ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) DARK HORSE | chanbaek hunbaek

    ลำดับตอนที่ #7 : EPISODE 6 | AMBITIOUS

    • อัปเดตล่าสุด 23 ต.ค. 59









     



    DARK HOUSE

         間違えている箇所もあります。

    ….

    s i x

     

     




     

     

     

    เพราะไม่เคยพอ

    ถึงยังไปต่อได้

     

     

     

     

     







     

     

    Andrew Belle – In my viens

     

     

     

     

     

     

    ร่างสูงเด้งตัวลุกขึ้นมาพลางใช้สองมือจับเอาแล็ปท็อปเครื่องบางเฉียบบนตัวเอาไว้ไม่ให้มันตกลงไป ในตอนที่เอี้ยวไปวางเจ้าคอมพิวเตอร์เอาไว้ข้างๆ ปาร์คชานยอลคิดว่าเขาคงบ้าไปแล้วแน่ๆแล้วที่เอาแต่ยิ้มอยู่คนเดียวอย่างกับเพลงแสนเศร้าเมื่อครู่มันทำให้มีความสุขนักหนา ใช่ มีความสุข เพราะหน้าของใครบางคนในคลิปไลฟ์เซสชั่นเมื่อครู่คงช่วยให้นอนหลับฝันดีตลอดคืนนี้

     

     

    แต่พอปิดไฟข้างเตียงและทิ้งตัวลงนอนกระสับกระส่ายไปมา ชานยอลกลับต้องลุกขึ้นมาเปิดไฟอีกรอบเพื่อพบว่าการยิ้มทำเอาเขาเมื่อยแก้มเสียแล้ว หลังจากวันนั้น วันที่ลู่หานเปิดคลิปคัฟเวอร์ในห้องแต่งตัว ไม่มีใครรู้ว่ามือกีต้าร์ของอาร์คจะทำตัวเป็นแฟนคลับตัวฉกาจ ชานยอลเพิ่มยอดวิวให้วงคู่แข่งซ้ำๆ ฟังเสียงของแบคฮยอนไปจนหลับ แล้วก็ตื่นเช้ามาเพื่อพบว่าแบตโทรศัพท์ของตัวเองหมดเกลี้ยงเพราะเปิดเพลงวนลูปอยู่ทั้งคืน

     

     

    หนำซ้ำเขายังรู้สึกดีทุกครั้งเวลาที่เดินไปเห็นโปสเตอร์โปรโมต แอบกระซิบขอให้เด็กฝึกงานคนหนึ่งในค่ายไปหาเอาโปสเตอร์ของดาร์คฮอร์สมาเพื่อแลกกับค่าขนมนิดหน่อยและยอมถ่ายรูปคู่เพื่อให้เจ้าตัวไปอวดเพื่อน มันถูกม้วนเก็บอยู่บนโต๊ะทำงานที่เยื้องไปทางขวา ข้างๆขาตั้งกีต้าร์โปร่งตัวโปรด และพอนึกถึงมันขึ้นมา ก็อดไม่ได้ที่จะต้องหยิบโทรศัพท์มือถือมากดเปิดเพลงจากคลิปที่เพิ่งจบไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนขึ้นมาอีก

     

     

     

     

    ‘Nothin' goes as planned

    ไม่มีอะไรที่เป็นไปตามแผน

    Everything will break

    ทุกอย่างพังลง

    People say goodbye

    ทุกคนพากันบอกลา

    In their own special way

    ไปสู่เส้นทางของตัวเอง

     

     

     

     

     

    เสียงของใครคนนั้นฟังดูเจ็บปวดเสมอเวลาที่ร้องเพลงแบบนี้ ชานยอลพยายามคิดว่ามันอาจจะออกมาจากความรู้สึก เช่นเดียวกับตอนที่แบคฮยอนร้องไห้ตรงหน้าเวทีเมื่อเกือบสองเดือนก่อน แต่เขาก็รู้ว่าตัวเองหวังสูงเกินไปในตอนที่อีกฝ่ายแสดงให้เห็นว่าความรู้สึกระหว่างเราเป็นสิ่งว่างเปล่าแค่ไหน ถึงแม้อยากเชื่ออีกว่ามันไม่จริง แต่ดูเหมือนแบคฮยอนจะเต็มใจยืนกรานสิ่งที่เจ้าตัวพูดออกมาเหลือเกิน

     

     

     

     

     

    ‘All that you rely on

    ทั้งหมดที่คุณทำให้วางใจ

    And all that you can fake

    และทั้งหมดที่คุณโกหกได้

    Will leave you in the morning

    ฉันจะปล่อยให้คุณไปในตอนเช้า

    But find you in the day

    แต่วันหนึ่ง เราจะพบกัน

     

     

     

     

     

    เปลือกตาปิดลง ผ่อนลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอและปล่อยให้เสียงจากโทรศัพท์ซึมซับเข้าสู่หัวใจอย่างช้าๆ ชานยอลไม่ได้เจ็บปวดไปกว่าที่เคยเจ็บ มันดีเกินพอที่ตอนนี้จะสามารถเห็นคนที่เขารักแม้ไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ตาม มันดีกว่าไม่เจอ ไม่รู้ ไม่ได้ข่าวคราวอะไรเลยอย่างที่เป็นมาตลอดสองปี

     

     

     

     

     

    ‘Oh you're in my veins

    คุณอยู่ในเส้นเลือดใหญ่ของฉัน

    And I cannot get you out

    และฉันไม่สามารถสลัดคุณออกได้เลย

    Oh you're all I taste

    ทั้งหมดที่ฉันสัมผัสได้

    At night inside of my mouth

    จากริมฝีปากของฉันในคืนนั้น

     

     

     

     

     

    เพราะอย่างนั้นถึงไม่เป็นไร

    แค่นี้ก็มากพอแล้ว

     

     

     

     

     

    ‘Oh you run away

    คุณหนีไปจากฉัน

    Cause I am not what you found

    ทำให้ฉันไม่เจอคุณอีกต่อไป

    Oh you're in my veins

    คุณอยู่ในเส้นเลือดใหญ่ของฉัน

    And I cannot get you out

    และฉันไม่สามารถสลัดคุณออกได้เลย

     

     

     

     

     

    แต่วันหนึ่ง เราจะพบกัน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เพราะไม่ใช่ฤดูที่น่าจะต้องใส่เสื้อผ้าหนาๆ บยอนแบคฮยอนถึงได้เลือกลงจากคอนโดมิเนียมมาในสภาพเสื้อยืดตัวเดียวกับที่ใช้ใส่นอนและกางเกงวอร์มตัวใหม่จากย่านเมียงดงเมื่อไม่กี่วันก่อน นอกจากอากาศเย็นจนเขาต้องยืนห่อไหล่รออยู่หน้ามินิมาร์ทอย่างนี้แล้ว การถูกจำได้ในที่สาธารณะก็ชวนให้รู้สึกแปลกๆเช่นเดียวกัน มีทั้งหมดสามคนจากเมียงดงที่เข้ามาขอลายเซ็น สองในนั้นบอกว่าเป็นแฟนคลับเซฮุน ส่วนคนหนึ่งเป็นแฟนคลับเขา ทว่าสิ่งที่น่าอึดอัดที่สุดก็คือแบคฮยอนต้องยิ้มรับให้คำถามที่ว่า

     

     

    สนิทกับชานยอลจริงๆเหรอคะ

     

     

    พักหลังมานี้ หากต้องแยกเดินทางแบบไม่ได้ไปพร้อมกันทั้งสี่คนแล้วล่ะก็ เขาเองก็มักตัวติดกับเด็กโข่งที่ขอเวลากลับเข้าไปในนั้นเพราะลืมซื้ออะไรบางอย่าง ทิ้งให้ชายหนุ่มต้องยืนจังก้ากับถุงร้านสะดวกซื้อพลางมองโปสเตอร์สองแผ่นซึ่งถูกติดอยู่ท่ามกลางโบชัวร์โฆษณาสินค้า ยิ่งเป็นระยะที่ใกล้วันปล่อยซิงเกิล โปสเตอร์ก็ยิ่งถูกเพิ่มจำนวนการผลิตและแปะโปรโมตตามสถานที่สาธารณะมากขึ้น

     

     

    เซฮุนพูดติดตลกให้ฟังว่า พี่คิดไหมว่าเขาอาจจะจำเราไม่ได้หรอก แต่พอเห็นว่าหน้าเหมือนในโปสเตอร์ที่ติดอยู่ตรงร้านซีดีเพลงก็ บิงโก นั่นมันดาร์คฮอร์สนี่นา

     

     

    แบคฮยอนได้แต่หัวเราะให้กับเสียงเล็กเสียงน้อยที่เหมือนตุ๊ดเด็กอย่างนั้น แต่พอเขาเผลอ โอเซฮุนก็มักจะชอบจู่โจมริมฝีปากเข้ามาฉาบฉวยแล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เวลาถูกมองค้อนกลับทุกทีไป นึกถึงไม่ทันขาดคำ เจ้าตัวปัญหาก็เดินออกมาทั้งเสื้อฮู้ดแขนยาว ส่งยิ้มเผล่เมื่อเห็นว่าคนเป็นพี่กำลังยืนดูอะไร




     


       


     

     

     

    “พี่สาวที่แคชเชียร์บอกว่าจะเป็นแฟนคลับผมด้วย ผมก็เลยบอกว่าไว้เอาซีดีเพลงมาให้ผมเซ็นนะ” เด็กหนุ่มพูดอวดทั้งสีหน้าภูมิใจ ตาก็จับจดใบหน้าสมาชิกวงอาร์คเรียงไปทีละคนโดยเฉพาะชานยอล จุนมยอนกับคยองซูเคยเตือนไว้ว่าถ้าเป็นไปได้ ก็อย่าพูดถึงชื่อไอดอลต่อหน้าแบคฮยอนจะดีกว่า เซฮุนพยายามเข้าใจว่านี่เป็นเรื่องเซนซิทีฟ แต่จะไม่ให้เขาพูดถึงอาร์คเลยก็คงยากอีก “ผมโคตรชอบผมสีขาวของจงอินเลย พี่ว่าถ้าผมทำบ้างจะตลกไหม”

     

     

    นั่นทำให้คนถูกถามเหล่สายตากลับมามองเขา แบคฮยอนมองขึ้นไปถึงทรงผม แต่สายตาก็พลันสะดุดกับอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ทำให้ต้องถลึงตา อยากเงื้อมือขึ้นสูง ต้นเหตุจากวัตถุเล็กๆที่ตุงออกมาเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมตรงกระเป๋าเสื้อฮู้ด ไม่ต้องเดาให้ยากเลย

     

     

    “เด็กนี่ นายสูบบุหรี่ตั้งแต่เมื่อไร”

     

     

    เซฮุนไหวตัวทันเสมอ เด็กหนุ่มรีบตะครุบลงมาบนมือเขา แกล้งทำหน้าอ้อนยิ้มตาหยีเหมือนลูกแมว แล้วก็ทำเสียงเล็กเสียงน้อยพลางแย่งถุงมินิมาร์ทในมือเล็กมาถือไว้เสียเอง “อากาศเย็นจังเลยแบคฮยอน! เรารีบกลับห้องกันดีกว่าเนอะ จะได้ไปนอนกอดกันอุ่นๆ”

     

     

    “ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่ --”

     

     

    “ง่วงอะ” แกล้งอ้าปากหาวให้สมจริงแล้วจับมือนั้นเดินตามมาด้วยกัน ครั้นคนเป็นพี่ทำท่าจะขืนตัว เด็กเจ้าเล่ห์ก็แกล้งเหล่สายตาเข้าไปข้างในร้านแล้วว่า “เร็วเข้า พี่สาวแคชเชียร์มองเราใหญ่แล้ว”

     

     

    เพราะมันเป็นอย่างที่เซฮุนว่า แบคฮยอนถึงได้ยอมก้าวเอื่อยๆให้เด็กนี่เอามือเขาไปกุมไว้ใต้กระเป๋าเสื้อฮู้ดอย่างที่เจ้าตัวต้องการ แล้วก็นั่นไง กล่องบุหรี่จริงๆด้วย เซฮุนชักจะเอาใหญ่แล้ว ทั้งดื่มเบียร์หนักขึ้น พูดว่าอยากสัก น่ากลัวถ้าวันไหนจับถอดเสื้อผ้าออกมา บนร่างกายนั้นจะมีแต่รอยสักเหมือนอย่างใครบางคน

     

     

    ขอตัดคำว่าใครบางคนทิ้งไป

     

     

    อย่างน้อยการซุกมืออยู่ในกระเป๋าเสื้อของเด็กข้างตัวก็ทำให้มือของเขาอุ่นขึ้นจริง แต่แบคฮยอนไม่กล้าบอกอีกนั่นแหละว่าหนาวแขน เพราะครั้งแรกที่พูดออกไปอย่างนั้น โอเซฮุนก็ตั้งท่าเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าพร้อมเดินกอดคนพี่ไปจนถึงคอนโดมิเนียมด้วยความเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง

     

     

    “ตอนกลางคืนอากาศเย็นจะตาย ทีหลังพี่ต้องใส่เสื้อแขนยาวออกมานะ” เป็นทีของมือกีต้าร์ในการหันมาดุเขาบ้าง มือเรียวทาบคีย์การ์ดลงหน้าเครื่องสแกนทางด้านหน้า กดลิฟท์รอไม่ถึงนาที เสียงติ๊งก็ดังเรียกให้ทั้งคู่เดินเข้าไปในนั้นเพื่อพาตัวเองขึ้นสู่ชั้นบน

     

     

    เคาะประตูเรียกคยองซูให้ออกมารับเครื่องดื่มกระป๋องที่ฝากซื้อแกล้มการดูซีรีส์ยาวตลอดคืน ส่วนจุนมยอนหลับไปแล้วเพราะไม่ได้มีอะไรติดพันอย่างคนอื่น ตอนนี้ปาเข้าไปตีสาม แบคฮยอนรู้ตัวว่าเขาควรจะนอนบ้างถ้าไม่อยากตื่นไปบริษัทสายในวันพรุ่งนี้ เสียงโทรศัพท์เซฮุนดังขึ้น นักร้องนำถึงได้ทิ้งตัวลงบนเตียงฝั่งซ้ายก่อนเพื่อมองคนที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงระเบียง เซฮุนหัวเราะคิกคักให้ปลายสาย จะมีสักกี่คนกันที่กล้าโทรหาคนอื่นตอนดึกดื่นเกือบเช้ามืดขนาดนี้ เว้นแต่นั่นจะเป็นสาวที่เด็กนี่ไปกิ๊กกั๊กด้วย

     

     

    ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร เอาเป็นว่าในตอนที่เขาคล้อยจะหลับ ผืนเตียงก็ยุบลงพร้อมกับร่างสูงโปร่งของเซฮุนซึ่งนอนเท้าแขนมองหน้าอยู่ข้างๆ มือนั้นเขย่าข้อแขนเพื่ออยากให้เขาตื่น จริงๆเลย ถ้าตอนเช้าแบคฮยอนตื่นขึ้นมาปลุกเด็กโข่งไม่ไหวล่ะก็ ขอให้รู้เลยแล้วกันว่าความผิดใคร

     

     

    “อะไรอีก”

     

     

    “พี่จะนอนแล้วเหรอ”

     

     

    “อืม” ตาเรียวเล็กหรี่ลงพร้อมกับคิ้วที่ขมวดมุ่น ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรอีกนั่นแหละที่ทีท่าติดรำคาญของคนเป็นพี่ทำอะไรน้องเล็กในวงไม่ได้ เพราะนอกจากจะยังยิ้มเผล่แบบคนเจ้าเล่ห์แล้ว เซฮุนยังตั้งท่าแน่นอนเสียด้วยว่าจะกวนจนกว่าบยอนแบคฮยอนจะตื่นขึ้นมาคุยกันดีๆ “ไปคุยโทรศัพท์ตั้งนานสองนาน แล้วยังจะเข้ามากวนกันอีก”

     

     

    “ให้ทายว่าคุยกับใคร”

     

     

    “ไม่รู้” ร่างเล็กพ่นลมหายใจหน้าบูด ชักจะโมโหง่วงขึ้นมาจริงๆแล้ว “คุยกับสาวมั้ง”

     

     

    “โธ่ พี่อะ” เซฮุนอุทานกลั้วไปกับเสียงหัวเราะดังลั่น “ไม่ใช่เลย ผมคุยกับแม่ต่างหาก”

     

     

    “ตีสามเนี่ยนะ?”

     

     

    “แม่ผมนอนไว ตื่นตีสามตีสี่เป็นเรื่องปกติ ผมก็เลยบอกไปว่าห้ามลืมดูพรีเมียร์เอ็มวีวันอังคารนี้นะ”

     

     

    “แล้วได้บอกหรือเปล่าว่าสูบบุหรี่” แบคฮยอนแขวะหลังฟังคำบอกเล่า แต่ไอ้หน้าดุๆกับเสียงที่เปล่งออกมานี่มันน่าฟัดน้อยเสียที่ไหน พอหมั่นเขี้ยวเข้ามากๆ ร่างใหญ่กว่าของเด็กโข่งก็จัดการวาดวงแขนแล้วโถมตัวกอดเสียจนคนถูกกระทำโอดลั่น “เฮ้ เซฮุน!

     

     

    “พี่แม่ง --”

     

     

    “....”

     

     

    “โคตรน่ารักเลย”

     

     

    เซฮุนพูดคำนี้ข้างหู จากนั้นจึงผละสายตาออกมาจ้องดวงตาสั่นไหวกับริ้วแดงๆที่ข้างแก้ม แผ่นหลังของคนในอ้อมกอดแนบแน่นกับแผ่นอกโดยมีเพียงเสื้อฮู้ดกั้น ถ้าถามว่าอะไรที่ทำให้เขาได้ใจในการรังแกแบคฮยอนครั้งแล้วครั้งแล้วครั้งเล่า เด็กหนุ่มสามารถตอบได้ทันทีว่าอาการหวั่นไหวของนักร้องนำวงดาร์คฮอร์สปิดไม่มิดเลยสักนิด แบคฮยอนก็เป็นอย่างนี้แหละ ขอให้ได้พูด ได้โวยวาย ถึงจะปากร้ายไปบ้าง แต่จริงๆแล้วใจดีกว่าใครทั้งนั้น แบบนี้จะไม่ให้เขาหลงหัวปักหัวปำได้อย่างไร

     

     

    “ดุแบบนี้ ต้องดูแลผมไปตลอดเลยนะ”

     

     

    “ลุกออกไปเดี๋ยวนี้” เสียงนั้นพูดอู้อี้ ยิ่งขืนตัวมากเท่าไร คนร่างใหญ่กว่าก็ยิ่งกอดรัดให้แน่นขึ้นเท่านั้น เอาให้รู้ไปเลยว่าแบคฮยอนไม่มีทางสู้แล้ว

     

     

    “ไม่ลุก” เขากระซิบเสียงปร่า “จะกอดอย่างนี้จนถึงเช้าเลย”

     

     

    “เซฮุน”

     

     

    “ก็พี่ดื้ออะ”

     

     

    “โอเซฮุน”

     

     

    “นี่ไง ทำหน้าบึ้งแบบนี้ตลอดเลย” แทรกความหมั่นเขี้ยวด้วยการฟัดแก้มซ้ายรัวเสียงดังฟอด ถ้าไม่ติดว่าขยับตัวกันลำบาก จะจับพลิกมาหันแก้มขวาอีกข้างให้รู้แล้วรู้รอด “พี่ทำผมไปไหนไม่ได้แล้ว รู้ไหม”

     

     

    มาอีกแล้ว ประโยคหวานๆที่ชวนให้ใจกระตุก แบคฮยอนไม่รู้จริงๆว่าเด็กนี่ไปสรรหาคำอธิบายความรู้สึกมายมายไม่ซ้ำกันอย่างนี้มาได้อย่างไรทุกครั้ง เพราะนอกจากจะไม่ทำให้เขาเบื่อแล้ว พอมันถูกเก็บสะสมเข้ามากๆ ก็ราวกับความรู้สึกของเซฮุนมันล้นจากการรับรู้ของสมองลงมาถึงใจอย่างไรอย่างนั้น

     

     

    “แบคฮยอน” นอกจากจะไม่ยอมคลายกอดแล้ว สองวงแขนยังยิ่งกระชับแน่น กดเอาทั้งร่างให้แนบชิดลงมาทางด้านหลังจนไม่เหลือช่องว่างใด “พี่ไม่ใจอ่อนบ้างเลยเหรอ”

     

     

    “ใจอ่อนเรื่องอะไร”

     

     

    “ก็เรื่องเป็นแฟนกันไง”

     

     

    คิ้วเรียวขมวดมุ่นขึ้นมารอบที่สอง ถ้าเป็นในสถานการณ์ที่เดินหนีกันได้ เซฮุนคงถูกผลักหัวหนึ่งทีและไม่ได้รับคำตอบใดๆ หรือเพราะเด็กหนุ่มรู้ ครั้งนี้ถึงได้กักกอดเขาเอาไว้เสียแน่น สายตานั้นกะไม่ให้คลาดหนีกันจนกว่าจะได้คำตอบ

     

     

    บยอนแบคฮยอนดิ้นขลุกขลัก พอรู้ตัวว่าคงไม่หลุดจึงได้แต่ถอนหายใจ “เรื่องนั้น”

     

     

    จริงอยู่ว่าทั้งสองคนตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้แล้วถึงสามสี่ครั้ง และทุกครั้ง แววตาที่เต็มไปด้วยความจริงจังของโอเซฮุนก็ยิ่งมีมากขึ้น -- มากขึ้นจนแบคฮยอนไม่คิดว่าเขาควรตอบส่งๆหรือทำให้เด็กนี่ดีใจเก้อ ตราบใดที่ความรู้สึกระหว่างทั้งสองฝั่งยังไม่พร้อม แต่หากมองในแง่ที่มากกว่าความหวั่นไหว นั่นก็ใช่ -- ใช่ที่เขารู้ตัวว่าเผลอเปิดใจให้เด็กเอาแต่ใจเข้าแล้ว

     

     

    “ขอเวลาก่อน” ร่างเล็กหลุบสายตาลง หัวใจเซฮุนอาจฟีบไปนิดหน่อย แต่ใบหูแดงเรื่อและเสียงอู้อี้ใจดีนั้นอย่างกับถูกเปล่งออกมาเพื่อเยียวยาความผิดหวังนี้ก็ไม่ปาน “นะเซฮุน”

     

     

    คนอื่นจะทนก็ช่างปะไร แต่ไม่ใช่เด็กฉลาดอย่างเจ้าของชื่อที่เพิ่งถูกเรียกด้วยน้ำเสียงกับสีหน้าแบบนั้นแน่ๆ เซฮุนจัดการพลิกร่างคนพี่ให้แผ่นหลังนับกับผืนเตียง ขยับตัวขึ้นคร่อมทับด้วยรอยยิ้มและสายตาที่ต่างไปจากทุกครั้ง แน่นอน เขารู้ รู้ดีเสียด้วยว่าความต่างนั้นหมายถึงอะไร

     

     

    “ผมจะทำยังไงกับพี่ดีแบคฮยอน”

     

     

    “....”

     

     

    “พี่ทำเหมือนรู้ รู้ทุกอย่างเลย”

     

     

    “....”

     

     

    “แต่ก็ใจร้ายเป็นบ้าที่ให้ผมต้องการพี่ไปเรื่อยๆ”

     

     

    เซฮุนจรดปลายจมูกชนจมูก ผ่อนลมหายใจผะแผ่วให้รดริมฝีปากบางในขณะที่ใช้ปลายนิ้วเขี่ยผมหน้าม้ายาวออกจนพ้นใบหน้าที่แสนหลงใหล เด็กหนุ่มเคยครุ่นคิดซ้ำๆ ไม่ว่าจะเป็นในตอนที่เขามองแบคฮยอนร้องเพลง แบคฮยอนทำหน้าเครียด แบคฮยอนดื่มเบียร์ แบคฮยอนหัวเราะให้มุกตลกโง่ๆจากปากเด็กไร้สาระอย่างเขา ทั้งหมดนั้น -- ทั้งหมดที่เป็นแบคฮยอน ยิ่งนานวันเข้า เซฮุนก็แน่ใจว่าเขารักผู้ชายตรงหน้านี้

     

     

    “ผมรอแล้วนะ” เขากดจูบดูดดื่มลงไปทีหนึ่ง กวาดเอาปลายลิ้นไล้เล็มริมฝีปากและตอดต้อนร่างข้างใต้ให้กระหวัดสู้ ความรู้สึกดีพลุ่งพล่านอย่างประหลาดเมื่อมือเล็กเลื่อนขึ้นขยุ้มเรือนผมสีทอง อีกมือของแบคฮยอนขยำเสื้อฮู้ดเขาเอาไว้ ช่วยกันรั้งเอาสองร่างให้แนบชิดยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับการที่โอเซฮุนต้องขยับตัวให้เปลี่ยนองศาจูบได้ถนัดถนี่กว่าเดิม “ถ้าถึงตอนนั้นแล้วพี่หักอกผมล่ะก็ ผมตายจริงแน่ๆ”

     

     

    เสียงว่าหวานของเซฮุนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว อาจเป็นอีกมุมที่แบคฮยอนไม่เคยเห็น ถ้าถามว่ามันมีอิธิพลกับใจมากแค่ไหน ว่าที่นักร้องอาชีพคงยังไม่สามารถตอบมันได้มากไปกว่าการทาบมืออุ่นไว้ที่ข้างแก้ม คำพูดทุกอย่างอัดอั้นอยู่ตรงลำคอ แล้วก็ใหญ่มากเสียจนไม่อาจเปล่งออกมาได้ในครั้งเดียว เขาปล่อยให้เซฮุนโถมริมฝีปาก ทั้งจูบไล่ที่ปลายคาง สันกราม จากนั้นจึงคว้าเอามือข้างซ้ายขึ้นมาจูบย้ำตรงรอยสักบนนิ้วนางผะแผ่ว

     

     

    “แบคฮยอน” เซฮุนเรียกอีกแล้ว ทั้งยังขยับให้มือสองข้างของเขาวางบนใบหน้าหล่อเหลา เซฮุนยังคงกดจูบจนครบทุกปลายนิ้ว ฝ่ามือ แล้วก็จบที่การมองกันนิ่งงัน “พี่อย่าใจร้ายกับผมมากนะ”

     

     

    “....”

     

     

    “ผมรักพี่ไปแล้ว คงทนไม่ไหวหรอก”

     

     

    ประโยคนี้ฝังลงสู่ใจบยอนแบคฮยอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

     

     

     










     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ห้า”

     

    “สี่”

     

    “สาม”

     

    “สอง”

     

     

     

     

    “พับลิช!

     

     

     

     

    เสียงคลิกเมาส์ดังกลบเสียงสูดลมหายใจเข้าของสมาชิกทั้งสี่คนในตอนที่อาร์ตไดเรคเตอร์กดปุ่มพับลิชบนหน้าจอโซเชียลมีเดีย หกนาฬิกาตรงของวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด มิวสิควีดีโอแรกของวงดาร์คฮอร์สถูกปล่อยสู่สาธารณะชนอย่างเป็นทางการ ไม่มีใครทันได้ดูพรีเมียร์เอ็มวีเมื่อตอนเที่ยงเพราะมัวแต่ซ้อมหนักจนลืมเวลาเพื่อขึ้นไลฟ์แรกในรายการมิวสิคสตาร์วันมะรืนนี้ เชื่อเถอะว่าแม้จะเป็นการแสดงบนเวทีเล็กๆ ทว่าคอมเมนท์มากมายในอินเตอร์เน็ตกลับบอกว่าจะรอดูพวกเขาอย่างใจจดใจจ่อ

     

     

    ในจอคอมพิวเตอร์ที่ทุกคนต่างยืนมุงดูกันอยู่นั้น แบคฮยอนกับเรือนผมสีน้ำตาลและแจ็กเก็ตดำเข้มกำลังจับขาตั้งไมค์และอ้าปากเปล่งลูกคอด้วยสีหน้าเต็มที่เสียจนจุนมยอนต้องหลุดขำ อีกสามคนก็ไม่ต่างกันนักหรอก บอกเลยว่าคิมจุนมยอนเล่นเบสโคตรเก๊ก! เก๊กขนาดที่บยอนแบคฮยอนต้องกลอกตามองไปทางเจ้าตัวซึ่งได้แต่ยืนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่ข้างคยองซู มือกลองผมแดงที่ยืนขมวดคิ้วมองตัวเองในจออย่างกับจะสิงลงไป คยองซูแปลงร่างเป็นมือกลองที่โคตรเท่ เท่จนอีกสามคนในวงลืมภาพชายหนุ่มตอนนั่งอ่านหนังสือประวัติศาสตร์การปกครองเสียสนิท แต่คนที่ทั้งเด่น ทั้งขึ้นกล้องที่สุดกลับกลายเป็นโอเซฮุน ผมสีทองไม่ได้ถูกเซ็ทแข็งอย่างแฟชั่นเมื่อหลายปีก่อน มันพริ้วไปตามจังหวะการโยกตัวยามที่นิ้วมือยาวขยับอยู่บนไอบาเนซสีขาวคู่ใจ แม้แต่เสื้อแขนกุดสีขาวที่สวมอยู่นั้นก็ราวกับจะยิ่งขับให้เด็กกะโปโลในสายตาของพี่ๆกลายเป็นมือกีต้าร์สุดหล่อ ใจหนึ่งนั้น ทุกคนแทบจะฝากความหวังในการมีชื่อเสียงของวงไว้ที่เซฮุนหลังจากได้ดูมิวสิควีดีโอเต็ม และขอยกเลิกทั้งหมดที่ว่ามานั้นทิ้งไปหลังจากที่ไอ้เด็กโข่งยิ้มกระหยิ่ม ทั้งยังชูสองนิ้วขึ้นมาเก๊กหล่อตรงปลายคางแล้วทำหน้าแป๊ะยิ้ม

     

     

    “อะไรเล่า เมื่อกี้ยังชมว่าผมหล่อที่สุดอยู่เลย”

     

     

    คนในค่ายต่างพากันฮาครืนเมื่อเห็นสมาชิกดาร์คฮอร์สสามคนสามัคคีกันรุมมือไม้ใส่เด็กหนุ่มที่โก่งโค้งจนหลังงอ อาร์ตไดเรคเตอร์ยังขยับนิ้วไปมาบนคีย์บอร์ด จากนั้นจึงโพล่งขึ้นมาทั้งเสียงขึ้นจมูก “เอ็มวีของอาร์คก็ออกแล้วนะ”

     

     

    จากการเล่นไร้สาระเมื่อครู่สู่เสียงเงียบงัน คิมจงแดแสดงสีหน้าออกมาชัดเจนที่สุดว่าน้ำลายที่เจ้าตัวกำลังพยายามกลืนลงคอนั้นเหนียวหนืดเพียงไร พวกเขาพอจะรู้อยู่แล้วว่านอกจากการออกซิงเกิลวันเดียวกันแล้ว วงที่ได้สิทธิ์ฉายพรีเมียร์เอ็มวีขึ้นจอแอลซีดีใจกลางเมืองโซลนั้นก็เป็นอาร์คอีกเช่นกัน คยองซูลองคำนวณด้วยสายตาจากที่เช็กในเว็บบอร์ดเมื่อคืนนี้ กระทู้รอการเปิดตัวของดาร์คฮอร์สแทบจะถูกกลบด้วยกระแสรีแพคเกจก็ว่าได้ โบอาบอกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา อย่าเพิ่งหมดกำลังใจ จะได้วัดกันจริงๆก็หลังเพลงออกนั่นแหละว่าใครจะอยู่หรือใครจะไป

     

     

     กระแสและคะแนนโหวตของอาร์คเป็นเหมือนของตายถ้าเทียบกับจำนวนแฟนคลับ เพียงแค่เสียงกีต้าร์โซโล่ขึ้นมาตอนเริ่มเพลง พวกเขาก็คล้ายถูกจับจ้องให้อยู่ในมนต์สะกดของปีศาจ แบคฮยอนได้ยินเสียงแว่วๆของควอนโบอาที่หันไปพูดกับจงแดว่านี่ไม่ใช่เรื่องของความห่างชั้นในงานโปรดิวเซอร์ จงแดไมได้ด้อยไปกว่าอี้ชิง เพียงแต่ทั้งสองคนเลือกเดินคนละทางเท่านั้นเอง

     

     

    ซึ่งถ้าโปรดิวเซอร์ของอาร์คคือคนที่ชื่อจางอี้ชิงล่ะก็ แบคฮยอนขอยอมรับโดยดุษณีว่าผู้ชายคนนั้นมีฝีมือจริงๆ

     

     

    ยิ่งใจเขายังแต่จะดูถูกอาร์คเพียงเพราะมีผู้ชายที่ชื่อปาร์คชานยอลมากเท่าไร ความจริงก็ยิ่งขับให้เห็นว่ามันเป็นเพียงการปลอบใจตัวเองแบบโง่ๆของวงฝันสูงเท่านั้น

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ONE OK ROCK – THE BEGINNING (ACOUSTIC INST.)

     




     

     

    “อยากดูมิวสิคสตาร์ไหมล่ะ”

     

     

    คิมจงอินพูดขึ้นในตอนนี้ลู่หานและอี้ฟานขอตัวไปดื่มน้ำอัดลมจากตู้กดน้ำกระป๋องทางด้านหน้า ตอนนี้เป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่มของวันพฤหัสบดีที่เก้า อีกสองวันจะถึงการแสดงสดในเคไลฟ์ ที่แม้แต่อาร์คเองก็ดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษเพราะอยากเห็นดาร์คฮอร์สใจจดใจจ่อ พวกเขาไม่ได้ตื่นเวทีเหมือนอย่างช่วงแรกของการเป็นศิลปินแล้ว แต่สิ่งที่น่าตื่นเต้นกว่าก็คือการเฝ้ามองวงใหม่ๆ หลายต่อหลายวงที่เกิดคำถามขึ้นว่าจะสามารถตีคู่อาร์คได้หรือไม่

     

     

    เนเบอร์เป็นบริษัทที่วางแผนการตลาดได้ยอดเยี่ยมเสมอ นอกเหนือจากนั้น ทุกคนต่างทำงานกันอย่างเป็นมืออาชีพ แผนทุกอย่างถูกวางอย่างเป็นระบบ จึงทำให้เกิดข้อผิดพลาดในเปอร์เซนต์ที่น้อยที่สุด ข้อพิสูจน์อย่างหนึ่งซึ่งปาร์คชานยอลได้เจอกับตัวเองก็คือ เขาไม่ต้องทนกับกระแสแอนตี้มากเท่าที่กลัว เพราะใช้เวลาแค่ไม่กี่เดือน เนเบอร์ก็ทำให้ชื่อของมือกีต้าร์คนเก่าถูกแฟนคลับลืมไปได้อย่างสนิทใจ

     

     

    ชานยอลถอดกีต้าร์ไอบาเนซสีดำไว้กับขาตั้ง ส่วนตัวเดินไปนั่งลงบนโซฟาแล้วควานหาโทรศัพท์มือถือหน้าตาเหมือนๆกันบนโต๊ะรับแขกขึ้นมาจนเจอของตัวเอง จงอินทิ้งตัวลงข้างๆ กระดกน้ำเปล่าแบบไม่เย็นจากขวดแล้วรอจนกระทั่งเสียงกรี๊ดดังกระหึ่มรับเสียงดนตรีถึงได้สนใจโน้มตัวเข้ามา

     

     

    “ฉันยังไม่ได้ดูเอ็มวีเลย” แม้จะอายุน้อยที่สุดในวง แต่จงอินก็ไม่ได้เรียกใครพี่ เช่นเดียวกับที่ความสนใจในเรื่องสรรพนามนั้นอยู่ระดับท้ายๆ ขากลับจากห้องซ้อมเมื่อวาน ชานยอลเปิดมิวสิควีดีโอดูบนรถป้ายแดงที่ลู่หานเพิ่งถอยมาใหม่ ในหัวเขาไม่ได้คิดเลยว่าอี้ฟานกับจงอินจะสนใจมันเหมือนอย่างที่นักร้องนำแสดงออกมาหรือไม่ “เสียงนาฬิกาตอนต้นเพลงเท่จังแฮะ”

     

     

    ไม่เคยมีใครบอกชานยอลว่าเขากำลังยิ้มอย่างกับได้รับคำชมนั้นเสียเอง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “โว้ว เย็นเป็นบ้า”

     

     

    ลู่หานทำปากเป็นรูปตัวโอพลางมองไปรอบๆเพื่อหาตัวช่วยง่ายๆอย่างเช่นถุงพลาสติกหรือว่าป้าแม่บ้านสักคน แทนที่จะต้องหอบเอาน้ำอัดลมเย็นๆสี่กระป๋องเอาไว้ด้วยท่อนแขนที่โผล่พ้นเสื้อแขนสามส่วน รอจนแล้วจนรอด ไอ้คนที่ปล่อยเซอร์หนีไปสูบบุหรี่ก็ยังไม่กลับมาสักที ร่างผอมจึงต้องปล่อยเอาทั้งหมดในวงแขนนั้นลงบนโซฟาตัวที่ใกล้ที่สุด แต่พอจะทิ้งตัวลงนั่งเอกเขนก ตัวขัดความสุขอันดับหนึ่งก็เดินมาทั้งกลิ่นบุหรี่คละคลุ้ง

     

     

    “สูบไปกี่มวนล่ะพ่อคุณ โคตรนาน” อ้าปากบ่นหัวหน้าวงแล้วเขยิบตัวให้เห็นกระป๋องน้ำที่กลิ้งระเกะระกะอยู่บนผ้าหนัง อี้ฟานขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นจึงใช้สองมือใหญ่คว้ามันขึ้นมาถือไว้เสียเองโดยไม่ต้องหอบให้หมดหล่ออย่างนักร้องนำ

     

     

    หลังจากคุยกันเมื่อไม่กี่นาทีก่อน อี้ฟานต้องยอมเสียเวลาสี่นาทีเพื่อดูมิวสิควีดีโอเพลงคลอคสไตรค์พลางอัดเอานิโคตินเข้าปอดไปด้วย เขาไม่เข้าใจในเรื่องที่ลู่หานสนใจวงนี้นักหนา ใช่ ฝีมือดาร์คฮอร์สค่อนข้างเจ๋ง แต่ถ้าเรื่องเพอร์ฟอร์แมนซ์หรือว่าการแสดงออกทางท่าทางนั้นยังถือว่าใหม่อยู่มาก ทว่าเมื่อเดินกลับมาจนเกือบถึงห้องซ้อม เขาก็ยิ่งต้องแปลกใจตัวเองว่าดันจำเสียงดนตรีซึ่งดังลอดออกมาได้อย่างกับมันตรึงในใจ จงอินกับชานยอลกำลังจดจ่ออยู่บนหน้าจอสมาร์ทโฟนขนาดเล็ก ในขณะที่ลู่หานเอื้อมตัวมารั้งแขนเขาเอาไว้ไม่ยอมให้เปิดประตูเข้าไปด้านใน

     

     

    “อย่าเพิ่งเข้าไปทำลายความสุขคนอื่นสิ”

     

     

    หัวหน้าวงขมวดคิ้ว รู้ดีว่าคำพูดของตัวเองเมื่อเดือนก่อนนั้นทำให้ชานยอลเกร็งเรื่องนี้ยังกับอะไรดี อี้ฟานไม่ชอบให้อาร์คไปเป็นแม่ยกแม่ดันใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองวงกลายเป็นชนวนให้ดาร์คฮอร์สได้รับความสนใจด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งมองไม่เห็นผลดีจากเรื่องนี้ เว้นแต่การตัดขาดให้ชานยอลกลับมาทำตัวเป็นสมาชิกของอาร์คโดยสิ้นเชิง

     

     

    “จะดูก็ดูไป ฉันไม่ได้ว่าอะไรนี่”

     

     

    “ไม่รู้จริงหรือว่าแกล้งไม่รู้กันแน่” ลู่หานพูดกลั้วหัวเราะ “ก็ลองนายเปิดประตูเข้าไปสิ ชานยอลคงไม่กล้าขยับตัวเพราะกลัวจะโดนสั่งห้ามจากบิ๊กบราเธอร์อีกแน่ๆ”

     

     

    คนฟังกลอกตาหนีไปอีกทาง ยัดเอากระป๋องน้ำอัดลมจากมือขวาให้อีกฝ่ายถือเอาไว้ข้อหาพูดมากไม่เข้าเรื่อง “ให้ท้ายกันเข้าไป อย่าคิดว่าไม่รู้”

     

     

    หลังคำนั้น ลู่หานไม่ได้ตอบอะไรนอกจากยิ้มในแบบที่น่าหมั่นไส้เป็นสิ้นดี แน่นอน เขากับอี้ฟานไม่เคยพูดกันเรื่องนี้ แม้แต่จงอินที่ดูจะสนิทกันมากที่สุด ลู่หานก็ไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวพอดูออกหรือเปล่า จัดการใช้อีกมือถลกชายเสื้อขึ้นมาแล้ววางของเย็นในมือลงไปแทนการทนหนาวถือเอาไว้ ตั้งใจว่าจะรอจนเพลงนี้จบ แล้วทำทีเป็นว่าเพิ่งกลับมาถึงพอดิบพอดี

     

     

    พอได้พูดขึ้นมาแล้ว อู๋อี้ฟานจึงชั่งใจต่อว่าเขาควรคุยเรื่องนี้แบบเป็นเรื่องเป็นราวกับนักร้องนำหรือไม่ ลู่หานมักบอกว่ารู้ตัวเรื่องจุดยืนที่กำลังอยู่ แต่หลายต่อหลายครั้งก็ทำอะไรให้ต้องตามล้างตามเช็ดทุกที อี้ฟานไม่อยากให้ความสัมพันธ์ในวงกลายเป็นเรื่องยุ่งเหยิง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นเรื่องที่เข้าใจยากๆอย่างเช่นความพึงพอใจส่วนตัว

     

     

    “คิดจะบอกชานยอลไหม” ในที่สุดเขาก็เลือกถาม ทว่าคนข้างๆไม่ได้ดูตกใจเลยสักนิด

     

     

    “คิดว่าไงล่ะ” ลู่หานรู้ ไม่มีคำว่าเรื่องส่วนตัวตราบใดที่เขายังเป็นอาร์ค และทุกคนกุมชะตาของวงร่วมกัน ไม่ว่าจะคิด พูด หรือทำอะไร น้อยครั้งที่มันมาจากใจจริงหรือว่าความรู้สึกในตอนนั้น บางทีอี้ฟานอาจจะแค่อิจฉาเรื่องเมื่อวันประกวด อิจฉาคนที่ตัดสินใจทำอะไรๆโดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง คนที่ทำเหมือนว่าทิ้งอะไรในชีวิตไปไม่ได้ ซึ่งนั่นตรงข้ามกับพวกเขาทั้งสามคนโดยสิ้นเชิง

     

     

    “ลู่หาน”

     

     

    “นี่มันเรื่องใหญ่นะ” เขาดัดเสียงทุ้มล้อเลียน แต่อี้ฟานไม่ยอมหัวเราะ “ฉันรู้ อี้ฟาน ซิปบนปากฉันถึงได้รูดปิดสนิทขนาดนี้ไงล่ะ”

     

     

    ดวงตากลมโตอย่างลูกกวางนั้นกำลังประชดประชันใส่ทุกเรื่อง แม้แต่ชื่อเสียงเงินทองที่พวกเขากำลังมีอยู่ก็ตาม เคยวางใจว่ามันคงจะหล่อหลอมปาร์คชานยอลได้ แต่ไม่เลย ทุกครั้งที่ดวงตาคมนั้นวาบประกายแห่งอดีตขึ้น มันมีแต่จะยิ่งปลุกเร้าและตั้งคำถามให้เขาสงสัยว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ชานยอลไม่เคยตกลงมาในหลุมของอาร์ค ไม่สักที

     

     

    “รออยู่ตรงนี้อีกสักนาทีเถอะ อย่าบีบชานยอลจนเกินไปนักเลย”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ถึงนี่จะนับเป็นไลฟ์ที่สองของดาร์คฮอร์ส แต่ทว่าโอเซฮุนยังตื่นเต้นจนเหมือนใจจะหลุดออกจากอก พวกเขามาถึงสตูดิโอของเคไลฟ์ในตอนบ่ายโมงด้วยเสื้อผ้าเกือบจะเทียบเท่าตอนขึ้นแสดง (อ้อ เว้นคยองซูกับแบคฮยอนเอาไว้ เรียบง่ายตลอดศก) จุนมยอนบริหารนิ้วมือตลอดทางบนรถ ทั้งสองคนใช้เวลาเกือบยี่สิบนาทีในตอนตอนเช้าไปกับการทนหนาวแช่มือในน้ำเย็นเพื่อไม่ให้นิ้วอ่อนและลนจนเกินไป วันนี้ต้องไม่มีความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆเหมือนอย่างรายการเมื่อวานนี้ นั่นน่ะโคตรขายหน้าเลย

     

     

    แบคฮยอนวอร์มเสียงด้วยการดื่มน้ำอุ่นไปเกือบลิตร วันนี้เป็นครั้งแรกของการขึ้นเวทีเดียวกับอาร์คในฐานะคู่แข่ง ถ้าเทียบระยะทางไปถึงจุดหมายแล้วล่ะก็ ดาร์คฮอร์สคงมาได้เกือบครึ่งทางแล้ว

     

     

    สไตลิสต์ถามถึงเรื่องทรงผมที่อยากทำเป็นพิเศษแต่ไม่ได้รับคำตอบ นอกจากเซฮุนแล้วก็ไม่มีใครสนใจแฟชั่นเท่าไรนัก ตั้งแต่มาถึงนี่ เด็กหนุ่มเอาแต่ลุกลี้ลุกลนและถามถึงอาร์คจนน่ากลัวให้คิดว่ามาที่นี่ในฐานะศิลปินหรือแฟนคลับกันแน่ โอ้ ขอแค่วันนี้เถอะ ไม่ใช่ว่าการดูไลฟ์ของอาร์คในระยะใกล้ชิดขนาดนี้จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆเสียเมื่อไร เซฮุนอยากเถียง

     

     

    วุ่นวายอยู่กับการเตรียมตัวจนถึงสี่โมงเย็น ตามกำหนดการแล้ว ดาร์คฮอร์สมีคิวขึ้นแสดงในตอนหกโมง เพราะอย่างนั้น พวกเขาถึงได้มาเดินเอ้อระเหยลอยชายมองบรรยากาศหลังเวทีไปพลางๆแบบนี้ ไม่รู้ว่าเฮสเทียต้องขอร้องไปเท่าไรถึงได้เลื่อนคิวจากการแสดงวงแรกๆซึ่งมักจะเกิดขึ้นกับน้องใหม่มาได้ตั้งหลายขนาดนี้ โบอาบอกว่าขืนขึ้นวงแรก มีหวังโอกาสแสดงฝีมือสุดเจ๋งนี่คงกร่อยกันพอดี

     

     

    เชื่อเลยว่าแวบแรกที่เห็นอาร์คมาถึง โอเซฮุนก็เดินตรงไปทางนั้นท่ามกลางการอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงของพี่ๆ วงดังอยู่ในชุดสบายๆและแต่งหน้าอ่อนๆมาบ้างแล้ว รอบตัวเป็นทีมงานและสไตลิสต์จากทางเนเบอร์เดินคุมเชิงอย่างกับบอดี้การ์ด ขอโทษทีเถอะ ข้างหลังเวทีนี้ก็มีแต่ศิลปินด้วยกันทั้งนั้น แบคฮยอนแขวะ

     

     

    คยองซูตบหน้าผากตัวเองจนเกิดเสียงดังเมื่อเห็นต้นเหตุท่านั่งแปลกๆของเซฮุนก็ตอนที่เจ้าตัวดึงเอาสิ่งที่เสียบไว้ตรงขอบกางเกงด้านหลังขึ้นมาถือเอาไว้ หน้าปกแบบนั้น – ไม่ต้องเดาเลยว่าต้องใช้ความบ้าดีเดือดแค่ไหนถึงจะกล้าทำอย่างเด็กนี่ได้

     

     

    “ได้โปรดรับไว้ด้วยนะครับ”

     

     

    ปาร์คชานยอลเกือบจะขมวดคิ้วท่ามกลางเสียงหัวเราะพรืดของลู่หานกับจงอิน ซีดีอัลบั้มคลอคสไตรค์ของวงดาร์คฮอร์สพร้อมลายเซ็นถูกยื่นไปตรงหน้าหลังจากเซฮุนโค้งทักทายแล้วทีหนึ่ง หนำซ้ำยังมีลายเซ็นที่หวัดได้อย่างไม่เป็นธรรมชาติราวกับใช้ปากกาเคมีบรรจงเขียน มือกีต้าร์ของอาร์คเหล่มองไปทางวงต้นสังกัดของเด็กผมทองอย่างผ่านๆ แล้วก็เห็นแค่ยิ้มแห้งๆของจุนมยอนกับท่าทางกลั้นหัวเราะของคยองซู ในขณะที่นักร้องนำของวงนั้นหายไปเสียแล้ว

     

     

    นี่เอาจริงหรือแค่ท้าทายเล่นๆกันแน่

     

     

    ดูเหมือนเซฮุนจะเข้าใจความลังเลตรงหน้าได้เป็นอย่างดี เด็กหนุ่มว่าบทพูดที่เตรียมมาอย่างเจื้อยแจ้ว นั่นทำเอาอู๋อี้ฟานตัดสินใจเดินนำไปทางห้องแต่งตัว ปล่อยให้สองดูโอ้คู่หูขยับตัวขึ้นไปยืนขนาบข้างมือกีต้าร์ ฟังการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการของหนุ่มน้อยที่ขึ้นชื่อว่าเป็นวงสนิทกันกับอาร์ค

     

     

    “ผมเป็นแฟนคลับของคุณตั้งแต่สมัยอยู่เกลย์ครับ”

     

     

    “ว้าว แสดงว่าเป็นแฟนคลับชานยอลมาหลายปีแล้วสิเนี่ย” ลู่หานแทรกขึ้น ก่อนจะรับเอาซีดีซิงเกิลคลอคสไตรค์จากมือชานยอลมาดูด้วยความสนใจ “ฉันก็อยากได้บ้างจัง”

     

     

    โอเซฮุนยิ้มเขิน ถ้าเทียบกับภาพลักษณ์เก๊กๆแบบในมิวสิควีดีโอแล้ว ลู่หานกับจงอินคิดว่าแบบนี้น่ะน่าเอ็นดูกว่าหลายเท่าตัว “อ่า... ครับ ไว้ผมจะเอามาให้นะครับ”

     

     

    “ซื้อรีแพคเกจของเราหรือยัง”

     

     

    ชานยอลผ่อนลมหายใจทั้งคิ้วขมวด ปล่อยให้จงอินเท้าศอกบนไหล่เขาแล้วพ่นคำพูดคำจาแบบลูกคู่ใส่เด็กตรงหน้า เห็นสไตลิสต์คนหนึ่งเดินออกจากห้องแต่งตัวมาทั้งสีหน้ากล้าๆกลัวๆ เดาได้ว่าอี้ฟานคงใช้ให้มาตามเพราะกลัวจะแต่งตัวไม่ทันแน่ ดูเอาเถอะ พวกนี้ทำอย่างกับได้ของเล่นใหม่

     

     

    “ครับ?”

     

     

    “ไว้เอามาแลกกันไง ก็เราเป็นคนขอซิงเกิลของดาร์คฮอร์สก่อนใช่ไหมล่ะ” ข้อเสนอของคิมจงอินทำเอาลู่หานหัวเราะชอบใจเป็นการใหญ่ นักร้องนำปล่อยให้มือกีต้าร์แย่งอัลบั้มกลับไป มือข้างซ้ายของชานยอลกระชับสายสะพายกระเป๋ากีต้าร์เอาไว้ ความแคลงใจส่งผลให้เขาเลือกที่จะฉีกยิ้มตามมารยาทแล้วไม่พูดอะไรมากไปกว่าคำขอบคุณ แต่เชื่อเถอะว่าแค่นั้นก็มากพอสำหรับเด็กหนุ่มที่เห็นเขาเป็นไอดอลมาแต่ไหนแต่ไร

     

     

    “ขอบคุณนะ”

     

     

    เซฮุนเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนพูดเก่ง เว้นแต่ตอนนี้ก็แล้วกัน

     

     

    “นี่ ไว้ไปกินเหล้าด้วยกันไหมล่ะ เราสองวงน่ะ” ลู่หานยังไม่เลิกกระเซ้า ซึ่งถ้าพวกเขาสามคนยังไม่ยอมเข้าห้องแต่งตัวไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ เชื่อเถอะว่าต่อไปอี้ฟานคงออกมาตามเองแน่

     

     

    “ไปได้แล้วน่า”

     

     

    จุนมยอนกับคยองซูยืนกอดอกมองร่างโปร่งที่เดินตัวแข็งกลับมาหาพี่ๆ เซฮุนในตอนนี้เหมือนพวกรูปปั้นหินไม่มีผิด ปากฉีกยิ้มกว้างอยู่นานสองนานไม่ยอมหุบ และเพราะรู้ว่าคงจะรู้สึกขัดหูขัดตาไม่น้อย แบคฮยอนถึงได้ตัดสินใจแยกตัวเองไปเข้าห้องน้ำให้เสร็จเรียบร้อยก่อนถูกเรียกสแตนด์บายหลังเวที พนันด้วยเงินพันวอนเลยว่าเซฮุนจะต้องเอาแต่พูดคำว่าเหมือนฝันแน่ๆ

     

     

    “เหมือนฝันเลย”

     

     

    คนฟังหันไปมองหน้ากัน แล้วก็เป็นคยองซูที่กลอกตาขึ้นมองเพดานพลางพึมพำว่าผิดที่ไหน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ร่างสูงวางสัมภาระลงบนโต๊ะข้างโซฟาทั้งที่สายตายังจับจ้องกล่องซีดีด้วยความงุนงง ถ้าตัดเรื่องความรู้สึกแปลกๆตั้งแต่เมื่อวันประกวดกับเรื่องที่เด็กนั่นเข้ามาแทนที่เขาออกไป สาบานได้ว่านี่คงเป็นเรื่องที่ชวนให้ชวนขบขันชนะเลิศมุกตลกวงเหล้าในรอบสัปดาห์ของลู่หานเลยก็ว่าได้ ถึงอย่างนั้น ชานยอลกลับไม่แน่ใจนักว่านี่คือความชื่นชมอย่างบริสุทธิ์ใจ หรืออันที่จริงเขาก็แค่ไม่ชิน และรู้สถานะตัวเองที่มีต่อดาร์คฮอร์สดีก็เท่านั้น

     

     

    เมื่อเห็นว่าช่างแต่งหน้าทำผมของวงยังง่วนอยู่กับอี้ฟานและจงอิน ชานยอลจึงเอ่ยขอตัวราวห้านาทีเพื่อปลีกไปเข้าห้องน้ำ เขาอยากทำธุระ ล้างหน้าล้างตา แล้วก็ตั้งสมาธิให้เข้าที่เข้าทางสำหรับไลฟ์แรกของซิงเกิลเสียก่อน บางครั้ง ปาร์คชานยอลก็กลายเป็นผู้ชายที่อ่อนไหวได้อย่างไม่น่าเชื่อเพียงแค่รู้ว่ามีโอกาสจะได้เจอวงเก่าของตัวเองอีกครั้ง

     

     

    เสยเรือนผมสีเทาขึ้นอย่างลวกๆในขณะที่พาร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาในห้องน้ำชาย ตรงนี้เงียบเป็นเป่าสาก ราวกับเป็นห้องน้ำโซนที่สงวนไว้สำหรับศิลปินเท่านั้น

     

     

    ดวงตาคมเบิกกว้างทันทีที่สบเข้ากับใครอีกคนซึ่งกำลังยืนอยู่หน้ากระจกเหนืออ่างล้างมือ บยอนแบคฮยอนในตอนที่แต่งตัวจัดจ้านและแต่งหน้าด้วยสโมคกี้อายอ่อนๆมันทำให้เขาหลุดกลับไปเมื่อสองปีก่อนตอนที่ยังอยู่บนเวทีเดียวกันไม่มีผิด และถึงจะเตรียมใจมาอยู่แล้วเรื่องการพบกันหลังจากบทสนทนาตัดรอนวันนั้น แต่เสียงส่วนมากของเกือบทั้งใจกลับกู่ร้องอย่างยินดี เพราะอย่างน้อย ชานยอลก็รู้ตัวดีว่าสามสี่เดือนที่ผ่านมานั้น ความคิดถึงทำงานหนักแค่ไหน

     

     

    ทั้งคู่ต่างผงะให้กันและกันไปชั่วครู่ ก่อนที่คนตัวเล็กจะเป็นฝ่ายตั้งสติและปั้นใบหน้าเรียบเฉยใส่ตัวเองในกระจกได้อย่างใจร้าย ส่วนชานยอลยังยืนค้างอยู่ตรงประตู เขารู้ดีว่าแบคฮยอนจะเดินมาทางนี้ และไม่ว่าทางใด ธรณีแคบๆนี้ก็ต้องกลายเป็นจุดเชื่อมความใกล้ชิดที่ดีที่สุด

     

     

    แบคฮยอนหลุบสายตามองลงต่ำในตอนที่พาตัวเองเดินออกจากประตูห้องน้ำอย่างที่ชานยอลคาดเอาไว้ เท่าทันความคิดที่มี มือใหญ่จัดการรั้งท่อนแขนได้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินสวนไปทั้งระยะไหล่เฉียดไหล่ ร่างเล็กพยายามขืนตัวออกจากการกอบกุมทั้งที่ไม่เงยขึ้นมองกันด้วยซ้ำ ทั้งคู่ต่างลนลานมองซ้ายมองขวา เพราะถึงหลังเวทีจะไม่มีปาปาราซซี่ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครบังเอิญเดินผ่านมาเห็นภาพเหตุการณ์ส่วนตัวนี้เข้า

     

     

    “ปล่อย” แบคฮยอนโวยเสียงแข็ง ไม่ชอบเวลาที่โดนใช้กำลังใส่ไม่ว่าจะในสถานการณ์ใดก็ตาม ในตอนนี้เขายอมเงยขึ้นมองปาร์คชานยอลที่กำลังเลียริมฝีปากแห้งผาก เสื้อแจ็กเก็ตอย่างหลวมที่ร่างสูงสวมใส่นั้นยิ่งทำให้ชายหนุ่มดูตัวใหญ่กว่าเดิมอีกมากโข

     

     

    “แบคฮยอน”

     

     

    ชานยอลเรียกเสียงทุ้มนุ่ม ก่อนจะเลื่อนจากแขนลงมาจับมือเล็กเอาไว้ แต่วิธีการต่อต้านของคนหนีไปไหนไม่ได้นั้นยิ่งย้ำถึงความเฉยชาระหว่างทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี แบคฮยอนเลือกที่จะดื้อเงียบ แบฝ่ามือออกแล้วปล่อยให้เขากุมไว้อยู่ฝ่ายเดียว

     

     

    ดวงหน้าขาวหันหนีไปอีกทาง ริมฝีปากส่งเสียงฮึดฮัดเล็ดจากลำคอ “คุยกันดีๆได้ไหม”

     

     

    สำหรับนักร้องนำของดาร์คฮอร์สแล้ว ปาร์คชานยอลไม่ต่างอะไรจากคนโง่เง่าสักคนที่คุยไม่รู้เรื่อง เขาเกลียดน้ำเสียงออดอ้อน เว้าวอน แล้วก็การใช้นิ้วโป้งลูบเบาๆที่หลังฝ่ามืออย่างที่ผู้ชายคนนี้กำลังทำอยู่ ทุกอย่างที่เป็นชานยอลกำลังทำให้แบคฮยอนหงุดหงิด โมโห แล้วเขาก็จะต้องยิ่งรู้สึกแย่แน่ๆถ้าวันที่น่าตื่นเต้นแบบนี้พังลงเพียงเพราะอารมณ์คุกรุ่นอันมีอิทธิพลต่อสมาธิอย่างสิ้นเชิง

     

     

    “ฉันต้องไปเตรียมตัวแล้ว” ระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาสอนให้แบคฮยอนรู้จักสงบสติอารมณ์ เขาไม่อยากกลายเป็นไอ้บ้าที่โมโหที่ทำราวกับว่าปาร์คชานยอลสำคัญต่อชีวิตเสียเต็มประดา แต่ยิ่งออกแรงขืนตัวมากเท่าไร ก็ยิ่งเห็นเส้นเลือดที่ท่อนแขนมีรอยสักนั้นปูดโปนยิ่งขึ้นยามต้องออกแรงรั้งเอาไว้ไม่ให้ไปไหน

     

     

    ชานยอลทำอย่างกับพวกเขาสองคนเป็นคู่รักในระยะงอนง้อไม่มีผิด!

     

     

    ซึ่งแบคฮยอนไม่เสียดายเลยสักนิด ถ้าสองปีที่ผ่านมามันช่วยให้เขาตัดผู้ชายคนนี้ออกจากความรู้สึกรักๆใคร่ๆได้ ในหัวชายหนุ่มคิดแต่ว่าจะเอาชนะ ไล่บี้คนทะเยอทะยานและทิ้งวงแบบนี้ให้จมดิน ถึงแม้ว่าเส้นทางนี้จะไกลจนสุดสายตา แต่เชื่อเถอะว่ามันคงไม่ยากจนเกินไปนัก

     

     

    เขาคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าชานยอลอยากพูดอะไร ดวงตากลมโตนั้นอาจกำลังตัดพ้อ คิดคำพูดเจ็บๆแสบๆ หรืออะไรก็ตามที่ทะลุขี้ปรอทวัดความงี่เง่าเท่าที่จะพอนึกถึงได้

     

     

    “วันนี้พยายามเข้านะ”

     

     

    ตรงกันข้าม ชานยอลปล่อยมือออกแล้ว มือกีต้าร์ของอาร์คยอมให้ตัวเองเป็นไอ้ขี้แพ้เพียงเพราะงัดเอาความในใจออกจากปากไม่ได้อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ เขาคิดไม่ออก มันเลือนหายและมีแต่ความโหยหาเข้ามาแทนที่ แต่พอตั้งท่าจะโถมตัวเข้ากอดแบคฮยอนอย่างในวันนั้น คำว่าไม่เหลืออะไรก็ยิ่งตอกย้ำลงมาบนความเฉยชาระหว่างคนทั้งคู่ ท้ายแล้ว ประโยคไม่กี่พยางค์ที่พูดโดยไม่มีเขาอยู่ในเนื้อความนั้นอาจจะดีเกินพอสำหรับตอนนี้แล้วก็ได้

     

     

    แบคฮยอนอาจอึ้งไปนิดหน่อย แต่เพียงไม่กี่วินาทีคิ้วนั้นก็กลับมาขมวดมุ่นแล้วเบนสายตาหนีไปพร้อมๆกับริมฝีปากเม้มแน่น ตอนนี้ร่างเล็กมีสิทธิ์เดินหนีไปแล้ว ทว่าอาจไม่ใช่เพียงมือของอดีตคนรักซึ่งรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ แต่เป็นความรู้สึกประหลาดบางอย่าง -- บางอย่างที่ไม่มีใครคิดอยากเข้าใจมัน

     

     

    แต่พออ้าปากเพื่อจะพูดอะไรตอบกลับไป เขาก็จำต้องหุบริมฝีปากลงเมื่อแว่วเสียงบุคคลที่สามมาแต่ไกล

     

     

    “แบคฮยอน!

     

     

    โอเซฮุนชะงักไปนิดหน่อยในตอนที่เห็นว่านักร้องนำกำลังยืนอยู่ตรงข้ามปาร์คชานยอลคนที่เขาเพิ่งจะให้ซีดีเพลงพร้อมลายเซ็นไป เด็กหนุ่มชะลอฝีเท้าลงด้วยความเก้อเขิน ทำท่าทางกระแอมไอตลกๆก่อนจะสอดประสานมือเข้ากับร่างเล็ก “หาแทบแย่ พี่จุนมยอนบอกว่าพี่มาเข้าห้องน้ำ ตอนแรกผมไปหาที่ห้องน้ำสตาฟตรงนู้นแน่ะ”

     

     

    หากเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ชานยอลแล้ว เชื่อเถอะว่าไอ้การเนียนจับมือแบบคนรักที่เซฮุนกำลังทำคงไม่อยู่ในสายตาหรอก แต่เพราะเป็นเขา ตอนที่เด็กผมทองส่งยิ้มแป้นมาให้ด้วยความชื่นชมประสาคนยืนอยู่ตรงหน้าไอดอลแล้ว ชานยอลถึงสั่งให้ตัวเองยิ้มตอบกลับไปไม่ได้อย่างเมื่อหลายนาทีก่อน ใจเขาอยากกระชากสองคนแยกออกจากกันเสียเดี๋ยวนี้ ความแคลงใจยิ่งปะทุวงกว้าง แต่ก็รู้ว่าไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะรู้ถึงความสัมพันธ์ปัจจุบันของแบคฮยอนกับใครคนอื่นอีกแล้ว

     

     

    “ไปกันเถอะ” แบคฮยอนตัดบท ใช้มือที่ประสานกันลากนำเซฮุนไกลจากคนของวงคู่แข่งอย่างไร้เยื่อใย ให้ตายเถอะ ไหนๆก็ -- จังหวะดีแบบนี้ จะไม่ให้รับคำอวยพรสำหรับไลฟ์ใหญ่วันแรกจากมือกีต้าร์ในดวงใจเลยหรือไงกัน

     

     

    “เดี๋ยว”

     

     

    เสียงทุ้มรั้งไว้ คนที่เต็มใจหยุดแต่โดยดีก็ไม่ใช่ใครที่ไหน โอเซฮุนที่หันไปทำตาวาวเมื่อร่างสูงกว่าสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ สีหน้าชานยอลในตอนนี้ยากที่จะเดาอารมณ์เหลือเกิน ชายหนุ่มหยุดลงระหว่างทั้งคู่ มองผ่านเซฮุนซึ่งเอี้ยวตัวหันมา จากนั้นจึงคว้าเอามือซ้ายที่ไม่ได้ถูกจับไว้ขึ้นมาจนแบคฮยอนจำต้องหมุนตัวตาม คนตัวเล็กนึกเกลียดบรรยากาศอึดอัดแบบนี้ แค่อยู่กันสองคนก็ว่าแย่แล้ว แต่ปาร์คชานยอลก็ยิ่งทำให้มันแย่ลงด้วยการถอดแหวนเงินเกลี้ยงจากนิ้วนางข้างซ้ายเขาออกด้วยมือข้างที่มีแหวนคล้ายๆกัน ปาฏิหารย์เรื่องที่ไม่มีใครสังเกตรอยสักแหวนคู่ดำเนินมาได้นานสามปีแล้ว คนแรกที่รู้ไม่ควรเป็นโอเซฮุน

     

     

    ทว่าชานยอลไม่ได้ทำอย่างนั้น มือใหญ่เพียงแค่กำเอาสมบัติจากนิ้วของอดีตคนรักไว้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่สนใจจะเปิดเผยรอยสักที่นิ้วนางข้างขวาของตัวเองอย่างที่แบคฮยอนกำลังกลัวผ่านทางสายตา แค่นี้โอเซฮุนก็งงเป็นไก่ตาแตก ดวงหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่มมองสลับไปมาระหว่างคนสองคนซึ่งถือให้มีความสำคัญในชีวิต

     

     

    “ขอนะ”

     

     

    มือกีต้าร์วงอาร์คพูดแค่นั้น เก็บเอาแหวนของแบคฮยอนใส่ลงในกระเป๋ากางเกง แล้วก็ปล่อยให้มือเปลือยเปล่านั้นปรากฏรอยสักสีดำรอบโคนนิ้วโดยไม่มีอะไรปิดบัง หลังจากใครอีกคนเดินหายลับจากสายตา สีหน้าแค่นหัวเราะประชดประชันกลับปรากฏขึ้นแทนที่ เซฮุนไม่เข้าใจการกระทำเมื่อครู่ และเขายังรู้ดีเสียด้วยว่าแบคฮยอนคงไม่มีวันตอบตราบใดที่เป็นเรื่องของผู้ชายคนนั้น

     

     

    เป็นครั้งแรกที่เซฮุนเพิ่งสังเกตเห็นความแตกต่างในช่องว่างของคนสองคน

     

     

    “ไปกันเถอะครับ” แต่ไม่แม้แต่จะถาม ไม่แสดงอาการอยากรู้ และมองข้ามให้มากที่สุดเท่าที่คนนอกอย่างเขาจะทำได้

     

     

    อะไรที่ไม่สบายใจ เซฮุนก็ไม่อยากเก็บมาคิดให้บั่นทอนความรู้สึกที่เขามี

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “พี่โบอาเพิ่งโทรมาเมื่อกี้”

     

     

    ทันทีที่กลับมาถึงหลังสเตจ คยองซูซึ่งกำลังถูกสตาฟช่วยจัดเตรียมหูฟังก็เป็นคนแรกที่พูดขึ้น แบคฮยอนขยับตัวให้สตาฟเข้ามาช่วยจัดการติดหูฟังให้เขาได้ถนัดถนี่ ส่วนจุนมยอนที่เตรียมตัวเรียบร้อยดีแล้วกลับยืนหน้าเครียดเหมือนคนทำอะไรไม่ถูกอยู่ข้างกัน ให้ตายเถอะ แบคฮยอนไม่อยากจะคิดเลยว่ามีเรื่องอะไรอีก

     

     

    “เกิดอะไรขึ้น”

     

     

    “เรื่องยอดขายสามวันแรกของเรา...” จุนมยอนอาสาตอบแทน ทั้งยังหันไปพยักเพยิดกับคยองซูเพื่อเกี่ยงกันว่าใครจะพูดเรื่องนี้ “ยอดขายค่อนข้างน่าเป็นห่วง เราทำได้ไม่ถึง --”

     

     

    “ไม่ถึงแสน”

     

     

    “....”

     

     

    “แต่ได้เจ็ดหมื่น”

     

     

    สิ้นเสียงคยองซู ทั้งสี่คนก็เฮขึ้นมาพร้อมกันจนสตาฟรอบๆพากันสะดุ้งโหยง มือกลองต้องหันไปโค้งหัวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ในขณะที่อีกสามคนเอาแต่ทำมือเป็นท่าหมัดชนหมัดใส่กันทั้งรอยยิ้ม ก็ยอดเจ็ดหมื่นก็อปปี้ในระยะเวลาไม่ถึงสัปดาห์น่ะมันทำได้ง่ายๆเสียที่ไหน นี่ถ้าทำได้ถึงแสน ก็เตรียมเรียกดาร์คฮอร์สว่าราชาได้แล้ว!

     

     

    “แล้วอาร์คได้เท่าไร” อาจเป็นนิสัยเสียของแบคฮยอนไปแล้วก็ได้ที่ชอบเอาตัวเข้าไปชิงดีชิงเด่นกับอาร์ค พอถึงตรงนี้ คนที่รู้อยู่แล้วอย่างสองคู่หูถึงกับกลอกตามองกันอย่างคนไปไม่เป็น สาบานเลยว่าครั้งนี้ไม่ใช่ละครแล้ว

     

     

    “คือ... ฉันคิดว่าเจ็ดหมื่นนี่ก็เยอะมากแล้ว เราอย่าไปเทียบ --”

     

     

    “เท่าไร”

     

     

    ไม่รู้ว่าแบคฮยอนรู้เรื่องยอดขายซิงเกิลก่อนหน้าของอาร์คหรือเปล่าถึงได้ถามเรื่องแบบนี้ออกมา สำหรับคนที่เป็นแฟนคลับตัวยงของวงอันดับหนึ่งอย่างเซฮุนแล้ว ไอ้เรื่องที่จะให้เดาสีหน้าของพี่ทั้งสองคนซึ่งกำลังลำบากใจในคำตอบนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ONE OK ROCK – CLOCK STRIKE

     

     

     

    ‘What waits for you

    What's breaking through

    Nothing for good

    You're sure it's true

     

     

     

     

     

    เสียงกรี๊ดดังกระหึ่มเมื่อแสงภาพนาฬิทางด้านหลังดับลงพร้อมกับเงาสีดำที่สว่างวาบขึ้นเป็นวงดาร์คฮอร์สซึ่งยืนอยู่ตามจุดต่างๆของเวที เสียงร้องนำของบยอนแบคฮยอนดังคลอเสียงกีต้าร์ของโอเซฮุนในชุดแขนยาวต่างจากที่ใส่ในมิวสิควีดีโอ รอยยิ้มน้อยๆปรากฏบนใบหน้าของมือกีต้าร์หนุ่ม ตรงข้ามกับความขึงขังของนักร้อง และการขยับนิ้วบนสายเบสด้วยความสงบนิ่งของคิมจุนมยอน

     

     

     

     

     

    ‘If you say there is no forever

    You would be lonely and in pain’

     

     

     

     

     

    เสียงกลองดังขึ้นเมื่อเริ่มเข้าสู่ท่อนเนื้อร้อง อีกอย่างหนึ่งที่พวกเขาได้รู้เมื่อตอนไปออกรายการมิวสิคสตาร์ก็คือ มือกลองผมแดงที่ท่าทางเงียบๆ แต่ดันกวาดเสียงกรี๊ดเรียบได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว เมื่อมือจับไม้กลองเริ่มขยับ คยองซูก็ไม่มีทีท่าจะสนใจอะไรอื่นนอกเหนือจากการทำให้การแสดงออกมาสมบูรณ์ที่สุด

     

     

     

     

     

    ‘Everyone actually wants to believe,

    But betrayal may leave a deep wound’

     

     

     

     

     

    ตาเรียวรีเหลือบมองสมาชิกของอาร์คซึ่งยืนอยู่เหนือผู้ชมขึ้นไปทางด้านหลัง ในห้องสำหรับเจ้าหน้าที่ที่มีเพียงกระจกใสกั้นเอาไว้ ยิ่งเสียงดนตรีดังมากขึ้นเท่าไร มือข้างที่ปรากฏรอยสักรูปแหวนของแบคฮยอนก็ยิ่งกอบกุมไมค์บนขาตั้งไว้แน่นเท่านั้น คนนั้น คนที่เป็นนักร้องนำกำลังยืนกอดอกมองอยู่ข้างปาร์คชานยอล ไม่มีอาร์คคนไหนแสดงรอยยิ้มออกมาจนกระทั่งเริ่มเข้าสู่ท่อนพรีคอรัส แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่ใช่รอยยิ้มที่เสริมสร้างกำลังใจดีนักหรอก

     

     

     

     

     

    ‘You keep on believing that

    A world with forever is not a utopia

    If we could realize that

    This is the true world we wish for,

    What will we have?’

     

     

     

     

     

    ไฟสปอร์ตไลท์สว่างวาบขึ้นตามจังหวะกลองที่หนักขึ้น แบคฮยอนเหวี่ยงขาตั้งออกไปข้างๆในขณะที่ดึงเอาไมค์ออกมาถือไว้ในมือ จังหวะดนตรีเร้าขึ้นถี่ๆ เช่นเดียวกับโอเซฮุนที่เดินมาข้างหน้าและยกขาข้างหนึ่งขึ้นเหยียบลำโพงเอาไว้ขณะหันมายิ้มให้เขา

     

     

     

     

     

    ‘Believe that time is always forever

    and I'll always be here

    Believe it till the end’

     

     

     

     

     

    ปาร์คชานยอลล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง สัมผัสเข้ากับแหวนสีเงินเกลี้ยงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางห้านิ้วครึ่งที่ไม่มีโอกาสได้ไปต้องแสงไฟอยู่บนเวทีนั้น เขาก็แค่ผู้ชายที่อิ่มใจอย่างประหลาดหลังจากเลือกทำเรื่องบ้าๆแบบนั้น โอ้ มันไม่น่าเสียใจเลยสักนิด แล้วก็ระบายความอัดอั้นที่มีมาตลอดสี่เดือนได้อย่างยอดเยี่ยมทีเดียว

     

     

     

     

     

    ‘I won't go away and won't say never

    It doesn't have to be friend

    You can keep it till the end’

     

     

     

     

     

    “ได้ยินว่าสามวันแรกทำได้เจ็ดหมื่นก๊อปปี้เหรอ”

    จงอินเอ่ยขึ้นทั้งที่ยังจับจ้องการแสดงทางด้านล่างไม่ละสายตา ความน่าตื่นเต้นก่อตัวเป็นรูปร่างอย่างเงียบๆ เมื่อการอยู่ในวงการเพลงทำให้พวกเขารู้ว่าจำนวนเจ็ดหมื่นที่ว่านั้นมักจะไม่เกิดกับวงที่เพิ่งเดบิวท์ซิงเกิลแรก ดาร์คฮอร์สไม่มีแม้แต่ฐานแฟนคลับ มีแต่ก็แต่พลังและเพลงที่ทำให้คนพากันแห่ไปซื้อซิงเกิลหลังจากปล่อยมิวสิควีดีโอ มันน่าเหลือเชื่อ และเกินความคาดหมายที่เขาพนันกับอี้ฟานเอาไว้มากไปหน่อย

    “แล้วเราล่ะ” คราวนี้ลู่หานหันไปถามหัวหน้าวงบ้าง จริงอยู่ว่าซิงเกิลที่แล้วอาร์คทำได้ถึงสามแสนตั้งแต่วันแรก แต่เมื่อไรที่ต้องมาอยู่จุดนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องรู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของความไม่แน่นอน ตัวอย่างมีให้เห็นถมไป จากแสนเหลือแค่สามหมื่นก็ยังเกิดมาแล้ว

    “สองแสนห้า”

    ระยะห่างสามเท่าไม่ได้สร้างความตื่นเต้นให้อาร์คได้เท่ากับตอนที่รู้ยอดเจ็ดหมื่นนั้น ถึงแม้จะหาจุดบอดเจอทุกๆสิบวินาที แต่ถ้าถามว่าไลฟ์ครั้งนี้ยอดเยี่ยมแค่ไหน ลู่หานก็คงตอบว่าเขาไม่ได้พนันสูงไปกว่าจงอินสักเท่าไรหรอก คนเดียวที่ไม่มีทีท่ากับเรื่องนี้ก็คือชานยอล ผู้ชายที่ไม่ยินดียินร้ายและนิ่งนอนใจเหลือเกินในตอนที่วงน้องใหม่ส่งสายตาท้าทายขึ้นมาอย่างเมื่อครู่ และมันไม่น่าหงุดหงิดเท่าไรหรอก ถ้าใครสักคนสะกิดเรียกแล้วปาร์คชานยอลตอบได้บ้างว่าเมื่อครู่บทสนทนาไปถึงไหนแล้ว

    “อยากกระโจนขึ้นไปบนเวทีด้วยเลยไหมล่ะ” อี้ฟานกัด และคำตอบกวนประสาทที่ได้ก็คือการไหวไหล่แบบขอไปทีแล้วกอดอกดูการแสดงต่อไป

     

     

     

     

     

    ‘I won't go away and won't say never

    It doesn't have to be friend

    You can keep it till the end’

     

     

     

     

     

    เสียงดนตรีเด่นขึ้นหลังจากฮุคท่อนที่สอง จากนั้นจึงเป็นเสียงร้องของนักร้องนำที่ยกมือสองข้างขึ้นหลังจากเสียบไมค์เข้ากับขาตั้งแล้วเปล่งคอรัสจนทั้งฮอลล์ต้องยกมือขึ้นโบกตาม และยิ่งเสียงกลอง เบส กีต้าร์เล่นหนักขึ้นเท่าไร เสียงคอรัสจากผู้ชมที่มีอารมณ์ร่วมไปกับเพลงก็ยิ่งดังกังวานขึ้นเท่านั้น

     

     

    แบคฮยอนรู้สึกเหมือนกับเขาเป็นอะไรสักอย่าง อะไรสักอย่างที่ได้ความสำเร็จมากมายมากองอยู่ตรงหน้าแต่กลับไปเคยพอใจเสียที เขาอาจทำได้ดีกว่านี้ ดีกว่าที่กำลังเป็นอยู่เช่นเดียวกับที่เพื่อนร่วมวงอีกสามคนกำลังทำ แต่เพราะนี่คือบยอนแบคฮยอน ผู้ชายที่ยึดติดเพียงกลุ่มคนเหนือผู้ชมพวกนั้น

     

     

    ยิ่งเกลียดตัวเองมากเท่าไร เขาก็ยิ่งอยากขับมันออกไปทางเสียงเพลงให้มากเท่านั้น

     

     

     

     

     

    ‘Believe that time is always forever

    and I'll always be here

    Believe it till the end

    I won't go away and won't say never

    It doesn't have to be friend

    You can keep it till the end’

     

     

     

     

     

    ในท่อนสุดท้ายของเพลง เซฮุนฉีกขากว้างทั้งยังโยกตัวจนเหมือนศีรษะจะหลุดออกมาได้อย่างไรอย่างนั้น จุนมยอนกระโดดกับที่ทั้งที่มือบนคอร์ดไม่เสียจังหวะไปเลยสักนิดเดียว เช่นเดียวกับคยองซูที่เอาแต่จดจ่ออยู่กับชุดกลอง พวกเขาเรียนรู้จากความผิดพลาด เดินหน้าด้วยความหวัง และจะไม่มีทางหยุดถ้าจุดหมายไม่อยู่ใต้ฝ่าเท้า

     

     

    เสียงเฮของผู้ชมดังลั่นแต่แว่วเสียงกระซิบ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

     

     

     

     

     

    ‘Can keep it till the end

    You can keep it till the end (And the time will stay)

    You can keep it till the end (Time goes by)

    You can keep it till the end’

     

     

     

     

     

    ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

    DARK HORSE WILL BE BORN AGAIN.

     

     

     

    ONE OK ROCK – C.H.A.O.S.M.Y.T.H.

    (ในเรื่องใช้ชื่อเพลงว่า DREAM)

     

     

    “เพลงต่อไป ให้ทุกคนที่ยังมีความฝัน”

     

     

    ทั้งสี่คนหันมามองหน้ากันทั้งรอยยิ้ม ตลกดีที่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวเกิดขึ้นด้วยเสียงดนตรี แบคฮยอนไม่รู้ว่าจุนมยอน คยองซู หรือแม้แต่เซฮุนจะรู้สึกเหมือนกันไหม ว่านี่มันไม่ต่างจากเวทีเล็กๆที่ผ่านมาเลย ที่เปลี่ยนไปก็คือตรงหน้าเรามีผู้ฟังมากขึ้น รวมถึงทุกคนที่มองผ่านกล้องทีมงานทุกตัวในที่นี้

     

     

    “ช่วยอยู่กับเราไปตลอดนะครับ”

     

     

     

     

     

    ‘At this time we talked as we were used to do

    As for me, I’m here to pursue my dreams

    Will this year be busy again?

    After all this place has not changed much since then’

     

     

     

     

     

    ปาร์คชานยอลยืนนิ่งเพื่อปล่อยให้สไตลิสต์ติดเอาหน้ากากแบบปีศาจเข้าบนใบหน้า ปิดตั้งแต่ใต้จมูกลงมาถึงปลายคางเช่นเดียวกับของจงอิน เจ้าของผิวสีแทนหันไปหยอกใส่หัวหน้าวงเรื่องที่ไม่ต้องพึ่งหน้ากากก็คงเหมือนปีศาจดีอยู่แล้ว ลู่หานหัวเราะลั่น ในขณะที่เจ้าตัวไม่ได้ดูสนใจคำกัดทีเล่นทีจริงนั้นเลยสักนิด

     

     

    ชานยอลเงียบฟังเสียงเพลงที่ยังดังแว่วมาจากเวทีในฮอลล์ เสียงของแบคฮยอนดูดใครก็ตามที่ฟังให้ตกไปสู่โลกที่เจ้าตัวสร้างเอาไว้ได้เสมอ

     

     

     

     

     

    ‘So everybody ever be buddies

    Days we grew up are days we will treasure

    Show everybody show is beginning curtain has risen

    Make your own story line’

     

     

     

     

     

    “ผมยุ่งแล้วแน่ะ ไปรบมาหรือไง”

     

     

    ลู่หานหัวเราะร่วนในตอนที่ทำหน้าที่ช่างผมจำเป็นช่วยจัดแต่งทรงให้เขา พอหงุดหงิดใจว่าทำได้ไม่ถนัด นักร้องนำก็ขยับตัวเองขึ้นไปนั่งบนพยักโซฟาและวางสองขาขนาบข้างตัวร่างสูงเอาไว้ พออยู่ข้างหลังและได้มองมือกีต้าร์จากตรงนี้ แทนที่จะยิ้มแป้นเหมือนอย่างที่เป็นทุกที กลับกันแล้ว ลู่หานเลือกที่จะตีสีหน้านิ่งเฉยและไม่สนใจสายตาของอู่อี้ฟานหรือว่าคิมจงอินซึ่งจับสังเกตได้เลย

     

     

     

     

     

    ‘Dream as if you will live forever

    And live as if you’ll die today’

     

     

     

     

     

    เขาปล่อยให้ความรู้สึกในใจโรมรันกันจนยุ่งเหยิง การเก็บความรู้สึกเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่เราทุกคนต่างก็ต้องทำมันมาตลอด ชานยอลจะเป็นข้อยกเว้นไปถึงเมื่อไร

     

     

    อันที่จริง เราต่างก็เป็นเด็กขี้อิจฉาด้วยกันทั้งนั้น

     

     

     

     

     

    ‘Every time we played innocent jokes to each other

    Or started talking nonsense

    And those forced smiles disappear, when I am with you

    So, I will sing this song without an end’

     

     

     

     

     

    อี้ฟานเดินนำอยู่ข้างหน้าสุดพร้อมกับเบสวอร์วิกซึ่งสะพายอยู่ทางด้านหลัง อาร์คไม่ชอบให้ใครยุ่งกับเครื่องดนตรีคู่ใจนักเว้นแต่คนในวง ถัดมาคือชานยอลและไอบาเนซสีดำในท่าทางที่ดูคล้ายๆกันแม้จะนิสัยต่างกันสุดขั้ว จงอินหมุนไม้กลองโปรมาร์คในมือไปมา รู้ว่าที่ลู่หานไม่เดินอยู่ข้างหน้าเพราะจงใจชะลอฝีเท้าให้ช้าลงเพื่อพูดบางอย่างกับเขา

     

     

     

     

     

    ‘Dream as if you will live forever

    And live as if you’ll die today’

     

     

     

     

     

    “ฉันมีความลับจะบอก” จงอินเลิกคิ้วมองคนข้างๆ ต่อให้ไม่พูดออกมาตรงๆ เขาก็เดาได้จากสายตาในห้องแต่งตัวเมื่อครู่อยู่แล้ว “แต่ไม่ต้องเก็บเป็นความลับก็ได้”

     

     

     

     

     

    ‘We have to carry on

    Our lives are going on

    After all this place has not changed much since then’

     

     

     

     

     

    และหลังประโยคสุดท้าย ลู่หานก็เดินยิ้มและเร่งฝีเท้าจนกระทั่งเดินเสมอคู่กับมือกีต้าร์ ความลับที่อีกฝ่ายกระซิบบอกเมื่อครู่ เขาไม่แน่ใจนักว่าลู่หานอยากเอาจริงหรือแค่พูดเล่นๆเพื่อสร้างความฮึกเหิมกันแน่

     

     

    อาร์คจะขยี้ดาร์คฮอร์ส”

     

     

     

     

     

    ‘We all, we all

    Have unforgettable and precious treasure

    It lasts forever’

     

     

     

     

     

    “ชานยอลจะได้รู้ตัวสักทีว่าอยู่วงไหนกันแน่”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เพราะว่าพรุ่งนี้ต้องขึ้นแสดงในรายการสดเอ็มแคปติเวท เซฮุนกับจุนมยอนถึงต้องทนนั่งเอามือแช่น้ำเย็นหลังจากแสดงจบอีกรอบตามคำสั่งของคิมจงแดที่ต่อสายตรงมาให้สไตลิสต์ประจำบริษัทนั่งเฝ้าจนกว่าจะครบสิบนาที ทุกคนต่างรู้ดีว่านี่มันผิดปกติสุดๆ เพราะทุกครั้งเมื่อลงจากเวที พวกเขาจะต้องนั่งถกกันถึงเรื่องการแสดงที่เพิ่งจบไปอย่างถึงพริกถึงขิงเพื่อมองหาจุดบกพร่องที่สมควรแก่การแก้ไขต่อไป

     

     

    แต่อาจเพราะตอนนี้ ทุกคนรู้ดีว่าอีกไม่นานก็จะถึงเวลาขึ้นแสดงของอาร์คซึ่งเป็นวงสุดท้ายปิดรายการ แล้วก็ไม่ต้องไปถึงอาร์คด้วยซ้ำ เพราะวงร็อคที่ออกซิงเกิลในวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดเหมือนกันอีกสามสี่วงก็น่ากลัวน้อยเสียที่ไหน เพราะก่อนหน้านี้มัวแต่จดจ่อกับวงอันดับหนึ่ง จุนมยอนถึงลืมนึกเกี่ยวกับคำเตือนของชานยอลไปเสียสนิท

     

     

    โลกนี้ไม่ได้มีแค่อาร์คกับดาร์คฮอร์สเสียเมื่อไร

     

     

    ตามข้อมูลที่ได้รับมาเมื่อไม่กี่นาทีก่อน หนึ่งในวงที่ออกซิงเกิลวันเดียวกันนั้นมีทั้งวงที่ทำยอดขายได้มากกว่าถึงห้าพันก๊อปปี้ ส่วนอีกวงมีคะแนนโหวตในรายการเพลงพุ่งสูงขึ้นจนเป็นที่จับตามอง จงแดยังสาบานมาอีกอย่างเลยว่าถ้าโบอาไม่จองรายการมิวสิคสตาร์เอาไว้ มีหวังดาร์คฮอร์สได้มีโอกาสสะกดคำว่าต่ำเตี้ยเรี่ยดินแน่ๆ

     

     

    อันที่จริงมันก็ไม่แย่ แถมผลตอบรับยังดีเกินความคาดหมายด้วยซ้ำ เพียงแต่พอเปิดหูเปิดตาดูวงอื่นสักหน่อย จงแดก็แค่จะบอกอ้อมๆว่าดาร์คฮอร์สยังต้องซ้อมหนักกว่านี้ถ้าอยากไต่ชนะคนของค่ายอื่นให้ได้ ทำเพลงให้อยู่บนชาร์ตได้นานที่สุด นั่นคือหน้าที่ของศิลปิน

     

     

    คิดไม่ทันขาดช่วงดี เสียงกรี๊ดก็ดังกระหึ่มจากฮอลล์เมื่อนาฬิกาจับเวลาถึงเก้านาทีสี่สิบวินาที

     

     

    “ยี่สิบวิผมก็รอไม่ไหวแล้ว” เซฮุนดิ้นเร่าๆ ใบหน้าหล่อเหลาส่งสายตาขอร้องอ้อนวอนพี่สไตลิสต์ให้ช่วยตู่กับจงแดเรื่องที่เขากับจุนมยอนเอามือแช่น้ำเย็นขาดไปเกือบครึ่งนาที และถึงจะอยากวิ่งออกไปสุดใจขาดดิ้นเพราะกลัวไม่ทันอินโทรเพลงมากแค่ไหน แต่จุนมยอนกลับเอาแต่รั้งแขนเด็กหนุ่มเอาไว้พลางกระซิบคำว่าศิลปินตลอดทางจนกระทั่งถึงข้างเวที

     

     

    ไฟสีแดงส่องวาบผ่านโลโก้วงอาร์คขนาดใหญ่ทางฉากหลัง ในขณะที่ทั้งฮอลล์มืดสนิทยังกับอยู่ในโลกของ -- ให้ตายเถอะ ปีศาจ!

     

     

    VAMPS – DEVIL SIDE

     

     

    “ที่ว่าอาร์คจะแสดงเพลงเดียวน่ะจริงหรือเปล่า” คยองซูกระซิบถามเซฮุน แต่เมื่อน้องเล็กหันมาทำตาโตใส่ในความมืด มือกลองก็อนุมานได้ทันทีว่าเด็กนี่คงเพิ่งรู้จากปากเขานี่แหละ

     

     

    เสียงดนตรีที่ดังขึ้นยิ่งเรียกเสียงกรีดร้องจากคนทั้งฮอลล์ให้ยิ่งบ้าคลั่งและไม่อาจเงียบเสียงลงได้ มันมีแต่จะยิ่งดังขึ้น ดังขึ้น หลังจากไฟสีแดงสว่างวาบขึ้นส่องให้เห็นสมาชิกวงอาร์คกับหน้ากากปีศาจที่ปิดไปเสียครึ่งหน้า

     

     

     

     

     

    ‘Shake shake shake on the floor

    Take take take take me lower

    Loud loud loud beating rhythm

    Hush Hush Hush keep it secret’

     

     

     

     

     

    “ให้ตายเถอะ...” จุนมยอนอุทานขึ้นขณะเอามือปิดปาก เขาไม่อยากพูดออกมาด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องยอมรับว่านี่น่ะมันโคตรเท่ เท่กว่ากับดัก หรือไอ้คอนเซปท์ชุดหนังที่ว่าเท่แล้วยังไม่ได้ครึ่งของสี่คนบนเวทีในตอนนี้เลย

     

     

    ลู่หานค่อยๆเปิดชายผ้าคลุมสีดำออกจนเห็นเต็มศีรษะ นักร้องนำเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ใส่หน้ากาก ทว่าสายตาลุ่มลึกและน้ำเสียงแหบเสน่ห์ที่แสร้งทำนั่นมันทรงพลังยังกับอะไรดี ทั้งที้เป็นแค่ท่อนเนื้อร้องธรรมดาแท้ๆ รู้ตัวอีกที ขาของเขาก็เผลอขยับตามจังหวะกลองเสียแล้ว

     

     

     

     

     

    ‘Reckless without reason

    Defenseless dive on the floor

    Baby ready set fly away’

     

     

     

     

     

    อาร์คทำให้ลืมภาพชายในชุดแจ็กเก็ตหนังและเนื้อเพลงที่พูดถึงการตกหลุมรักได้อย่างมหัศจรรย์ ดวงตาซึ่งโผล่พ้นหน้ากากออกมานั้นยิ่งดูทรงเสน่ห์เหลือเกินเมื่อได้ลองจับจ้องแล้ว โดคยองซูรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหยุดหายใจ เขาไม่กล้าแม้แต่จะผ่อนลมออกทางจมูกตราบใดที่เสียงกลองยังคงดังเร้าไม่หยุด คนพวกนี้ทำได้อย่างไร ทำให้ฮอลล์นี้กลายเป็นโลกที่อาร์คควบคุมเอาไว้ตามใจอยาก

     

     

     

     

     

    ‘I'm in a trance with you Forget

    Embrace our instinct

    I want to see your other face

    Kissing your lips

    Calling for your devil side’

     

     

     

     

     

    เซฮุนไม่รู้ว่าเขาจะชอบอาร์คได้มากกว่านี้อีกไหม เพราะเมื่อไรที่รู้สึกว่าอาร์คเหยียบอยู่บนความเป็นที่สุด เมื่อนั้นทั้งสี่คนก็จะงัดสิ่งที่ยิ่งกว่าความเป็นที่สุดออกมาตอกหน้าคนฟังให้จมดินได้เพียงแค่เคลื่อนไหวตัวเองอยู่บนเวที เขาหาจุดบกพร่องไม่เจอ หาไม่เจอว่าตรงไหนที่ควรจะเรียกว่าความน่าเบื่อ เพราะตั้งแต่เพลงเริ่ม เซฮุนก็ลืมไปด้วยซ้ำว่าเขาเกิดมาได้อย่างไร

     

     

    ยิ่งในหูสดับฟังเสียงกีต้าร์นั้น เขาก็ยิ่งรู้ว่าตัวเองยังห่างชั้นกับปาร์คชานยอลมากเหลือเกิน

     

     

     

     

     

    ‘Come come come on you're thirsty

    Shame Shame Shame don't be so shy

    (Right or wrong who decided?)

    Talk talk talk monsters talking’

     

     

     

     

     

    จะทำอย่างไรดี

     

     

    ในหัวของบยอนแบคฮยอนว้าวุ่นไปด้วยคำนี้นับสิบ นับพัน มากเกินกว่าเขาจะคณาได้เมื่อได้เห็นการแสดงสดที่บงการทุกห้วงความคิดให้เป็นไปตามทำนองเพลง เสียงกรี๊ดดังกระหึ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันก็กดให้เขาตัวเล็กลงเหมือนไข่ไก่ที่กลัวว่าตัวเองจะถูกเหยียบได้ทุกเมื่อ

     

     

    เริ่มเข้าใจสายตาและรอยยิ้มของผู้อยู่ในตำแหน่งเดียวกันอย่างลู่หาน ความหยิ่งผยองของเขาถูกทำลายจนหมดสิ้น ยิ่งตั้งใจดูมากเท่าไร เส้นทางที่คิดว่ามาได้ถึงครึ่งกลับยิ่งห่างไกลออกไปจนมองไม่เห็น ทุกครั้งที่ไฟสีแดงพาดผ่านใบหน้า มันมีแต่จะยิ่งทำให้ทั้งตัวรู้สึกร้อนชาและอยู่ไม่สุขมากเท่านั้น

     

     

    บยอนแบคฮยอนถูกกระแทกด้วยสิ่งที่ทำให้อาร์คก้าวขึ้นสู่ความเป็นราชา ลู่หานเอนเตอร์เทนคนดูได้โดยที่ริมฝีปากไม่ละจากไมค์ ไม่แม้แต่จะขยับตัวเดินไปเดินมารอบเวทีอย่างที่ทำในซิงเกิลก่อนๆ หรือแม้แต่นอกหน้ากากปีศาจของอีกสามคนนั้น แบคฮยอนก็ไม่เข้าใจว่าสามารถสร้างอายส์คอนแทคได้อย่างไร

     

     

     

     

     

    ‘Calling for your -- C'mon!’

     

     

     

     

     

    ยิ่งปฏิเสธความเก่งกาจนี้มากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโง่ถ้าไม่ยอมเก็บเกี่ยวทุกสิ่งที่เห็นบนเวทีเอาไว้ ถ้ายอมรับโดยตัดอคติทั้งหมดทั้งมวลแล้ว นี่เป็นการแสดงที่ดีที่สุดเท่าที่เคยดูมาก็ว่าได้ หัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมาจากอก และถึงอยากรู้ว่าเพื่อนร่วมวงอีกสามคนเป็นอย่างไร แต่แบคฮยอนคงต้องโง่กว่าเดิมแน่ถ้าเขาละสายตาจากเวทีด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยวพรรค์นั้น

     

     

    เสียงโซโล่กรีดลึกลงไปในในของผู้ฟัง เซฮุนจะทำได้ไหม จะเป็นอย่างที่ชานยอลกำลังสะกดคนดูด้วยกีต้าร์แบบนั้นได้หรือเปล่า

     

     

    จะทำอย่างไรดี สงบลงไม่ได้เลย

     

     

     

     

     

    ‘I'm in a trance with you Forget

    Embrace our instinct

    I want to see your other face

    Kissing your lips

    Calling for your devil side’

     

     

     

     

     

    นี่ใช่ไหม...

    ความรู้สึกที่เหมือนถูกขยี้ลงจนจมดิน เป็นอย่างนี้นี่เอง

     

     

     

     

     

     






     

    ________________________________________

     

    จะ เริ่ม แล้ว นะ จ๊ะ

    #ทีมดาร์คฮอร์ส #ทีมอาร์ค
     

    #ficdarkhorse




    เผื่อใครนึกภาพไม่ออก









     



    M
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×