ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (SF/OS) #OHARHAFIC | CHANBAEK SEKAI

    ลำดับตอนที่ #3 : ▲ sekai | WRONGพื้นผิดเบอร์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.79K
      39
      9 มี.ค. 58












    นักเลงคีย์บอร์ดที่

    WRONGพื้นผิดเบอร์

    ตีป้อมโดนไค หัวใจโดนเธอ

    หลงรักเธอแบบเบลอๆ เผลอๆก็ได้เธอเป็นแฟน

     

    ( かわいい )

     

     

    sekai x kaihun

     

     

    Note .อะไรนะ ? สาระเหรอ เออไม่น่ามีหรอกคุณ 5555555555555555

    ชื่อเรื่องยาวมาก แต่ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องสักอย่าง ถุ้ย!

    ทนๆอ่านหน่อยนะคะ เราไม่ค่อยถนัดคอเมดี้เท่าไหร่ Tv T

     

     

     

     

    KAI_KUN : คุยได้ไหม ทำอะไรอยู่ครับ

     

     

    นิ้วเรียวยกขึ้นให้ริมฝีปากแทะอย่างที่ติดเป็นนิสัย จนรู้สึกได้ถึงรสเค็มๆของขี้เล็บนั่นแหละร่างโปร่งถึงได้ใช้เท้าเขี่ยๆถังขยะออกมาจากใต้โต๊ะแล้วโค้งตัวลงถุยน้ำลายให้พอรู้สึกละอายใจว่าได้ทำสิ่งไม่ถูกสุขลักษณะอนามัยลงไป

    แต่ช่างแม่งเถอะ ตอนนี้หันมาสนใจในจอคอมพิวเตอร์ก่อนดีกว่า

     

     

    Miranda : คุยได้ค่ะ : )

     

     

    เชื่อเถอะว่าคิมจงอินเผลอระบายยิ้มออกจนเก็บไว้ไม่อยู่แล้วนาทีนี้ ชะโงกหน้าไปข้างๆเพื่อเช็คว่าแบคฮยอนเพื่อนร่วมงานกำลังสนใจกับสาวทรีดีในเกมจนไม่มีทางหันมาเสือกเรื่องของเขาแล้วก็ตัดสินใจพิมพ์ตอบกลับไป

     

     

    KAI_KUN : วันนี้ไม่มีเรียนเหรอ?

    Miranda : วันนี้หยุดแหละ ดีใจจัง

    KAI_KUN : นึกว่าเมื่อคืนเล่นเกมดึกจนตื่นไม่ไหว 555

    Miranda : ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง โทษไคคุงเลย

    KAI_KUN : ไม่เอาไม่โทษดิ เข้าเกมเลยเปล่า?

    Miranda : อ้าว นึกว่าอยากจะคุยกันก่อน : (

    KAI_KUN : คุยก่อนก็ได้ มีอะไรจะบอกพอดี

    Miranda : อะไรเอ่ย

    KAI_KUN : ....

    Miranda : เงียบ...

    KAI_KUN : คิดถึงจัง

     

     

    โอย... กูล่ะจั๊กกะจี้ตัวเอง

    “แค่กๆ”

    ยังไม่ทันจะได้หายเขินร่างโปร่งก็ต้องสะดุ้งจนถ้วยมาม่าคัพแทบหลุดมือ ดีนะเก้าอี้นวมที่นั่งอยู่พนักมันสูง ไม่อย่างนั้นคงได้อายตายตอนที่ทุกคนเห็นว่าเขาขี้ตกใจแค่ไหน

    จงอินรีบกดซ่อนหน้าต่างแชทในเกมลงก่อนจะชะโงกหน้าไปดูต้นเสียงซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม พูดให้ถูกก็คือหันตูดคอมพ์ชนกันนั่นแหละ มองผ่านช่องว่างที่พอมีอยู่ก็เห็นโอเซฮุนหนึ่งในเพื่อนร่วมงานกำลังไอสำลักไปดูดโค้กขวดในมือไป ส่วนมืออีกข้างนั่นก็มาม่าคัพรสต้มโคล้งเหมือนกันกับเขาไม่มีผิด รสนี้น่ะต้องกินดีๆ เสียสมาธิหน่อยเดียวมีสิทธิ์สำลักตายอายหมาเกิดได้

    เอาเป็นว่าเรื่องของคนอื่นช่างมันก่อน เดี๋ยวน้องมิแรนด้าหาว่าเขาตอบช้าแล้วจะเป็นเรื่อง

    แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความผิดหวังเมื่อสาวเจ้ายังไม่ตอบอะไรมาเลยสักคำเดียว จงอินจำต้องรีบพับหน้าจอลงอีกครั้งเมื่อโอเซฮุนเดินผ่านเขาไปทางห้องน้ำด้วยสีหน้าเหยเก อีหรอบนี้เดาได้ไม่ยากว่าเจอมาม่าทะลวงถึงม้ามไต

    หันกลับมาจากการยุ่งเรื่องชาวบ้านแล้วน้องมิแรนด้าก็ยังไม่ยักกะตอบ จงอินเลยได้แต่เก็บขยะบนโต๊ะยัดใส่ถุงก๊อบแก๊บรอไปพลางๆ จะหาว่าคนแผนกนี้ดูว่างงานก็ได้ แต่มันก็แค่ช่วงนี้เท่านั้นแหละ บริษัทปล่อยเกมใหม่ออกมาเมื่อไหร่อาชีพนักพัฒนาเกมอย่างพวกเขาก็ได้อยู่กับมันจนอดตาหลับขับตานอนลืมวันคืนเลยทีเดียว

    ราวๆห้านาทีเขาก็จัดการเคลียร์โต๊ะทำงานที่สุดแสนจะอุดมสมบูรณ์ให้ว่างเปล่าขึ้นมนระดับหนึ่งได้ โดยการทิ้งมาม่าคัพที่แห้งคาถ้วยและเอาขวดโค้กแก้วไปใส่ในลังข้างตู้น้ำที่ทางบริษัทเอามาบริการไว้ให้ แล้วยังซากของกินอีกสารพัดสารเพ แต่เรื่องดีหนึ่งในนั้นก็คือคิมจงอินเจอยาดมที่ทำหายเมื่อก่อนอยู่ในถุงเดียวกับกล่องเอแคลร์

     

     

    Miranda : มาแล้วค่ะ

     

     

    พักยกการทำความสะอาดโต๊ะฆ่าเวลาไว้แค่นี้ก่อน มือเรียวกดเปิดหน้าต่างแชททันทีที่เห็นว่าแถบ Taskbar ขึ้นสีส้มเรืองๆ พูดก็พูดเถอะว่าเห็นอย่างนี้ใจมันก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว คนกำลังมีความรักอะไรๆก็ไร้เหตุผลทั้งนั้นแหละ

     

     

    KAI_KUN : ไปไหนมา

    Miranda : แม่เรียกไปเก็บผ้าอ่ะ ไม่โกรธนะ?

     

     

    มุมปากหยักยิ้มกริ่มแล้วตั้งท่าจะพิมพ์ตอบ หากแต่หางตากลับสบเข้ากับคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างไม่ตั้งใจ พอเห็นว่าเป้าหมายรู้ตัวโอเซฮุนก็แสร้งทำเป็นกระแอมไอแล้วเอี้ยวตัวกลับไปสนใจหน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเองต่อ จงอินเพิ่งรู้วันนี้เองว่าเป็นคนหล่อก็ขี้เสือกกับเขาได้นะจ๊ะ

     

     

    KAI_KUN : โกรธ

    Miranda : ยกโทษให้ไม่ได้เหรอ

    KAI_KUN : ....

    Miranda : นะคะ นะๆ

    KAI_KUN : ถ้ายกโทษให้แล้วจะได้อะไร

     

     

    มิแรนด้าเงียบไปถึงสองนาทีกับคำตอบนี้ อะไรวะ ไปเก็บผ้าอีกแล้วหรือไง ทำไมต้องมาหายตอนไคลแม็กซ์ทุกทีเลยเชียว

     

     

    Miranda : จุ้บๆ <3

     

     

    ว้าว... นาทีนี้คิมจงอินเขินจนลืมหายใจ

     

     

    KAI_KUN : น่ารักนะเราอ่ะ

    Miranda : หายโกรธยัง

    KAI_KUN : ไม่หายโกรธเธอก็หาว่าเราใจร้ายดิ

    Miranda : ^_^

     

     

    ผ่านไปแป๊บๆก็ถึงเวลาเลิกงานแล้ว จงอินไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีพันธะอะไรนักเพราะมิแรนด้าก็ขอตัวไปช่วยแม่ล้างจาน ทำการบ้าน ธุระส่วนตัวอะไรเทือกๆนี้เหมือนกัน ถ้าไม่ติดอะไรเขาคงได้เจอเธออีกทีตอนสี่ห้าทุ่ม เล่นเกมด้วยกันสองสามตา คุยกันอีกสักครึ่งชั่วโมง แค่นั้นก็ครบหนึ่งในภารกิจชีวิตประจำวันของคิมจงอินและนอนหลับฝันดีได้แล้ว

    จงอินโบกมือลาแบคฮยอนที่ขอตัวออกไปก่อน นั่นทำให้เขาเห็นว่าโอเซฮุนก็เดินออกไปพร้อมๆกัน รอบตัวหมอนั่นยังมีสาวน้อยสาวใหญ่ในบริษัทมารายล้อมเหมือนอย่างทุกที เฮ้อ ฮอตจนกูอิจฉา

    พอลงลิฟท์คนเดียวก็วกกลับเข้าเรื่องน้องมิแรนด้าต่อ เขาคุยกับเธออย่างนี้มาสามสี่เดือนได้ จุดเริ่มต้นคือเธอแอดเขามาเพราะเห็นว่าตั้งชื่อไคคุงเหมือนตัวละครในเบย์เบลด ศึกลูกข่างสะท้านฟ้า แล้วเขาก็เกิดบ้าไปนอนดูซะงั้น เลยกลายเป็นเพื่อนแก้เหงาคุยกันไป มักจะออนมาเวลาพร้อมๆกัน คุยกันยันเรื่องทีมในเกมไหนเจ๋งไหนกาก ถ้าเป็นไปได้อยากให้มีตัวละครไหนมาเพิ่ม จนไปๆมาๆก็กลายเป็นเรื่องจิปาถะ สารทุกข์สุขดิบ ดูหนังเรื่องนั้นไหมเป็นยังไงบ้าง กินมาม่ารสอะไรหรือบ้านอยู่แถวไหน (พอรู้ก็ไปแอบโฉบมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วจะบอก) กลายเป็นว่าดันชอบอะไรเหมือนๆกัน คุยกันถูกคอ แถมมิแรนด้าก็ไม่จุกจิกงี่เง่าทั้งยังให้กำลังใจเขาในตอนที่ต้องอดหลับอดนอนนั่งทดสอบเกมด้วย

    พูดก็พูดเถอะว่าถ้าเป็นเกมเต้นยอดฮิตป่านนี้แต่งงานในเกมจนมีลูกมีผัวใหม่ไปหมดแล้ว แต่ก็อย่างว่า ผู้หญิงที่เล่นบู๊นี่จัดว่าหายาก แถมมิแรนด้ายังเล่นเก่งจนถ้าไม่ติดว่าเขาเป็นนักพัฒนาเกมก็จะชวนหล่อนไปทำทีมแข่งระดับประเทศแล้วนะเนี่ย

    คิมจงอินคิดว่านี่แหละที่กำลังจะพัฒนาความสัมพันธ์ไปเป็นรักแท้

     

     



     




     

     

     

     

     

    โอเซฮุนเช็ดผมหมาดๆของตัวเองพลางเปิดโน้ตบุ๊คสเปคสูงลิบของตัวเองก่อนจะเอนกายพิงพนักเก้าอี้นวมอย่างดี พอหน้าเดสก์ท็อปปรากฏก็จัดการกดคลิกไปที่ไอคอนคุ้นตาโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

     

     

    USER : Miranda

    PASSWORD : ********

     

     

    ว่าแล้วก็สมเพชตัวเองชะมัด นี่เป็นครั้งที่ล้านแล้วมั้งกับการถามตัวเองว่ากำลังทำบ้าอะไรอยู่ อวาตาร์รูปตัวละครผู้หญิงหวานๆปรากฏที่มุมหนึ่งของจอพร้อมทั้งตารางให้เลือกเซิร์ฟเวอร์สำหรับเข้าเล่น

    แต่เซฮุนไม่จำเป็นต้องกดเลือกอะไรทั้งนั้น เขามองนาฬิกาบนผนังแล้วก็ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนขึ้นมากดดูผ่านๆเพื่อฆ่าเวลา ไม่ถึงห้านาทีเสียงแจ้งเตือนก็ดังพร้อมกับหน้าต่างใหม่ที่เด้งขึ้นมา

     

     

    KAI_KUN : เป็นไง เล่นไปกี่เกมแล้ว

    Miranda : รออยู่

     

     

    พิมพ์มือเดียวในขณะที่อีกมือก็สไลด์ปิดแอปพลิเคชั่นไปด้วย สุดท้ายแล้วสมาร์ทโฟนก็ถูกโยนไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียง โดยที่เจ้าของมันนั่งฝังตัวอยู่ในเก้าอี้นวม พูดก็พูดเถอะ เขาน่ะเบื่อไอ้เกมบ้านี่จะตายชักอยู่แล้ว ที่เล่นก็แค่เพราะอยากจะได้คุยกับใครคนหนึ่งเท่านั้นแหละ

     

     

    KAI_KUN : รอเราอะดิ มาๆเดี๋ยวพาชนะ

    Miranda : ขี้อวด :P

    KAI_KUN : อวดแล้วรักป้ะล่ะ...

     

     

    วันนี้จงอินเล่นเขาไปกี่ดอกแล้ววะ....................

    เซฮุนไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียวว่าจงอินไปกักเก็บความเสี่ยวมาจากไหน นี่เพราะเป็นเขาหรอกนะถึงได้มองว่าจงอินทำอะไรก็ดูน่ารัก แล้วก็ถ้าไม่ใช่มิแรนด้าคนนี้เอามุขแบบนี้ไปจีบสาวที่ไหนก็ไม่ติดหรอกรับรอง

    ร่างสูงถอนหายใจแล้วพิมพ์ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มเล็กๆ

     

     

    Miranda : ไม่รัก เดี๋ยวมานะ

     

     

    ถึงรู้ว่าจงอินจะตอบกลับมาภายในครึ่งนาทีนี้แต่เซฮุนก็คว้าเอาซองบุหรี่แล้วลุกขึ้นเดินไปตรงระเบียง เดี๋ยวจงอินตอบกลับมาแล้วจะเอาแต่คุยเพลิน เขาเลื่อนบานประตูกระจกออกแล้วเดินออกไปรับลมบนพื้นระเบียง วิวทิวทัศน์ของกรุงโซลในยามค่ำคืนก็เป็นอีกอย่างที่เซฮุนเห็นจนเบื่อ เขามักจะมองไปที่ตึกก่อสร้างใกล้ๆเพื่อดูว่ามันคืบหน้าถึงไหนแล้วในตอนที่ปล่อยควันออกจากปากอึกแล้วอึกเล่า

    จะเป็นยังไงนะ ถ้าจริงๆแล้วมิแรนด้าสูบบุหรี่

     

     

     


     



     



     

     

     

     

    งัวเงียตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเพราะต้องไปทำงาน ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงโอเซฮุนก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จพร้อมออกไปทำงาน หยิบกระเป๋าเป้บนเก้าอี้ขึ้นมาสะพายไว้ด้วยไหล่ข้างเดียวก่อนจะแกะขนมปังโฮลวีทหลังตู้เย็นมาคาบไว้กับปากแผ่นหนึ่งรองท้อง เดินยังไม่ทันถึงลิฟท์ดีมันก็ลงไปย่อยอยู่ในท้องเขาแล้วเรียบร้อย ไม่ลืมที่จะแวะมินิมาร์ทใต้คอนโดเพื่อชงกาแฟซองสำเร็จรูปแล้วก็เดินออกจากที่พักในระดับความเร็วที่ไม่เร่งรีบนัก

    เพราะว่าแยกจากครอบครัวมาอยู่คอนโดมิเนียมคนเดียว บวกลบคูณหารค่าใช้จ่ายแล้วเซฮุนถึงคิดว่าอยู่ที่พักใกล้ๆออฟฟิศนี่แหละดี ใช้เวลาเดินไม่ถึงสิบนาทีเขาก็ถึงบริษัทแบบที่ยังไม่ทันเหนื่อยเลยด้วยซ้ำ ถังขยะหน้าตึกก็มักจะเป็นที่ทิ้งแก้วกาแฟของเขาอยู่ทุกเช้าๆ

    ชีวิตประจำวันของเซฮุนเรียบง่าย แต่มันค่อนข้างจะมีปัญหาอยู่อย่างหนึ่งก็ตรงที่เขามักจะเป็นเป้าสายตาของสาวๆทั้งที่รู้จักแล้วก็แปลกหน้านั่นแหละ ทั้งที่จริงเขาจะยืนรอลิฟท์ตัวต่อไปก็ได้ แต่สาวเจ้าก็เอาแต่กดเปิดซ้ำๆรอจนเขาเดินเข้าไปเบียด จัดว่าเป็นเรื่องน่าอึดอัดระดับต้นๆก็ว่าได้

    แต่ร่างสูงก็ยอมอดทนอย่างนี้ทุกๆเช้าเพียงเพราะว่าในอีกไม่ถึงสามนาทีข้างหน้าเรื่องดีๆประจำวันก็จะเริ่มทำงาน ใบหน้าหล่อเดินออกจากลิฟท์เมื่อถึงชั้นที่ทำงานพลางยิ้มทักทายยามหน้าออฟฟิศ นับถอยหลังอีกแค่ไม่กี่ก้าว แล้วก็นั่นไง...

    คิมจงอินกำลังยืนหาวหวอดอยู่หน้าโต๊ะชงกาแฟในโซนครัวพอดี

    เซฮุนรีบวางกระเป๋ายังโต๊ะประจำตัว เขาลอบอมยิ้มเล็กๆในตอนที่มองไปยังโต๊ะทำงานของอีกคน แต่ถึงอย่างนั้นเซฮุนก็เก่งนักเรื่องเก็บอาการ เขาแสร้งเดินไปยังโซนครัวด้วยสีหน้าที่ง่วงนอนเต็มแก่ (ซึ่งมันจะไม่เกิดขึ้นสำหรับคนที่ได้รับคาเฟอีนไปแล้วหรอก) แต่ร่างสูงก็ตัดสินใจที่จะดื่มมันเป็นแก้วที่สอง เพราะอย่างน้อยๆเขาจะได้มีโอกาสอยู่กับจงอินสองต่อสองแม้จะไม่ได้พูดอะไรกันเลยก็เถอะ

    อืม... เขาชอบจงอินจริงๆนะ

    ชอบในตอนที่อีกคนทำหน้าง่วงๆ ชอบที่จงอินใส่เสือยืดสีขาวตัดกับผิวแทนๆแบบนั้น ชอบแม้กระทั่งรองเท้าแตะรุ่นพ่อ แล้วก็ชอบสีหน้าหลากอารมณ์ในตอนที่ตักเกลือใส่แก้วกาแฟด้วย

    “เหี้ยเอ๊ย...”

    ได้ยินเสียงอีกคนสบถดังชัดเต็มสองหู สงสัยจะยังไม่ตื่นดีจริงๆ ร่างโปร่งหันมาเห็นเขาหลุดหัวเราะแต่ก็ดูไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก ก็ไม่ได้รู้จักกันมากจนถึงขั้นมีผลกระทบอะไรในชีวิตนี่นะ

    พูดแล้วก็เศร้าชะมัด มันคงจะดีถ้าเราได้รู้จักกันมากกว่าที่เป็นอยู่

     

     

     

     






     

     

     

     

    ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมง มองซ้ายมองขวาว่าไม่มีใครแล้วเซฮุนก็ล็อกเอาท์ออกจากล็อกอินเดิมก่อนจะพิมพ์ชื่อมิแรนด้าลงไป ไม่นานนักหน้าจอดเกมก็ปรากฏแก่สายตา รวมถึงแชทเดี่ยวที่แจ้งเตือนขึ้นมาทางด้านล่างของหน้าจอด้วย

     

     

    KAI_KUN : มาเร็วจัง

    Miranda : ออนรอเราเหรอ

    KAI_KUN : หลงตัวเองนะเราอ่ะ

     

     

    ร่างสูงเบ้หน้าหล่อๆก่อนจะลงมือพิมพ์ตอบกลับไป แต่พิมพ์ไปได้แค่ครึ่งประโยคข้อความของอีกฝ่ายก็แสดงขึ้นมาอีก

     

     

    KAI_KUN : ก็มาออนรออ่ะดิ อยากคุยด้วย

     

     

    เซฮุนลอบมองจงอินผ่านทางช่องว่างที่มีก่อนจะเห็นว่าร่างโปร่งนั่งอมยิ้มกอดหมอนอิงเอาไว้ราวกับรอลุ้นคำตอบของมิแรนด้าเต็มที เห็นอย่างนั้นก็กลอกตาขึ้นมองเพดานอยู่ครู่หนึ่งเพื่อสรรหาคำพูดดีๆ (หรือจะเรียกว่าตอแหลก็ได้) ตอบกลับไปให้อีกคนทุรนทุราย

     

     

    Miranda : ทำไมปากหวานจัง

    KAI_KUN : เคยชิมเหรอหืมหืมหืม

    Miranda : ไม่เอาหรอก เดี๋ยวเป็นกระสือ :P

     

     

    หลุดหัวเราะน้อยๆกับคำพูดคำจาของมิแรนด้าที่เขาสร้างขึ้นมาเองกับมือ ผู้หญิงอะไรขี้อ่อยจัง (เบ้ปากเป็นเส้นตรงประกอบการหมั่นไส้ตัวเอง)

     

     

    KAI_KUN : ดูทรานสฟอร์มเมอร์ยัง

    Miranda : ยังเลย

    KAI_KUN : เราว่าจะไปดูพรุ่งนี้

    Miranda : สนุกไม่สนุกมาเล่าให้ฟังบ้างนะ

     

     

    ไคคุงเงียบไปแล้ว เซฮุนขมวดคิ้วก่อนจะชะโงกไปแอบมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง คิมจงอินกำลังทำหน้าเครียดจนเขารู้สึกกลัวขึ้นมาดื้อๆ รีบหันซ้ายหันขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครเดินผ่านมาทางนี้ แน่ล่ะ เขากลัวอย่างกับอะไรดีว่าจะมีใครรู้ความลับเรื่องมิแรนด้าเข้า

    หากแต่เสียงแจ้งเตือนก็ทำเอาโอเซฮุนเสียหลักเกือบไถลตกเก้าอี้หลังจากปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในภวังค์อยู่สองนาน จงอินตอบมาแล้ว

     

     

    KAI_KUN : จะไม่มาเจอกันจริงๆเหรอ

     

     

    “.....”

    ยกมือขึ้นป้องปากเล็กน้อยเพื่อใช้ความคิด นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกนะที่ไคคุงขอนัดเจอมิแรนด้า รู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นไปไม่ได้ถึงเอาแต่ปฏิเสธกลับไปทุกครั้ง

    ร่างสูงเอนตัวพิงพนักเก้าอี้พลางเหยียดตัวตรงก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไปช้าๆแต่แล้วก็ลบทิ้ง เป็นอย่างนี้อยู่ถึงสองสามครั้ง

     

     

    Miranda : อ่า

    KAI_KUN : เฮ้ยขอโทษๆ เราไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เธอลำบากใจ

     

     

    Miranda is typing…

    อยากเจอเหมือนกั-- ’

     

     

    Miranda : ไม่เป็นไร

     

     

    อยากจะทึ้งหัวตัวเองแรงๆชะมัด ทำไมมันน่าอึดอัดแบบนี้นะ ทำไมจะไม่อยากเจอ ทำไมจะไม่อยากไปเที่ยวด้วย ทำไมจะไม่อยาก เออนั่นแหละ เขาน่ะอยากสานสัมพันธ์กับจงอินอย่างกับอะไรดี แต่โอเซฮุนมันไม่มีความกล้ามากพอจะทำแบบนั้น

     

     

    KAI_KUN : แค่อยากจะชวนไปดูหนังด้วยกัน

    KAIKUN : เราอยากเจอเธอจริงๆนะ

    KAI_KUN : เราไม่ได้อยากเอาแต่ใจ แต่อยากให้เธอเห็นใจ :[[

     

     

    กึง

    เก้าอี้นวมตัวใหญ่เลื่อนถอยไปข้างหลังเมื่อร่างสูงของใครบางคนยืนขึ้น คิมจงอินละสายตาจากหน้าจอไปมองฝั่งตรงข้ามแล้วก็เห็นโอเซฮุนกำลังพาตัวเอาเดินสวนเขาไปพร้อมกับบุหรี่ในมือ ครั้นพอหันกลับมามองหน้าจอคิ้วเรียวก็ต้องขมวดมุ่นจนผูกเป็นปม

     

     

    Miranda offline.

     

     

    “อ้าวเฮ้ย”

    ไปเฉยเลย... มิแรนด้ากู

    ไม่ทราบได้ว่าเน็ตหลุดหรือตั้งใจจะเลี่ยงกันแน่ แต่ไม่ว่าทางไหนคิมจงอินก็เซ็งไปแล้วเรียบร้อย เขาดูไม่น่าไว้ใจหรือสาวเจ้าคิดว่าจะโดนฆ่าหั่นศพวะถึงได้ไม่กล้ามาเจอกันสักที เจอเลี่ยงจนเสียเซลฟ์ไปหมด

    นั่งรออยู่สองสามนาทีก็ไม่เห็นว่ามิแรนด้าจะกลับมาสักที คงจงใจออฟไลน์แล้วล่ะคิดว่า

    “แบคฮยอน ไปรมควันกันป่ะ”

    “.....”

    เอ้าเงียบ...

    หันไปหาเพื่อนร่วมงานคนสนิทที่กำลังนั่งตีป้อมอย่างเอาเป็นเอาตายแล้วก็ถอนหายใจ กำลังมันส์อย่างนั้นหูฟังเบสหนักราคาสามแสนวอนของมันคงไม่เปิดโอกาสให้เขาทะลวงเข้าไปแหงๆ เพราะอย่างนั้นสิ่งที่จงอินทำได้ก็คือการหยิบซองบุหรี่และไฟแช็คเพื่อไปดูดอย่างเปล่าเปลี่ยว

     

     

     

     

     

     

    อันที่จริงเขาก็ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าก่อนหน้านี้โอเซฮุนเองก็ออกมาสูบบุหรี่เหมือนกัน นึกได้ตอนที่ดันประตูบันไดหนีไปเข้ามาแล้วเจอหมอนี่ยืนพิงผนังอยู่หล่อๆนั่นแหละ

    จงอินจุดบุหรี่สูบแล้วทิ้งตัวนั่งลงตรงบันไดอีกทาง สูบไปพลางๆก็ไม่รู้จะเอาสายตาไปวางไว้ที่ไหนถึงได้ลอบมองคนตรงข้ามแล้วแอบอิจฉามันเงียบๆ พูดก็พูดเถอะ ถึงจะไม่เคยคุยกับนายคนนี้เลยสักครั้งแต่ก็ใช้ว่าจะไม่รู้ถึงกิตติศัพท์ความฮอตของมัน ลำพังผู้ชายอย่างเขามองยังยอมรับว่าหล่อเลย แต่ติดว่าตอนนี้มันยืนหน้าบูดนี่แหละ

    ไปหงุดหงิดอะไรมาวะถึงได้ลุกพรวดพราดออกมารมควันอยู่นานสองนานแบบนี้ ถ้าให้เดาก็คงเล่นเกมแพ้ หรือไม่ก็เจอผีเสื้อสมุทรที่ไหนแคมฟอกซ์อวดนมให้ดูแหงๆ

    บุหรี่มวนแรกหมดไปพร้อมๆกับการชั่งใจว่าจะเริ่มชวนคุยดีหรือไม่ดี ทั้งสองคนเอาแต่มองหยั่งเชิงกันหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่มีใครเปิดบทพูดออกมา ฮะฮะฮะ เป็นไงครับวันนี้ เล่นเกมเหนื่อยเลยสิ ถามแบบนี้จะแปลกๆป่ะวะ

    “ทำงานที่นี่นานแล้วเหรอ”

    สุดท้ายก็เป็นคิมจงอินเจ้าเก่าที่ถามออกไปก่อน คนสูงกว่าดูจะตกใจน้อยๆเพราะดันเผลอทำบุหรี่ในมือตกลงพื้นเอาดื้อๆ ดีนะที่สูบไปเกินครึ่งแล้ว

    “อ่า... ครับ” เป็นครั้งแรกๆที่จงอินได้ยินเสียงทุ้มนั้นพูดกับเขา โอเซฮุนดูประหม่าเหมือนคนขี้อายอะไรเทือกๆนั้นไม่มีผิด “ก็ก่อนคุณแค่เดือนสองเดือน”

    จะว่านี่เป็นครั้งแรกอีกก็ได้ที่เขาสองคนได้มาสูบบุหรี่ด้วยกันสองต่อสองแบบนี้ เพราะผู้ชายในออฟฟิศนั้นสูบบุหรี่ทุกคนเลยก็ว่าได้ แล้วปกติการสูบบุหรี่ก็ค่อนข้างจะเป็นบรรยากาศที่โหวกเหวกจนไม่เหมาะสำหรับการคิดอะไรมีสาระด้วย

    แต่ไอ้ที่คิดอยู่นี่ก็ไม่เชิงว่าสาระหรอกนะ

    เจ้าของผิวสีแทนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะคุยอะไรออกไปอีก ตามมารยาทแล้วไอ้หล่อนี่ก็ควรถามอะไรเขากลับมั่งสิวะ แต่นี่เล่นเงียบกริบ เข้าข่ายถามคำตอบคำสุดๆ แถวบ้านเรียกหล่อขรึมนะแบบเนี้ย

    จนสุดท้ายแล้วจงอินก็รู้ว่าควรจะเป็นแค่เพื่อนร่วมงานที่แปลกหน้ากันแบบนี้ต่อไปแหละดีแล้ว ก็เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับไอ้หมอนี่เลยสักนิดนอกเหนือจากแค่ที่ตาเห็น จะให้ถามว่ามันใช้ครีมยี่ห้ออะไรก็คงไม่ใช่เรื่องอีก

    “จงอิน”

    ในที่สุดโอเซฮุนก็เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาอีกรอบในตอนที่เขากำลังจุดบุหรี่มวนที่สามขึ้นสูบ สีหน้าหล่อๆนั่นดูลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด แถมเสียงที่พูดออกมาก็เบาหวิวเสียจนเข้าต้องใช้ความตั้งใจฟังพอสมควร

    “ถ้าคุณแอบชอบคนๆหนึ่ง คุณจะกล้าบอกเขาหรือเปล่า?”

    ปรึกษาเรื่องความรักซะด้วย...

    คิมจงอินใช้เวลากลอกตาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็กะเทาะขี้บุหรี่เบาๆแล้วว่า “ก็คงบอก แต่จะสมหวังหรือผิดหวังนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง”

    พอพูดจบเซฮุนก็ตีหน้าเครียดใช้ความคิดเสียจนเขาเกิดอยากเสือกขึ้นมาหน่อยๆ เข้าใจหัวอกขึ้นมาเลยเชียว พระเจ้าคงส่งโอกาสนี้มาให้เขาปรับทุกข์เรื่องรักกับคนหัวอกเดียวกันเป็นแน่แท้

    “โอเซฮุน”

    “....”

    อีกฝ่ายยังคงก้มหน้าใช้ความคิดราวกับเสียงเขาจะไม่มีวันเข้าไปถึงโสตประสาท เฮ้ยไม่ได้ดิ มึงถามกูก็ต้องให้กูถามกลับบ้างครับสหาย “เซฮุน”

    “....”

    อยากถามมากจนต้องเอื้อมตัวไปสะกิดแขนเบาๆ หากแต่คิมจงอินก็ต้องสะดุ้งตามเมื่อร่างสูงสะดุ้งจนตัวโยนอย่างกับเขาเป็นของร้อนยังไงยังงั้น

    “เฮ้ย ตกใจอะไรขนาดนั้น...” แล้วทำไมต้องเบี่ยงตัวหนีเขาแบบนั้นด้วยวะ ไม่ใช่ว่าเข้าใจผิดไปหรอกนะ

    “ไม่มีอะไร”

    พอเห็นว่าคนตรงหน้าเอาแต่หลบสายตาแบบนั้นจงอินก็รู้สึกประหลาดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ นี่กูทำอะไรผิดอีกไหม ดูไม่น่าไว้ใจเลยดิหืมหืมหืม “ผมไม่ใช่เกย์เว้ย คือไม่ได้จะพิศวาสอะไรนายหรอกวางใจได้ จะเขยิบหนีทำไม”

    “....” เซฮุนรีบหยิบบุหรี่มวนใหม่ขึ้นจุดสูบ มันเยอะมากสำหรับการสูบในครั้งเดียว แต่ถึงอย่างนั้นก็ช่างเถอะ คำพูดของจงอินน่ะมันน่าหงุดหงิดชะมัด ไม่พิศวาสเหรอ? “ผมไม่คิดอะไรแบบนั้นหรอก”

    “เออก็ดี”

    “ว่าแต่คุณมีอะไรจะพูดกับผมหรือเปล่า?”

    “อ้อ เออ จะถามว่า--” เว้นช่วงไปครู่หนึ่งราวกับช่างใจเล็กๆว่าควรจะพูดออกไปดีไหม แต่เอาเถอะ พูดกับคนไม่สนิทนี่แหละดี ถ้าไปปรึกษาไอ้แบคฮยอนมีหวังเจอซักไซ้ยันลูกบวช “นายคิดว่า... ความรักในโลกออนไลน์แม่งมีจริงป่ะวะ?”

    “แค่กๆ” สำลักควันบุหรี่เสียจนคนมองแทบจะเข้ามาช่วยลูบหลังให้ ร่างสูงใช้หลังมือปาดริมฝีปากเบาๆเป็นการกลบเกลื่อน “ขอโทษที”

    “ไม่เป็นไร” จงอินว่าปัดๆ เขาไม่ได้ถือสาอะไรนัก

    “....”

    “เฮ้ยอย่าเงียบนานดิ ที่ผมถามไปอ่ะนายคิดว่าไง”

    “....”

    โอเซฮุนเบือนหน้าบูดๆของตัวเองหลบไปอีกทาง หงุดหงิด... นี่เขากำลังหงุดหงิดจนแทบเก็บอาการไว้ไม่อยู่แล้วนะให้ตายเถอะ ทำไมจงอินต้องมาถามอะไรแบบนี้ด้วย กลับไปนะพ่อจะลบยูสยัยมิแรนด้านั่นทิ้งซะเลย

    “ไม่มีหรอกครับ”

    “ห้ะ...”

    “ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม งั้นผมขอตัวไปทำงานต่อแล้วกัน”

    “อ้าว...”

    พูดจบก็หุนหันเปิดประตูเดินออกมาทั้งสีหน้างุนงงของอีกฝ่าย ถ้าอยู่ตรงนั้นนานอีกนิดมีหวังเขาได้ปล่อยไก่ให้ความแตกแน่ๆ แล้วก็ไม่ต้องสืบเลยถ้าจงอินรู้ว่ามิแรนด้าอะไรนั่นคือโอเซฮุนคนที่นั่งทำงานโต๊ะตรงข้ามกันทุกวันๆล่ะก็...

    ..........

    หงุดหงิดชะมัด

     

     

     


     






     



     

     

     

     

    เดินกลับเข้ามาในออฟฟิศก็เห็นโอเซฮุนมันนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดคลิกเมาส์รัวๆ โอ้โห แค่เห็นก็มันส์จนอยากจะเข้าไปเสือกสักเกม

    แต่พอทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้แล้วมองหน้าจอเท่านั้นแหละ มือเรียวก็ต้องรีบเลื่อนเมาส์ไปกดเปิดแถบเตือนสีส้มว่ามีข้อความจากมิแรนด้า ผิดหวังนิดหน่อยที่สาวเจ้าไม่ได้ออนรอคุยกับเขาต่อ คงแค่ล็อกอินเข้ามาเพื่อจะบอกว่า...

    บอกว่า...

    บอกว่า...

    “เยสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส!

     

     

    Miranda : อยากเจอมากนักใช่ไหม

    Miranda : ก็ได้ค่ะ เรามาเจอกัน : )

     

     






     







     

     

     

     

     

    จะบ้าตาย!

    นี่โอเซฮุนทำอะไรลงไปในวันนี้เนี่ย

    จุดเริ่มต้นมาจากความที่ทั้งหงุดหงิดทั้งน้อยใจแท้ๆถึงได้ตอบไปแบบนั้น เจอบ้าเจอบออะไรล่ะ มิแรนด้าน่ะมีตัวตนจริงๆที่ไหนกัน (กุมขมับ)

    นั่งขดขาบนเก้าอี้นวมพลางคาบบุหรี่ไม่ได้จุดไฟไว้กับปาก นิ้วเรียวยาวกดปุ่มเอนเทอร์แรงจนเกิดเสียงดังในขณะที่รอเกมเข้าระบบ ทันทีที่ยูเซอร์มิแรนด้าข้นสถานะออนไลน์ ไคคุงก็ทักมายังกับนั่งจับเวลารอยังไงยังงั้น ให้มันได้อย่างนี้สิครับจงอิน

     

     

    KAI_KUN : มาดึกจังวันนี้ :]]

     

     

    ล็อกอินเข้ามาก็บุญแค่ไหนแล้ว นี่ฉันมาเพื่อจะเบี้ยวนัดนายนะคะจงอิน โธ่เอ๊ยโอเซฮุนนนนนนนนนนนนนนนน

     

     

    Miranda : สอนการบ้านให้น้องอยู่จ้า

    KAI_KUN : โห ออนนี่มาก

     

     

    ร่างสูงเบ้หน้าเล็กๆด้วยความหมั่นไส้ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองไปเรียนรู้การตอแหลระดับนี้มาจากไหน บ่ายเบี่ยงทุกทีไม่ให้วกกลับเข้าไปเรื่องนั้น เซฮุนยังคิดเหตุผลในการเบี้ยวนัดครั้งนี้ไม่ออกจริงๆ

     

     

    KAI_KUN : เอ้อแล้วพรุ่งนี้ เจอกันที่ไหนดี

     

     

    นั่นไง...

     

     

    Miranda : อยากเจอเราจริงเหรอ

    KAI_KUN : ถามแปลก ก็อยากเจอจริงๆสิ

    Miranda : แล้วถ้าเราขี้เหร่อ่ะ

    KAI_KUN : อูยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

     

     

    เผลอเม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง ร้อยทั้งร้อยถามไปแบบนี้จงอินคงขยาดแน่นอน เซฮุนตัดสินใจพิมพ์ต่อเพื่อประกอบการตัดสินใจ เอาให้ผวากันไปข้าง

     

     

    Miranda is typing…

    อ้วน สิวเขร่อะ เป็นกากที่ก้น เป็นเกลื้อนที่

     

     

    KAI_KUN : ต่อให้เธอเป็นหมาเราก็ชอบไปแล้วอ่ะนาทีนี้

     

     

    “.....”

    ลบประโยคที่พิมพ์ค้างไว้ทิ้งทั้งหมดก่อนจะหยิบบุหรี่ลุกเดินออกไปสูบที่ระเบียงห้อง ถ้าคนผูกปมต้องเป็นคนที่แก้ปมนั้นเองล่ะก็ เซฮุนคิดว่าตัวเองคงเผลอผูกเงื่อนตายไปซะแล้วล่ะ เพราะเขาแทบมองไม่เห็นทางไหนเลยที่จะจบเรื่องมิแรนด้านี่ลงได้ด้วยดี

    ก็แค่กลัวว่าอะไรๆจะแย่ลงกว่าที่คิด

    เซฮุนมองมือถือเครื่องเก่ากึ้กในมือ แน่นอนว่าเขาไปรื้อหามันมาจนเจอหลังจากที่เก็บใส่กล่องของเก่าไปแล้วเมื่อหลายเดือนก่อน มือใหญ่คาบบุหรี่ไว้กับปากก่อนจะหยิบเอาซิมการ์ดที่เพิ่งซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อแกะออกจากแผ่นพลาสติก เลื่อนฝาเปิดด้านหลังของโทรศัพท์ออกแล้วก็จัดการใส่มันเข้าไป

    ถึงจะไม่แน่ใจนักว่าสิ่งที่ทำอยู่นี่ผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบไหน แต่โอเซฮุนก็กดเปิดเครื่องโทรศัพท์เรียบร้อยแล้ว

     

     

    KAI_KUN : แล้วพรุ่งนี้เราจะติดต่อเธอได้ยังไงอ่ะ

    Miranda : อ่า

    KAI_KUN : แลกไลน์กันปะ

    Miranda : เราไม่เล่นไลน์ เอาเบอร์เราไปได้ไหม

    KAI_KUN : เขินจุง

    Miranda : แมสเสจเอานะ เราอายเสียง

     

     





     








     

     

     

     

     

    “เยสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส” จัดการเมมเบอร์ลงโทรศัพท์เรียบร้อยแล้วก็เอาแต่ดีดดิ้นอยู่บนที่นอนตัวเองด้วยความตื่นเต้นเต็มแก่ “เยสๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”

    ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เบอร์น้องมิแรนด้ามาแล้ว นี่เขามาไกลถึงขั้นนี้ได้ยังไง อยากจะส่งจูบให้คุณแม่และคุณพ่อที่ให้คิมจงอินเกิดขึ้นมา ขอบคุณชาวโลกและเกมออนไลน์ที่มอบความรักให้กันขนาดนี้ โลกช่างสวยงาม หวานแหวว เป็นสีชมพูเหลือเกิลส์

    นึกอะไรขึ้นได้ ดีดตัวลุกไปส่องกระจกตรงตู้เสื้อผ้าอยู่นานสองนาน จงอินใช้มือลูบริมฝีปากหนาๆของตัวเองไปมาก่อนจะทำหน้าไม่สบอารมณ์ เขาเดินไปๆมาๆเล่นกับแสงไฟอยู่นาน แล้วก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆกระจกเพื่อส่องสิวเสี้ยนบนหน้าที่มันช่างน่าเกลียดสิ้นดีพอได้มองใกล้ๆ นี่แม่งผลจากการแดกอะไรไม่ล้างมือสินะ

    เสือกปากดีไปว่าต่อให้มิแรนด้าเป็นหมาก็จะชอบ แต่ถ้ามิแรนด้ามาเห็นสภาพหมาๆของคิมจงอินแบบนี้สาวเจ้าคงเผ่นแหงๆ

    เอาไงดีวะ

    เสิร์ชกูเกิ้ลดูรูปไอดอลหล่อๆแล้วก็พยายามมิกซ์เสื้อผ้าให้เหมือนเขาบ้าง แต่ละคนนี่ก็หน้าใสใจเสือจนทำเอาคนที่เคยมั่นใจนักหนาว่าผิวแทนๆนี่แหละเร้าใจเหลือทนถึงกับเสียเซลฟ์เข้าไปทุกที ครั้นจะให้นั่งรถไปซื้อเครื่องสำอางที่เมียงดงเอาตอนนี้ก็ยังไงอยู่ แถมเลือกก็เลือกไม่เป็นอีก ลำพังครีมบำรุงผิวจงอินยังไม่เคยใช้เลยด้วยซ้ำไป

    “พี่”

    เคาะประตูตามมารยาทก่อนจะเปิดเข้าไปป๊ะกับโปสเตอร์วงชินฮวาที่แปะหราอยู่เต็มห้อง พี่สาวคนรองของเขากำลังนอนมาร์คหน้าแล้ววางแตงกวาอยู่บนเปลือกตา มันน่าเกลียดชะมัด แต่ถึงอย่างนั้นจงอินก็ไม่กล้าพูดออกไปหรอก

    “หนูยืมเครื่องสำอางพี่หน่อยดิ” รู้ถึงไหนอายถึงนั่น ก็มันเรียกมาตังแต่เด็กอ่ะ กว่าจะรู้ประสีประสาแม่งก็ติดปากจนเลิกเรียกไม่ได้แล้ว

    “เครื่องสำอางอะไร?”

    “เอาแบบแต่งหน้าผู้ชายอ่ะ” จงอินมองโปสเตอร์ชินฮวาบนผนังแล้วก็เดินไปยืนเก้ๆกังๆอยู่หน้ากระจก ไม่รู้มาก่อนว่าผู้หญิงจะใช้เครื่องสำอางเยอะขนาดนี้

    “งั้นก็เอาพวกรองพื้น พวกแป้ง ลิป อะไรยังงี้ไปก็แล้วกัน”

    “แล้วมันอันไหนบ้างวะพี่ หนูหยิบไม่ถูก”

    “รองพื้นก็ไอ้ขวดม่วงๆอ่ะ ระวังนะ ฉันปิดฝาไว้หลวมๆ ส่วนแป้งแกหยิบตลับเก่าไปนะ อันใหม่ฉันยังไม่ได้ใช้ อยู่ในตะกร้าๆ”

    ได้มาสองอย่างแล้ว แค่นี้ก็น่าจะพอมั้ง “แล้วลิปอ่ะ ผู้ชายเขาทาลิปสีไรกันวะพี่”

    “แกก็เลือกๆดูสิ ฉันมองไม่เห็น บอกไม่ถูกหรอก”

    อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองโปสเตอร์เพื่อเทียบกับตัวเองอีกครั้ง หน้าขาวปากแดงเชียว นึกไปถึงโอเซฮุน หมอนั่นก็ดูเป็นแนวๆนี้เหมือนนี่หว่า

    “งั้นผมไปนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เอามาคืน”

    ถึงเกิดมาจะไม่ใช่คนหล่อ แต่จงอินก็รู้ว่าการนัดเดทสาวนี่เขาต้องหล่อเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกับสาวที่เจอกันครั้งแรกด้วยแล้วล่ะก็

    อูย... มิแรนด้าต้องน่ารักแน่ๆเลย

     

     

     






     







     



     

     

     

     

    บ่ายโมงแล้ว

    โอเซฮุนใจเต้นตุ้มๆต่อมๆในขณะที่มองนาฬิกาข้อมือไปด้วย เขานัดจงอินที่ร้านกาแฟฝั่งตรงข้าม กะเอาในใจว่าจงอินคงมาถึงในอีกไม่เกินสิบนาทีนี้

    วันนี้ร่างสูงอยู่ในชุดกางเกงยีนส์สีดำกับเสื้อยืดสีฟ้าสบายๆ แว่นตาดำยิ่งขับให้ผิวขาวๆและเรือนผมสีน้ำตาลเด่นจนสาวน้อยใหญ่ภายในร้านต่างพากันจ้องมองนับตั้งแต่นาทีแรกที่เข้ามาในนี้ บนโต๊ะของเขาคือโทรศัพท์มือถือสองเครื่อง เครื่องนึงเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดที่เขาใช้อยู่ประจำ ส่วนอีกเครื่องเป็นมือถือรุ่นเก่าทั้งยังมีรอยถลอกนิดๆ แต่นี่แหละคือไคลแม็กซ์ประจำวันนี้

    ไม่ทันขาดคำเสียงแจ้งเตือนก็ดังขึ้น เซฮุนใช้มือขวาหยิบมันมาเปิดอินบ็อกซ์ดู

     

     

    You have a message from ‘Jongin’

    เรามาถึงร้านกาแฟแล้วนะ เธอนั่งตรงไหนอ่ะ?

     

     

    เงยหน้าขึ้นมองร้านกาแฟงั่งตรงข้ามก็เห็นหลังไวๆเปิดประตูเดินเข้าไปแล้ว ร่างสูงเหยียดตัวนั่งหลังตรงด้วยความตื่นเต้น หัวใจเต้นโครมครามจนแทบเก็บอาการไว้ไม่อยู่

    “เขามาถึงแล้วเหรอคะพี่?”

    ตัดภาพไปที่เด็กสาวผมยาวหน้าตาน่ารักซึ่งนั่งร่วมโต๊ะกับเซฮุนมาด้วยกันตั้งแต่แรก เธอดูเหมือนคนจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ช่วยกันท่าเจ้าของสาวตานับสิบที่จ้องจะเข้ามานั่งร่วมโต๊ะกับเขาได้เป็นอย่างดี

    “ใช่” ตอบรับเสียงเรียบพลางกดแป้นพิมพ์บนมือถือก่อนจะกดส่งออกไป

     

     

    Sending a message…

    ใกล้ถึงแล้ว เธอเลือกที่นั่งเลย

     

     

    “จูฮยอน เธอต้องทำยังไงบ้าง”

    หันกลับมาให้ความสนใจกับเด็กสาวที่กระชับสายโซ่กระเป๋าสะพายด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจเต็มที่ เธอยิ้มน่ารัก แล้วว่า “ก็ทำตัวให้เป็นธรรมชาติ ย่าห์... ฉันท่องจำได้ดีแล้วล่ะน่า ว่าฉันต้องเป็นมิแรนด้า ชอบสีฟ้า ชอบดูหนังแอคชั่น แล้วก็เล่นคริสตัลไมเดน แม่มดสาวทรงเสน่ห์~

    เซฮุนพยักหน้ารับ ใช่... เขาจ้างจูฮยอนมาสวมบทเป็นเจ้าของตัวคริสตัลไมเดนที่ฮีลกับสปิริตเบรคเกอร์ไคคุงจนเกิดเป็นความรัก (จะอ้วก) แต่ก็นั่นแหละ มันคงดีกว่าเป็นไหนๆถ้าเกิดว่ามิแรนด้าตัวจริงจะเป็นเด็กสาวน่ารักๆคนหนึ่งแทนที่จะเป็นผู้ชายตัวสูงที่ชอบกินกาแฟสำเร็จรูปอย่างโอเซฮุน

    อย่าว่างั้นงี้เลยนะ... พอเป็นเรื่องความรักแล้วเขาก็มักจะตัดกำลังใจตัวเองเก่งแบบนี้แหละ

    “หนูไปแล้วนะพี่” จูฮยอนลุกขึ้นยืนก่อนจะหันมาขยิบตาให้เขาทีหนึ่ง ซ้ำก่อนไป เธอยังไม่ลืมที่จะถามให้แน่ใจอีกครั้ง “ผู้ชายผิวสีแทนที่ชอบทำหน้าง่วงๆใช่ไหม”

    พอเซฮุนพยักหน้ารับ สาวเจ้าก็อมยิ้มเล็กๆแล้วเดินตรงไปยังร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามทันที ร่างสูงไม่แน่ใจอีกแล้วว่าสิ่งที่เขาทำอยู่มันถูกหรือผิด แต่พอลองได้โกหกแล้ว เขาก็คิดว่าการถอยกลับนั้นมันช่างยากเย็นเหลือเกิน

     

     

    You have a message from ‘Jongin’

    เรานั่งอยู่ตรงด้านในสุดของร้านเลยนะ ข้างๆตู้ปลา

     

     

    เอามือวางปิดหน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะผ่อนลมหายใจด้วยความสับสน จูฮยอนข้ามไปถึงฝั่งตรงข้ามแล้ว อีกไม่ถึงนาทีก็คงจะเข้าไปข้างในร้านและได้เจอกับไคคุงที่เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขารู้สึกกับมิแรนด้ายังไงบ้าง สิ่งที่จูฮยอนต้องทำมีเพียงการบอกลา ตีหน้าเศร้าๆ พูดคุยกันนิดหน่อยแบบไร้เหตุผลแล้วเดินออกมาแค่นั้น

     

     

    ต่อให้เธอเป็นหมาเราก็ชอบไปแล้วอ่ะนาทีนี้

     

     

    แล้วถ้าจงอินชอบจูฮยอนขึ้นมาจริงๆล่ะ...

    ถ้าเกิดว่าจงอินจะหลงรักเด็กผู้หญิงคนนั้นหัวปักหัวปำ ถ้าเกิดว่าจงอินจะต้องร้องไห้เสียใจ แค่คิดว่าริมฝีปากแดงๆบนดวงหน้าสีแทนนั่นจะยิ้มให้ใครคนอื่นแทนที่จะเป็นเขามันก็แทบทนไม่ได้แล้ว

     

     

    นายคิดว่า... ความรักในโลกออนไลน์แม่งมีจริงป่ะวะ?

     

     

    ผม... ชอบคุณจริงๆนะจงอิน

     

    ร่างสูงลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้จนเกิดเสียงดังลั่นร้าน เสียเวลาโค้งหัวขอโทษขอโพยพอเป็นพิธีแล้วเซฮุนก็วิ่งฝ่าฝูงชนในเมียงดงวันหยุดมาอย่างทุลักทุเล ในมือกำโทรศัพท์ที่ใช้ส่งแมสเสจเอาไว้พลางผงกหัวขอโทษคนที่เขาเดินชนไม่ขาดปาก

    ร้านกาแฟอยู่ตรงหน้าแล้ว พอมาถึงตรงนี้ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่ตัวเองทำบ้าอะไรลงไปอีกแล้ว ไอ้อาการลมหึงขึ้นหน้าทั้งที่ยังไม่ใช่เจ้าของนี่เซฮุนก็ไม่เคยประสบพบเจอกับมันมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าจูฮยอนเจอกับจงอินเข้าแล้วจริงๆเขาคงจะอกหักเต็มรูปแบบแน่ๆ

    ดันประตูเปิดเข้าไปในร้านกาแฟเงียบเชียบ นั่นไง จูฮยอนยังยืนมองซ้ายมองขวาอยู่ตรงนั้น เขาจะให้เงินเธอแล้วบอกให้เอาไปเที่ยวเล่นซะ จากนั้นก็... เดินลงไปนั่งตรงข้ามจงอิน

    ไม่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

    จะทำอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด นั่งตรงข้ามจงอินบ้าบออะไรกันเล่า

    ในขณะที่โอเซฮุนเอาแต่เกาหัวยุ่งๆของตัวเองจูฮยอนก็ยิ้มออกมาเมื่อเห็นด้านหลังของผู้ชายผิวแทนหนึ่งเดียวในร้านที่กำลังนั่งดูดกาแฟเย็นแก้วโต เธอไม่ทันจะเห็นด้วยซ้ำว่าเจ้าของแผนการต้องการยุติมันไว้แต่เพียงแค่นี้

    จงอินนั่งรออยู่นานสองนาน เขาตัดสินใจส่งแมสเสจไปหามิแรนด้าอีกครั้งเพื่อถามว่าเธอถึงไหนแล้ว พูดก็พูดเถอะนะ วันนี้เขาละมั่นใจเป็นพิเศษ รู้สึกว่าตัวเองหล่อมากจริงๆ

    พอหันกลับมาเซฮุนก็เห็นว่าจูฮยอนเจอจงอินเข้าให้แล้ว เธอกำลังจะออกปากเรียกอีกคน นั่นหมายความว่าเขาจะต้องรีบเข้าไปขัดขวางโดยด่วน

    “ไคคุ่-- ว้าย!

    เด็กสาวร้องเสียงแหลมเมื่อถูกคว้าท่อนแขนไว้โดยใครอีกคน และตอนนั้นเองที่เจ้าของผิวสีแทนซึ่งเพิ่งกดส่งข้อความเสร็จก็หันมาเผชิญหน้ากับเขาพอดิบพอดี

    ติ๊ง

    ที่เซฮุนตกใจน่ะไม่ใช่เพราะว่าโทรศัพท์ในมือเขาสั่นขึ้นมาถูกจังหวะหรอกนะ แต่เป็นเพราะใบหน้าสีแทนเมาง่วงที่เซฮุนหลงรักมาตลอดระยะเวลาสี่ห้าเดือนนี่มันไม่เหมือนเดิมต่างหาก

    “อ้าว โอเซฮุน”

    มันขาว... ขาวผิดปกติและลอยตัดกับคอดำๆมาก ทั้งยังขับให้ริมฝีปากของจงอินแดงอิ่มจนเด่นขึ้นมาเป็นพิเศษอีกต่างหาก

    เกิดอะไรขึ้นกับผู้ชายผิวแทนของเขา..........................

    “จูฮยอนเธอกลับไปก่อน เรื่องนั้นน่ะไม่ต้องแล้ว”

    “อะ อ้าว” ถึงจะดูงงๆแต่จูฮยอนก็รู้ตัวว่าเธอไม่ควรโพล่งถามเรื่องนั้นออกมาในตอนนี้ ในเมื่อพี่เซฮุนออกตัวมาเองขนาดนี้แล้วก็ยัดเงินใส่มือเธอแล้ว จูฮยอนก็คิดว่าเธอควรจะโทรนัดแฟนหนุ่มมากินไอศกรีมแล้วก็ช็อปปิ้งในอีทูดี้สักหน่อยคงจะดีกว่า ถึงได้ยอมเดินออกจากร้านไปอย่างไม่มีข้อโต้แย้งอะไรนัก

    ตอนนี้เหลือเพียงผู้ชายสองคนที่ยังคงมองหน้ากันแบบทำอะไรไม่ถูกก็เท่านั้น เซฮุนยังคงกำโทรศัพท์ในมือไว้แน่น เขาไม่สนใจจะเปิดดูแมสเสจด้วยซ้ำแม้ว่าหน้าจอจะโชว์แจ้งเตือนเด่นหนาแค่ไหน

    หน้าของจงอินมันทั้งขาวและหนาเตอะจนเซฮุนรู้สึกอึดอัดหัวใจเป็นอย่างมาก บางทีก่อนที่จะได้เริ่มบอกความจริงอย่างเป็นจริงเป็นจังเขาควรจะบอกจงอินก่อนว่าเจ้าตัวรองพื้นมาผิดเบอร์ แล้วลิปนั่นก็ทำให้จงอินดูเหมือนตุ๊ดเด็กอะไรเทือกๆนั้นไม่มีผิด

    ในฐานะคนแอบรักแล้วเซอุนรู้สึกอย่างจริงจังว่าเขาควรแนะนำทางสว่างให้จงอินด้วยการพูดเรื่องนี้ซะ

    แต่ว่า....

    แต่ว่า....

    แต่ว่า....

    เขาไม่กล้าพอ

     

     

     

     

    มีความในใจอยากบอก เวลาที่ได้เจอ...

    เป็นความจริงใจที่ไม่กล้า แต่ต้องบอกเธอ

    .

    .

    ก็เพราะเธอน่ารัก และฉันอยากจะบอกว่ารัก

    ฉันรักอย่างที่เธอเป็นอยู่…

    ไม่ต้องทำอะไรมากมายให้มันดูลำบากนัก

     

     

     

     

    “เฮ้ย โอเซฮุน”

    หลุดจากภวังค์สีขาวผ่องและปากสีแดงอิ่มเอิบนั้นด้วยน้ำเสียงที่คุ้นเคย เซฮุนรู้สึกอายตัวเองที่เขาเผลอมองอีกฝ่ายแบบเสียมารยาทอย่างนั้น เขาควรจะเดินหนีไปเลยดีไหม หรืออย่างน้อยๆก็ควรได้บอกเรื่องรองพื้นผิดเบอร์ของจงอินก่อน

    “เอ่อ... จงอินครับ”

    “นัดสาวไว้แถวนี้เหรอนาย เฮ้ย เออ มานั่งด้วยกันก่อนก็ได้นะ” ไหนๆมิแรนด้าก็ยังไม่มาแล้วก็อุตส่าห์เจอเพื่อนร่วมงานถึงที่นี่แล้ว จงอินคิดว่าจะไม่ทักไม่ทายกันเลยมันก็คงจะดูใจร้ายไปหน่อย อย่างน้อยๆเขากับหมอนี่ก็เคยคุยกันตั้งครั้งหนึ่งแล้วด้วย

    แต่โอเซฮุนก็ยังทำท่าทางเก้ๆกังๆระหว่างการจะเดินออกไปกับนั่งลงตามคำชวนของเขา นั่นทำให้ร่างโปร่งจำต้องเอื้อมตัวไปคว้าท่อนแขนนั่นมานั่งลงยังฝั่งตรงข้ามเป็นการตัดสินใจให้

    “ดื่มไรป่ะ?”

    เห็นหน้าขาวๆนั่นกำลังมองเขาแล้วเซฮุนก็รู้สึกเขินอายจนทำอะไรไม่ถูก คุณเคยรู้สึกเหมือนเวลาเห็นขนจมูกแต่ดึงในที่สาธารณะไม่ได้ไหม นั่นแหละโอเซฮุนกำลังเป็นแบบนั้นเด๊ะเลย “ไม่เป็นไรครับ”

    เห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของคนตัวสูงแล้วก็เลยคิดว่าไม่ควรจะขัดอะไรมันดีกว่า อยากไปก็ไปเถอะ ว่าแต่นี่มันนานแล้วนะทำไมมิแรนด้าไม่มาถึงสักที แมสเสจไปก็ไม่ตอบ เป็นห่วงขึ้นมาจับใจว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงตัวเล็กๆที่จะมาเป็นว่าที่แฟนในอนาคต

    เซฮุนก็ทำท่าจะลุกไปแล้ว จงอินจึงตัดสินใจกดโทรออกหาหญิงสาวที่เขารออยู่นานสองนาน เสียงของเธอคงดูอายๆน่าจั๊กกะเดียมแน่ๆเลย

    Rrrr

    หากแต่เสียงโทรศัพท์ในมือของคนตรงหน้ากลับดังขึ้นจนทำเอาจงอินสะดุ้ง เจ้าของมันชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะทำเป็นยกหูขึ้นคุยเสียงเข้มในขณะที่เสียงตื๊ดในสายของจงอินเงียบไป

    “ฮัลโหล จะถึงแล้วล่ะ”

    เซฮุนคุยลมกับปลายสายที่ไม่มีอยู่จริง เขาแอบตัดสายจงอินทิ้งไปแล้ว และตอนนี้ร่างสูงก็รู้แก่ใจว่าควรรีบลุกออกไปจากที่นี่ก่อนที่ความเหมาะเจาะทุกอย่างจะจับโกหกเขาไว้ได้ จงอินคงยังไม่ทันเอะใจอะไรนัก

    “ครับผม แล้วเราจะกิ--

    Rrrr

    ต้องสะดุ้งโหยงอีกครั้งเมื่อโทรศัพท์ที่แนบอยู่ตรงหูส่งเสียงดังขึ้นมาลั่นร้านอย่างก่อนหน้านี้ ซึ่งมันไม่น่าจะเป็นได้เลยหาว่าเขากำลังคุยกับใครสักคนในสายอยู่จริงๆ โอเซฮุนเหลียวหลังกลับไปมองเจ้าของเบอร์โทรเข้าซึ่งอยู่ในท่าเอาโทรศัพท์แนบหูเหมือนกันไม่มีผิด ดวงตาสีดำขลับนั้นเบิกโพลง ยิ่งทำให้เซฮุนรีบเร่งฝีเท้าออกไปจากร้านทันที เขาถูกจับโกหกได้อย่างจัง

    “โอเซฮุน! ดะ เดี๋ยว...!

    คิมจงอินรีบถลาลุกออกจากที่นั่งทันทีที่พอจะเรียบเรียงอะไรในหัวได้แล้ว ครั้งแรกที่แมสเสจของโอเซฮุนดังแต่หมอนั่นไม่ยอมเปิดดูเขาก็ไม่เอะใจอะไรนัก แต่มันจะบังเอิญสักแค่ไหนเชียวที่โทรศัพท์นั่นดังขึ้นพอดิบพอดีกับที่เสียงตื๊ดแรกในสายของเขาดังบอกว่าโทรติดแล้ว ก็ไม่ได้เอะใจหรืออะไรหรอกนะ แต่พอเขากดโทรไปอีกรอบ ทุกอย่างก็ชัดเจนจนในหัวนี่ตื้อไปหมด

    “คุณคะ!

    ผมนี่ยืนขึ้นเลยครับ จงอินทำท่าจะเปิดประตูร้านออกไปหากแต่กลับต้องหมุนกลับมาวืดหล่อๆเมื่อถูกพนักงานในร้านร้องเรียกอย่างจัง อะไรอีก ลืมขอเบอร์ก็บอก รู้ตัวนะว่าวันนี้หล่อมากแต่นี่ไม่ใช่เวลาป่ะครับน้อง

    “พี่ลืมจ่ายค่ากาแฟค่ะ”

    “....” รีบควักกระเป๋าตังค์ขึ้นมาควักเงินให้แบบเสียหน้า ขาก็อยู่ไม่สุขสักที มันรังแต่จะซอยเท้าวิ่งตามไอ้หล่อนั่นไปเต็มแก่ อยากจะยัดๆใส่มือพนักงานแล้วพูดหล่อๆว่าไม่ต้องทอนแบบพระเอกซีรีย์อยู่หรอก แต่เงินเดือนยังไม่ออกไง จงอินถึงต้องยืนรอตังค์ทอนอยู่แบบนี้

    ได้ตังค์ทอนแล้วก็ถลาวิ่งออกจากร้านไป หากแต่ก็ต้องถูกชนด้วยฝูงชนที่เดินขวักไขว่ไปมาจนมองไม่เห็นผู้ชายสูงยาวเข่าดีใส่เสื้อสีฟ้าแพลมเข้ามาให้เห็นในสายตา แต่โบราณว่าขวาร้ายซ้ายดี เพราะอย่างนั้นคิมจงอินก็ขอไหลไปตามคนทางด้านขวามือก็แล้วกัน

    หายไปไหนวะ... บ้าเอ๊ย!

    ในหัวเขามีแต่เรื่องมิแรนด้าสลับกับหน้าหมอนั่นเต็มไปหมด ถึงจะเป็นคนโง่ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะโง่จนปะติดปะต่อเรื่องไม่ถูกทั้งที่มันคาหนังคาเขาขนาดนี้แล้ว หมายความว่าไงวะ โอเซฮุนแกล้งเขามาตลอดสามสี่เดือนนี่หรือไงกัน ทำทีเป็นผู้หญิงชื่อมิแรนด้าแล้วก็เข้ามาทำความรู้จัก คุยกันถูกคอ ชอบอะไรเหมือนๆกัน แล้วลับหลังก็คงแอบขำจะเป็นจะตายอย่างนั้นใช่ไหม

    “โอเซฮุน!

    ความพยายามเป็นผลเมื่อเห็นเสี้ยวหน้าของผู้ชายเสื้อฟ้ากำลังมองเขาด้วยอารามตกใจ อีกอึดใจเดียวก็จะตามทันแล้ว

    อาจเพราะรู้ดีว่าถึงยังไงวันจันทร์ก็ต้องเจอกันอยู่ดีหรือเปล่าเซฮุนถึงได้ยอมยืนนิ่งๆปล่อยให้เขาเข้ามาคว้าต้นแขนด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน มือที่กำโทรศัพท์เครื่องนั้นออกแรงมากขึ้นจนเห็นเส้นเลือดที่หลังมือ ทั้งสองคนเซไปทางนั้นทีนี้ทีเมื่อถูกชนจากคนที่เดินผ่านไปมาราวกับเป็นตัวเกะกะทางอะไรสักอย่าง

     

     








     













     

     

     

     

     

    “นายทำไปทำไมวะ”

    จุดบุหรี่ขึ้นสูบแก้อึดอัด ตอนนี้โอเซฮุนก็กำลังทำแบบนั้นอยู่เหมือนกัน พวกเขายืนเอ้อระเหยกันอยู่ที่หน้าสวนสาธารณะ ตรงม้านั่งที่ทางการจัดไว้ให้เป็นเขตสูบบุหรี่

    คนถูกถามไม่ได้ตอบในทันที เซฮุนอัดนิโคตินเข้าปอดอีกถึงสองสามครั้งคล้ายกำลังรวบรวมความกล้าภายใต้ใบหน้ากระอักกระอ่วนนั้น “คุณอยากฟังจริงๆเหรอ”

    จงอินรู้สึกเหมือนถูกหาเรื่องก็ไม่ปาน เขาชักจะหงุดหงิดขึ้นมาหน่อยๆที่ไอ้หมอนี่อ้อมค้อมกว่าที่คิด เออมึงจะบอกว่าเกลียดขี้หน้าหรือว่าสมเพชกูมานานอะไรก็พูดมาเถอะ รู้ตัวดีว่าไม่ใช่คนน่าคบนัก ถ้าเผลอไปกวนส้นตีนเอาตอนไหนก็จะได้กราบขอโทษไปด้วยเลย

    “เออ พูดมาเถอะ”

    ร่างสูงหันมามองหน้าเขา อ้าปากจะพูดอะไรบางอย่างแต่แล้วก็เม้มจนเป็นเส้นตรง เหลือไว้เพียงแค่สายตาแปลกๆอย่างที่คิมจงอินจำกัดความไม่ถูกว่ามันจะสื่อถึงความรู้สึกแบบไหนกันแน่

    “นายเกลียดผมใช่ป่ะวะ?” พอเห็นอีกฝ่ายไม่พูดไม่จาสักทีจงอินก็ทนความอึดอัดไม่ไหว เขาปล่อยตัวเลือกไปให้อีกฝ่ายหนึ่งข้อ จริงๆแล้วนาทีนี้ต่อให้เป็นคำพูดสวยหรูแบบไหนมันก็เรียกคืนความรู้สึกกลับมาไม่ได้ทั้งนั้น “หรือว่าหมั่นไส้?”

    “.....”

    “ถ้าเผลอไปกวนตีนใส่หรือพูดจาไม่ดีก็ขอโทษก่อนเลยแล้วกัน แต่ถึงอย่างนั้นแกล้งกันแบบนี้แม่งแย่ว่ะ”

    “.....”

    “ถึงว่าดิ... ทำไมมิแรนด้าแม่งออนเวลาตรงกันตลอด ที่แท้ก็ทำงานที่เดียวกัน”

    ถึงตรงนี้เซฮุนก็ยังเอาแต่เม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง เขาปล่อยให้บุหรี่มอดไปอย่างเปล่าประโยชน์ถึงครึ่งมวน น้ำเสียงประชดประชันติดหัวเราะของจงอินไม่ต่างอะไรจากเข็มแหลมๆกรีดลงกลางใจเลยสักนิด มันทั้งบีบให้รู้สึกผิด แล้วก็ราวกับจะสมเพชความรู้สึกดีๆที่มีให้กันมาตลอดสามสี่เดือนนี้

    “ที่นายไม่พูดอะไรนี่ เพราะผมคิดถูกแล้วใช่ป่ะวะ?”

    จงอินมองหน้าเขาอีกเพียงครู่เดียวเท่านั้น แล้วร่างโปร่งก็หยัดตัวเองขึ้นยืนเพื่อจะบอกเขากลายๆว่าเสียเวลาฟังความเงียบแทนคำแก้ตัวของโอเซฮุนมานานเต็มที

    “ที่ชอบอะไรเหมือนๆกันนั่นก็โกหกมาตลอด?” ไม่รู้จะพูดไปทำไมเหมือนกัน ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอ้งั่งที่พร่ำเพ้อถึงผู้หญิงไม่มีตัวตนคนหนึ่ง หนำซ้ำไอ้คนตรงหน้านี่ก็ดักควายเขาสำเร็จมาตลอดเสียด้วย

    “.....”

    “เออช่างแม่งเหอะ เอาเป็นว่าถ้าทำเพราะเกลียดขี้หน้ากันก็ถือว่านายทำสำเร็จ”

    “.....”

    “เพราะผมชอบมิแรนด้าจริงๆว่ะ”

     

     

    “ผมชอบคุณ”

     

     

    “ห้ะ”

    หน้าลอยๆของจงอินหันกลับมาหลังจากที่เขาตัดสินใจพูดคำนั้นออกไป ครั้งนี้เซฮุนรู้ดีแก่ใจว่าตัวเองทำอะไรอยู่ แต่เชื่อเถอะว่าอีกสามวินาทีหลังจากนี้เขาคงลืมไปหมดว่าได้พูดอะไรออกไปบ้าง

    “ผมชอบคุณมาตลอดเลยจงอิน ชอบตั้งแต่ตอนเจอกันแรกๆ”

    “.....”

    “ผมแอบมองคุณ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเข้าไปทำความรู้จักยังไงดี”

    “.....”

    “แค่จะทักก็ยังไม่กล้า”

    “เดี๋ยวๆ นี่นายพูดอะไรออกมา?” ริมฝีปากแดงอิ่มนั่นเม้มตัวเองโดยอัตโนมัติ คิมจงอินมองซ้ายมองขวาเพราะกลัวว่าจะมีใครมาเห็นการสนทนาครั้งนี้เข้าแล้วเอาไปเมาท์ว่าเป็นคู่เกย์อะไรเทือกๆนั้น

    “ก็คุณถามผมว่าทำไปทำไม”

    “.....”

    “เพราะผมอยากคุยกับคุณครับ อยากรู้ว่าคุณชอบหรือไม่ชอบอะไรบ้าง อยากรู้ว่าที่คุณทำหน้านิ่วคิ้วขมวดวันนี้เป็นยังไง หรือหัวเราะออกมาเพราะเรื่องอะไร”

    “.....”

    “เพราะผมขี้ขลาดเกินกว่าจะทำอะไรแบบนั้น... ผมถึงได้ลองสร้างมิแรนด้าขึ้นมา”

    “.....”

    “ทั้งที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันแท้ๆ ...แต่ผมก็ไม่เคยรู้เลยว่าคุณชอบเล่นสปิริตเบรคเกอร์”

    “.....”

    “ทั้งหมดที่ทำไปก็เพราะผมชอบคุณ” ถึงตรงนี้น้ำเสียงทุ้มนุ่นนั้นสั่นเครือขึ้นนิดหน่อย แววตาของเซฮุนมองมาราวกับกำลังคาดหวังคำตอบว่ามันจะเป็นการก่นด่าอะไรแย่ๆหรือบอกให้ลืมเรื่องนี้ไปซะ “มันพอจะฟังขึ้นไหมจงอิน...?”

     







     






     

     

     

     

     

     

    วันจันทร์มาถึงเร็วชะมัดเลยว้อยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

    คิมจงอินขอพูดตรงนี้เลยว่าเขายังนึกไม่ออกว่าถ้าเจอโอเซฮุนแล้วจะต้องทำหน้าแบบไหน ถูกเพื่อนร่วมงานที่แทบไม่เคยคุยกับมาสารภาพว่าชอบแบบนั้น ร้อยทั้งร้อยก็ต้องยิ่งกว่าช็อก แต่นี่เขามาทำงานและทำตัวเป็นปกติได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว

    เพล้ง

    เสียงแก้วตกแตกทำเอาคิมจงอินอกอี้แป้นร่วงลงไปอยู่ตาตุ่ม ครั้นพอหันไปมองก็เห็นพนักงานสาวร่วมออฟฟิศมองเขาตาค้างโดยไม่สนใจจะก้มลงไปเก็บเศษแก้วพวกนั้น แม้แต่ตอนที่เดินผ่านเจ๊กง หล่อนก็ทำแฟ้มเอกสารตกพลางจ้องเขาตาค้างเหมือนกับคนอื่นๆในตึก

    มันจะอะไรนักหนาวะ

    แต่ก็... เออ... นั่นแหละ ก็ไม่ปกติหน่อยนึงตรงที่เขายังไม่ยอมคืนเครื่องสำอางพี่สาวนั่นแหละ มันก็ความรู้สึกประมาณว่าต้องไปเจอหน้าคนที่มาแอบชอบตัวเองไง คือจะให้มาทำงานด้วยสภาพกรังๆก็ไม่ได้แล้วไหม กูก็ควรหล่อสักหน่อยเปล่า

    “อุ้ยเหี้ย!

    แม้แต่บยอนแบคฮยอนยังถึงกับสำลักโค้กตอนที่หันมาเจอความเปลี่ยนแปลงของเพื่อนร่วมงาน ความหล่อนี่มันเปิดโอกาสให้ชีวิตจริงๆครับ (ซึ้ง)

    “อะไร” แสร้งตีหน้าเฉยเมยตอบกลับไปแบบไว้ท่าที คิมจงอินเตรียมคำตอบมาแล้ว ถ้าใครถามว่าทำไมหล่อขึ้นผิดหูผิดตาก็กะจะตอบว่าเริ่มหันมาดูแลตัวเองนิดหน่อยไม่มีอะไรเป็นพิเศษ คือนี่กำลังรอให้คนถามอยู่

    “ไปทำอะไรมาวะ” คนตัวเล็กถามหลังจากตั้งหลักได้ หยิบโค้กขึ้นดูดอึกใหญ่ๆย้อมใจพลางมองคนที่แปลกไปอย่างผิดหูผิดตา

    “แปลกยังไง ก็เหมือนเดิม” ทำไขสือแต่ก็ปัดไรผมน้อยๆ เหล่ไปทางโต๊ะฝั่งตรงข้ามก็เห็นว่าโอเซฮุนยังไม่มาทำงาน ดีแล้ว ขอเวลาให้ตั้งตัวก่อน

    “ก็มึงแบบ... แบบว่า... ขาวขึ้น..........”

    “ฮะฮะฮะ มึงว่าอย่างนั้นเหรอวะ” คิมจงอินทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้นวมพลางกระชับปกคอเสื้อเชิ้ตของตัวเองและไม่ลืมที่จะทิ้งกาแฟกระป๋องลงทั้งขยะแทนที่จะวางรกไว้บนโต๊ะเฉยๆ “กูก็แค่หันมาดูแลตัวเองนิดหน่อย แต่กูว่าหน้ากูก็ยังโทรมอยู่เลยอ่ะ”

    “โทรมที่หน้า” แบคฮยอนโพล่งออกมาก่อนจะรู้ตัวว่าเผลอทำเสียงดัง “เอ่อ... คือ... กูหมายความว่า.... โทรมบ้าโทรมบอเหี้ยไร ไม่หรอก ขาวเชียว”

    กลั้นขำแบบให้มีพิรุธน้อยที่สุดแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเข้าโหมดกล้อง แชะใส่เพื่อนข้างๆสักทีสองทีจนคิมจงอินต้องหันมาขมวดคิ้วใส่ “ถ่ายไรวะ”

    “คือกูนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่ซื้อมือถือมายังไม่เคยมีรูปเพื่อนสักที้สักที~ ไหนๆวันนี้มึงก็ขาวหล่อดูดีมีสไตล์ขนาดนี้ กูเลยขอถ่ายไง”

    เป็นข้ออ้างที่ฟังขึ้นเป็นอย่างมาก เขาเห็นแบคฮยอนกลั้นหัวเราะจนตัวสั่นกึกๆแล้วก็ส่ายหน้าระอา แม่งเพี้ยนหรือเพี้ยน

    บยอนแบคฮยอนรีบกดเข้าไลน์แล้วทักหาเฟบเวอริทของตัวเองทันที กดส่งไฟล์รูปให้แล้วก็ก้มหน้าก้มตาแอบพิมพ์รัวๆอยู่หลังพนักเก้าอี้สูงๆที่หันใส่จงอิน

     

     

    Byunee

    ชานยอล มึงดูนี่ๆ

    เชี่ยเอ๊ย ขำน้ำหูน้ำตาไหลแล้ว

    55555555555555555555555555555555555555555555

    Real_pcy

    หือ

    ….

    เกิดไรขึ้น

    Byunee

    จงอินแม่งรองพื้นผิดเบอร์

    55555555555555555555555555555555555555555555

    ขาวจั๊วะแบบเสี่ยวเหล่งนึ่งยังอาย

     

     

     

     


     







     

     

     

     

     

    นี่ปาเข้าไปบ่ายสองโมงแล้วแต่เซฮุนก็ยังไม่มาทำงาน วันนี้เขายอมแต่งตัวแต่งหน้านานกว่าปกติก็เพราะหมอนี่เลยนะ นี่ใจคอจะให้รอเก้อเลยหรอวะ

    จนปาเข้าไปวันที่สองวันที่สาม คิมจงอินก็ยิ่งหงุดหงิดตัวเองที่ปลุกตัวเองตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อเสริมหล่อ ขอร้องอ้อนวอนพี่สาวไม่ให้ยึดเครื่องสำอางคืน แต่ก็ต้องมาพบความแป้วที่ว่าโอเซฮุนไม่ยอมมาทำงานเลยสักวันเดียว

    แถมคนในบริษัทก็ชอบส่งยิ้มให้เขาแปลกๆ เขาใจไอ้หล่อก็วันนี้ว่าความหล่อไม่เข้าใครออกใครนี่แม่งน่าอึดอัดใจจริงๆ

    กูจะรอมึงถึงแค่วันพรุ่งนี้นะโอเซฮุน กูอึดอัดใจกับความหล่อขาวเกาหลีแบบนี้ไม่ไหวแล้ว

     

     

     




     









     

     

     

     

    วันนี้วันศุกร์แล้ว...

    โอเซฮุนหยุดงานไปแล้วสี่วัน และคิมจงอินก็ปฏิญาณตัวเองไว้แล้วว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายจริงๆแล้วสำหรับการมาทำงานในสภาพเวิ่นเว้อแบบนี้ เขาจะไม่ยอมเอาไอ้คำสารภาพรักบ้าบอนั่นมาแลกกับสิวบนหน้าแล้วก็การถูกพี่สาวด่าอีก

    มีที่ไหนวะ สารภาพเสร็จก็หายไปจากชีวิตเขาทั้งอย่างนั้น คิดว่าตัวเองหล่อมากไหมหืมหืมหืมมิแรนด้า

    “อุ๊ย!

    หันไปเจอพนักงานสาวร่วมออฟฟิศสองคนที่ทำหน้าทำตาตกใจตอนที่เขาหันไปมอง เออช่างแม่งเหอะ เขาควรหันมาให้ความสนใจกับการกดน้ำร้อนใส่แก้วกาแฟ จะได้ไม่ตามด้วยการหยิบกระปุกเกลือผิดแทนน้ำตาลอีก

    “นี่ ได้ยินข่าวหรือเปล่าเรื่องเซฮุนที่อยู่แผนกพัฒนาเกมน่ะ”

    หือ...

    “ฉันว่าเขาไม่กลับมาแล้วแหละแก เป็นฉันก็ไปจ้ะ”

    เมื่อกี้เขาไม่ได้ยินผิดไปใช่ไหม สองคนนี้พูดเรื่องเซฮุนไปไหน อะไรยังไง? มีเรื่องอะไรที่เขาไม่รู้หรือเปล่า

    พอเดินกลับมาถึงโต๊ะทำงานถึงได้เอื้อมมือไปสะกิดคนข้างๆ วันนี้แบคฮยอนก็หันมาเห็นเขาแล้วขำพรืดอีกตามเคย ชีวิตมีความสุขมากไปไหมอาทิตย์นี้

    “ว่าไงเพื่อน”

    ชั่งใจนิดหน่อยว่าจะเอ่ยปากถามออกไปดีหรือเปล่า จะดูขี้เสือกไปไหม ลำพังเขาเองก็ไม่เคยคุยกับโอเซฮุนเท่าไรนักในสายตาคนอื่น แต่แม่งมาพีคเอาตอนที่หมอนั่นสารภาพรักนี่แหละชีวิตของคิมจงอินถึงได้เปลี่ยนไป “มึงรู้เรื่องเซฮุนป่ะวะ”

    “เซฮุน... อ๋อ ทำไมอ่ะ?” แบคฮยอนทำท่าเหมือนรู้ และนั่นทำให้คนถามต้องรักษาท่าทีก่อนพูดไปพอสมควรเพื่อไม่ให้คนอื่นจับพิรุธได้

    “ก็ไม่เห็นมันมาทำงาน ประสาเพื่อนร่วมงานก็เลยสงสัย” เหตุผลใช้ได้

    “เห็นว่าการีเน่เขาอยากดึงตัวมันไปทำงานนานแล้ว เงินเดือนก็สูงกว่า สวัสดิการก็เสนอให้อย่างดี เขาก็เลยลือกันว่าคงไปแล้วล่ะงวดนี้”

    การีเน่ที่ว่าก็คือชื่อบริษัทเกมคู่แข่งของบริษัทไอซ์ฟัคที่เขาทำงานอยู่นั่นเอง เป็นบริษัทใหม่ไฟแรง ทำเกมเล่นง่ายกว่า เข้าใจง่ายกว่า โดยรวมคือแม่งโคตรรถูกใจวัยรุ่นแถมยังฮิตติดตลาดเร็วจนน่าตกใจ แต่คิมจงอินไม่ยักรู้มาก่อนว่าแม่งดึงตัวกันดื้อๆงี้

    “เซฮุนมันเก่งมากเหลยเหรอวะ ทำไมดึงแต่มันอ่ะ”

    แบคฮยอนยิ้มแบบผู้รู้ “เอ้า มึงไม่รู้เหรอวะว่าเซฮุนแม่งเทพสัด กูเคยเล่นกับแม่งอยู่สองสามครั้ง อื้อหืม... ถ้าไม่ติดว่าทำอยู่บริษัทเกมซะเองแม่งคงไปแข่งทัวร์นาเมนท์ได้สบายๆ”

    โอ้โห... ยิ่งฟังก็ยิ่งได้รู้ว่ามิแรนด้านี่คือแม่งคงเอาเศษเล็บมาเล่นเพราะไม่อยากหักหน้าเขาสินะ ความภูมิใจที่เคยมีอัดแน่นในตัวไคคุงสลายหายไปทันตา กูก็ขี้อวดไปซะเยอะ หารู้ไม่ว่าคริสตัลไมเดนนั่นแม่งร่างจำลองเทพชัดๆ (ยิ้มทั้งน้ำตา)

    แต่เดี๋ยว...

    ก็เท่ากับว่าเขาจะไม่ได้เจอเซฮุนอีกแล้วดิ

     








     







     

     

     

     

     

     

    หงุดหงิดว้อยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

    นี่มันเรื่องห่าเหวอะไรเหรอถาม ซีรีย์มากไหม สารภาพรักแล้วหายไปจากชีวิตอ่ะ กลับมานี่มึงกับกูคงเจอกันแบบศัตรูรักหักเหลี่ยมโหดเลยไหมโอเซฮุน

    อัดนิโคตินเข้าปอดดับอารมณ์โมโหพลางหยิบกระจกแบบมีด้ามจัดที่เสียบไปกับกระเป๋ากางเกงขึ้นมาส่องดู นี่กูยอมรองพื้นหนาเตอะมาทำงานหล่อๆแบบทุกวันก็เพราะมึงเลยไหม (ว่าแล้วก็เป่าลมใส่ผมหน้าม้าหนึ่งที)

    “อยู่แถวนี้เป็นหมา”

    ซาวน์เสียงเช็คสักหนึ่งทีว่าคงไม่มีใครอยู่ตรงบันไดหนีไฟแถวนี้ เพราะถ้ามีก็คงตะโกนด่าพ่อล่อแม่เขากลับมาตั้งแต่เมื่อห้าวินาทีที่แล้ว เอาล่ะ คราวที่แล้วโอเซฮุนยืนตรงไหนนะ ข้างๆถังขยะนี่ใช่ไหม

    “โอเซฮุน นายเป็นบ้าอะไรวะ เป็นเพื่อนร่วมงานกันดีๆไม่ชอบเสือกสร้างมิแรนด้ามาจีบกันซะงั้น นี่ไปจำจากเรื่องไหนมาว่าแม่งทำแล้วหล่ออ่ะ แล้วยังมีหน้ามาหายไปดื้อๆยังงี้ด้วยนะ ถุ้ยๆๆๆๆๆๆๆ โว้ย ทำไมทำแบบนี้วะ กูข้องใจน่ะเข้าใจไหม วันนั้นกำลังอึ้งก็เลยยังไม่มีสติสตังจะคุยให้รู้เรื่อง แต่พอกูพร้อมแล้วทำไมนายไม่โผล่มาวะ มิแรนด้าก็ไม่ออน มันอะไรนักหนาหา”

    พักหอบหายใจสักยกสองยกก่อน เสริมสร้างอารมณ์ด้วยการเตะถังขยะไปอีกสักทีให้หายโมโห ให้ตายเถอะ ว่าแต่มัน ทำไมกูทำตัวนางเอกซีรีย์งี้

    อัดนิโคตินเข้าปอดเป็นรอบสุดท้ายก่อนจะบี้ก้นบุหรี่ลงกับถาดทรายด้านบนถังขยะ พูดก็พูดเถอะ เวลาดูซีรีย์ชอบด่าพวกนางเอกแม่งน่อน แต่พอมาลองทำเองถึงได้รู้ว่าก็ได้ผลนี่หว่า

    แต่ทันทีที่เปิดตูบันไดหนีไปออกเท่านั้นแหละ ร่างสูงโปร่งที่ยืนทำหน้าเหรอหราอยู่ก็ทำเอาคิมจงอินสตั๊นปิดประตูแทบไม่ทัน เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เขาไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม ที่เห็นโอเซฮุนมายืนแป้นอยู่ทางด้านนอกน่ะ

    แล้วประตูแม่งเก็บเสียงป่ะวะ

    แต่แล้วความจริงก็ได้รับการพิสูจน์เมื่อคนในความคิดเปิดประตูเข้ามาในสภาพมีผ้าปิดปากสีดำคาดปิดไว้ซะครึ่งใบหน้า อีกแล้วที่เซฮุนเอาแต่จ้องหน้าเขาแบบเสียมารยาททั้งยังแสร้งเบือนสายตาหนีไปทางอื่นในตอนที่เกือบจะหลุดขำออกมาอยู่รอมร่อ

    “สวัสดีจงอิน”

    เสียงทุ้มนั้นอู้อี้ทั้งยังฟังดูแปลกๆเหมือนคนเป็นหวัด... ก็คิดว่าคงไม่ผิดแล้วล่ะ ในเมื่อไอค่อกแค่กหลังพูดจบซะขนาดนี้ แต่เจ้าตัวก็ยังไม่วายหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบพลางดึงผ้าปิดปากลงไปกองอยู่ตรงคาง เผยให้เห็นจมูกแดงๆตัดกับผิวขาวดูดีนั่น

    จงอินไม่ตอบ นอกเหนือเสียจากชำเลืองมองอีกฝ่ายอัดเอาควันเข้าปอดอย่างที่เขาเพิ่งทำเสร็จไป แต่พอปล่อยควันออกหน้าขาวๆนั่นก็ไอค่อกแค่กจนชวนให้รำคาญลูกกะตา คือปกติก็เป็นคนขี้เสือกอยู่แล้ว พอเห็นอะไรขัดหูขัดตาก็เลยอดจะพูดออกไปไม่ได้

    “คนเป็นหวัดใครเขาให้สูบบุหรี่วะ คันคอตาย”

    เซฮุนอมยิ้มถึงแม้จะถูกพูดใส่ด้วยน้ำเสียงห้วนกว่าปกติก็ตาม “ผมก็อย่างนี้ล่ะครับ ถึงรู้ว่าไม่ดีแต่ก็อยากทำอยู่ดี”

    โอ้โห... จากสายตานี่ไม่ต้องถามเลยว่ามีนัยยะอะไรแอบแฝงไหม ว้าวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

    “ไม่ต้องมาพูดดี หายไปไหนมาทั้งอาทิตย์วะ” ที่ถามนี่ไม่ได้เป็นห่วงหรอก มาจากความข้องใจและความขี้อ่อยล้วนๆ ก็เพิ่มรู้ตัวเองว่าหน้าขาวแล้วจะเซลฟ์ขนาดนี้

    “เป็นห่วงเหรอครับ?”

    “ว้าว... ห่วงที่หน้าดิ” ต้องผิดปกติแน่ๆ ทำไมถึงได้รู้สึกทั้งโกรธทั้งเขินแบบนี้ รูปหล่อคารมดีทิ้งคราบมิแรนด้าไปเลยเชียว

    “จงอินครับ”

    นั่น... เมื่อกี้แค่ภาคปฐมบทใช่ไหม

    “ผมนอนคิดมาทั้งอาทิตย์ ว่าควรจะบอกคุณดีไหม ยิ่งมาได้เจอคุณวันนี้ ผมก็ยิ่งคิดว่าผมต้องพูดมันจริงๆแล้ว”

    คิมจงอินใจตุ้มๆต่อมๆ ทำไมต้องทำจริงจังแบบนั้นด้วย “นายก็บอกชอบผมไปแล้วไม่ใช่ไง๊?”

    “อืม แต่ว่า... ผมยังบอกคุณไม่หมด” ท่าทางนั้นดูชั่งใจเสียจนคนฟังรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างประหลาด คงไม่ใช่ว่าจะขอเป็นแฟนอะไรเทือกๆนั้นหรอกนะ คือมันเร็วไปไง น่าจะให้เวลาตั้งตัวกันบ้าง

    “อะไร?”

    “ผมชอบคุณนะครับจงอิน ชอบทุกอย่างที่เป็นคุณเลย”

    “.....”

    “ชอบตอนที่คุณดูดโค้ก ชอบเวลาคุณเล่นเกม คุณยิ้ม คุณใส่กางเกงขาสั้น ขนาดตอนที่คุณยกเท้าขึ้นมานั่งเกาบนเก้าอี้ผมก็ยังมองว่ามันน่ารัก”

    ราวกับมีภาพแฟลชแบล็คระดับเฮชดีฉายวนไปมาอยู่ในหัวคิมจงอิน โอเซฮุนยกทุกการกระทำอุบาทว์ของเขาขึ้นมาเพียงเพื่อจะบอกว่ามันชอบเขาจริงๆนะ ชอบแม้กระทั่งว่าต่อให้เห็นเขากินขี้มูกมันก็จะยังมองว่าดีงามอะไรแบบนั้น

    เกือบจะโรแมนติกแล้ว... แต่แม่งแปลกๆอ่ะ

    “ผมขอโทษที่ทำให้คุณสับสนกับสิ่งที่ผมทำลงไปนะ”

    “เดี๋ยวนะ... คือที่ร่ายมาทั้งหมดนี่นายจะบอกอะไรผมกันแน่เหรอหืม”

    พอคาดคั้นไปแบบนั้นโอเซฮุนก็ทำหน้าปั้นยากอีกครั้ง ร่างสูงยกมือขึ้นเกาสันกรามตัวเองเหมือนคนใช้ความคิด “คือว่า...”

    “.....”

    “คุณจะทำอะไรผมก็รับได้ครับ เพียงแต่ว่า...”

    “.....”

    “คนทั้งออฟฟิศเขาพากันหัวเราะคุณน่ะ”

    “ห้ะ”

    “จริงๆผมก็ว่าจะบอกคุณตั้งแต่วันนั้นแล้ว...” ลุ้นยิ่งกว่าตอนหวยออก อันที่จริงคิมจงอินไม่คิดด้วยซ้ำว่าเรื่องที่เขากำลังจะได้ฟังต่อจากนี้มันน่าอายยิ่งกว่าการหลวมตัวคุยกับมิแรนด้ามีดุ้นมาสามสี่เดือนซะอีก “คุณ...”

    “.....”

    “รองพื้นผิดเบอร์น่ะครับ”

     

     





     










     

     

     

     

     

    “แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่วันนั้นวะ!

    น้ำจากก๊อกถูกกวักเข้าลูบใบหน้าแรงๆจนคอเสื้อเป็นวงเปียก คว้าเอาโฟมล้างหน้าที่โอเซฮุนไปขอยืมจากลุงยามหน้าออฟฟิศมาให้แล้วบีบใส่มือก่อนจะถูแรงๆจนเกิดเสียงเอ๊ยดอ๊าดบนใบหน้า

    ตอนแรกก็คิดว่าตัวเองหล่ออยู่หรอก แต่พอมีคนบอกว่าแม่งไม่จริงเท่านั้นแหละ ทุเรศเลย

    “ผมกลัวคุณเสียเซลฟ์”

    “เสียจนไม่เหลืออะไรแล้ว!” พอล้างหน้าเสร็จก็เงยหน้าชุ่มน้ำขึ้นมาส่งเสียงก่นด่าคนข้างที่ยืนกลั้นขำจนตัวสั่น มิน่า ไอ้แบคฮยอนมันถึงได้หัวเราะแถมขอถ่ายรูปอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน ทั้งไอ้ชานยอลก็ไลน์มาแซวทำนองว่า ได้ข่าวว่าหล่อนะเราอ่ะ แบบนั้นอีก นี่ก็แต่งหน้ามาทั้งอาทิตย์จนสิวสร้างแลนด์มาร์คไว้ทุกอณูขุมขนแล้ว มีแต่เสียเสียเสีย

    “ขอโทษ” เซฮุนว่าเสียงอ่อย ความรู้สึกเหมือนตอนโดนมิแรนด้าอ้อล้อไม่มีผิด “แบบนี้ดูดีกว่าตั้งเยอะ”

    “คาดโทษไว้เลยนะมึงอ่ะ เอ้ยโทษๆ นายดินาย”

    “เรียกมึงกูอะไรแบบนั้นก็ได้ครับ จะได้สนิทกันไวๆ” ไม่ว่าเปล่ายังประกอบการพูดด้วยยิ้มตาปิดแบบนั้นอีก โอยหมั่นไส้ คนหล่อนี่มันทำอะไรก็หล่อจริงๆโว้ย “ดีใจครับ”

    อยู่ดีๆก็โพล่งอะไรแปลกๆออกมาอีกแล้ว เอาว่าไง มีอะไรจะสตั๊นกันอีกก็ว่ามา

    “คิดว่าจะไม่ได้คุยกับคุณแล้วชาตินี้”

    คิมจงอินเบ้หน้า ดู๊ดูคำพูดคำจา “ก็เกือบแล้ว”

    ได้ความว่าที่หายไปทั้งอาทิตย์นี่คือป่วยบวกกับไม่กล้าสู้หน้าเขาก็เลยใช้ความหล่อสำออยขอหยุดงานจากหัวหน้าได้สำเร็จ แต่ไปๆมาๆดันป่วยจริงจนต้องลางานต่ออีกสองสามวัน ที่มาวันนี้ก็เพราะทนคิดถึงไคคุงไม่ไหวสินะ

    “จริงๆแล้วก็คิดว่า หลบหน้ากันไปคงไม่มีอะไรดีขึ้นน่ะครับ”

    “อาฮะ”

    “วันนี้ก็เลยกะจะมาถามคุณตรงๆ”

    “มีอะไรอีกไม่ทราบครับพี่ครับ” ยังเคืองไม่หาย โทษฐานเห็นเขาหน้าวอกตั้งแต่วันนั้นแต่ดันไม่ช่วยเตือนกันด้วยความหวังดี ป่านนี้เจอคนครึ่งเมียงดงเอาไปนินทาแล้วมั้ง

    “จงอิน”

    นั่น จะไคลแม็กซ์ทีไรมีอันต้องเปิดบทด้วยชื่อกูก่อนทุกที ผมฟังอยู่ครับพี่ครับ

    “ผมขอจีบคุณนะ”

    “.....”

    “.....”

    “.....”

    “......”

    “พูดเป็นเล่น”

    ร่างสูงส่ายหน้าไปมา “ครั้งนี้จะไม่โกหกแล้วครับ”

    ไม่ดิ... คือไม่ใช่ไง... แบบ... แบบว่า... ขอกันโต้งๆงี้เลยเรอะ

    “คือผมต้องตอบนายว่าไงวะ”

    “ไม่ต้องตอบอะไรก็ได้ จากที่ได้ยินตรงประตูหนีไฟก็คิดว่าคุณคงหวั่นไหวอยู่บ้าง”

    โอ้ละหนอชีวิต ชัดเจนแล้วว่าประตูบันไดหนีไฟไม่เก็บเสียง นี่คงได้ยินแล้วก็ยืนฟังตั้งแต่แรกเลยว่างั้นเถอะ ว่าแต่ได้ยินแค่นั้นยังคิดว่าหวั่นไหว นี่ถ้าแม่งจับทางได้ว่ารองพื้นมารออ่อยทั้งอาทิตย์นี่ไม่คิดว่ากูให้ท่าเลยเหรอ (ร้องไห้)

     

     

     

     

    ก็เพราะเธอน่ารัก และฉันอยากจะบอกว่ารัก

    ฉันรักอย่างที่เธอเป็นอยู่…

     

     

     

     

    “หิวแล้ว ไปกินข้าวกันเถอะครับ”

    ไม่พูดเปล่า โอเซฮุนเอื้อมไปจับมืออีกฝ่ายให้เดินออกมาจากในห้องน้ำด้วยกันท่ามกลางความงุนงงของจงอิน เดี๋ยวนะ... นี่มันก็แปลกๆ เหมือนมันจบง่ายไปหรือเปล่า

    “เฮ้ยคือ... ที่ว่าจะจีบอ่ะ คือกูก็ยังไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองชอบผู้ชายอะไรแบบนั้นนะ”

    รีบคุยให้รู้เรื่องก่อนจะเปิดประตูออกไปข้างนอกดีกว่า ประตูห้องน้ำนี่แหละที่เขามั่นใจร้อยทั้งร้อยว่ามันเก็บเสียงชัวร์ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเซฮุนจะหันมาทำหน้าเศร้าเคล้าน้ำตาอะไรแบบนั้นหรอกนะ

    “ไม่เป็นไร ก็บอกแล้วว่าจะจีบ”

    “.....”

    “ไม่ชอบก็จะทำให้ชอบ”

    ร่างสูงยิ้มตาหยีท่ามกลางอาการสตั๊นของใครอีกคน จะเล่นงี้จริงดิ เปลี่ยนแมนให้เป็นโม้ก เปลี่ยนเกย์ให้เป็นเกิร์ลอะไรแบบนี้เลยไหม ถามความเห็นกรรมอย่างเขาบ้าง “แหม๊... มั่นใจมากว่างั้น”

    “.....”

    “.....”

    “มั่นใจครับ”

    “.....”

    “ขนาดแค่ตัวหนังสือ คุณยังหลงผมหัวปักหัวปำเลย”

    “.....”

    “แล้วเจอกันทุกวันแบบนี้?”










     

     

    ผมลบยูสมิแรนด้าอะไรนั่นทิ้งแล้วนะครับ แล้วก็ไม่สนใจด้วยว่าไคคุงจะเป็นยังไง

    เพราะตอนนี้โอเซฮุนได้รับอนุญาตให้จีบคิมจงอินแล้ว : )

     

     

     

     

     

     

     




     

    #WRONGSEKAI

    ฟิคบ้าไรหาสาระไม่ได้เลยชีวิต แง

    555555555555555555555
















     

    M
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×