ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) DARK HORSE | chanbaek hunbaek

    ลำดับตอนที่ #8 : EPISODE 7 | DEVIL AMONG US

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.4K
      30
      23 ต.ค. 59





        
        
        
         



        DARK HOUSE

             間違えている箇所もあります。

        ….

        s e v e n

         

         
        
        
        
        
         

         

         

        เมื่อสอนให้รู้จักปีศาจ

        ก็ต้องแสดงปีศาจให้เห็น

         

         

         

         

         
        
        
        
        
        
         

         

         

         

         

         

         

        เสื้อแจ็กเก็ตถูกเหวี่ยงลงบนโซฟาสีน้ำตาลด้วยใบหน้าบูดบึ้ง เจ้าของร่างในชุดเสื้อยืดสีดำและกางเกงตัวเดียวกับบนไลฟ์ไม่ได้น่าถูกเลือกเป็นคู่สนทนานักในยามนี้ แต่ถ้าจะให้โอเซฮุนยอมแพ้แล้วเดินออกไปง่ายๆ เขาก็คิดว่าไม่ใช่ตัวเองที่ต้องถอยเช่นกัน ร่างโปร่งหันไปมองรุ่นพี่ร่วมวงอีกสองคนซึ่งแทรกตัวเข้ามายืนข้างๆ ทั้งที่คาดเอาไว้ว่าการขึ้นไลฟ์ในวันนี้น่าจะทำให้นักร้องนำอารมณ์ดีไปได้อีกหลายวัน แต่ผิดคาด เมื่อความทะเยอทะยานที่ฉายชัดในแววตาใครบางคนกลับยิ่งไม่เคยพอ

         

         

        การแสดงของอาร์คจบลงไปเมื่อหลายนาทีก่อน เพลงเดวิลฝังลงในใจคนทั้งฮอลล์แม้กระทั่งวงที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคู่แข่งซึ่งยืนอยู่ตรงนี้ ใช่ว่าไม่มีใครเข้าใจแบคฮยอนเสียเมื่อไร แน่นอน พวกเขาสามคนก็รู้สึก เพียงแต่แรงขับนั้นไม่ได้เคลือบไปด้วยความริษยาที่ถูกแสดงออกชัดอย่างคนตรงหน้า

         

         

        บยอนแบคฮยอนไม่ได้พูดอะไร ทว่าแววตานั้นสบถชัดเจน

         

         

        ทำอย่างไรดี

         

         

         

         

        “แบคฮยอน”

         

         

        เซฮุนเป็นคนแรกที่ใจกล้าสาวเท้าเดินเข้ามาประชิดตัว ก่อนจะโน้มลงเก็บเสื้อแจ็กเก็ตขึ้นมาสะบัดเบาๆให้คืนรูปเพื่อส่งมอบยังสไตลิสต์ซึ่งจะเข้ามาหลังจากนี้อีกห้านาที การที่ดาร์คฮอร์สเลือกคุยเรื่องสำคัญอย่างเช่นอาร์คทั้งที่รู้ว่าคนอื่นจะเข้ามาได้ยินก็ไม่ควรอีกเช่นกัน ตาเรียวรีหันมองด้วยแววสั่นไหว บางที คนขี้โมโหอาจนึกเสียใจนิดหน่อยที่เผลอก้าวร้าวอย่างเมื่อครู่ แต่จะให้เก็บความรู้สึกที่มีต่อวงของปาร์คชานยอลเอาไว้ แบคฮยอนก็คิดว่ามันยากเหลือเกิน

         

         

        นิ้วนางสลักลายสีดำโล่งเกินไป คล้ายกับความรู้สึกทุกอย่างปะทุออกได้เพียงแค่ไร้แหวนสีเงินวงนั้น อาร์คทำมันได้อย่างไร ทำการแสดงที่สุดยอดและไร้ที่ติ ทำให้ทุกคนกลายเป็นเพียงแค่หุ่นกระบอกที่พร้อมจะขับเคลื่อนไปตามทำนองบงการโดยไม่ต้องใช้ความพยายามเสียมากมายอย่างที่พวกเขาทำ ยิ่งวิ่งตามก็ยิ่งรู้สึกว่าห่างชั้น

         

         

        ใช่ อย่างหนึ่งคือแบคฮยอนยอมรับคืออิจฉาที่อดีตคนรักได้ดี

         

         

        สไตลิสต์เข้ามาแล้ว ธรรมเนียมที่ถูกทำมาตลอดสองปีเป็นอันต้องเลื่อนออกไปพูดคุยกันที่ห้องพัก พวกเขามักพูดถึงจุดดี จุดด้อย และระยะทางที่ต้องไปต่อจนกว่าจะถึงเส้นชัยเพื่อเติมเชื้อไฟทุกครั้ง คยองซูเป็นคนแรกที่จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าคืนให้กลุ่มทีมงานจนเสร็จ จากนั้นจึงหันมาเห็นว่าแบคฮยอนทำมันเรียบร้อยเป็นคนสุดท้ายทั้งที่เหวี่ยงเสื้อนอกออกก่อนเพื่อน

         

         

        “ฉันรู้ว่านายคิดอะไรอยู่” เจ้าของเรือนผมสีแดงโพล่งขึ้น “จำการร้องเพลงของตัวเองในวันนี้ได้บ้างหรือเปล่า”

         

         

        คนฟังเงียบ คำพูดเนิบนาบและแผ่วเบาในตอนที่ยืนลบเครื่องสำอางใกล้ๆกันไม่ได้สร้างความสนใจให้สไตลิสต์คนอื่นนัก เว้นเสียแต่สมาชิกวงอีกสองคนที่เหลือ ปกติแล้ว คยองซูไม่ใช่คนชอบพูด ยิ่งกับคนที่อายุมากกว่าและคล้ายจะกุมบังเหียนหัวหน้าวงอย่างที่ยืนอยู่ตรงนี้

         

         

        “หรือว่าจำแต่ปาร์คชานยอล”

         

         

        แล้วมันก็ทำให้แบคฮยอนหน้าชาอย่างที่กลัวไม่มีผิด

         

         

        เขาหันไปสบเจอดวงตาของเซฮุน สายตาที่ราวกับว่าอยากทะลุทะลวงเข้ามาหาคำตอบให้ความคลางแคลงในใจ จะด้วยเหตุผลอะไร แบคฮยอนก็ไม่กล้าสบตาของเด็กคนนี้นานนัก โดคยองซูพูดถูกทุกอย่าง ทุกคนเต็มที่กับดาร์คฮอร์สเว้นเสียแต่เขา เขาซึ่งเฝ้าแต่คิดถึงเรื่องของอาร์คและทุ่มสมาธิทั้งหมดทั้งมวลให้เส้นชัยที่มองไม่เห็น เราย้ำเสมอว่านี่เป็นเพียงก้าวแรก อย่าลืมจุดที่ตัวเองยืนอยู่ อย่าลืมแม้กระทั่งว่าให้มองปาร์คชานยอลเป็นสิ่งที่ผ่านไปหาใช่ปลายทาง

         

         

        พอปากจะอ้าว่าขอโทษ ก็รู้ว่าคงไม่ช่วยอะไรถ้าใจยังร้อนเป็นไฟอย่างนี้ ท้ายสุดแล้ว คนผิดถึงทำได้แค่ลดอาการกระฟัดกระเฟียดและควบคุมตัวเองให้อยู่ในความสงบแต่โดยดี อย่างน้อย มันไม่ได้ทำให้นิสัยโมโหร้ายกลายเป็นที่พูดถึงในวงการตั้งแต่ยังไม่ดัง แค่นั้นคงนับว่าดีมากสำหรับตอนนี้แล้ว

         

         

        จุนมยอนถอนหายใจเมื่อนักร้องนำยอมถอยให้บรรยากาศมาคุเมื่อครู่ คยองซูเองก็คงไม่ได้ขุ่นเคืองอะไรถึงกล้าพูดออกไปตรงๆอย่างนั้น ไม่ว่าจะควอนโบอา คิมจงแด หรือแม้แต่ฝ่ายดูแลศิลปินในค่ายเฮสเทียทุกคนต่างบอกว่าการวางตัวในระยะแรกนั้นสำคัญมาก เพราะเมื่อไรที่มีข่าวในทางลบออกไป ผลที่ตามมาย่อมร้ายแรงกว่าวงติดลมบนซึ่งมีแฟนคลับรองรับเป็นฐานเสียงปกป้องอยู่แล้ว

         

         

        ดาร์คฮอร์สเองจะมีแฟนคลับกับเขาบ้างหรือยัง?

         

         

        หันไปผงะใส่เด็กผมทองที่เลิกคิ้วอย่างกับท่าทางของพี่ใหญ่มันแปลกประหลาดเสียเต็มประดา กีต้าร์ไอบาเนซสีขาวถูกเก็บลงกระเป๋าสีดำพาดลายวัยรุ่นก่อนจะถูกเหวี่ยงขึ้นสะพายบนบ่า งานในคืนนี้จบลงแล้ว จากที่คิดไว้ว่าจะแวะหาอะไรกินกัน เห็นทีคงต้องพึ่งรามยอนที่หอ จะเพราะอะไรเสียอีก ให้ไปทนนั่งมองหน้าบูดๆของแบคฮยอนน่ะเขาไม่เอาหรอก ไม่ใช่เจ้าเด็กเซฮุนนี่สักหน่อยที่ทนได้ทุกสถานการณ์

         

         

        จุนมยอนกับคยองซูแอบคุยเรื่องนี้เมื่ออยู่กันสองคนบ่อยครั้ง อันที่จริง พวกเขาก็ไม่ได้รังเกียจหรืออยากยกเรื่องเพศขึ้นมาเป็นประเด็นนัก ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปไวเกินกว่าจะให้มานั่งต่อต้านความรักระหว่างผู้ชายด้วยกัน แต่ก็ -- จะให้ไม่รู้สึกแปลกๆเลยนั้นคงเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อมันใกล้ตัวเสียขนาดนี้ ไม่มีใครเคยรู้รสนิยมของแบคฮยอน เพราะตั้งแต่ถูกชวนให้เข้ามาร่วมทำวงเกลย์ คิมจุนมยอนก็ไม่เคยเห็นว่านายนักร้องนำจะไปกิ๊กกั๊กกับสาวที่ไหน วันๆมีแต่ซ้อมดนตรีอยู่ในห้องซ้อม ช่วยกันแต่งเพลงกับชานยอลแล้วก็เที่ยวเล่นกันประสาผู้ชาย แรกเริ่มเดิมทีตอนที่คยองซูชวนให้สังเกต อีกข้อที่เขาก็ไม่อยากจะเชื่อนักว่าเด็กผู้ชายหน้าตาดีๆอย่างโอเซฮุนไม่ได้มีแฟนอยู่แล้วเป็นเน็ตไอดอลที่ไหน

         

         

        รถตู้จอดรออยู่ทางด้านหลังซึ่งเป็นทางเดียวกับที่พวกเขาใช้เข้ามาในอาคารนี้ ทางเดินทอดยาวไปสู่ประตูโกดังที่ถูกเปิดออกจนเห็นแฟนคลับอุ่นหนาฝาคลั่ง แต่แล้วความอิ่มอกอิ่มใจทั้งหมดก็พลันมลายหายไปเพียงแค่เห็นอาร์คเดินมาจากทางตีโค้งสู่ห้องพักวีไอพีอีกด้านพร้อมกับเสียงกรี๊ดสนั่นตั้งแต่ยังเดินไม่เฉียดไปถึงประตู ตัดหน้าพวกเขาไปโดยที่แม้แต่พวกเจ้าตัวก็คงมองไม่เห็นด้วยซ้ำ

         

         

        โอ จะหวังอะไรกับวงที่ยังเดบิวต์ได้ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์กัน

         

         

        เมื่อสักครู่นี้ จุนมยอนเพิ่งได้รับข้อความในแอพพลิเคชั่นแชทจากชานยอลเกี่ยวกับคำชื่นชมที่มีต่อการแสดงวันนี้ และถ้ามีโอกาสก็อยากให้ไปนั่งกินอะไรด้วยกันอีก แต่พอมาอยู่ในสถานะของสองวงอย่างนี้แล้ว กลับชวนให้รู้สึกว่าคำชวนเมื่อครู่ช่างห่างไกลจนเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นจริงอย่างไรอย่างนั้น

         

         

        อาร์คเดินนำหน้าไปจนถึงบานประตูขนาดใหญ่ที่มีการ์ดชุดดำคอยขนาบกันแฟนคลับทั้งสองด้าน รถตู้ถูกเปิดประตูรอไว้อยู่แล้ว ในตอนนี้ ดาร์คฮอร์สไม่ต่างอะไรจากอุปกรณ์ประกอบฉากเลยสักนิดทั้งที่รถตู้สีขาวอีกคันจอดอยู่ไม่ไกลกัน เสื้อยืดสีดำและกระเป๋ากีต้าร์ไอบาเนซช่วยขับให้เจ้าของเรือนผมสีเทารั้งท้ายโดดเด่นเหลือเกินด้วยภาพลักษณ์หล่อเหลา เยื้องไปข้างหน้าคือนักร้องนำเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลที่ยังถูกเซ็ทเป็นทรงเดียวกับบนเวที ต่างหูรูปเขี้ยวสีดำขัดกับใบหน้าหวานนั้นอย่างประหลาด ซึ่งเชื่อเถอะว่าประหลาดในสายตาคนมองนั้นยังห่างไกลกับคำว่าดูไม่ดีเสียเหลือเกิน สองคนด้านหน้าสุดคือมือกลองผมสีขาวตัดผิวแทนและมือเบสหัวหน้าวง ภาพลักษณ์นิ่งเฉยของอาร์คถูกเข้าใจว่ามาจากความเหน็ดเหนื่อย หนำซ้ำยังไม่มีแฟนคลับคนไหนมีทีท่าโกรธเคืองต่อความไม่แยแสของวงร็อคที่ชื่นชอบเสียด้วย

         

         

        แทนที่จะปล่อยให้สถานการณ์ด้านนอกเรียบร้อยกว่านี้ บยอนแบคฮยอนเป็นคนแรกที่เดินนำไปข้างหน้าราวกับไม่เห็นว่าข้างทางมีอะไรอยู่บ้าง ซึ่งถ้ารู้เร็วกว่านี้สักนิด เซฮุนคงรีบรั้งแขนคนข้างตัวเอาไว้ตามคำสั่งของพี่อีกสองคนได้ทันเพราะไม่กล้าเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าวงน้องใหม่เดินออกไปชนกับราชาต่อหน้าแฟนคลับหลายสิบ

         

         

        ทั้งสามคนแทบหยุดหายใจในตอนที่สองขานั้นก้าวพ้นประตูโกดังออกสู่ด้านนอก สมาชิกคนอื่นในวงจำต้องเดินตามไปอย่างเสียไม่ได้ ให้ตายเถอะ พวกเขาควรปั้นหน้าแบบไหนดี แล้วยิ่ง – ยิ่งอาร์คกำลังเหลียวกลับมามองสิ่งที่แย่งความสนใจอย่างนี้

         

         

        “ดาร์คฮอร์ส!

         

         

        แฟนคลับอุทานเซ็งแซ่ ปาร์คชานยอลเป็นคนแรกที่หันกลับมาทั้งตัวเพื่อหยุดรอให้อดีตเพื่อนร่วมวงเดินตามมาจนถึง แบคฮยอนรู้สึกเหมือนแต่ละก้าวช่างหนักหน่วงเมื่อใกล้เข้ารถตู้สีดำเรื่อยๆ ยิ่งรู้ว่าต้องเดินผ่านผู้ชายคนนั้น รอยสักที่นิ้วนางข้างซ้ายก็ยิ่งแสบร้อนขึ้นมาจนอยากตัดทั้งมือทิ้งไปเสียเดี๋ยวนี้

         

         

        “พวกเขาสนิทกันนี่นา”

         

         

        แว่วเสียงพูดดังเข้ามาในหูจนทั้งแปดได้ยินอย่างชัดเจน ท่ามกลางสายตาของกลุ่มแฟนคลับแล้ว นี่ช่างเป็นสถานการณ์น่าอึดอัดที่วงภายใต้การสร้างภาพทั้งสองต้องเผชิญ บยอนแบคฮยอนคงไม่ทำอะไรนอกจากเดินผ่านคนพวกนั้นไปเพื่อขึ้นรถตู้ของทางบริษัทซึ่งจอดรออยู่อีกทาง แต่สำหรับวงที่เจนงานอย่างอาร์คแล้ว ขืนปล่อยให้ต่างฝ่ายต่างตีมึนไปอย่างนี้ ไอ้เรื่องที่เคยให้ข่าวไปคงพังไม่เป็นท่าแน่

         

         

        คนมองชั่งใจว่าควรทำอย่างไร ตลกดีที่หลังจากถูกขยี้จนไม่เหลือชิ้นดี นักร้องนำของวงน้องใหม่ยังคงแข็งกร้าวใส่พวกเขาได้ จะว่าคิดน้อยหรือหัวดื้อเกินไปกันแน่

         

         

        “เซฮุน!” ลู่หานฉลาดพอในการเลือกเหยื่อ พอส่งเสียงออกไปอย่างนั้น แม้แต่แบคฮยอนที่ทำท่าจะเดินเลยไปหรืออู๋อี้ฟานที่กำลังเบื่อหน่ายเต็มแก่ก็เป็นอันต้องหยุด เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อชะงักไปเล็กน้อย ก่อนร่างสูงโปร่งต้องโน้มลงเพียงเพราะถูกใครอีกคนเดินย้อนมาเพื่อเกี่ยวเอาคอไปกอดไว้อย่างสนิทสนม “ที่ว่าจะไปดื่มกัน ตกลงว่าไง”

         

         

        “ครับ?” เซฮุนเบิกตาโพลง รีบเหลือกมองใบหน้านิ่งเฉยของแบคฮยอนเลิ่กลั่ก

         

         

        จุนมยอนอาศัยโอกาสนี้เดินไปรั้งเจ้าของแรงเสี่ยงสูงตามหน้าที่ ในเมื่อทุกอย่างมันเอื้อไปอย่างนี้ อย่างน้อย การเล่นตามเกมของอาร์คก็คงดีกว่ากลายเป็นชนวนความสงสัยให้แฟนครึ่งค่อนประเทศที่กำลังจับตามองอยู่แน่ อาศัยใช้สายตาแกมวอนขอเมื่ออีกฝ่ายถลึงตามา ซึ่งเชื่อเถอะว่าพอมองเลยไปอีกหน่อย เขาดันเห็นอดีตมือกีต้าร์ของเกลย์ลอบยิ้มอย่างคนเก็บอาการไว้ไม่มิด

         

         

        “เราจะไปดื่มกันนี่นา” ระดับเสียงที่มากพอให้กลุ่มแฟนคลับใกล้ๆได้ยินไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนักร้องอย่างลู่หาน ดวงตากลมโตนั้นคล้ายจะกดดันกลายๆ หนำซ้ำยังพยักเพยิดให้เซฮุนเห็นว่าไม่ได้มีแค่คนถามที่กำลังรอฟังคำตอบ

         

         

        “ไปกันหมดนี่ น่าสนุกดีออก”

         

         

        กระทั่งจงอินเข้ามากระเซ้าอีกแรงด้วยท่าทางยืนล้วงกระเป๋าสบายใจเฉิบ และคยองซูที่ยืนอยู่ใกล้ๆก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรนอกจากยิ้มปั้นยากแห้งๆพลางส่งสายตาเลยตามเลย เด็กหนุ่มไม่คิดว่าเขามีทางเลือกอยู่แล้ว ยิ่งพอรู้ตัวว่ากำลังถูกอาร์คบีบให้อยู่ในสถานการณ์บังคับ เอาเป็นว่านี่คือเหตุผลในการตอบตกลงคำชวนครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะหัวใจที่กำลังเต้นแรงเพราะจะได้ร่วมดื่มกับวงในดวงใจก็แล้วกัน

         

         

        “ครับ...”

         

         

        “เดี๋ยวบอกโชเฟอร์ให้ขับตามคันเรามา ร้านอยู่แถวฮงแด ถ้าบังเอิญพลัดหลงกันก็ --” มือกลองของอาร์คกระซิบบอกเซฮุนเสียงเบาหวิว การเป็นศิลปินรูปแบบวงดนตรีภายในประเทศไม่ได้น่ากลัวนัก อย่างน้อยก็ไม่มีแฟนคลับวิ่งไล่ตามเป็นบ้าเป็นหลังอย่างฝั่งไอดอล ซึ่งจงอินถือว่ามันเป็นข้อดี “พวกนายคงมีเบอร์ชานยอลอยู่ ถ้าหาร้านไม่เจอก็โทรมาแล้วกัน”

         

         

        ทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วจึงเลี่ยงเดินไปขึ้นรถ ลู่หานเป็นคนสุดท้ายของอาร์คที่ยังรั้งรออยู่หน้าประตูรถ และผู้ชายที่ยืนใกล้รถตู้สีดำคันนี้ที่สุดคือเจ้าของใบหน้าบูดบึ้งที่ส่งสายตาแข็งกร้าวให้เขาตั้งแต่บนเวที พอยิ่งได้มาเห็นใกล้ๆอย่างนี้ก็ยิ่งอยากรู้จัก อยากรู้ว่าอดีตนักร้องนำของปาร์คชานยอลจะเก่งอย่างที่หมอนั่นเอาใจช่วยนักหนาไหม

         

         

        ร่างผอมยอมปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นเป้าสายตาอีกสักครึ่งนาที เขายั้งฝีเท้าตัวเองไว้ไม่เหยียบขึ้นไปบนรถ ก่อนจะสาวเลี่ยงมาทางขวาเพื่อยืนประจันหน้าอีกฝ่ายโดยมีคิมจุนมยอนกลืนน้ำลายดังเอื้อกอยู่ใกล้ๆ มือเรียวยกขึ้นเสยเรือนผมสีน้ำตาลโดยไม่สนใจแสงแฟลชที่วาบอยู่รอบๆ ลู่หานกำลังยิ้ม -- ยิ้มซึ่งไม่ได้อยู่ในการแสดงบนเวที แต่แบคฮยอนคิดว่ามันสื่อบางอย่างได้ไม่ต่างกัน

         

         

        “หวังว่าจะเจอกันที่ร้าน”

         

         

        “....”

         

         

        “อยากรู้จัก อย่ากลัวจนเบี้ยวไปเสียก่อนล่ะ”

         

         

        อาร์คจะมาไม้ไหน บยอนแบคฮยอนไม่มีทางเดาออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่มีปาร์คชานยอลคอยยืนทำสายตาอาลัยอาวรณ์ให้อย่างที่ผ่านมาแล้ว หรือบางที ผู้ชายที่ชื่อลู่หานอาจกำลังสอนให้เขารู้จักความกลัว

         

         

        -- กับสิ่งที่อาจทวีความรุนแรงขึ้นยิ่งกว่าปีศาจบนเวที

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

        จะเอาอย่างไรดี

         

         

        โอเซฮุนอุทานคำนี้ในใจขณะมองคนเป็นพี่ก้าวตามขึ้นมาบนรถตู้สีขาวเกลี้ยงและเลื่อนบานประตูปิดเมื่อก้นหย่อนลงนั่งข้างเขายังที่นั่งด้านหน้า เด็กหนุ่มเหลียวมองไปยังรุ่นพี่อีกสองคนข้างหลังที่เอาแต่นั่งนิ่งราวกับยกให้น้องเล็กเป็นฝ่ายจัดการเรื่องนี้เพียงลำพัง โอ้ เชื่อเลยว่าจะทำกันอย่างนี้ ทั้งที่รู้ว่าอาจจะมีระเบิดลูกใหญ่ลงน่ะนะ!

         

         

        รถตู้ของอาร์คเคลื่อนตัวออกไปก่อนแล้ว โชเฟอร์หันกลับมาด้วยสีหน้าไม่แน่ใจนักว่าควรขับตามไปหรือให้ตรงดิ่งกลับหอพักตามกำหนดการเดิม ซึ่งถ้านักร้องนำอย่างแบคฮยอนไม่ได้เอาแต่นั่งเงียบไร้ซึ่งคำตอบใดอย่างนี้ ใครสักคนคงพอโพล่งบอกให้เรื่องง่ายขึ้นบ้าง

         

         

        “แบคฮยอน” เซฮุนกระแอมไอเบาๆทีหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆขยับตัวเข้าไปอิงแอบอีกฝ่ายเพื่อหยั่งเชิง “เรื่องเมื่อกี้มันเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไง... ก็แฟนคลับมองกันเต็มอย่างนั้น ถ้าผมปฏิเสธอาร์คไปก็แย่สิ”

         

         

        คนฟังไม่ได้ตอบอะไร เสื้อยีนส์ฟอกสีอ่อนที่วางมืออยู่บนตักยังนิ่งอยู่อย่างนั้น รถจำต้องเคลื่อนตัวออกเพื่อหลบทางให้รถตู้ของศิลปินอื่นเข้ามาจอดรับบ้างแล้ว อีกทั้งรถตู้สีดำข้างหน้าก็คล้ายจะทิ้งห่างไปเรื่อยๆโดยไม่รอ หรือบางที -- อาร์คอาจรู้อยู่แล้วว่าดาร์คฮอร์สคงไม่กล้าไปตามคำชวน นายลู่หานถึงได้ยิ้มท้าทายกันด้วยแววยียวนอย่างนั้น

         

         

        “แบคฮยอน...”

         

         

        “ไปสิ” อีกสองชีวิตทางด้านหลังกลอกตามองทันทีที่น้ำเสียงราบเรียบของคนข้างหน้าดังขึ้น ถึงสองพยางค์นี้จะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นจม แต่เซฮุนกลับไม่เห็นประกายของความยินดียินร้ายอยู่บนดวงหน้าอีกฝ่ายเลยสักนิด “ก็ตกลงไปแล้วนี่”

         

         

        เขารู้ว่าตัวเองเดินตามเกมง่ายเกินไป ยอมเข้าไปในวังวนของคนพวกนั้น ยอมโดนปั่นหัว ดูแคลนด้วยชื่อเสียงและการกระทำ ซึ่งทั้งหมดนี้ย่อมไม่ใช่ตัวตนของบยอนแบคฮยอนที่เคยแสดงแววตาแข็งกร้าวใส่เป้าหมายเมื่อไม่กี่นาทีก่อน กระนั้น หากสิ่งที่แลกมาจากนี้คุ้มค่า หากนี่เป็นทางลัดไปสู่ความเป็นอาร์คและช่องโหว่ของเกมในครั้งนี้ คงไม่เสียหายอะไรถ้าจะลองดูสักตั้ง

         

         

        นิ้วนางข้างซ้ายร้อนขึ้นอีกแล้ว มันย้ำเตือนว่าอย่าปล่อยให้อดีตเจ้าของรอยสักนี้มีอิทธิพลต่อจิตใจมากนัก

         

         

         

         

        ดิอานเซอร์คือชื่อพิกัดของร้านที่รถตู้สีดำจอดนิ่งลงตรงหน้า เซฮุนเป็นคนแรกที่เริ่มขยับตัวด้วยความตื่นเต้นหลังจากโชเฟอร์ชะลอรถตามและเห็นขากางเกงยีนส์สีดำเรียบของคิมจงอินเป็นคนแรกซึ่งก้าวลงมา ข้าวของจิปาถะทั้งหลายถูกทิ้งไว้บนรถเพราะโชเฟอร์ถูกสั่งโดยตรงจากบริษัทว่าให้มารับดาร์คฮอร์สกลับไปจนถึงหอพักในอีกหลายชั่วโมงจากนี้ น่าแปลกที่เฮสเทียไม่ได้เอ็ดหรือต่อว่าเรื่องมาดื่มกับวงจากเนเบอร์ หนำซ้ำยังว่าดีเสียอีกทั้งในแง่การตลาดและความสัมพันธ์ ที่จะถูกห้ามก็คืออย่าดื่มมากจนไม่มีสติก็เท่านั้น เพราะพรุ่งนี้ยังมีไลฟ์สำคัญอย่างเอ็มแคปติเวทรออยู่

         

         

        แบคฮยอนก้าวตามเซฮุนลงมาเป็นคนที่สองในชุดเสื้อแจ็กเก็ตยีนส์สีซีด แล้วจึงเป็นจุนมยอน ทิ้งท้ายด้วยคยองซูที่ยังละล้าละลังกับการเดินเข้าไปในร้าน เมื่อไม่มีอาร์คคนไหนยืนรออยู่ด้านนอกแล้วทำเหมือนพวกเขาเป็นเด็กไม่ประสีประสา

         

         

        ภายในร้านครึกครื้นเป็นพิเศษเพราะคืนวันศุกร์ นักร้องวงเวทีคล้ายจะเสียงสั่นไปนิดหน่อยที่เห็นวงดนตรีอาชีพเดินเข้ามาติดกันถึงสองวง หนำซ้ำหนึ่งในนั้นยังเป็นวงระดับประเทศที่รู้กันอยู่ว่ามักจะมาร้านนี้อยู่บ่อยครั้งโดยมีโต๊ะประจำด้านในสุด น่าตื่นเต้นที่เมื่อเข้ามาถึง ลู่หานกำลังจัดแจงสั่งบริกรให้ต่อโต๊ะเพิ่มขึ้นจนเพียงพอต่อจำนวนคนแปดที่

         

         

        “มากันแค่สี่คนใช่ไหม” จงอินถามเซฮุนที่น่าจะคุยง่ายที่สุดในวง เรื่องยากจากนี้คือตำแหน่งที่นั่งซึ่งไม่มีใครกล้าจัดแจง เจ้าภาพทยอยนั่งกันบนเก้าอี้แต่ละตัวและเรียงกันยาวเป็นรูปตัวแอลใหญ่ เว้นที่ว่างสามที่ติดกันและหัวโต๊ะอีกด้านสำหรับดาร์คฮอร์ส โดยเป็นปาร์คชานยอลที่ถูกดันมาจนถึงที่นั่งหัวโต๊ะฝั่งขวาตามตำแหน่งยืนซึ่งใกล้เก้าอี้ที่สุด

         

         

        ถ้าเรียงตามนั้น แบคฮยอนไม่เต็มใจนั่งริมขวา

         

         

        มือกีต้าร์วงดังอมยิ้มเล็กน้อยกับความใกล้ชิดที่คงไม่มีโอกาสแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยนัก ตาคมปลาบจ้องแบคฮยอนทุกการเคลื่อนไหวจนกระทั่งนิ่งสงบเมื่อทุกคนนั่งเรียบร้อยดี แหวนสีเงินเกลี้ยงวงนั้นยังอยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ขาดเข่า ชานยอลไม่ได้พกอะไรมาด้วย และเขาก็ไม่คิดว่าโทรศัพท์มือถือหรือหน้าผู้ชายคนอื่นบนโต๊ะจะน่ามองไปกว่าสีหน้าบูดบึ้งของอดีตคนรัก ซึ่งเชื่อเถอะว่าต่อให้แยกเขี้ยว เขาก็ยังจะจับจ้องมองรักเดียวให้หายคิดถึงอยู่ดี

         

         

        “แพ้เหล้าอะไรหรือเปล่า” อี้ฟานทำหน้าที่สั่งออเดอร์บริกรโดยไม่ลืมถามไถ่ตามนิสัยรอบคอบ เมื่อคยองซูตรงหัวโต๊ะเป็นฝ่ายส่ายหน้าตอบเพราะนั่งใกล้กันที่สุด หัวหน้าวงอาร์คจึงจัดแจงเมนูไปตามความเหมาะสม แอลกอฮอลล์ มิกเซอร์ และอาหารหนักเบารสชาติกลางโดยไม่ลืมเมนูอร่อยของร้าน

         

         

        “ไก่ทอดของดิอานเซอร์น่ะอร่อยมาก” จงอินโพล่งขึ้นเพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบจนเกินไปนัก ได้ยินอย่างนั้น ลู่หานจึงหัวเราะราวกับนี่เป็นมุกตลกขบขันอันดับต้นๆ

         

         

        “ไก่ทอดก็เหมือนกันทุกร้าน ฉันไม่เห็นจะแยกรสชาติออกเลย”

         

         

        “มันก็อยู่ที่สูตรกับวิธีการทอด ทำเป็นพูดไป ฉันเห็นนายกินหมดจานทุกที” สองคู่ซี้เริ่มหยอกกันไปตามประสา ซึ่งคงเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จขึ้นมานิดหน่อยที่อย่างน้อยก็ทำให้โอเซฮุนและคิมจุนมยอนหลุดหัวเราะออกมาได้ “เดี๋ยวลองชิมก็แล้วกัน เมนูแนะนำจากฉันเอง”

         

         

        “ครับ” น้องเล็กที่สุดในโต๊ะอมยิ้ม เซฮุนนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างแบคฮยอนกับจุนมยอน ฝั่งตรงข้ามคือจงอิน ซ้ายมือคืออี้ฟาน ขวามือคือลู่หานและชานยอลตามลำดับ “โอ๊ะ เขาเล่นเพลงแทร็ปด้วย!

         

         

        ดนตรีสดบนเวทีบรรเลงเพลงยอดฮิตที่ถูกปล่อยออกมาเมื่อสามเดือนก่อนและคงกระแสจนถึงตอนนี้ อันที่จริง ลู่หานอยากได้ยินเพลงเดวิลไซด์ที่เพิ่งออกใหม่มากกว่า ถึงบางทำนองจะยังแปร่งปร่า แต่เชื่อเถอะว่าการคัดกรองวงดนตรีแสดงสุดสัปดาห์ของดิอานเซอร์ก็ไม่ได้อยู่ในระดับขัดหูขัดใจนัก

         

         

        “พูดถึงเพลงแทร็ป ฉันยังไม่ได้ขอบคุณอย่างเป็นทางการเลยนี่นาเรื่องที่ดาร์คฮอร์สเอาไปคัฟเวอร์” ประโยคนี้อาจดูเหมือนว่านักร้องนำของอาร์คชวนคุยรวมๆ แต่หากดูจากสายตาที่จับจ้องไปยังคนนั่งฝั่งตรงข้ามแล้ว แน่นอนว่ามันค่อนข้างชัดเจนที่ชายหนุ่มอยากคุยกับแบคฮยอนเป็นพิเศษ “จริงๆก็อยากรู้จักมาตั้งแต่ตอนนั้น”

         

         

        น่ากลัวที่ผู้ชายคนนี้เดาใจยากเหลือเกิน แบคฮยอนอยากจะคิดว่านี่เป็นการชวนคุยเพื่อมิตรภาพอย่างที่ควรจะเป็นหรือมีนัยยะอื่นกันแน่ เอาเป็นว่าเขาไม่ใช่คนซับซ้อนหรือเล่นคำเก่ง เพราะอย่างนั้น ไอ้เรื่องที่จะให้มาปั้นยิ้มหรือทำอย่างที่คนตรงหน้ากำลังทำอยู่จึงกลายเป็นตัวเลือกสุดท้ายไปโดยปริยาย

         

         

        บริกรทยอยเสิร์ฟเหล้าผสมมิกเซอร์ให้แขกประจำทั้งสี่คนอย่างรู้งาน อี้ฟานและจงอินดื่มเหล้าผสมโซดา ของลู่หานผสมโค้กน้ำเปล่าในอัตราสามต่อสามต่อหนึ่ง ปิดท้ายที่แก้วของปาร์คชานยอลที่เป็นเหล้าผสมน้ำเปล่าเสียอย่างละครึ่งแก้ว

         

         

        “ยังกินหนักเหมือนเดิม”

         

         

        เมื่อมองตอบคำแซวของจุนมยอน ชายหนุ่มก็จำต้องสบเข้ากับคยองซูมือกลองที่ยังไม่มีโอกาสได้คุยกันมาตลอดสองปีนี้ มันค่อนข้างน่าอึดอัดใจพอสมควร เขาไม่รู้ว่าอดีตเพื่อนร่วมวงคนนี้คิดเห็นอย่างไร ถ้ารู้เรื่องจากมือเบสและเข้าใจไปในทางเดียวกันก็คงดี แต่ถ้าทัศนคติของคยองซูตรงกันข้ามล่ะ ถ้าลงหลักปักฐานเกลียดว่าเขาทรยศเหมือนอย่างแบคฮยอน กระทั่งริมฝีปากรูปหัวใจนั้นค่อยๆฉาบรอยยิ้มบางขึ้นทลายกำแพงที่มีต่อกันบนโต๊ะตัวนี้ ถึงจะกลับไปต่อกันไม่ติดอย่างไร อย่างน้อย ปาร์คชานยอลก็คิดว่ามันย่อมดีกว่าการสาปส่งกันเป็นไหนๆ

         

         

        “โค้กน้ำเปล่าสองครับ” คยองซูสั่งบริกรเมื่อเห็นว่ามาถึงแก้วใบที่ห้า ส่วนอีกแก้วนั้นสั่งเผื่อจุนมยอนด้วย จากนั้นจึงเห็นมือขาวของเด็กที่นั่งตรงกลางชูสามนิ้วแทรกขึ้นมา

         

         

        “เป็นสามเลยครับ”

         

         

        บยอนแบคฮยอนทำราวกับว่าการร่วมดื่มครั้งนี้เป็นเรื่องน่าเบื่อเสียเต็มประดา มือนั้นยังสไลด์ไปบนหน้าจอโทรศัพท์เพื่อเช็กฟีดแบ็กเกี่ยวกับไลฟ์วันนี้โดยไม่สนมารยาท มีคำถามหนึ่งถูกส่งมาทางนี้ทว่าไม่เข้าหู คนถามจึงไม่อยากพูดซ้ำอีก

         

         

        แต่พอเซฮุนอ้าปากจะตอบแทน เสียงทุ้มจากใครบางคนก็แทรกขึ้นมาอย่างรู้งาน

         

         

        “เหล้าน้ำหนึ่งหนึ่ง”

         

         

        เจ้าของแก้วที่กำลังถูกเทน้ำสีอำพันผ่านก้อนน้ำแข็งเงยขึ้นมองมือกีต้าร์วงอาร์คที่ยังนั่งทำไม่รู้ร้อนหลังจากโพล่งสั่งมิกเซอร์ไปด้วยความมั่นใจว่าคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากสองปีก่อน และใช่ -- ทั้งคู่เคยดื่มเหมือนกันอย่างไรก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ใครๆก็ว่าปาร์คชานยอลและบยอนแบคฮยอนชอบพากันเมาแล้วกอดคอกลับ ซึ่งอดีตก็คืออดีต มันไม่น่ารู้สึกดีเอาเสียเลยกับประโยคแทนความหวังดีเมื่อครู่

         

         

        แบคฮยอนตอบรับบริกรที่เสิร์ฟแก้วให้ บนใบหน้าขาวไร้ซึ่งรอยยิ้มใดๆ นอกจากจะทนอึดอัดที่ต้องเป็นเป้าสายตาของศัตรูอย่างชานยอลแล้ว พอมาตอนนี้ เขายังต้องทำไม่รู้สึกรู้สาต่อความอยากรู้อยากเห็นของโอเซฮุนที่มองราวกับว่าเรื่องเมื่อครู่ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน เซฮุนรู้ว่าแบคฮยอนจงใจเลี่ยงปาร์คชานยอลยิ่งกว่าอะไรดี กอปรกับคำเตือนจากพี่ทั้งสองที่ว่าอย่าเอ่ยชื่อนั้นต่อหน้านักร้องนำเป็นอันขาด แต่ความรู้สึกนี้ -- ความรู้สึกที่ว่าคนทั้งคู่ยังมีสายสัมพันธ์ต่อกัน เขาก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดจะดูไม่ออกว่าอาจเป็นแบคฮยอนที่โกรธอีกฝ่ายเพียงด้านเดียว เพราะฝั่งชานยอลไม่ได้มีทีท่าตอบรับแรงโกรธนั้นเลย

         

         

        มันแปลก แต่ก็ไม่มากพอให้เซฮุนเก็บมาใส่ใจ

         

         

        ทั้งที่คิดว่าบรรยากาศบนโต๊ะจะครึกครื้น กลับกันที่โอเซฮุนรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังอยู่ในเดดแอร์อย่างไรอย่างนั้น ต่างคนต่างยกเหล้าขึ้นกระดกเข้าปากจนต้องเติมแก้วต่อไปในเวลาไล่กัน จากเวทีเงียบไประยะหนึ่งในขณะที่วงแสดงต่อจากนั้นกำลังเซ็ตเครื่องดนตรี ถึงตรงนี้ จึงเป็นคนช่างคุยอย่างลู่หานที่อาสาเปิดบทสนทนาขึ้นมาหลังจากเห็นสีหน้าของจุนมยอนไม่สู้ดีนัก

         

         

        “วันก่อนครับ”

         

         

        “ทำไมครับ”

         

         

        “ไปซื้อกีต้าร์ตัวใหม่มา” ลู่หานตอบคำถามของจงอิน ส่วนคนที่เหลือยิ้มค้างเพราะรอดูว่าคู่นี้จะเล่นอะไรกันอีก

         

         

        “อยากเป็นนักดนตรีมานาน แล้วไงต่อครับ”

         

         

        “พอไปถึงปุ๊บ ได้ถอยเลยครับ”

         

         

        “ถอยกีต้าร์ตัวใหม่แบบไม่ต้องคิด พอล รีด สมิธรุ่นลิมิเต็ด”

         

         

        “ถอยออกจากร้าน เงินไม่พอ”

         

         

        “ถุ้ย! คนทั้งโต๊ะระเบิดหัวเราะดังลั่นไม่เว้นแม้แต่คยองซูและอี้ฟาน โดยเฉพาะเซฮุนที่ทุบกำปั้นรัวๆกับโต๊ะทั้งน้ำตาเล็ด ให้ตายเถอะ! สองคนนี้ไปเอามุกตลกควายๆแบบนี้มาจากไหน บางทีพวกเขาคงจะเมากันหมดแล้วถึงได้เส้นตื้นอย่างนี้

         

         

        “มุกนี้ผมเคยได้ยินมาก่อน แต่ก็ไม่คิดว่าพวกคุณจะเล่น” คยองซูส่ายศีรษะไปมา ตอนเล่นก็ไม่อายสักเท่าไรหรอก แต่พอถูกแซวเท่านั้นแหละ ลู่หานถึงกับต้องยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มแก้เก้อที่กล้าตบมุกอะไรแบบนั้นออกไป

         

         

        ชานยอลชินเสียแล้วที่คนพวกนี้มักจะชอบทำทีเล่นทีจริงกับทุกเรื่อง เขาคิดว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงถ้าเรื่องจากนี้เป็นไปได้ด้วยดี ในขณะที่ต่างคนต่างเริ่มผ่อนคลายและหยิบยกเรื่องสัพเพเหระขึ้นมาพูดคุย คนเดียวที่ยังนิ่งเงียบและบึ้งตึงเห็นจะมีแต่คนที่นั่งถัดไปทางด้านซ้าย แบคฮยอนทำตัวเหมือนคนอารมณ์เสียตลอดเวลาอย่างไรอย่างนั้น

         

         

        คว้าเอาแก้วเหล้ามาเติมน้ำแข็งและชงเหล้าให้แทนโดยไม่ได้เรียกบริกร เป็นเรื่องปกติที่คนโต๊ะนี้จะชอบดื่มแบบเป็นส่วนตัวโดยไม่ต้องมีใครมารอฟังเรื่องวงใน ตลกดีที่พอแบคฮยอนทำท่าจะคว้าแก้วของตัวเองเอาไว้ก็ดันช้ากว่าเขาเสียแล้ว เหล้าครึ่งแก้วผสมน้ำอีกครึ่งแก้วถูกวางลงตรงรอยน้ำวงเดิม ยิ่งรู้ว่าอยากผลักไสไล่ส่งกันมากเท่าไร ก็ยิ่งอยากลองกวนใจด้วยการเสนอหน้าเข้าหามากเท่านั้น

         

         

        แบคฮยอนไม่มีทางขอบคุณชานยอล แต่ก็ไม่แม้แต่จะเสียเวลาคิดในการกระดกเหล้าแก้วนั้นเข้าปากให้เมาหัวราน้ำไปเสีย แน่นอน เขาจำคำของพี่โบอาได้ขึ้นใจ แต่ความน่าหงุดหงิดที่ล้นทะลักออกมานี้ช่างควบคุมยากยิ่งกว่า

         

         

        เซฮุนคิดว่าตัวเองจะได้ลองดื่มเหล้าจากฝีมือชงของมือกีต้าร์ในดวงใจบ้างเสียแล้ว ผิดคาดที่บริกรหันมาเห็นและตรงเข้ามารับแก้วไปจากมือชานยอลหลังจากที่ร่างสูงเพิ่งคีบน้ำแข็งให้เขาได้แค่ก้อนหนึ่ง ลู่หานเริ่มพูดจาเสียงดังประสานเสียงไปกับจงอิน สองคนนี้เข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยตอนที่เล่าเรื่องตลกในการเป็นศิลปินให้วงน้องใหม่ฟังอย่างออกรส

         

         

        “ไลฟ์วันนี้ ฉันชอบเพลงคลอคสไตรค์มากเลยนะ”

         

         

        แบคฮยอนเงียบจับความบริสุทธิ์ใจในน้ำเสียง เชื่อเถอะว่าเขาอยากแค่นหัวเราะเต็มแก่เพียงแค่นึกถึงสายตาที่หมอนี่ใช้มองดาร์คฮอร์สจากข้างบนนั้น มันจะมีความจริงใจสักเท่าไรกันในวงการแบบนี้ สิ่งที่เตรียมใจยอมรับมีแค่การแข่งขันและถีบส่งกันเพื่อแย่งชิงที่ยืนบนจุดสูงสุด

         

         

        นอกเหนือจากนั้น เราต่างเรียกมันว่าความหลอกลวง

         

         

        “จริงเหรอครับ แต่อาร์คก็สุดยอดมากเลยนะ” เซฮุนยิ้มพอใจที่ถูกวงไอดอลพูดชมซึ่งๆหน้า อันที่จริงเขาก็คิดว่าฝีมือการเล่นกีต้าร์ของตัวเองยังพัฒนาได้อีกมาก แต่พอได้ยินอย่างนี้แล้ว อย่างกับใจทั้งดวงมันพองโตและอยากฝึกซ้อมให้ตายกันไปข้างเลย “ผมขนลุกมากๆกับลุคส์ปีศาจของพวกคุณ”

         

         

        คราวนี้อาร์คหัวเราะรับบ้าง นานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้คำชมแสนจริงใจอย่างนี้ เอาเป็นว่าอย่างหนึ่งที่เป็นความจริงก็คือ อาร์คค่อนข้างชอบเด็กมือกีต้าร์ชื่อเซฮุนทีเดียว

         

         

        “ขอบคุณนะ”

         

         

        “น่าแปลกใจจังที่พวกคุณชวนเรามาดื่มอย่างนี้” จุนมยอนออกตัวบ้าง มือเรียวยกแก้วในมือขึ้นดื่มหลังจากที่เงียบมาพักใหญ่ เขาทำได้แค่กระซิบกระซาบกับคยองซู ซึ่งมือกลองเองก็ไม่ได้มีความเห็นอะไรเกี่ยวกับการมาร่วมดื่มด้วยกันในครั้งนี้นัก อาจเป็นเพราะอาร์คเดาใจยากเกินไป พวกเขาจึงเห็นเพียงความว่างเปล่า

         

         

        “ไม่ต้องคิดมากหรอก เพื่อนๆในวงการเดียวกัน รู้จักกันไว้ก็ดี” จงอินชวนจุนมยอนชนแก้ว แกล้งมองผ่านท่าทางเฉยเมยของอี้ฟานไปสำหรับคำสานสัมพันธ์ประโยคนี้

         

         

        “แล้วยิ่งเป็นเพื่อนๆของชานยอลอย่างนี้ จะให้เราเฉยได้อย่างไรกัน”

         

         

        ลู่หานพูดทั้งรอยยิ้ม หากแต่เรียกมือที่กำลังยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มให้ชะงักงันเสียเดี๋ยวนั้น ตาคมปลาบเหลือบมองนักร้องนำของวงคล้ายจะหยั่งเชิง แต่เมื่อเห็นคนถูกมองเลิกคิ้วข้างเดียวตอบ ปาร์คชานยอลจึงคิดว่าเขาควรเฉยเอาไว้ดีกว่าออกอาการอะไรไปให้คนขี้แกล้งชอบอกชอบใจ อาร์คเหมือนเด็กขี้อิจฉา และนี่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญถึงขั้นที่เขาจะเก็บเอามาใส่ใจเสียเมื่อไร

         

         

        “ถ้ารับรองเพื่อนฉันไม่ดีล่ะก็ ฉันเอาเรื่องนายแน่” แกล้งหยอกกลับไปไม่จริงจังนัก แค่นั้น ลู่หานก็หัวเราะลั่นเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนี้จากปากคนที่ชอบเงียบเป็นอันดับต้นๆ “ฉันว่านายเริ่มเมาแล้วนะลู่หาน”

         

         

        “อย่างนั้น มื้อนี้อาร์คเป็นเจ้ามือก็แล้วกัน” พอเริ่มหยุดเสียงหัวเราะได้ นักร้องดังจึงยกแก้วขึ้นกลางวงเพื่อเชิญชวนโดยไม่สนใจประโยคหลังของชานยอล “คิดเสียว่าต้อนรับดาร์คฮอร์ส ม้ามืดของวงการเพลงในอนาคต”

         

         

        ความเงียบโรยตัวลงมาอีกครั้งเมื่อกลายเป็นดาร์คฮอร์สเสียเองที่ละล้าละลังกับการชนแก้วตอบให้คำเยินยอเมื่อครู่ ทั้งสัมผัสได้ถึงความกดดันแปลกๆที่ถูกส่งออกมา ฤทธิ์แอลกอฮอล์ไม่ได้ช่วยให้คนถูกพูดถึงหลับหูหลับตาแล้วหัวเราะร่าตามได้อย่างที่ควรจะเป็น ฉะนั้น คนคิดน้อยอย่างเซฮุนจึงเป็นแก้วใบแรกที่ถูกยกขึ้นชนตอบ

         

         

        “ไม่จำเป็นหรอก” แบคฮยอนโพล่งขึ้นหลังจากวางแก้วในมือลงบนโต๊ะโดยไม่ร่วมวงด้วย ตาเรียวรีสบมองคนพูดด้วยนัยยะเดียวกับที่ถูกส่งออกมาไม่ผิดเพี้ยน “เพราะเราเห็นอาร์คเป็นคู่แข่ง

         

         

        -- ที่จะต้องข้ามผ่าน เอาชนะ และเหยียบย่ำอย่างที่ถูกกระทำเมื่อหลายชั่วโมงก่อน

         

         

        เดดแอร์เกิดขึ้นอีกครั้งหลังประโยคเมื่อครู่ ซึ่งแทนที่คนฟังอย่างลู่หานจะปั้นหน้าบึ้งตึงหรือแสดงอารมณ์ไม่สู้ดีเมื่อถูกท้าทาย กลับกันแล้ว ริ้วแดงบนพวงแก้มกลับยิ่งเด่นชัดในยามที่เจ้าตัวแย้มยิ้มกว้างพลางว่าทีเล่นทีจริง “แต่ฉันไม่เห็นดาร์คฮอร์สเป็นคู่แข่งหรอกนะ”

         

         

        “....”

         

         

        “มาดื่มกันสนุกๆดีกว่าน่า... อย่างน้อยก็ตอนนี้”

         

         

        ดวงหน้าขาวชาวาบกับคำที่อีกฝ่ายเอื้อนเอ่ยตอกคำพูดเจ็บแสบของเขา ลู่หานหันไปเล่นคล้องแขนดื่มกับจงอินแล้ว อี้ฟานไม่มีทีท่ายินดียินร้าย และความรู้สึกแย่เกินคณานับก็เสียดแทงใจนักร้องนำวงน้องใหม่จนไม่กล้าหันไปมองดูสีหน้าของสมาชิกวงที่เหลือ อาร์คพูดคำแบบนั้นออกมาด้วยสีหน้าปกติได้อย่างไร

         

         

        ร่างเล็กผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้โดยทิ้งให้โต๊ะทั้งโต๊ะหมดสิ้นความสนุกไปเสียแล้ว พอถูกเซฮุนรั้งแขนเอาไว้ก็เบี่ยงออกแล้วว่าจะไปเข้าห้องน้ำ ได้ยินอย่างนั้น เด็กหนุ่มจึงรู้ตัวว่าคำสั่งเด็ดขาดคือห้ามเขาหรือใครลุกตามไปถ้ายังไม่อยากเจอระเบิดลูกโต

         

         

        ปาร์คชานยอลกระสับกระส่ายเหลือเกินเมื่อใจเขามันลอยหนีไปถึงในห้องน้ำแล้ว แต่จะให้ลุกตามไปในตอนที่คนบนโต๊ะยังมองหาจุดสนใจท่ามกลางความเงียบอย่างนี้แล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือคำถามและสายตาคลางแคลงที่พร้อมจะคาดคั้นเขาทุกเมื่อ เพราะอย่างนั้น ชานยอลจึงรอกระทั่งเสียงหัวเราะแรกดังขึ้นอีกครั้ง แล้วจึงอาศัยโอกาสนั้นลอบลุกหนีไปในตอนที่ยังไม่มีใครสนใจ

         

         

        เว้นเสียแต่ลู่หาน ทว่านักร้องนำของอาร์คเพียงแค่ใช้ตาคู่นั้นมองเขา แล้วจึงกลับไปหัวเราะกับจงอินต่อคล้ายไม่อยากใส่ใจนัก ร่างสูงรู้ว่าสิ่งที่ลู่หานแสดงออกมานั้นตรงกันข้ามกับจิตใจ แต่เขาไม่อยากถอยกลับไปนั่งที่เดิมแล้ว

         

         

        หากฝีเท้าต้องชะงักหยุดลงเมื่อถึงหน้าห้องน้ำ ความกลัวสั่นคลอนใจที่เคยกล้าให้นิ่งกับที่เมื่อไม่แน่ใจนักว่าจะโดนตะเพิดออกมาอย่างไรบ้าง จริงอยู่ที่ปาร์คชานยอลรู้จักแบคฮยอนดีเสียยิ่งกว่าใคร แล้วเขาก็ไม่กลัวถ้าคนตัวเล็กจะปั้นหน้าบูดบึ้งหรือขับไสไล่ส่งกับด้วยท่าทีกระเง้ากระงอดอย่างตอนคบกัน แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ตอนที่ชานยอลรู้ดีว่าการถูกเฉยชาใส่มันทำให้ใจของเขาเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าอะไรดี ท้ายแล้ว ชายหนุ่มจึงได้แต่ยืนรอเงียบๆอยู่หน้าทางเข้าเพราะคิดว่าคงเสี่ยงเกินไปถ้าจะต้องมีเรื่องโต้เถียงกันในขณะที่คนในร้านยังใช้บริการห้องน้ำกันขวักไขว่อย่างนี้

         

         

        การนับเวลาในใจช่างยาวนานเหลือเกิน ราวกับตัวเลขเวลาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามจังหวะการเต้นของหัวใจที่รังแต่จะถี่ขึ้นเมื่อนาฬิกาบนข้อมือบอกว่านี่เพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น การที่เขามายืนรออย่างนี้จะได้เรื่องสักเท่าไรกัน แต่ให้นั่งอยู่เฉยๆทั้งที่มีโอกาสคุยสองต่อสอง ปาร์คชานยอลก็คงต้องก่นด่าความโง่ของตัวเองตลอดไปแน่

         

         

        แบคฮยอนคงหงุดหงิดพอดูที่ถูกลู่หานพูดจาแบบนั้นใส่ แต่ถ้าว่ากันแบบกลางๆแล้ว เจ้าตัวก็โผงผางเกินไปและเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเห็นๆ ต่อให้ตัดตำแหน่งสมาชิกวงอาร์คออกไป มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ชานยอลจะต้องเลือกเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่ดี เพราะอย่างนั้นสิ่งที่เขาควรทำคืออยู่เงียบๆ นั่งเฉยๆ และหาจังหวะดีๆให้ตัวเองก็พอ

         

         

        “ชานยอล?”

         

         

        เสียงทุ้มแปร่งของใครบางคนดังมาจากอีกทาง อ้อ เด็กที่ชื่อโอเซฮุนนั่นเอง เจ้าของเรือนผมสีทองเดินเก้ๆกังๆเข้ามาจนใกล้ร่างสูงกว่าในระยะเมตรครึ่ง แล้วสายตาที่รังแต่จะพะวงมองเข้าไปในห้องน้ำนั่นก็ช่างน่าหงุดหงิดสิ้นดี

         

         

        “มาเข้าห้องน้ำเหรอครับ”

         

         

        ชานยอลรู้ตัวว่ามันคงแปลกประหลาดน่าดูถ้าเขาตอบใช่ทั้งที่ยังยืนกอดอกพิงผนังอยู่ตรงนี้ ชายหนุ่มจึงขยับตัวขึ้นเหยียดตรง ทำท่าจับบุหรี่ในกระเป๋ากางเกงแล้วว่าเสียงเรียบ “จะมาสูบบุหรี่น่ะ”

         

         

        เซฮุนเกร็งเหลือเกินเมื่อต้องอยู่ต่อหน้ามือกีต้าร์ในดวงใจอย่างนี้ มือที่ถือกล่องมาร์ลโบโรโกลด์ยกขึ้นกวัดแกว่งไปมาประสาคนทำอะไรไม่ถูก แน่นอนว่าจุดประสงค์ที่เขาลุกออกจากโต๊ะไม่ใช่บุหรี่ แต่มันคงไม่เข้าเค้าเท่าไรนักถ้าจะบอกคนตรงหน้าว่ามาแอบดูแบคฮยอน

         

         

        “เหมือนกันเลยครับ”

         

         

        ทั้งที่ใจยังพะว้าพะวงอยู่กับห้องน้ำ แต่กลายเป็นว่าทั้งคู่จำต้องมาหยุดยืนอยู่บริเวณหลังร้านเพื่อจุดบุหรี่สูบโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ถึงเป้าหมายเดียวกัน ชานยอลไม่ได้งี่เง่ามากพอที่จะไม่ชอบเด็กนี่เพราะปัญหาเรื่องหัวใจ อย่างหนึ่งที่เขาแน่ใจคือเซฮุนไม่รู้ เหมือนอย่างที่จุนมยอนและคยองซูไม่เคยรู้

         

         

        เด็กผมทองอวลเอานิโคตินรสชาติอุ่นให้คลุ้งในลำคอแล้วจึงพ่นออกทางจมูก แม้แต่บุหรี่ เขาและเซฮุนต่างก็มีทั้งจุดร่วมและจุดต่าง ไอบาเนซถูกแบ่งเป็นสีขาวและดำ เช่นเดียวกับบุหรี่มาร์ลโบโรที่ตัดกันด้วยรสร้อนและเย็น นักดนตรีน้อยคนที่ไม่สูบบุหรี่ มันทำให้สมองปลอดโปร่งและผ่อนความตึงเครียดในหัวให้หยุ่นขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์

         

         

        ชานยอลไม่คิดว่าตัวเองต้องเป็นฝ่ายเปิดบทพูด แต่อีกฝ่ายก็เอาแต่ยิ้มเขินแล้วอมพะนำคำพูดไว้ในปากจนเขาอึดอัด “อัลบั้มที่ให้มา ขอบคุณมากนะ”

         

         

        “อ่า...” เซฮุนคงระเบิดตัวเองแล้วแน่ๆถ้าไม่ติดว่ายังตั้งใจรอแบคฮยอนที่ไม่รู้ว่าจะออกมาจากห้องน้ำด้วยสติอารมณ์ที่ดีขึ้นหรือยัง เด็กหนุ่มไม่คิดไม่ฝันอีกนั่นแหละว่าจะได้มีโอกาสมายืนสูบบุหรี่กับคนที่นำพาให้เขาเข้าสู่เส้นทางของมือกีต้าร์อย่างนี้ ยังจำภาพที่ชานยอลอยู่บนเวทีในฐานะวงเกลย์และขยับนิ้วไปบนกีต้าร์ไอบาเนซตัวเก่าได้ดี ตอนนั้นเคยคิดว่าผู้ชายคนนี้เท่อย่างไร ตอนนี้เซฮุนก็ยังคิดอย่างนั้น “ขอบคุณที่รับไว้นะครับ”

         

         

        “ไม่ต้องขอบคุณหรอก” ในบางมุม ชานยอลก็เหมือนแบคฮยอนไม่มีผิด ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียง สีหน้านิ่งเฉย ต่างกันที่คนๆนี้เก็บความรู้สึกได้ดีกว่ามาก

         

         

        “ผมเห็นคุณเป็นไอดอลมาตลอดเลย จนถึงตอนนี้ก็ยังทำตัวไม่ถูก... ทั้งที่เมื่อสี่เดือนก่อน ผมยังเข้าร้านไปซื้ออัลบั้มของอาร์คอยู่เลยแท้ๆ” เป็นคำพูดที่น่าเอ็นดูจนคนฟังต้องอมยิ้มเล็กๆออกมา ถ้าได้ลองตัดเรื่องแบคฮยอนออกไป เขาคิดว่าตัวเองคงชอบเด็กนี่เหมือนอย่างที่สมาชิกในวงกระตือรือร้นจะทำความรู้จัก “ผมเริ่มเล่นกีต้าร์ก็เพราะคุณ อยากเท่เหมือนคุณตอนที่อยู่บนเวที”

         

         

        เซฮุนหัวเราะคลอไปกับคำพูดชื่นชมนั้น ยิ่งพอได้ยืนมองใกล้ๆอย่างนี้ มันอดไม่ได้ที่จะนึกภาพตัวเองตอนใส่แจ็กเก็ตหนังบาลเมนสีดำขลับ แม้กระทั่งสร้อยแม่กุญแจที่ห้อยเด่นอยู่ตรงคอแบบนั้น ทุกอย่างยิ่งขับให้ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มวงอาร์คหล่อเหลาและทิ้งห่างจากเด็กกะโปโลอย่างเขามากเหลือเกิน มือขวาที่คีบมวนบุหรี่มีแหวนสีเงินเกลี้ยงใส่อยู่บนนิ้วนางข้างซ้าย แล้วเซฮุนก็คิดว่าไร้สาระเต็มที่ที่มันดันทำให้เขานึกถึงแหวนบนนิ้วของแบคฮยอนเสียได้

         

         

        เป็นเอามากแล้วโอเซฮุน คิดถึงแบคฮยอนมากขนาดนั้นเลยหรืออย่างไรกัน

         

         

        “ฉันคงไม่รู้จะพูดอะไร นอกจากให้พยายามเข้า” ชานยอลตอบรับคำบอกเล่านั้น ยิ้มที่ฉาบอยู่บนใบหน้าบางเสียจนคล้ายจะเป็นเส้นตรงก็ไม่ปาน “แล้วก็ไม่ต้องใส่ใจคำพูดเรื่อยเปื่อยของเจ้าพวกนั้นนัก”

         

         

        ไม่อยากให้ดาร์คฮอร์สต้องมารู้สึกไม่ดีเพียงเพราะบทสนทนาของลู่หานและแบคฮยอน สองคนนั้นก็นิสัยเหมือนกันอย่างหนึ่งคือถูกท้าเป็นไม่ได้

         

         

        “ครับ ผมเข้าใจ” เซฮุนไม่ได้สนใจเรื่องนี้ และเขาคิดว่าจุนมยอนกับคยองซูเองก็คงเหมือนกัน คนในวงเองก็รู้นิสัยแบคฮยอนดีอยู่ ถึงไม่อยากเก็บเอาคำพูดของอาร์คมาผูกใจเจ็บเพียงเพราะว่านักร้องวงตัวเองไปกวนประสาทเขาก่อน

         

         

        บุหรี่หมดมวนแล้ว หลังจากทิ้งลงแล้วขยับเท้าเข้าไปเหยียบจนมอดสนิท ปาร์คชานยอลก็ไม่ได้มีทีท่าจะหยิบมวนที่สองขึ้นมาสูบต่อ ป่านนี้แบคฮยอนอาจจะกลับไปนั่งที่โต๊ะแล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่เขาต้องมายืนทำฟอร์มอยู่ต่อหน้าเด็กผมทองอีก คิดเสียว่าได้มาสูบบุหรี่ให้สร่างเมาก็แล้วกัน

         

         

        “ฉันจะกลับเข้าไปข้างในแล้ว จะเข้าไปพร้อมกันไหม” นี่คือการแสดงน้ำใจเท่าที่คนเพิ่งรู้จักจะมีให้กันได้ หากแต่เซฮุนกลับยิ้มกว้างจนแก้มปริ ชานยอลชักจะคิดจริงๆแล้วว่าบางทีอีกฝ่ายคงเป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่งที่ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไร ถึงอย่างนั้น จะให้เขาลบภาพที่อดีตคนรักถูกกุมมือเพียงเพราะคำพูดเยินยอและรอยยิ้มเมื่อครู่ก็คงทำไม่ได้ในทันที

         

         

        เป็นอย่างที่คิดเมื่อสองหนุ่มเดินกลับมาถึงโต๊ะและเห็นร่างเล็กของคนในความคิดนั่งอยู่ที่เดิมทั้งสีหน้าไม่ต่างจากเดิม ได้แต่หวังว่าคงไม่ถูกลู่หานไปสะกิดต่อมอะไรเข้าอีก ชานยอลค่อยๆทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้หัวโต๊ะพลางมองอดีตคนรักกระดกเหล้าลงคอไม่ขาดปาก ส่งสายตาไปยังอีกสองคนเป็นเชิงคำถาม แต่ก็ได้รับกลับมาแค่การไหวไหล่และสีหน้าลำบากใจของจุนมยอน ส่วนคนคออ่อนอย่างคยองซูเอาแต่หัวเราะไม่หยุด คิดว่าคงเมาปลิ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โชคดีที่จุนมยอนโทรเรียกรถตู้ของทางบริษัทให้มารับตามที่ถูกโบอากำชับไว้ ไม่ทันขาดคำ โดคยองซูจำต้องคว้าเอาถังขยะเล็กบนพื้นมาอาเจียนจนหมดไส้หมดพุง และถึงจะพอดูมีสติขึ้นมาบ้าง แต่ชานยอลก็เห็นด้วยถ้าให้ดาร์คฮอร์สกลับไปพักผ่อนเพื่อตื่นขึ้นมาซ้อมสำหรับเอ็มแคปติเวทพรุ่งนี้

         

         

        “ไปต่อกันไหม”

         

         

        อี้ฟานกลอกตาทันทีที่ได้ยินประโยคชักชวนจากตัวเจ้าปัญหาของวง จุนมยอนรับโทรศัพท์จากโชเฟอร์ทที่เพิ่งมาถึงทั้งเสียงอ้อแอ้ แบคฮยอนยังเอาแต่ดื่มไม่หยุดในขณะที่เซฮุนรับเอาเหล้าชงใหม่จากจงอินมาดื่มทีเดียวหมดแก้ว ทั้งยังตกลงว่าจะยอมไปต่อกับลู่หานและจงอินในขณะที่คนอื่นๆแยกย้ายกันกลับ อี้ฟานจัดการเช็กบิลให้เพราะอาร์คออกตัวแล้วว่าจะเป็นเจ้ามือ มีแท็กซี่สองคันจอดรออยู่ด้านหน้าร้านพอดี อี้ฟานจึงขอจองคันหนึ่งเพื่อแยกตัวกลับที่พักเพราะไม่อยากเมานักในคืนนี้

         

         

        “ชานยอล เร็วเข้า!” ลู่หานตะโกนเรียกเมื่อสามคนแรกที่ตกลงกันว่าจะไปต่อขึ้นนั่งบนแท็กซี่เรียบร้อยแล้ว

         

         

        ชานยอลโบกมือปัดๆเป็นการปฏิเสธในขณะที่ช่วยจัดแจงพาคยองซูขึ้นรถ จุนมยอนเองก็มึนเต็มแก่แล้ว ส่วนแบคฮยอนยืนรอให้คนที่เกลียดถอยห่างจากตัวรถแล้วจึงจะตามขึ้นไป พอเห็นอย่างนั้น ลู่หานจึงดึงตัวเองกลับเข้าไปในรถเพราะรู้ดีว่ารบเร้าไปก็ไม่มีประโยชน์ แท็กซี่ค่อยๆเคลื่อนตัวออกหลังจงอินบอกพิกัดร้านใหม่เรียบร้อยแล้ว อันที่จริงเซฮุนอยากให้แบคฮยอนไปด้วยกัน แต่ก็รู้ดีว่าคนตัวเล็กคงปฏิเสธ แล้วเขาเองก็อยากไปกับอาร์คมากพอที่จะรับปากเรื่องรับผิดชอบตัวเองให้ได้

         

         

        ข้อมือเล็กของแบคฮยอนถูกรั้งเอาไว้ก่อนจะทันได้ตามจุนมยอนขึ้นรถ ชานยอลสำทับรุ่นพี่เรียบร้อยแล้วว่าให้กลับไปก่อนได้เลย ไม่อยากปฏิเสธว่าที่รั้งรออยู่ตรงนี้เสียนานก็เพราะรอโอกาสจะได้คุยกันเป็นการส่วนตัวอย่างนี้ ยิ่งพอถูกฮึดฮัดเข้าหน่อย ร่างสูงจึงจำต้องลากอดีตคนรักให้ห่างออกมาเพื่อที่รถตู้จะเคลื่อนตัวออกได้

         

         

        “ปาร์คชานยอล!

         

         

        ไม่อยากพูดชื่อคนตรงหน้าสักเท่าไรนัก แต่ดูเอาเถอะ ทำไมจะต้องมาก่อกวนเขาอีหรอบนี้เสียทุกที ทั้งที่ก็พูดไปชัดเจนตั้งแต่ตอนนั้นแล้วแท้ๆว่าจากนี้ให้เห็นกันเป็นศัตรูไปให้รู้แล้วรู้รอด

         

         

        แบคฮยอนหงุดหงิด แล้วก็คิดว่ามันน่าโมโหเหลือกันกับการที่อีกฝ่ายรั้งข้อมือเขาเอาไว้กระทั่งคันของเพื่อนร่วมวงหายลับไปจากสายตา จะกลับก็ไม่ให้กลับ! ดวงตาเรียวรีจ้องเขม็งใบหน้าหล่อเหลาที่คุ้นเคย ยิ่งปาร์คชานยอลทำหน้าตาเป็นทองไม่รู้ร้อนเช่นนั้น เขาก็ยิ่งอยากตวาดด่าด้วยคำหยาบนับร้อยพันซึ่งจุกอยู่คาปาก

         

         

        “มีอะไรอีก” ร่างเล็กจำต้องรักษาท่าทีเพราะสายตาของพนักงานทางด้านหน้า เสียงเบาหวิวทว่าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ชานยอลก็อยากนึกให้อยู่หรอกว่ามีอะไร แต่เหตุผลของชายหนุ่มคงมีแต่จะยิ่งทำให้คนตรงหน้าระเบิดอารมณ์ก็เท่านั้น

         

         

        “เป็นคนอารมณ์ร้ายอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไร”

         

         

        “ไม่รู้ก็ไม่ตายหรอก เลิกมายุ่งกับฉันสักที” สบถตอบตัดรำคาญก่อนจะมองหาแท็กซี่เพื่อหนีกลับ ให้อยู่ระงับอารมณ์เพื่อเป็นเป้าสายตาตรงนี้นานๆคงไม่ดีแน่ แบคฮยอนรู้ตัวว่าไม่ได้มีความอดทนขนาดนั้น

         

         

        “แบคฮยอน”

         

         

        มือกีต้าร์ของอาร์คเดินตามอดีตคนรักไม่ลดละ จะให้รู้สึกแย่ก็นิดหน่อย แต่ความรู้สึกตอนนี้มันเหมือนตอนได้เดินง้ออีกฝ่ายเมื่อสองปีก่อนเรื่องที่เขาแอบเปลี่ยนเมโลดี้เพลงที่อีกฝ่ายเป็นคนเขียนโดยพละการ ต่อให้ย้อนกลับไปไม่ว่าเมื่อไร ชานยอลก็ยินดีเป็นฝ่ายเดินตื๊ออย่างนี้อยู่ดีถ้ามันจะเปิดโอกาสให้ได้คุยกันบ้าง

         

         

        เขาอยากปรับความเข้าใจ ถึงรู้ว่าแบคฮยอนไม่อยากฟัง

         

         

         

        
        ONE OK ROCK – ALL MINE

        
         

         

         

         

        แทรกตัวผาดหน้าไปเปิดประตูรถแท็กซี่ให้ก่อนจะพาตัวเองตามขึ้นไปนั่งด้วย ยิ่งถูกถลึงตามองทั้งเกลียดแสนเกลียดอย่างนั้นก็ยิ่งคิดว่าไม่ควรยอมแพ้ถ้าไม่อยากให้คนตรงหน้าหายไปอีก อยากกุมมือเอาไว้แน่นๆ สองปีที่ผ่านมาทำให้ปาร์คชานยอลรู้ดีว่าความคิดถึงนั้นทรมานกว่าตอนถูกไล่หลายร้อยเท่า

         

         

        แบคฮยอนคงหนีลงจากรถไปอีกรอบแล้ว ถ้าไม่ติดว่าโชเฟอร์ทำตาโตใส่กระจกมองหลังก่อนจะหันมาคั่นบรรยากาศคุกรุ่นของคนทั้งคู่ “โอ้ ชานยอลวงอาร์คใช่ไหมครับ”

         

         

        “ครับ” เจ้าของชื่อตอบรับ ตลกดีที่กลายเป็นว่าคนข้างตัวยอมสงบลงได้เพราะคนอื่น แบคฮยอนไม่รู้จะสู้กระแสสังคมอย่างไรถ้าเรื่องของเขากับผู้ชายคนนี้หลายเป็นข่าวในวันรุ่งขึ้น แน่ล่ะ พวกเขาไม่ควรทะเลาะกันให้ใครเห็น ไม่ควรแม้กระทั่งนั่งหายใจฟึดฟัดในลำคอแล้วมองดูลุงโชเฟอร์พูดคุยกับมือกีต้าร์คนดังด้วยความตื่นเต้นดีใจ

         

         

        “ลูกสาวผมชอบอาร์คมาก ไว้ผมขอลายเซ็นไปให้แกได้ไหมครับ”

         

         

        ชานยอลยิ้มแทนการตอบรับและเซ็นใส่กระดาษให้ตามที่รับปากเอาไว้เมื่อแท็กซี่จอดลงหน้าคอนโดมิเนียมสูงตระหง่าน เชื่อเถอะว่าถ้าลงจากรถได้เมื่อไร แบคฮยอนจะเดินหนีไปเรียกแท็กซี่กลับที่พักให้ได้โดยไม่ยอมถูกมัดมือชกอีกแล้ว

         

         

        “คุณชานยอล”

         

         

        จากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไปจนถึงรีเซฟชั่นเอ่ยเรียกชื่อคนสูงกว่าไม่ขาดปาก บยอนแบคฮยอนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมเขาถึงอยู่ในสถานะที่ต้องรักษาท่าทีต่อหน้าบุคคลที่สามจนถูกลากข้อมือมาจนถึงลิฟท์ได้ จากปาร์คชานยอลที่ใส่แค่เสื้อเก่าๆกลับกลายเป็นคุณชานยอล เจ้าของห้องพักบนคอนโดมิเนียมหรูกลางใจเมือง เจ้าของแจ็กเก็ตบาลเมนคลุ้งกลิ่นแอลกอฮอล์พาเขาผ่านกล้องทุกตัวตามทางเดินมาจนถึงหน้าห้องพัก ข้อมือถูกกอบกุมจนชื้นเหงื่อ กระทั่งบานประตูปิดลง แบคฮยอนถึงได้สะบัดเรียวแขนออกจากพันธนาการอีกฝ่ายได้สำเร็จ

         

         

         

         

        I’m so down and out ’cause

        ฉันรู้สึกแย่เหลือเกิน

         

        something is wrong without you

        เพราะทุกอย่างผิดเพี้ยนไปเมื่อไม่มีเธอ

         

         

         

         

        สองสายตามองกันนิ่งงัน เขาไม่ได้อยากมาอยู่ที่นี่ ไม่ได้อยากมาเพื่อเห็นว่าห้องพักที่แสนโอ่อ่าหรูหราของชานยอลต่างจากห้องโซฟาสีแดงเก่าๆห้องนั้นอย่างไร หากที่ของแบคฮยอนคือรูหนู ที่นี่ก็คงเป็นท้องฟ้า เราอาจอยากก่นด่ากันด้วยคำหยาบคายสักชุด เมื่อนั้น ความรู้สึกติดค้างพวกนี้คงจะหมดไปและได้กลายเป็นคู่แข่งกันจริงๆเสียที

         

         

        “มีอะไรก็พูดมา” นี่จะเป็นการเปิดโอกาสสำหรับคำพูดโง่ๆของปาร์คชานยอลเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าแค่คำว่าคิดถึง แบคฮยอนเคยได้ยินและเอาชนะมันได้แล้ว เขาไม่คิดว่าจะมีสิ่งใดสร้างอิทธิพลเหนือใจได้ดีกว่านั้นอีก

         

         

        “ยังโกรธกันอยู่ใช่ไหม”

         

         

        “....”

         

         

        “ถ้าพูดไป... จะฟังหรือเปล่า”

         

         

        แหวนสีเงินเกลี้ยงบนนิ้วนางข้างขวาถูกถอดออกแล้วใส่ลงไปในกระเป๋ากางเกงเช่นเดียวกับวงเล็กกว่า คำสัญญาเล็กแค่รอบนิ้วของทั้งคู่ปรากฏขึ้นพร้อมกันในสายตาฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง ยากที่จะโกหกว่าแบคฮยอนไม่รู้สึกอะไรเลย แน่นอน เขาเจ็บช้ำเหลือเกิน แต่เราต่างผ่านจุดนั้นมาไกลเกินกว่าจะย้อนกลับไปเพราะอยากได้ยินคำพูดดีๆแล้ว

         

         

        “ต่อให้พูดอะไรออกมา มันก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว”

         

         

        ชานยอลพยายามใจเย็นเมื่อรู้ว่าไม่มีเวลามาขวางกั้นหรือใครที่ยืนรอหน้าประตู เขาสูดลมหายใจลึก เรียบเรียงความคิด ความทรงจำ ตลอดจนความรู้สึกเพื่อกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดน่าฟังสักสองสามประโยค จากนั้น ชายหนุ่มจึงได้รู้ว่าไม่สันทัดเรื่องพรรค์นี้เอาเสียเลย

         

         

         

         

        When you’re not around

        ไม่มีเธออยู่ใกล้ๆอีกแล้ว

         

        Just shadows and rain fall

        มีเพียงเงามืดและสายฝนโปรยปราย

         

         

         

         

        ยังอยากพูดว่าคิดถึง อยากพูดว่ารักตลอดมาและไม่เคยเปลี่ยนใจ ถึงรู้ว่ามันไม่อาจเปลี่ยนหรือลบล้างความผิดพลาดในอดีตได้ แต่หากมีทางใดที่พอจะสมานแผลในใจของทั้งคู่ ชานยอลก็อยากลองดูทั้งนั้น

         

         

        “กลับมาได้ไหม”

         

         

        ไม่อยากยอมรับอาการวูบไหวที่เกิดขึ้นเมื่อถูกจ้องมองด้วยแววตาแสนคุ้นเคย ทั้งอยากหลุบหนี เดินไปให้ไกลจากตรงนี้อย่างที่เคยทำได้เมื่อหลายเดือนก่อน แต่พอไม่มีใครอยู่ข้างนอกนั้น ไม่มีเสาหลักให้ร่างทั้งร่างยึดเอาไว้แล้วฝืนเข้มแข็ง บยอนแบคฮยอนกลับกลายเป็นเพียงคนอ่อนแอที่น่าสมเพชคนหนึ่งเท่านั้นเอง

         

         

        “ไม่เข้าใจหรือไง” อยากลบสร้อยแม่กุญแจนั่นทิ้งจากสายตา แต่มันก็กลับยิ่งเด่นชัดอยู่ตรงหน้าราวกับท้าทาย “ฉันไม่รู้สึกอะไรกับนายแล้ว”

         

         

        “แบคฮยอน...”

         

         

        “คิดถึงเหรอ? แล้วสองปีที่ผ่านมานายไปอยู่ที่ไหน”

         

         

        “....”

         

         

        “ถ้าตายจากฉันไปแล้วก็อย่ากลับมาเลย”

         

         

        ให้คนตรงหน้าเป็นปาร์คชานยอลวงอาร์ค เป็นใครสักคนที่ไม่เคยรู้จักกันยังดีเสียกว่า ลำคอที่เคยหนักอึ้งด้วยลูกกุญแจยังหลงเหลือความรู้สึกราวกับโซ่ถ่วง แบคฮยอนบอกตัวเองว่าอย่าลดค่าลงไปเป็นหมาตัวหนึ่ง หมาที่แค่ได้กลิ่นเดิมๆและคลานกลับไปอย่างซื่อสัตย์ ทว่ายิ่งยืนอยู่ตรงนี้นานเท่าไร ทุกอย่างก็ยิ่งผิดเพี้ยนไปมากขึ้นเท่านั้น

         

         

        หัวใจเต้นช้าลงจนเหมือนจะหยุด ลมหายใจขาดช่วงเมื่อร่างตรงหน้าสาวเท้าเข้ามาใกล้ สีเงินวาววับจากแม่กุญแจและรอยสลักสีดำบนนิ้วนางข้างขวาทาบลงบนพวงแก้ม พอยกมือขึ้นจะสะบัดหนีกลับถูกกอบกุมเอาไว้ด้วยอีกมือ อีกแล้วที่อยากร้องไห้ ตาทั้งสองข้างร้อนผ่าวเหมือนกับได้ยืนอยู่หน้าเวทีเพลงฮาร์ทเอชอีกครั้ง

         

         

         

         

        Wait till tomorrow

        จะรอจนถึงวันพรุ่งนี้

         

        I’ll wait

        ฉันจะรอ

         

         

         

         

        ยิ่งเมื่อถูกสวมกอดจนจมลงไปในอ้อมแขน เรี่ยวแรงที่เคยยื้อยุดกันมาตลอดทางกลับมลายหายไป แบคฮยอนก่นด่าตัวเองซ้ำๆถึงความเจ็บปวดตลอดสองปีที่ผ่านมา เขาไม่อยากรู้สึกดีขึ้นแค่ในตอนนี้ ไม่อยากยอมแพ้แล้วปล่อยให้ก้อนเนื้อบนอกซ้ายเต้นแรงขึ้นทุกขณะ ทุกส่วนในร่างกายร้อนจนแทบทนไม่ไหว อาจเพราะดื่มแอลกอฮอล์เกินไปหรือถูกหล่อหลอมด้วยความคิดถึง เขาไม่อยากหาคำตอบ

         

         

        ถึงจะเซไปเพราะแรงผลักแรงดัน หากชานยอลกลับไม่คิดว่าจะมีอะไรเจ็บกว่าการที่เขายอมปล่อยให้คนตรงหน้าเดินจากไปง่ายๆเช่นเดียวกับตอนนั้น เขาทนไม่ได้ถ้าต้องเห็นมือแบคฮยอนถูกกอบกุมด้วยสัมผัสของใคร ทนไม่ได้ที่ความรู้สึกกลางๆจะยังคารังคาซังและสร้างบาดแผลให้เราซ้ำๆอย่างที่มันเป็นมาตลอด

         

         

         

         

        Just wanna be with you

        แค่อยากอยู่กับเธอ

         

        Only you

        เธอคนเดียวเท่านั้น

         

         

         

         

        “ขอโทษ...” เสียงทุ้มพร่ากระซิบข้างหู ทั้งเว้าวอน ขอร้อง และถามหาโอกาสที่มีขนาดแค่แสงริบหรี่บนเทียนมอด “คืนชีวิตให้ฉันอีกครั้งได้ไหม”

         

         

        ชานยอลเป็นหุ่นเนื้อไร้ชีวิต เป็นเครื่องจักรที่เล่นดนตรีโดยไร้ซึ่งเลือดเนื้อหล่อเลี้ยงหัวใจ เขาเคยเลือกทิ้งสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อก้าวต่อ ถึงแม้จากนั้นจะไม่อาจบอกได้ว่าทางเลือกที่ถูกต้องคืออะไรก็ตามที ทุกอย่างย่อมเกิดจากการแลกเปลี่ยน และตอนนี้เขาอยากเอาสิ่งที่มีแลกแบคฮยอนกลับคืนมา

         

         

         

         

        Always you

        เป็นเธอเสมอมา

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

         

        “ยุงไข่ใส่แก้วแล้ว”

         

         

        คิมจงอินยกแก้วขึ้นสูงขณะเรียกคนที่เอาแต่ยืนกดโทรศัพท์ยิกๆห่างจากโต๊ะไปไม่ไกล โอเซฮุนได้แต่หันไปยิ้มแห้งๆให้รุ่นพี่ร่วมวงการที่เพิ่งได้ทำความรู้จักอย่างเป็นทางการในวันนี้ เอาเข้าจริง การมาเที่ยวกับสมาชิกวงอาร์คก็ไม่ได้แย่ หนำซ้ำทั้งสองคนยังพาเขาเต้นแบบสนุกสุดเหวี่ยง ถึงแม้ว่าตอนนี้ลู่หานจะเมาหัวราน้ำหลังจากดื่มเหล้าเพียวๆไม่หยุดปากตั้งแต่กลับมาถึงโต๊ะก็ตามที

         

         

        ไม่มีการตอบรับจากเจ้าชื่อชื่อบนหน้าจอเว้นแต่เสียงรอสาย เซฮุนยอมกดวางสายที่สี่เพราะเกรงใจว่าคนเป็นพี่อาจจะหลับไปจริงๆแล้ว ถึงไม่ได้เมาเท่าพี่คยองซู แต่แบคฮยอนก็คงจะเพลียน่าดูหลังจากที่ต้องซ้อมร้องเพลงมาตลดทั้งวันเพื่อทำไลฟ์วันนี้ให้ดีที่สุด

         

         

        เด็กหนุ่มยอมเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกงเพราะถูกเร้าหนักเข้า เห็นทีคืนนี้ถ้าไม่เมาจนคอพับ จงอินก็คงจะไม่หยุดส่งเหล้าแก้วใหม่มาให้เขาเรื่อยๆเป็นแน่

         

         

        คิมจงอินไม่ได้ยิ้มบ่อยเหมือนอย่างลู่หาน เจ้าของเรือนผมสีฟอกขาวมีความสุขุมและชวนคุยในเรื่องที่มีสาระกว่ากันมาก อย่างเช่นว่าทำไมถึงอยากมาเป็นนักดนตรี แล้วถ้าได้กลับไปเรียนมหาวิทยาลัยจะเลือกคณะอะไร ทั้งยังแทรกคำพูดขบขันไว้ผ่อนคลายบรรยากาศจนเซฮุนเกือบลืมไปแล้วว่านี่มันดึกเท่าไรแล้ว

         

         

        จนถึงตอนที่ช่วยกันแบกลู่หานที่เมาไม่ได้สติขึ้นไปบนแท็กซี่ เขาก็ยังไมได้รับการตอบกลับใดจากปลายสายที่ไม่สามารถติดต่อได้ แบคฮยอนคงหลับไปแล้วจริงๆ แล้วเซฮุนก็ไม่คิดว่าตัวเองจะกลับห้องไหวทั้งในสภาพมึนเมาอย่างนี้เช่นกัน ถ้าเป็นปกติ  เขาสามารถใช้โอกาสนี้ออดอ้อนฉอเลาะอีกฝ่ายได้สบายๆ พอถูกค้อนหนักหน่อยค่อยแกล้งหลับก็ยังได้

         

         

        ทั้งที่เพิ่งแยกกันไม่กี่ชั่วโมง แต่โอเซฮุนดันคิดถึงใครอีกคนจับใจเสียแล้ว

         

         

         

         

         

         

         

         

         

        

         

         

          

         

         

         

         

         

        
        ONE OK ROCK – Notes’n’Words

        
         

         

         

         

        โอเซฮุนเปิดประตูห้องเข้ามาตอนรุ่งสาง ฟ้าด้านนอกสว่างและเริ่มมีแดดอ่อนๆแล้ว ตอนนี้อาจเป็นเวลาที่น่าชวนให้จิบกาแฟของใครหลายคนบนโลกใบนี้ แต่คงไม่ใช่เด็กขี้เมานิสัยไม่ดีคนหนึ่งที่พยายามลากสังขารของตัวเองกลับมาให้ได้หลังหายจากอาการแฮงค์เพราะดื่มไปหนักเหลือเกินเมื่อคืนนี้

         

         

        อดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเห็นใครที่แสนคิดถึงนอนนิ่งอยู่บนเตียงอย่างที่นึกภาพเอาไว้ไม่ผิดเพี้ยน ร่างโปร่งเดินสะโหลสะเหลจนล้มลงบนเตียงก่อนจะพยายามแทรกตัวเข้าไปในผ้าห่มแล้วสวมกอดอีกฝ่ายจากด้านหลัง เซฮุนไม่กลัวถูกดุ ไม่กลัวแม้กระทั่งว่าจะถูกหันมาเอ็ดตะโรเพราะทำเอาคนพี่ตื่นทั้งที่มีเวลาพักผ่อนน้อยเต็มที

         

         

        เขาทั้งกอด หอม จูบต้นคอขาวด้วยความเสน่หา ก่อนชะงักไปเพียงเพราะมือที่ฉวยกอดเอวร่างเล็กเอาไว้ถูกกุมตอบเป็นครั้งแรก

         

         

        “แบคฮยอน...?”

         

         

        ห้องทั้งห้องมืดครึ้มเพราะผืนม่านที่บดบังคนบนเตียงจากแสงแดดอ่อนๆ มันเป็นสีคล้ายใจของบยอนแบคฮยอนตอนนี้ไม่มีผิด

         

         

         

         

         

         

         

        
        
        
        
        
         

        ________________________________________

         
        
        เรื่องราวจริงๆเพิ่งจะเริ่ม
        ชนวนที่แท้จริงเพิ่งจะเกิด
        
        เจ็ดตอนที่ผ่านมา ก็เหมือน 1/3 ของเรื่องทั้งหมดเท่านั้นเอง

        
        
        อยากได้กำลังใจจัง : )
         

        #ficdarkhorse
        
        
        
        
        
        
        
        
        
        
        
        
         



    M
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×