดเกิดเหตุทันที

     

    ริมฝีปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรงเมื่อได้กลิ่นแปลกๆนั้นอีกครั้ง หลังความรู้สึกผิดเข้าเล่นงานที่ช่วยเด็กไว้ไม่ทัน ตามมาก็คือความสะเทือนใจทั้งที่ยังเดินไปไม่ถึงเป้าหมาย จมูกแบบตำรวจเตือนให้แบคฮยอนเตรียมใจไว้แล้วว่านี่อาจเป็นคดีฆาตกรรม และเหยื่อก็อาจเป็นพี่สาวของเด็กผู้ชายคนนั้น แต่เชื่อเถอะว่าเขาอยากให้ตัวเองเดาผิดยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

     

    กาแฟดำในท้องตีขึ้นมาจนจุกอยู่ตรงลำคอ มองผ่านนายตำรวจและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆเข้าไปในวงล้อมก็เห็นต้นเหตุของกลิ่นคาวคละคลุ้งอันน่าสังเวช สภาพศพของหญิงสาวเปลือยท่อนล่างและอยู่ในท่าทางที่เขาไม่อาจทนมองนานๆไหว กระโปรงทรงสอบสีน้ำเงินถูกถกขึ้นไปจนถึงช่วงเอว เรียวขาถูกแหวกกว้างในลักษณะของการถูกล่วงละเมิดทางเพศ สาเหตุของการเสียชีวิตเกิดจากถูกริบบิ้นสีแดงสดรัดคอ มิหนำซ้ำยังถูกผูกเป็นโบเหมือนผูกกล่องของขวัญ ตามเนื้อตัวมีบาดแผลและรอยฟกช้ำจากการถูกทารุณขณะยังมีชีวิต

     

    ไม่ต้องเสียเวลาให้มากความก็สรุปคดีได้ทันทีว่านี่เป็นศพที่หกของฆาตกรต่อเนื่องที่กำลังออกอาละวาดในจังหวัดช็อลลาเหนือ ทุกศพจะถูกพบในสภาพถูกฆ่ารัดคอด้วยริบบิ้นผูกเป็นโบและถูกจัดเป็นท่าทางการร่วมเพศ หลักฐานสำคัญที่ตำรวจมีอยู่ในมือแต่ไม่สามารถตามจับตัวได้สักทีก็คือคราบอสุจิบริเวณช่องคลอด

     

    คดีการฆ่าข่มขืนที่อุกฉกรรจ์และวิปลาสติดหน้าหนังสือพิมพ์ของเกาหลีมานับสี่เดือน บยอนแบคฮยอนสบตากับมัน -- ไอ้โรคจิตนั่น

     

    ไม่มีใครคาดคิดว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในอนาคต

     

     

     

     

     

    -------------------------------------------

     

    หนึ่งในฟิคค้างกรุที่อยากเขียนมาตลอด

    เราได้นำมารีไรท์และลงไว้อีกครั้งตามสำนวนภาษา และแนวคิดปัจจุบันค่ะ

    จนถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าเป็นงานที่เขียนยากอะไรอย่างนี้

    ชอบไม่ชอบยังไง คอมเมนท์หรือติดแท็กเป็นกำลังใจให้กันได้ที่ #devilcb นะคะ

     

     

     

     

     

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×