ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (SF/OS) #OHARHAFIC | CHANBAEK SEKAI

    ลำดับตอนที่ #2 : △ chanbaek | Once, I'm with Death

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.89K
      39
      9 มี.ค. 58








    ONCE, I’M WITH DEATH


     

    Type : Romance

    Author : oharha-

    Note : ฟิครีไรท์ค่ะ ของเราเอง

     

     

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------

     







     

    ท่ามกลางจอแจของการจราจรที่คับคั่งในช่วงเช้า ร้านกาแฟริมถนนมักจะเต็มไปด้วยมนุษย์เงินเดือนที่พากันมานั่งจิบกาแฟแทนอาหารเช้า แน่นอนว่าเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น เพียงแต่ว่าบยอนแบคฮยอนไม่ได้เลือกร้านที่มีคนเยอะเป็นการรับประกันความอร่อย หากแต่เขากลับเลี้ยวเข้าซอยเล็ก ๆ ที่ลัดไปสู่อีกถนนก่อนจะพบร้านกาแฟขนาดเล็กมีลูกค้าบางตา และที่นี่เองที่เขาได้ค้นพบว่ามันอร่อยกว่าร้านพวกนั้นเป็นไหน ๆ

     

    อ้าวคุณบยอน อรุณสวัสดิ์ครับ

     

    เสียงเจ้าของร้านทักทายเมื่อเขาวางสัมภาระลงที่เคาน์เตอร์เยื้องออกไปจากเครื่องทำกาแฟซึ่งส่งเสียงดังอยู่ด้านใน ตรงนี้เป็นที่นั่งประจำของแบคฮยอน หากได้มีโอกาสเข้ามาจิบกาแฟชั้นดียามเช้าในร้านของคุณคิม ก็จะมีโอกาสได้พบกับชายหนุ่มรูปร่างเล็กคนนี้อย่างไม่ต้องคาดเดา

     

    เพียงแต่วันนี้ที่นั่งประจำของเขากลับมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มอดจะหัวเสียเล็ก ๆ ไม่ได้ กระนั้นเขาก็ไม่ใช่เด็กที่จะต้องมาใส่ใจอะไรกับเรื่องไร้สาระอะไรนัก ชายหนุ่มวางกระเป๋าถัดไปอีกสองที่นั่ง ทิ้งตัวลงแล้วเอ่ยสั่งรสชาติที่ชอบก่อนจะรอมันมาเสิร์ฟในเวลาอีกไม่เกินห้านาที

     

    สวัสดีคนที่นั่งอยู่ก่อนหน้าแย้มยิ้ม เขาเป็นผู้ชายหน้าตาหล่อเหลา ดูสะอาดสะอ้านและมีดวงตากลมโต ชุดสูทที่ใส่เป็นโทนสีซึ่งไม่ดูทางการนัก กระนั้นแล้วมันกลับดูดีจนรู้สึกอยากออกปากชม แต่บยอนแบคฮยอนคงไม่ทำเช่นนั้น

     

    สวัสดีครับแบคฮยอนคลี่ยิ้มตอบตามมารยาท มือเรียวจัดการยิ้มแฟ้มเอกสารออกมาจากกระเป๋าเพื่อตรวจทานงานรอบสุดท้ายก่อนนำเข้าเสนอในที่ประชุม แต่เขาคงจะมีสมาธิดีกว่านี้มากหากเจ้าของหน้าหล่อ ๆ นั่นไม่ชวนคุยท่ามกลางเสียงเครื่องบดกาแฟได้อย่างขัดอารมณ์

     

    กาแฟที่นี่รสชาติดี ผมเห็นคุณแวะมาที่นี่บ่อย ๆแบคฮยอนเพียงยิ้มรับอีกครั้ง เขาไม่ถนัดนักที่จะสานสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ในฐานะที่เราเป็นลูกค้าประจำเหมือนกัน

     

    อาจเหมือนว่าคนตรงหน้ากำลังจีบเขา แต่เชื่อเถอะว่าบยอนแบคฮยอนไม่แม้แต่จะคิดเช่นนั้น เขาเป็นผู้ชาย และอีกฝ่ายก็ดูหล่อเหลามีรสนิยมมากเกินกว่าที่จะชวนคิดในแง่ลบ เช่นกันครับ

     

    กาแฟรสชาติเข้มข้นถูกวางลงตรงหน้าพร้อมด้วยรอยยิ้มเจ้าของร้าน เขายกแก้วขึ้นจิบสองสามอึกก่อนจะวางมันลงแล้วจับจ้องกับเอกสารในมือ โดยเหลือเพียงความอึดอัดจากรอยยิ้มบาง ๆ ที่ถูกส่งมาจากคนที่นั่งเยื้องไปเท่านั้น ไม่ใช่ว่ารังเกียจ แต่บยอนแบคฮยอนกำลังทำตัวไม่ถูก

     

    เอ่อ...

     

    ครับ?” หนุ่มรูปร่างสูงตอบรับทันทีที่เขากำลังจะเอ่ยปาก ริมฝีปากได้รูปนั้นยังคงยิ้มกว้าง... ยิ้มที่ราวกับว่าชีวิตนี้ไม่มีเรื่องร้ายมันทำให้ดูขัดแปลก ๆ กับบรรยากาศสงบและมนุษยสัมพันธ์ที่ติดลบของคู่สนทนาเช่นเขา

     

    คุณมีอะไรหรือเปล่าครับ? เหมือนว่าคุณจะจ้องผมนานแล้ว

     

    แค่นั้นชายแปลกหน้าก็หัวเราะร่วนในลำคอ จะให้ผมตีหน้าบึ้งหรือไงล่ะครับคุณ ชีวิตก็มีอยู่แค่นี้ ที่ผมยิ้มมันก็ควรจะเป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ?”

     

    แบคฮยอนเผลอคลี่ยิ้มออกมาโดยรู้ตัว นัยน์ตาสีเอเชียเสมองไปทางเครื่องบดกาแฟคล้ายกับจะกลบอารมณ์ขันที่เกิดขึ้นง่าย ๆ แค่อีกคนพูดประโยคนั้นออกมา ให้ตายเถอะ ผู้ชายคนนี้นี่มัน...

     

    ผมไม่คิดว่าตัวเองจะอายุยืน เพราะงั้นให้ผมได้มีโอกาสเลี้ยงกาแฟคุณสักแก้วนะครับ...

     

    ผม....

     

    “...ในชีวิตนี้คิ้วหนาเลิกขึ้นเสียข้างหนึ่งติดทะเล้น แบคฮยอนได้แต่ยิ้มแล้วยอมแพ้ให้อย่างเสียมิได้ เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดปฏิเสธเช่นไรจึงปล่อยให้อีกฝ่ายได้ใจไปเสีย ก็แค่เลี้ยงกาแฟที่ไม่ได้มีราคาแพงอะไร คงดูไม่น่าเกลียดและเลวร้ายนัก ตลกเหลือเกินที่เพียงบทสนทนาสั้น ๆ กลับกลายเป็นความประทับใจไปโดยไม่รู้ตัว

     

    ขอบคุณสำหรับน้ำใจนะครับ บางทีผมคงต้องไปแล้วกองเอกสารในมือถูกรวบเข้าเป็นปึกเดียว ครั้นชายหนุ่มร่างสูงมีสีหน้าเสียดาย แบคฮยอนก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นโชว์บอกเวลาว่าอีกไม่ถึงยี่สิบนาทีก็จะได้เวลาเข้างานของบริษัทส่วนใหญ่ ชายหนุ่มคนนั้นร้องอ้อ ก่อนจะจัดการหยิบกระเป๋าเอกสารที่วางอยู่ขาเก้าอี้ขึ้นกระชับในมือด้วย

     

    เห็นทีเราจะได้เดินไปทำงานพร้อมกันนะครับ

     

     

     

     

     

    ริมฝีปากได้รูปหยักยกยิ้มอำลาเมื่ออีกคนเดินแยกตัวไปอีกทางเพื่อทำงานดังเช่นในกิจวัตรปกติ เขาเองก็เช่นกัน... หนุ่มร่างสูงรู้สึกเสียดายที่คลาดจะได้สานสัมพันธ์หนุ่มผิวขาวตัวเล็กคนนั้น แต่ใช่ว่าจะหมดหวัง... ในเมื่อยังมีร้านกาแฟที่จะกลายเป็นจุดนัดพบในทุกเช้าอยู่

     

    แต่เขาไม่มีทางรู้ตัวว่าในไม่อีกกี่วินาทีข้างหน้า...

     

     

    ฝันนั้นจะสลายลงกับตา

     

     

    เสียงโหวกเหวกโวยวายในเช้าตรู่ของวันปรากฏขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็น เมื่อรถบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่เกิดส่ายไปมาจนไม่สามารถบังคับและหยุดรถได้ เสียงหวีดร้องดังระงมไปท้องถนนจนผู้เคราะห์ร้ายไม่ทันได้ตั้งตัว

     

    เพียงเสี้ยวนาทีที่หันกลับไป... มัจจุราชขนาดใหญ่ก็เกยฟุตบาธเข้าพุ่งชนจนชายหนุ่มไม่ทันได้ตั้งตัว...

     

     

    เขาไม่อาจหยัดยืนอยู่ได้แม้ลมหายใจ ในช่วงวินาทีนั้นเอง

     

     

     

     

    _________________________

     

     

     

     

     “วันนี้หลานทำได้ดีจริง ๆ ”

     

    แรงตบเบา ๆ บ่นบ่าลาดเรียกรอยยิ้มจากร่างเล็กให้แย้มออกได้อย่างง่ายดาย ชายวัยกลางคนผู้มีศักดิ์เป็นลุงกำลังเอ่ยชื่นชมเขาในฐานะเด็กหนุ่มไฟแรง บยอนแบคฮยอนเพิ่งได้รับตำแหน่งใหม่เมื่อสามเดือนก่อน ระยะเวลาเพื่อการพิสูจน์ฝีมือนั้นทำเอาชายหนุ่มต้องทนนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่หลายคืน แต่ถึงอย่างนั้นผลตอบรับกลับเป็นที่น่าพอใจ เขาได้ห้องส่วนตัวใหม่ที่แยกตัวออกมาจากแผนก วิวทิวทัศน์ของถนนกลางโซลที่ไขว้กันราวในแผนที่เมื่อมองผ่านหน้าต่างกระจกหลังโต๊ะ เลขานุการสาวสวยที่คุยกันถูกคอนั่งคอยบริการอยู่หน้าห้อง จะมีอะไรดีไปกว่านี้เสียอีกเมื่ออนาคตของแบคฮยอนกำลังรุ่งโรจน์ มันโรยด้วยกลีบกุหลาบเสียจนเขาแทบกระอักความภูมิใจออกมา

     

    “เย็นนี้จะอยู่ทานมื้อค่ำกับลุงได้ไหมล่ะ ลุงโทรไปบอกให้ป้าเราเขาจัดสำรับรอเลี้ยงฉลองเต็มที่แล้ว” ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างเปี่ยมสุข แน่นอนว่าแบคฮยอนยินดี... เขายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะตอบรับงานเลี้ยงฉลองเล็ก ๆ นี้ด้วยความสุขเหลือแสน

     

    “ขอผมกลับไปอาบน้ำแต่งตัวให้ดูดีเสียหน่อย แล้วจะรีบขับรถไปร่วมฉลองแน่นอนครับ”

     

    คลี่ยิ้มนอบน้อมก่อนจะขอตัวแยกออกมาจากห้องประชุมหลังต้องเคร่งเครียดมาหลายชั่วโมง ตอนนี้เกือบหกโมงเย็นแล้ว ท้องฟ้าข้างนอกมืดครึ้ม แบคฮยอนเตือนตัวเองว่าเห็นทีเขาควรจะต้องรีบกลับบ้านเพื่อไปให้ทันนัดตอนสองทุ่ม

     

    เพียงแต่ความรู้สึกแปลก ๆ ที่ราวกับหมุนวนอยู่รอบตัวนี่มันทำให้รู้สึกรุมร้อนรุมหนาวเกินกว่าจะอธิบายออกมาเป็นคำพูด ไร้วี่แววของความผิดปกติใดๆ มีเพียงแสงครามของท้องฟ้าที่ยังคงส่องสลัวไปตามลานจอดรถเงียบเชียบ แบคฮยอนสะบัดศีรษะไล่ความฟุ้งซ่านออกไปเพียงเพราะคิดว่าเป็นเพียงความเพ้อเจ้อ เขาเหน็ดเหนื่อยและใช้สมองมาทั้งวัน แต่ก็ไม่น่าจะถึงกับต้องอุปทานความรู้สึกขึ้นมาเองเช่นนี้

     

     

     

     

     

    ไม่นานนักรถยนต์สีดำคันเก่งก็แล่นมาถึงประตูรั้วบ้าน รื้อหารีโมทข้างที่นั่งคนขับอยู่ไม่นานก็เล็งไปข้างหน้าเพื่อลั่นกลไกเปิดประตูอัตโนมัติ บ้านเดี่ยวชั้นเดียวหลังย่อมที่เขาใช้เงินในบัญชีผ่อนซื้อเมื่อไม่กี่เดือนก่อน และตอนนี้แบคฮยอนรู้สึกรักมันมากกว่าหนังเรื่องโปรดเป็นไหน ๆ

     

    มือเรียวเอื้อมตัวไปรวบกองสัมภาระหลังรถมาไว้ในอ้อมแขนทุลักทุเล จัดการปิดประตูพร้อมตั้งระบบนิรภัยด้วยความเคยชินก่อนจะเดินโซเซไปเปิดประตูบ้าน สองเท้าผลัดกันเขี่ยรองเท้าหนังออกจากอีกข้างแล้วเขี่ยไประเกะระกะข้างชั้นวาง เพียงครู่เดียวชายหนุ่มก็ได้ทิ้งตัวลงแผ่กับโซฟาตัวยาวสมใจ

     

    อันที่จริงเขาไม่ควรจะเอ้อระเหยแบบนี้นานนัก ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงสี่สิบนาที อีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมงที่เขาควรจะอาบน้ำแต่งตัวให้เสร็จพร้อมไปเจอลุงแท้ ๆ ซึ่งจัดโต๊ะอาหารรอพร้อมด้วยลูกพี่ลูกน้องซึ่งแบคยอนไม่ถูกชะตานัก คนโตชอบแขวะมันทุกเรื่อง ส่วนคนเล็กที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันนั้นก็เหยียดเขาราวกับเป็นแขกไม่ได้รับเชิญ สาเหตุที่แบคฮยอนแทบไม่เหยียบบ้านใหญ่เลยนับตั้งแต่ย้ายออกมา ลุงของเขาไม่เคยรู้เลยว่ามันมาจากลูกชายตัวดีสองคนนั้นแหละ

     

    ร่างเล็กหยัดตัวลุกขึ้นเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัว เลือกเสื้อผ้าจากตู้เป็นโทนสีเรียบ ๆ สุภาพแล้วโยนพาดไว้บนเตียงนุ่ม อิดออดเพียงนิดหน่อยก็ส่งตัวเองเข้าห้องน้ำได้สำเร็จ

     

    เขาเป็นคนคิดมาก... คิดเล็กคิดน้อยจนบางทีก็พาลจะปวดหัวไมเกรนเอาเสียดื้อ ๆ พอได้สัมผัสน้ำที่หลั่งลงมาจากฝักบัวแบบกว้างเหนือศีรษะนั้นก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก ทุกครั้งหลังอาบน้ำแบคฮยอนมักจะอารมณ์ดี เขาชอบความสะดวกสบายและสันโดษ จึงแทบไม่มีวี่แววเลยว่าชายหนุ่มจะมองหาคนคู่ใจมาร่วมใช้สอยพื้นที่ในบ้านนี้เร็ววัน เว้นเสียแต่...

     

    “.....”

     

    เงาคนเดินที่ทอดผ่านกระจกฝ้าภายนอกนั้นฉุกใจให้ร่างเล็กหยุดการกระทำทุกอย่าง แบคฮยอนคว้าเอาฝักบัวมาล้างชำระตัวแล้วสวมชุดคลุมอาบน้ำลวก ๆ เดินออกไปสำรวจนอกห้องอาบน้ำ หยิบแว่นสายตาที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ยมาสวม กระนั้นแล้วกลับไม่มีใครสักคนที่เขาเห็นเป็นเงาเมื่อครู่ ถึงจะเคยได้ยินเรื่องลี้ลับสั่นประสาทมาบ้าง แต่แบคฮยอนกลับมองมันเป็นเรื่องตลก เพราะตั้งแต่เล็กจนโตแล้วไม่มีสักครั้งที่เขาสามารถพิสูจน์ได้ว่าเรื่องเล่าพวกนั้นเป็นความจริง

     

    “ใครน่ะ...?”

     

    ส่งเสียงถามออกไปท่ามกลางความวังเวงของตัวบ้าน มือที่ขยำอยู่คาคอเสื้อคลุมนั้นกระชับแน่นขึ้นอีกเมื่อหัวใจในอกซ้ายเต้นรัวจนรู้สึกปวดหนึบ เขามั่นใจว่าเมื่อกี้มีใครสักคนอยู่ร่วมภายในบ้านนี้จริง ๆ ... มั่นใจว่านั่นคือมนุษย์ โจรผู้ร้าย หรืออะไรก็ตามแต่ที่ไม่ใช่สิ่งเหนือวิทยาศาสตร์

     

    เพียงแต่ร่างที่หลบซ่อนอยู่หลังชั้นหนังสือนั้นกลับทำให้ความมั่นใจของเขามีเพิ่มมากขึ้น มือที่ทิ้งอยู่ข้างตัวค่อย ๆ ปัดป่ายไปตามตู้ขนาดเตี้ย ระผ่านโทรศัพท์และกุญแจบ้านที่วางทิ้งไว้ กระทั่งเจอเข้ากับการไกรปลายแหลมอยู่ในกล่องปากกาทรงกระบอก มือเรียวกระชับไว้มั่นเหมาะ แกว่งมันไปอยู่ตรงหน้าพร้อมเป็นอาวุธจัดการแขกไม่ได้รับเชิญหากสิ่งนั้นเป็นโจรผู้ร้ายอย่างที่คาดการณ์

     

    “ผมถามว่าใคร?” ก้าวเข้าไปใกล้ชั้นหนังสือมากขึ้น หากแต่ร่างทะมึนหลังชั้นหนังสือกลับไม่แสดงตัวออกมาแม้ว่าจะถูกร้องถามซ้ำเป็นครั้งที่สอง ชายหนุ่มเริ่มถูกความหวาดหวั่นเกาะกินโดยไม่รู้ตัว เหงื่อเย็นซึมชื้นอยู่บนใบหน้า... ระตามลำคอระหงจนคละเคล้าไปหยาดหยดของสายน้ำ

     

    “สวัสดีบยอนแบคฮยอน”

     

    เสียงทุ้มต่ำนั้นเอ่ยทักทายเป็นครั้งแรก กระนั้นแล้วร่างนั้นก็ยังคงอยู่ในเงามืด ห่างจากหลอดไฟดวงเล็กมือสลัวที่เจ้าของบ้านเปิดทิ้งไว้ก่อนเข้าไปอาบน้ำ คิ้วเรียวของแบคฮยอนขมวดเข้าหากัน ไร้ซึ่งแววของความวางใจ “คุณเป็นใคร? เข้ามาที่นี่ได้ยังไง”

     

    “ข้ามาตามทางที่ข้าควรมาแบคฮยอน... มาเพื่อพบกับเจ้า”

     

    ถ้อยคำแปร่งปร่าดั่งภาษาสนทนาเมื่อร้อยเมื่อพันปีก่อนในภาพยนตร์ แบคฮยอนเค้นเสียงสบถในลำคออย่างไม่พอใจนัก เขากำลังหัวเสีย... รู้สึกเหมือนโดนอะไรสักอย่างที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุมาเล่นตลกร้ายใส่เสียอย่างนั้น

     

    “ใจเจ้ากำลังปรามาสด้วยความไร้สติ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก”

     

    ชายหนุ่มแค่นหัวเราะเมื่อสดับฟังถ้อยคำราวกับอ่านใจเขาออกเช่นนั้น โทสะในใจเขามันกำลังถูกจุดราวชนวนระเบิดที่พร้อมจะปะทุได้ทุกเวลาเพียงแต่ไฟนั้นยังไม่มอดไหม้ “นี่คุณเป็นไอ้บ้าที่ไหนกันน่ะหา!? ผมจะแจ้งตำรวจถ้าคุณยังไม่ออกมาจากตรงนั้น!

     

    สิ้นคำ คู่สนทนาในเงามือก็ยอมทำตามที่เขาพูด ชายกางเกงสีเข้มและรองเท้าหนังโผล่พ้นขอบชั้นวางหนังสือ แบคฮยอนพอเห็นลาง ๆ ว่าเงานั้นเป็นคนร่างสูงโปร่ง หากแต่มันกลับชัดยิ่งขึ้น... เมื่อสีเสื้อที่สวมใส่และดวงหน้าหล่อเหลานั้นช่างคุ้นเคยเหลือเกิน

     

    “คุณ.... ทำไมมาอยู่ที่นี่...?”

     

    เสียงพร่าถามออกไปขาดช่วงเพราะความตระหนกที่วิ่งวนอยู่ภายใน ใช่แล้ว... ผู้ชายคนที่เขาเจอในร้านกาแฟเมื่อเช้า เจ้าของชั้นเชิงคำพูดน่าฟังและรอยยิ้มติดทะเล้นแบบนั้น... หากแต่คนตรงหน้านี้... กลับมีแต่ความนิ่งสงบและไอเย็นที่แผ่ซานออกมาจนชายหนุ่มรู้สึกขนลุก

     

    เป็นครั้งแรกที่แบคฮยอนรู้สึกอ่อนแรงโดยไร้เหตุผล... กลัวในตัวคนแปลกหน้าที่ได้สนทนากันด้วยความประทับใจ...

     

    “ตามทางที่ข้าควรมา... เพื่อพบเจ้า” เสียงนั้นยังคงทวนซ้ำคำเดิมด้วยเสียงนุ่มลึก สาวเท้าเข้ามาใกล้ กระทั่งหยุดยืนในระยะที่ห่างออกไปเพียงเมตร “ดูเจ้าในตอนนี้สิ... เป็นชายหนุ่มที่ใจเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น”

     

    “...คุณพูดบ้าอะไร?” เค้นเสียงถามไปเมื่อตั้งสติได้ ให้ตายเถอะ! นี่มันเรื่องอะไรกัน ในใจของเขามีแต่คำถาม... คำถามที่ตะคอกออกมาจนก้องหัวใจดวงเท่ากำปั้น คำถามที่ไม่มีคำตอบใดซึ่งพอจะนึกออก... และมันกลับยิ่งว้าวุ่นขึ้น เมื่อคนตรงหน้าหยักยกยิ้มราบเรียบจนเปรียบเสมือนกล้ามเนื้อที่ไม่ทำงาน “คุณยิ้มอะไร?”

     

    “ข้าขันเจ้า... ขันต่อเขาวงกตในใจที่เจ้าไม่มีทางหาทางออกนั้นเจอ”

     

     

    บ้าไปแล้ว นี่มันบ้าไปแล้วชัดๆ ... ไอ้หมอนี่มันพูดอะไรออกมา ยังกับคนหลงยุค... คนบ้า... พูดอะไรไม่เข้าใจ

     

     

    “อย่าสบถคำดิบนั่นให้ทำลายจิตใจเลย เจ้าก็รู้ว่าข้าได้ยิน”

     

    ใบหน้าขาวผ่องซีดเผือด ไม่อยากจะคิดตามว่าผู้ชายคนนี้อ่านใจเขาออก... มันเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ นี่มันก็แค่ตลกร้ายที่อาจจะมีใครตั้งกล้องอยู่มุมใดมุมหนึ่งของบ้าน “คุณเป็นใครกันแน่”

     

    “เป็นสิ่งที่มวลมนุษย์หลีกหนี... ดิ้นรนเอาตัวรอดอย่างน่าขันแม้จะรู้ว่าไม่มีทางรอดพ้น....”

     

    “.....”

     

     

    “ความตาย... พวกเจ้าเรียกข้าด้วยสิ่งนั้นแบคฮยอน...”

     

     

    มีเพียงความเงียบที่ให้คำตอบแก่เขาว่าเหตุการณ์ตรงหน้านี้เป็นเรื่องจริง อีกครั้งที่ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ... เสียงหัวเราะเย็น ๆ ที่ดังให้กับมุขตลกร้ายฝืด ๆ ซึ่งไม่น่าจะมีใครกล้าเล่นมัน ตราบเท่าที่แบคฮยอนโตมาจนอายุยี่สิบสี่ปี

     

    “หันหลังไปเถอะ... ถ้าเจ้าไม่เชื่อในสิ่งที่ข้าพูด”

     

    “แน่นอน... และผมก็กำลังจะเรียกตำรวจมาลากตัวคุณออกไปจากที่นี่! เดี๋ยวนี้!!” ชี้ย้ำลงที่เดิมก่อนจะเหลียวกลับไปเพื่อคว้าเอาโทรศัพท์ขึ้นมาโทรแจ้งความดังที่ได้ขึ้นเสียงไว้ เพียงเสี้ยวนาทีนั้นดวงตากลับเบิกโพลง... ความตื่นตระหนกแล่นวาบเข้าจนร่างทั้งร่างเซทรุดไปข้างหลัง และคงจะปะทะเข้ากับพื้นแข็ง หากไม่ได้แรงแขนแกร่งนั้นคว้าเอาไว้

     

    กระจกภายในห้องน้ำที่เปิดประตูทิ้งไว้สะท้อนภาพของหมอกควันหนาซึ่งก่อตัวเป็นรูปร่างกะโหลกมนุษย์... ภายใต้ชุดสูทสีไม่เป็นทางการที่ผู้ชายคนนี้สวมใส่ ไม่... ที่แบคฮยอนรู้แน่ชัดในความคิดตอนนี้คือสิ่งนั้นไม่ใช่คน... ไม่ใช่กลหรือมุขตลกใด ๆ ดังที่เขาคิดเอาไว้

     

    และหากสิ่งที่ชายผู้นี้พูดเป็นความจริง...

     

     

    มัจจุราช

     

    ในหัวมันมีแต่คำนี้โลดแล่นเต็มไปหมด

     

     

    “ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้จักข้า” กล้ามเนื้อปากนั้นยกยิ้มอีกครา เยียบเย็น... น่าหวาดหวั่น... รัญจวนด้วยกลิ่นเพรียกหาของความตาย ร่างนั้นย่างสามขุมเข้ามาใกล้... ใกล้เสียจนแบคฮยอนคิดว่าชีวิตของเขาจะโดนริบรอนไปในไม่ช้า

     

    “ไม่จริง....”

     

    “เจ้าโกหกตัวเองไม่ได้... แบคฮยอน”

     

    “ผม... กำลังจะตายเหรอ...” เสียงแหบพร่าเอ่ยถามออกมาจนดวงตาคมปลาบนั้นแฝงยิ้ม... ยิ้มแห่งความพึงใจเมื่อความหดหู่นั้นมาเยือนราวกับสหายผู้รู้ใจ

     

    “ในไม่ช้า...”

     

    “....”

     

    “...แต่ไม่ใช่ตอนนี้หรอกแบคฮยอน... ไม่ใช่ตอนนี้....”

     

    เป็นเรื่องตลกร้ายอย่างถึงที่สุดเท่าที่เคยได้พบเจอมา... ในวันหนึ่งที่มีคนเข้ามาในบ้านคุณแล้วพูดว่า เฮ้! คุณน่ะกำลังจะตายแล้วนะ คุณควรจะเชื่อปักใจหรือหัวเราะเยาะกลับไปโดยไม่รู้สึกรู้สากัน

     

    “แล้วคุณ... เอ่อ... ท่าน.... มาบอกผมทำไม?” ดวงตาสีนิลสั่นไหว ความสับสนระคนไปกับความแข็งกร้าวที่ว้าวุ่นอยู่ในจิตใจ แบคฮยอนรู้ว่าสิ่งที่เป็นอยู่นี่มันไม่เข้าท่าเอาเสียเลย เขามีสิทธิ์ที่จะไม่เชื่อ หัวเราะ สบถหยาบคาย หรือแม้แต่พ่นน้ำลายใส่หน้าแล้วไล่ผู้ชายคนนี้ออกไปจากที่นี่ เขากำลังพ่ายแพ้ให้กับสิ่งที่ตัวเองคิดว่าไร้สาระมาทั้งชีวิต

     

    “เพราะจิตใจเจ้าช่างซับซ้อนไปด้วยความเป็นมนุษย์ ทุกอย่างในตัวเจ้ามันน่าค้นหาและเล่นสนุก... อย่างเช่นตอนที่เจ้าคิดว่าอยากจะพ่นน้ำลายใส่หน้าข้า” อีกครั้งที่ถูกอ่านใจ ในตอนนี้แบคฮยอนรู้สึกแย่... รู้สึกแย่เอามาก ๆ ที่เขาไม่มีสิทธิ์คิดอ่านอะไรออกไป “ไม่หรอกแบคฮยอน เจ้ามีสิทธิ์คิด... คิดทุกสิ่งทุกอย่างที่ใจเจ้ารังสรรค์มันออกมา”

     

    ชายหนุ่มหมดทางเลือก เขากำลังอยู่กับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์... และสิ่งนั้นมาในรูปของมนุษย์ที่เขาเพิ่งจะได้พูดคุยสานสัมพันธ์ไปเมื่อเช้านี้เอง!

     

    “โอเค... คุณยมทูต” ยกมือขึ้นสองข้างอย่างยอมแพ้ สงบสติอารมณ์อยู่พักใหญ่กว่าที่ร่างโปร่งจะยอมพูดสิ่งในความคิดออกมา ในขณะที่ใบหน้าหล่อเหลานั้นนิ่งฟัง บนมุมปากหยักยกเพียงบางเบา มันแย่เสียจนแบคฮยอนคิดว่าบางทีเขาอาจจะไม่ต้องพูดมันออกมา เพราะคนตรงหน้านี้รู้แก่ใจดีแต่แรก “ถ้าผมยังไม่ต้องตายตอนนี้ แล้วคุณมาหาผมทำไม?”

     

    มัจจุราชหนุ่มพึงใจ เขาเดินวนไปรอบ ๆ ร่างกายในชุดคลุมอาบน้ำสีขาว สบเข้ากับดวงตาภายใต้กรอบแว่นด้วยนัยที่เหนือกว่าความเป็นมนุษย์จะเข้าใจ “แลกเปลี่ยน... ข้ามาเสนอการแลกเปลี่ยนให้แก่เจ้า”

     

    “แลกเปลี่ยน? คุณจะหาใครมาตายแทนผมหรือไง” พอตั้งสติได้ปากเจ้ากรรมก็ใส่โทสะไปในน้ำเสียงโดยอัตโนมัติ ในเมื่อยังไม่ตายตอนนี้แล้วจะเป็นไรไป อย่างน้อยบยอนแบคฮยอนก็คือบยอนแบคฮยอนอยู่วันยังค่ำ ไอ้เรื่องที่จะให้มาหดหู่รอความตายที่ยังมาไม่ถึงนั่นก็ดูจะโง่ไปสักหน่อย เขายังมีอนาคตอีกไกล... อนาคตที่จะต้องดิ้นรนโดยไร้ผลตอบแทนของจุดหมายที่ล่อลวงให้กระเสือกกระสนไปหาเช่นมนุษย์ทั่วไป

     

    “ไม่... ตรงกันข้าม หากเจ้าชนะก็จะไม่มีใครตายทั้งสิ้น”

     

    ปริศนาในน้ำเสียงนั้นเล่นลิ้นใส่เขาอีกครั้ง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันที่เขาจะต้องมาสนทนากับทูตของความตาย.. ซึ่งไม่ใช่มนุษย์! แล้วมันเป็นกงการอะไรที่จะต้องเลือกเขา? เขาผู้ซึ่งมีสิ่งของรอบกายเพียบพร้อมหากแต่ไร้ความสุขในจิตใจ

     

    “หมายความว่าไง...?”

     

    “ในอีกสิบสามวันข้างหน้าจะมีอุบัติภัยเกิดขึ้น... ถนนทั้งสายจะลุกเป็นไฟ... รวมถึงบ้านเรือนในละแวกนั้น ครึ่งเมืองจะกลายเป็นทะเลเพลิง... ผลาญชีวิตผู้คนนับร้อย....”

     

    เสียงนั้นสงบนิ่งไร้ซึ่งเวทนา... มันช่างว่างเปล่า ไร้ซึ่งความรู้สึกใด ๆ เจือปนในขณะที่คนได้ฟังจ้องมองนิ่งงัน ในหัวของแบคฮยอนมีเพียงภาพของระเบิด... กลุ่มควัน... ไฟที่ลุกไหม้ท่วมตึกสามชั้น... หรือแม้แต่เสียงกรีดร้องโหยหวนยามถูกพรากสู่ความตายอันเป็นนิรันดร์

     

    “เจ้ากำลังคิดว่ามันไม่เกี่ยวกับเจ้าหรือแบคฮยอน?”

     

    “.....” เหงื่อเย็นซึมชื้นตามไรผม ใช่... มัจจุราชอ่านใจเขาออกทุกอย่าง เพียงแวบเดียวเท่านั้นที่ชายหนุ่มคิดว่ามันไม่ใช่เรื่อง มันจะเกิดหรือไม่เขาไม่มีทางรู้... แต่ทำไม...

     

    “วันนั้นเจ้ามีประชุมใหญ่กับหุ้นส่วนในบริษัท... ขับรถไปตามท้องถนนแออัดด้วยใจหดหู่... กระทั่งแสงไฟวาบขึ้นข้างหน้า แสงไฟร้อนระอุที่จะพรากชีวิตเจ้าไปตลอดกาล...”

     

    “....”

     

    “....”

     

    “คุณ... จะแลกเปลี่ยนอะไรกับผม”

     

    ตาคมปลาบไร้แววนั้นจ้องมองเขา ไร้ซึ่งเงาสะท้อนและความรู้สึก ข้อเสนออันไร้แก่นสาร การผูกมัด กลเกมที่ถูกสร้างขึ้นโดยเดิมพันด้วยชีวิตของมนุษย์นับไม่ถ้วน “ตอนนี้ข้าเหมือนมนุษย์ไหม...?”

     

    พยักหน้ารับช้า ๆ แลกด้วยความพึงใจ หากว่าเขากำลังฝัน แบคฮยอนก็ขอตื่น... ตื่นจากความอึดอัดที่น่าหวาดหวั่นแม้ว่าจะต้องพบเจอความเป็นจริงที่ไม่มีความสุขเลยก็ตาม

     

    “นำทางให้ข้า... สอนความเป็นมนุษย์ กิเลส ตัณหา จิตใจที่ซับซ้อนยากจะหยั่งถึง”

     

    “...นานแค่ไหน?”

     

    “จนถึงอายุขัยของเจ้า”

     

    ในอีกสิบสามวันข้างหน้าที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกับมัจจุราช แบคฮยอนตีความได้เช่นนั้น

     

     

     

     

    _________________________

     

     

     

     

     “ช่วยบอกผมทีว่านี่มันแค่ความฝันน่ะ...!

     

    รถยนต์คันเก่งแล่นเข้าสู่พื้นที่คฤหาสน์หลังใหญ่สีขาวที่แสนคุ้นตา ข้างกันนั้นคือร่างสูงโปร่งของใครคนหนึ่ง... บางทีจะเรียกว่าคนก็คงไม่ถูกนัก ดวงตาสีรัตติกาลนั้นทอดมองไปข้างหน้า ฉายแววระริกดังเช่นเด็กที่ถูกพาไปเปิดหูเปิดตาข้างนอก

     

    “ไม่... เจ้าไม่ได้ฝันแบคฮยอน เรากำลังจะกินมื้อค่ำกัน” เสียงทุ้มต่ำตอบราบเรียบ บนดวงหน้าหล่อเหลาแต้มไปด้วยรอยยิ้มแทนความสนุก ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเปลือกนอก เพียงร่างกายของใครสักคนหนึ่ง ...หากแต่ข้างในไม่ใช่

     

    “อันดับแรก! คุณอย่าพูดคำว่าข้ากับเจ้าต่อหน้าลุงผมเป็นอันขาด!!” ยกนิ้วขึ้นกำชับในขณะที่อีกมือหักเลี้ยวพวงมาลัยรถเข้าจอดเทียบยังหน้าประตูโอ่อ่าของบ้านอย่างหัวเสีย หากเทียบว่าเด็กไม่ประสีประสาคือผืนผ้าขาวบริสุทธิ์ อย่างนั้นแล้วนี่ก็คงเป็นสีดำสนิท! สาบานได้ว่าเขามองเห็นเค้าของความยุ่งยากลาง ๆ ตั้งแต่ที่มัจจุราชหนุ่มเลือกท่าขึ้นรถได้อย่างเก้ ๆ กัง ๆ จนน่าหงุดหงิด

     

    “ตกลงแบคฮยอน ผมจะไม่พูดคำนั้นต่อหน้าครอบครัวของคุณ” ร่างสูงเหลียวมองไปทางฝั่งประตูรถที่ถูกเปิดออก ชายวัยกลางคนในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวราบเรียบโน้มศีรษะให้หลังจากเปิดประตูรถ คนบนรถนิ่งมองเสียครู่หนึ่ง ก่อนจะโค้งศีรษะตอบแล้วลงจากรถ “ขอบคุณ”

     

    บยอนแบคฮยอนเดินอ้อมมาคว้าแขนอีกฝ่ายไว้แล้วดึงให้ไปด้วยกัน มือเรียวผละออกยามที่เข้าก้าวเข้าสู่ตัวบ้าน กระชับคอเสื้อเชิ้ตสีอ่อนกึ่งทางการเล็กน้อยก่อนจะชะงักฝีเท้าลงเมื่อเห็นร่างข้างกายหยุดยืนอยู่ที่หน้ากระจกบานใหญ่ “คุณทำอะไร?”

     

    “คุณคิดว่าผมดูดีไหม?” ถามตรงตัวอย่างที่ใจคิด หนุ่มร่างสูงทำท่ากระชับคอเสื้อเชิ้ตเลียนแบบอีกฝ่ายบ้าง และนั่นทำให้แบคฮยอนรู้สึกราวกับถูกล้อเลียนก็ไม่ปาน

     

    มาก! คุณคงหล่อที่สุดในงานนี้” ยักไหล่ประชดประชันเสียทีหนึ่งก็เดินเข้าไปในห้องอาหาร พอดีกับที่อีกสี่ชีวิตกำลังทยอยกันเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แม้ว่ามันจะไม่ได้ดูน่ามองก็ตามทีสำหรับสองพี่น้องชายที่จงชังนักหนา

     

    “โอ้... มาแล้วหรือหลานรัก” ผู้เป็นลุงสวมกอดหลวม ๆ หลานชายแล้วผละออก ปล่อยให้ภรรยาได้แสดงความรักต่อชายหนุ่มบ้างพอเป็นพิธี ระหว่างที่ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ ตาก็เหลือบไปเห็นแขกผู้ซึ่งยืนอยู่ห่างไป สูงโปร่ง ดูดี ใบหน้าหล่อเหลากำลังส่งยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตร “นั่นเพื่อนหลานเหรอแบคฮยอน ทำไมไม่ชวนเขาเข้ามานั่งด้วยกันล่ะ”

     

    เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกละบทสนทนาจากผู้เป็นป้า กวักมือต่ำเป็นสัญญาณให้ผู้ที่ลุงพูดถึงเดินเข้ามาใกล้ ๆ แม้จะมีท่าทีงุนงงอยู่บ้าง หากแต่มัจจุราชหนุ่มกลับคลี่ยิ้มกว้าง “เขาเป็น... เอ่อ เป็นเพื่อนและผู้ช่วยของผม”

     

    “สวัสดี”

     

    ชายหนุ่มผิวขาวหัวเราะร่วนขึ้นกลางโต๊ะ เลิกคิ้วยียวนขึ้นข้างหนึ่งจนคนมองเกิดอารมณ์ขุ่นมัว “นายอ่อนประสบการณ์จนถึงขนาดต้องหาผู้ช่วยมาเลยเหรอแบคฮยอน? น่าสงสารจริง ๆ ถ้านายจะเป็นเด็กขี้เหงาจนอยู่คนเดียวไม่ได้”

     

    “จุนมยอน”

     

    ผู้มีอาวุโสที่สุดเอ่ยปรามลูกชายที่กำลังค่อนแขวะ แน่นอนว่าแบคฮยอนไม่พอใจนัก เขาไม่เคยชินสักครั้งที่ต้องทนถูกเดียดฉันท์ทั้งทางคำพูดและการกระทำอย่างที่เป็นอยู่ แม้กระทั่งกลางโต๊ะอาหาร ต่อหน้าประธานคิมลุงของเขา หรือแม้แต่ชายอันเป็นแขกแปลกหน้าที่ยืนอยู่ข้างกันนี่คิมจุนมยอนก็ไม่เคยคิดจะไว้หน้า

     

    “ครับ... และเขายังอาศัยอยู่กับผม เป็นเพื่อนแก้เหงาได้ดีทีเดียว” ตอกกลับบ้างคล้ายไม่ยี่หระในคำพูด ทิ้งตัวลงนั่งยังเก้าอี้ที่ประจำโดยไม่ลืมที่จะฉุกแขนมัจจุราชหนุ่มให้นั่งตาม

     

    จานชามและช้อนส้อมชุดใหญ่ถูกคนรับใช้นำมาจัดเรียงไว้บนโต๊ะ อาหารเริ่มทยอยเข้ามาเสิร์ฟ และตอนนี้เองที่สายตาสีรัตติกาลของชายหนุ่มหันไปมองบยอนแบคฮยอนเพื่อสื่อถึงความไม่เข้าที ช้อน ส้อม และมีดอีกกว่าแปดอันวางอยู่สองข้างจาน ร่างเล็กแทบอยากตบศีรษะตัวเองแรง ๆ สักที ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้เขาจะไปสอนมารยาทบนโต๊ะอาหารให้ยังไงได้!

     

    “จริงสิ เรายังไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของผู้ช่วย... เอ่อ.. เพื่อนของนายเลยนะแบคฮยอน” คยองซูบุตรคนเล็กของตระกูลคิมยกแก้วไวน์ขึ้นจิบพลางส่งยิ้มแสร้งทำให้แขกคนใหม่ที่ยังคงเก้ ๆ กัง ๆ จากนั้นผู้เป็นพ่อก็วางช้อนส้อม ส่งเสียงเสริมขึ้นมาเมื่อคิดได้ว่าตนข้ามขั้นตอนสำคัญทางสังคม นั่นคือการที่ไม่ได้รับฟังการแนะนำตัวจากผู้มาเยือนนั่นเอง

     

    “เขาชื่อ... เอ่อ...” มือเรียวผายไปทางคนข้างกายค้างไว้อย่างนั้น ในหัวของแบคฮยอนไม่มีความคิดเรื่องชื่อเลยแม้แต่น้อย ชื่อโหล ๆ ที่พบได้ทั่วไปในเกาหลีกำลังลอยตีกันวุ่น ขณะที่คนตั้งโต๊ะกำลังสะกดสายตามองอย่างตั้งใจฟัง “ชื่อ...”

     

    ชื่อโหล ๆ นี่มันมีอะไรบ้างล่ะ คิมแจจุง คิมจุนซู คิมบอม หรือว่า...

     

    “ว่าไงแบคฮยอน เขาชื่ออะไรล่ะ?”

     

    “ชื่อ... เขาชื่อ.....”

     

    จุนมยอนแทบหัวเสีย เอ่ยค่อนขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก “อย่าลีลาให้มากนักเลย”

     

    “ปาร์คชานยอล... ผมชื่อปาร์คชานยอล” เป็นเสียงทุ้มนุ่มที่กล่าวขึ้น มัจจุราชหนุ่มเหยียดยิ้มให้คนร่วมโต๊ะ ก่อนจะหันไปสบตากับคนข้าง ๆ ซึ่งขมวดคิ้วมองเขาอย่างแปลกใจ จึงโน้มหน้ากระซิบกระซาบในระดับที่พอเหมาะควร “ชื่อของพ่อหนุ่มคนนี้น่ะ”

     

    “โอ้... คุณปาร์ค ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” ประธานคิมหัวเราะร่วน ยกแก้วไวน์ขึ้นเป็นเชิงแสดงการทักทาย เจ้าของนามปาร์คชานยอลจึงได้แต่ปฏิบัติกิริยานั้นตามอย่างที่ควรทำ

     

     

    ให้ตายเถอะ! ให้ตายเถอะ! ให้ตายเถอะ! ให้ตายเถอะ!

    บยอนแบคฮยอนอยากจะสบถคำนี้ในใจสักล้านที!!

     

    “เป็นอะไรไปแบคฮยอน อาหารบ้านนี้ไม่ถูกปากหลานแล้วหรือ?” นายหญิงของบ้านเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นคิ้วเรียวของหลานชายผูกตัดกันเป็นปมโบว์อยู่เหนือจมูก พอถูกทักอย่างนั้น สายตาอื่น ๆ บนโต๊ะก็เบือนมองมาทางเขาอย่างพร้อมเพียงจนชายหนุ่มต้องยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นกระดกเพื่อกลบความขุ่นมัวซึ่งแสดงออกมาเกินพอดี

     

    “เปล่าครับ... พอดีว่าคอผมมันค่อนข้างแห้งเวลาทานอาหารรสจัด ๆ”

     

    “อาหารรสจัด?” ใบหน้าเหลาของปาร์คชานยอลแย้มยิ้ม ยกแก้วน้ำขึ้นกระดกดื่มบ้างด้วยท่าทีไม่ผิดเพี้ยน กลายเป็นตลกบนโต๊ะอาหารขนาดย่อมที่สองพี่น้องตระกูลคิมเหยียดหยันออกมาทางสีหน้า

     

    “ฉันเชื่อแล้วว่าพวกนายสนิทกันมาก” คยองซูยิ้มแหย ยักไหล่ด้วยท่าทีกึ่งหยาบคายแล้วจิ้มอาหารเข้าปาก หันไปสบกับคนพี่อย่างรู้กัน และนั่นทำให้แบคฮยอนขุ่นเคืองใจจนแทบบ้า

     

    “คุณปาร์คทำธุรกิจอะไรเหรอ? ผมไม่เคยได้ยินชื่อคุณมาก่อน”

     

    ชานยอลเลิกคิ้วมองจุนมยอนพลางเหยียดยิ้มสุขุม ใช่... เขารู้ รู้ตลอดว่าใจของมนุษย์ผู้นี้กำลังปรามาสเขาด้วยความต่ำชั้นราวตลกก็ไม่ปาน “ธุรกิจ?”

     

    “ครับ ผมหมายถึง... เอ่อ... สถานภาพทางบ้าน เงินที่คุณมีกินมีใช้ รวมถึงค่าตัดสูทราคาแพงบนตัวคุณ”

     

    สูทบนร่างกายสูงโปร่งนั้นเป็นสินค้าแบรนด์เนมอย่างไม่ต้องสงสัย แต่มัจจุราชไม่รู้หรอก เขาไม่อาจคาดเดาได้ถึงค่านิยมทางวัตถุของมนุษย์ที่เอาใยสังเคราะห์นี่มาใช้ตัดสินคุณภาพชีวิต

     

    “เขาเพิ่งมาจากแถวมกโพน่ะครับ ครอบครัวของเขาทำธุรกิจโรงงานส่งออกขนาดเล็กอยู่ที่นั่น แต่ดูเหมือนว่าชานยอลเขาจะอยากมาช่วยงานผมมากกว่า” แบคฮยอนแย้งขึ้นโดยไม่เปิดโอกาสให้จุนมยอนหาช่องโหว่มาหักหน้าได้อีกเป็นครั้งที่สาม ตอนนี้เขาควรต้องมีสติ และประคับประคองสถานการณ์ให้อยู่ในระดับที่ไม่มากเกินไปกว่าการสนทนาบนโต๊ะอาหาร

     

    “โรงงานส่งออก? ชื่อว่าอะไรกัน เผื่อเราอาจจะเคยได้ติดต่อธุรกิจกันมาก่อน”

     

    “ไม่... บริษัทเราไม่เคยติดต่อธุรกิจกับเขาหรอกครับ”

     

    “แล้วทำไมคุณถึงมาอยู่ที่โซลนี่ล่ะ ไม่ดูแลกิจการที่บ้านเหรอ?”

     

    “เขา...”

     

    “บยอนแบคฮยอน... บางทีคนที่ฉันกำลังสนทนาด้วยเห็นจะเป็นคุณปาร์คมากกว่านะ... ไม่ใช่นาย” จุนมยอนตัดต้นประโยคเสียจนคนอ่อนวัยกว่าจำต้องสงบคำ เหงื่อเย็นซึมชื้นอยู่ในมือซึ่งบีบจับช้อนส้อมไว้ด้วยแรงที่แน่นขึ้นทุกขณะ ตากลมเหลือบมองคนข้าง ๆ  นึกไปถึงความล้มเหลวหากปาร์คชานยอลจอมปลอมนี่จะพูดอะไรไม่เข้าท่าออกไป

     

    “ขอโทษที... ที่มกโพเราไม่คุ้นเคยกับการคุยเรื่องธุรกิจบนโต๊ะอาหารเท่าไหร่” ชายหนุ่มยังคงรอยยิ้มให้เปื้อนอยู่บนใบหน้าเพื่อลดระดับสงครามกลางโต๊ะอาหารลงให้อยู่ในความเย็นเยือก แน่นอนว่าคิมจุนมยอนสัมผัสได้... เขารู้สึกได้ถึงความดูแคลนจากชายแปลกหน้าคนนี้

     

    “ต้องขอโทษด้วย บางทีผมคงจะชวนคุยเรื่องเครียดเกินไป...”

     

    “ยกโทษให้”

     

    ยิ้มนั้นราวกับเป็นต่อ ปาร์คชานยอลพูดออกไปด้วยใจสัตย์ซื่ออย่างที่เขารู้สึก ต่างจากบุตรคนโตของบ้านซึ่งตีความหมายไปว่ากำลังถูกกวนโทสะ ประธานคิมได้แต่ออกปากชวนทุกคนให้กินปลาทะเลรสดีเพื่อไกล่เกลี่ยบรรยากาศ หากแต่จุนมยอนกลับหยัดตัวลุกขึ้นจนเก้าอี้ราคาแพงส่งเสียงดังเอี๊ยด “ผมรู้สึกไม่เจริญอาหารเท่าไหร่ ขอตัวแล้วกัน”

     

    ถ้าไม่ติดว่าอยู่ต่อหน้าผู้เป็นลุงและป้าแบคฮยอนคงจะริอาจหาญขอแท็กมือกับชานยอลตัวปลอมด้วยความสะใจที่เต็มปรี่ เหมือนจะรู้ทัน เมื่อสายตานั้นหันมามองทางเขาด้วยรอยยิ้มฉงน “มันเป็นการแสดงความพึงพอใจของมนุษย์หรือ?”

     

    “ใช่... ในสถานการณ์ที่ไม่อึดอัดขนาดนี้น่ะนะ”

     

    ร่างเล็กเอียงหัวกระซิบเพียงเล็กน้อยก่อนจะจิ้มเอาเนื้อปลารสดีเข้าปากตามที่ลุงแท้ ๆ ได้เชิญชวนไว้เมื่อครู่ ยังคงรับประทานมื้อเย็นพลางคุยสัพเพเหระกันไปตามเรื่องอย่างไม่เป็นทางการ ถามไถ่ชวนคุยกับปาร์คชานยอลบ้าง แต่แบคฮยอนก็ยังรู้สึกดีกว่าตอนที่มีจุนมยอนร่วมโต๊ะอยู่มาก

     

    “แล้วคุณน้าล่ะครับ?”

     

    “อี้ฟานน่ะเหรอ? เอ... เห็นว่าดูแลคุณแม่อยู่บ้านนั้นน่ะ ชวนมากินมื้อเย็นด้วยกันก็บอกยังไม่หิว”

     

    ถึงตรงนี้ร่างเล็กกลับลอบอมยิ้ม คิดว่าอู๋อี้ฟานยังคงเป็นเหมือนเดิมเสมอ คำนึงถึงกันด้วยความรู้สึกพิเศษที่มากเกินกว่าความเป็นน้าหลาน โดยลืมนึกไปถึงคนนั่งข้าง ๆ ซึ่งกำลังรับรู้มันด้วยความคิดที่ว่างเปล่า ไม่เข้าใจ...

     

    “ถ้าอย่างนั้น... ผม... ขอตัวไปเยี่ยมคุณยาย....” ภาพหญิงชราหน้าตาใจดีนอนอยู่บนเตียงชัดในประสาทการรับรู้ของมัจจุราชหนุ่ม เขาสัมผัสได้ถึงรสชีวิตแห่งความเวทนา... ความเจ็บปวด... และการยึดติดอันไม่จีรังในภาพหญิงชราผู้นั้น ผู้ที่ปรากฏอยู่ในความคิดของบยอนแบคฮยอน

     

    ร่างโปร่งรวบช้อนไว้กึ่งกลางจานตามหลักมารยาท หันไปส่งสายตาให้ปาร์คชานยอลเสียทีหนึ่งเพื่อให้ปฏิบัติตาม ก่อนจะลุกขึ้นยืนโค้งให้ผู้สูงวัยกว่าแล้วเดินนำออกไปทางด้านหลังของตัวบ้าน สู่สระว่ายน้ำ พื้นสวนกว้าง กระทั่งหยุดอยู่หน้าบ้านพักเดี่ยวขนาดย่อม คนรับใช้สองคนเอ่ยทักทายในขณะที่สวนออกมา ก่อนกลับเข้าไปทางบ้านใหญ่โดยปล่อยให้ผู้มาเยือนเข้าไปในบ้านอย่างเคยชิน

     

    เตียงกว้างและหญิงชราดังในภาพความคิดประจักษ์อยู่ตรงหน้า หล่อนมีผมที่ขาวโพลน สีหน้าอิดโรยจากสุขภาพที่ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา หล่อนกำลังพูดคุยกับชายหนุ่มผู้หนึ่ง ผู้มีแผ่นหลังกว้างหนาและเรือนผมซอยสั้นทรงผู้ชาย หัวเราะเบา ๆ คลอความอบอุ่นอาวรณ์ ก่อนที่มันจะหยุดชะงักลงเมื่อผู้ชายข้างกายตรงปรี่เข้าไปสวมกอดผู้เป็นยายด้วยความคิดถึง

     

    “ไงพ่อตัวดี หายหน้าหายตาไม่มาหายายเลยนะ”

     

    “งานยุ่งน่ะครับ” หนุ่มร่างเล็กหัวเราะร่วนในลำคอ ก่อนจะสวมกอดแน่น ๆ เข้าอีกทีหนึ่งอย่างออดอ้อน ผละออกด้วยรอยยิ้ม ก่อนสายตาจะหันไปมองใครอีกคน ยิ้มทะเล้นออดอ้อนนั้นหุบลง เหลือเพียงรอยยิ้มเก้อเขินที่ขยับทักทักออกไปเสียงพร่า “สวัสดีครับคุณน้า”

     

    “เป็นไงบ้าง สบายดีไหมเรา?”

     

    ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ฉีกยิ้มตอบ เอื้อมมือไปลูบหัวเล็กอย่างเอ็นดู แบคฮยอนมีศักดิ์เป็นหลานชาย หากแต่ไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดอย่างที่คนภายนอกเข้าใจ อี้ฟานเป็นเพียงบุตรบุญธรรมของหญิงชรา เป็นน้องชายนอกสายเลือดของประธานคิมและมารดาของเด็กหนุ่มตรงหน้า เป็นบุคคลในตระกูลซึ่งแทบไม่มีสิทธิ์และส่วนร่วมใด ๆ ในกิจกรรมครอบครัว กระนั้นแล้วกลับสนิทกับหลานชายคนนี้เสียยิ่งกว่าอะไร... ด้วยคุยกันถูกคอ เข้าใจ ใกล้ชิด และมีอะไรเหมือนกันหลายๆอย่าง... ชายหนุ่มวัยสามสิบต้น ๆ อย่างอู๋อี้ฟานจึงกลายเป็นคุณน้าคนโปรดของเด็กชายไม่ประสีประสาคนนี้ไปโดยปริยาย “ครับ สบายดี”

     

    แก้มมนปริออกยามได้สนทนากับคนสูงวัยกว่า ชานยอลทอดมองกิริยาทางสายตาของคนทั้งคู่ที่แสดงออกถึงความก้ำกึ่งได้อย่างชัดเจน ในใจนั้นช่างถวิลหากันจนแทบอยากสวมกอด... ยิ่งสร้างความฉงนให้บังเกิดขึ้นแก่ใจของมัจจุราชหนุ่มจนต้องให้ความสนใจจนไม่อาจละสายตาไปทางอื่นได้

     

    “แล้วนั่น... เอ่อ...?” ชายนามว่าอี้ฟานนั้นกำลังมองมาทางเขา มองด้วยหัวใจที่หดตัวลงจากความลำพองยามได้เจอหน้าเด็กหนุ่มอันเป็นที่รัก นั่นทำให้ปาร์คชานยอลรู้สึกขันในใจนัก ขันให้กับความคิดโง่เง่าที่หวาดระแวงทุกอย่าง

     

    “ปาร์คชานยอลครับ เขาเป็น... ผู้ช่วยของผม” ตัดคำว่าเพื่อนออกเพราะไม่อาจจำลองความสัมพันธ์ใด ๆ ขึ้นมาได้หากน้าหนุ่มเอ่ยปากถาม ถึงอย่างนั้นคิ้วหนาก็ยังเลิกขึ้น เคลือบแคลงความสงสัยหากแต่ไม่เกินงาม

     

    “นายต้องทำงานใหญ่อะไรรึเปล่า ทุกทีน้าไม่เห็นว่านายจะต้องถึงขั้นหาผู้ช่วยมาเลยนี่” อี้ฟานรู้ใจเสมอว่าแบคฮยอนนั้นชอบทำงานคนเดียว ชายหนุ่มไม่ชอบโดนหักหน้าและต้องการความสมบูณ์แบบทุกอย่างที่จะเป็นหลักประกันในชีวิตได้ เช่นนั้นแล้วหากคิดจะมีผู้ช่วย อู๋อี้ฟานเชื่อว่าแบคฮยอนจะต้องเลือกคนมากประสบการณ์และฉลาดเฉลียวแบบที่หาตัวจับได้ยากแน่นอน “อา... ขอโทษที่เสียมารยาท ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณปาร์ค”

     

    ร่างสูงเหลียวหลังไปมองผู้เป็นมารดาด้วยความเป็นห่วงเมื่อมือเหี่ยวย่นนั้นกระตุกชายเสื้อเขาเบา ๆ ยามได้มองคนแปลกหน้าซึ่งยืนอยู่ตรงประตู

     

    “สวัสดีคุณอี้ฟาน และสวัสดีคุณนายคิม” ตาสีรัตติกาลทอดมองดวงหน้าเหี่ยวย่นขึ้นกระของหญิงชรา หล่อนมองกลับเขาด้วยแววแห่งความตระหนก เศร้าสร้อย ก่อนจะแหงนขึ้นมองหลานชายผู้มาพร้อมชายหนุ่มภูมิฐาน ซึ่งดูเหมือนว่าในแววตากลมใสนั้นจะมีแววแห่งความวิตกยามได้เห็นอากัปกิริยาของยายแท้ ๆ

     

    “ทำไมหลานถึงมากับคุณคนนี้ได้แบคฮยอน ไปเจอเขาที่ไหน?” เสียงสั่นนั้นเอ่ยถาม สร้างความฉงนให้บุคคลที่สี่อย่างอี้ฟานซึ่งไม่รู้เรื่องอะไร แบคฮยอนไม่ทันได้ตอบ หญิงชราก็ปล่อยมือจากชายเสื้อบุตรบุญธรรมก่อนจะเอ่ยสั่งเสียงเนิบจนคนฟังแปลกใจ “ออกไปกับอี้ฟานก่อนเถอะ ไปกินน้ำกินท่าพักกันให้หายเหนื่อย ส่วนยายอยากคุยอยู่กับคุณคนนี้สักพักจะได้ไหม”

     

    ร่างเล็กเสไปมองทางมัจจุราชหนุ่มซึ่งพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต เขาสาวเท้าเข้ามาใกล้ สวนกับอี้ฟานและแบคฮยอนที่พากันเดินออกไป “ไม่ต้องห่วง... ผมเพียงแค่เป็นคู่สนทนาตามที่เขาขอเท่านั้น”

     

    เมื่อประตูห้องปิดสนิท... ความวังเวงกลับแล่นเข้ามาแทนที่บรรยากาศครึกครื้นเมื่อครู่ ร่างสูงโปร่งหยุดยืนยังข้างเตียงกว้าง มองตอบสายตาหวาดหวั่นของหญิงชราด้วยความว่างเปล่า

     

    “ว่ายังไงคิมโฮยอน... เจ้ามีอะไรจะสนทนากับข้าหรือ?”

     

    “ท่านคือ...” มือเหี่ยวย่นสั่นระริก รู้สึกปวดที่แขนและขาขึ้นมาไม่ถึงกับทุรนทุราย ยิ่งเข้ามาใกล้ความหดหู่กลับยิ่งจับจิต มากเสียจนหญิงชราต้องฟุ้งซ่านถึงอนาคตอย่างที่ไม่เคยเป็น

     

    “ใช่... ข้าคือสิ่งนั้น...”

     

    “...เห็นทีที่เขาบอกว่าคนใกล้ตายจะได้เห็นยมทูตคงนี่คงเป็นเรื่องจริง ท่านถึงได้มาหาฉันที่นี่” หล่อนว่าอย่างโศกเศร้า ตาสีดำที่สะท้อนภาพดวงหน้าหล่อเหลาราวกับจะมีน้ำตาเอ่อ เมื่อคิดไปถึงช่วงเวลาแห่งการปลดปล่อยความทุกข์ทรมานทั้งปวงสู่ความเป็นนิรันดร์อันไม่มีใครต้องการ

     

    “ผิดแล้วโฮยอน... ข้าไม่ได้มาหาเจ้า” ตอบปฏิเสธเสียงทุ้มนุ่ม นั่งลงยังที่นั่งซึ่งอี้ฟานเพิ่งลุกไปเมื่อครู่ จับจ้องภาพวาดบนผนังที่เป็นรูปถาดผลไม้จานใหญ่

     

    “ถ้าไม่ได้มารับฉัน แล้วท่านมาปรากฏตัวที่นี่ทำไมกัน”

     

    “เจ้าก็เห็นว่าข้ามากับแบคฮยอนหลานชายของเจ้า” ดวงตานั้นหรี่ลงราวรอยยิ้ม คิมโฮยอนหญิงชราหยุดกิริยาคล้ายร่ำไห้ เหลือเพียงความสงสัยที่หยั่งรากลงบนบนความหวาดหวั่น หากแต่มันไม่อยู่ในสายตาของมัจจุราชในร่างชายหนุ่มนัก เขายังคงใช้ดวงตาคมปลาบกลอกมองลูกแอปเปิ้ลสีแดงสลับกับผลส้มในรูปวาดอย่างไร้ความหมาย “โฮยอน... สิ่งที่เจ้ากำลังกลัวคือการที่ข้าจะพรากเอาหลานชายไปจากเจ้า หรือว่าพรากตัวเจ้าไปจากชีวิตอันยาวนานบนโลกใบนี้กัน”

     

    หล่อนหลุบสายลงมองมือเหี่ยวย่น รู้สึกถึงอาการปวดข้อตามแขนและขาที่กินระยะเวลายาวนานมาหลายปี บ่อยครั้งที่ต้องเข้าโรงพยาบาล... รับการผ่าตัด กินยาราคาแพงทีละมาก ๆ โดยใช้ทรัพย์สินที่มีแลกกับชีวิต แต่ถึงอย่างนั้นความทรมานกลับยิ่งทวีมากขึ้น

     

    “มนุษย์นี่แปลกนะ... หาทางทำทุกอย่างเพื่อที่จะยื้อความทรมานออกไปจนผิดครรลอง พยายามเพียงเพื่อให้ตัวเองรอดพ้นจากโลกหน้า... ทั้งที่รู้ว่ายังไงก็หนีไม่พ้น”

     

    “ท่านต้องการอะไรจากหลานชายฉันเหรอคะ...?”

     

    “ทัศนา... ข้าเพียงแค่มาทัศนาโดยมีหลานชายเจ้าเป็นมัคคุเทศก์เท่านั้น... หาได้มีอะไรอื่นเลย”

     

    เป็นบทสนทนาสั้น ๆ ที่หญิงชราตระกูลคิมได้รับ ก่อนที่ร่างในชุดสูทสีอ่อนนั้นจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ ทิ้งไว้เพียงเงาดำหม่นดังรอยเปื้อนบนเสื้อนั่นเอง

     

     

     

     

     

    น้าดีใจ ที่ยังรู้ว่านายสบายดี

     

    มุมอับของชั้นสอง... เลี้ยวไปทางซ้ายเมื่อเดินออกจากห้องนอนของนายหญิงใหญ่ตระกูลคิม เสียงใสหัวเราะร่วนในลำคอ ดูท่าทีชายหนุ่มตรงหน้านี้เข้าก็เกิดสงสัยว่าใช่อู๋อี้ฟานที่เขาเคยรู้จักจริง ๆ หรือ จริงอยู่ว่าแบคฮยอนย้ายออกไปตั้งแต่เมื่อปีก่อน แต่ก็ใช่จะไม่กลับมาถึงแม้ว่าแค่นาน ๆ ครั้งก็ตามที ผมสบายดีครับ บ้านหลังที่ซื้อไว้อยู่สบายดีทีเดียว

     

    อี้ฟานหัวเราะคลอเบา ๆ ไปกับเสียงทุ้มนุ่มของคนตรงหน้า เต็มไปด้วยความเอ็นดู ถวิล เสน่หา มือใหญ่วางทับลงบนศีรษะ แค่นั้นร่างเล็กก็เบือนสายตาหนี เสมองไปยังรอบตัวเพื่อสำรวจว่าไม่มีคนรับใช้หลงเหลืออยู่

     

    น้ากำลังคิดว่าควรจะโทรไปหานายพอดี...

     

    ผมโอเคถ้าน้าจะโทรมาแม้จะรู้แก่ใจว่ามันผิด... แต่ลึก ๆ แล้วแบคฮยอนกลับเห็นว่ามันไม่เสียหาย ในเมื่อไม่ใช่สายเลือด ก็ไม่ต่างอะไรจากผู้ชายสองคนแค่นั้นไม่ใช่เหรอ

     

    มีเรื่องที่อยากจะคุยด้วย...

     

    ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรมากกว่านั้นแบคฮยอนก็เบียดตัวเข้าบดเบียดริมฝีปากด้วยแผ่วเบา จนกระทั่งสะดุ้งผละออกสุดตัวเมื่อเหลือบไปเห็นร่างสูงโปร่งยืนห่างออกไป ปาร์คชานยอลนั้นมีสายตาราบเรียบ ไม่แสดงออกว่ารู้สึกรู้สาอะไรนอกเหนือจากว่าเขาได้เห็นสิ่งที่ไม่สมควรเห็น

     

    อี้ฟานเองอยู่ในอาการที่ทำอะไรไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าชานยอลเป็นใครมาจากไหนและคิดตื้นลึกหนาบางเพียงใด ในหัวนั้นจึงมีแต่ความกังวลว่าหนุ่มร่างสูงจะนึกสะอิดสะเอียนในใจ ต่างจากแบคฮยอนที่เม้มริมฝีปากแน่นเป็นเส้นตรง บอกลาน้าหนุ่มอย่างอาวรณ์แล้วเดินออกมาเก้ ๆ กัง ๆ ถึงจะรู้ว่าชานยอลไม่ใช่มนุษย์ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมียางอาย

     

    “คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

     

    ถึงปากจะเค้นถามเสียงนิ่งหากแต่ก้าวเดินที่ร้อนรนนั้นกลับทำให้มัจจุราชหนุ่มอมยิ้มออกมา แบคฮยอนจัดการเปิดประตูรถแล้วขึ้นไปนั่งฝั่งคนขับ หัวเสียง่ายกว่าปกติเมื่อปาร์คชานยอลเปิดประตูรถอีกฝั่งได้เชื่องช้าเหลือเกิน

     

    “คุยกับคิมโฮยอนเสร็จ ผมก็ออกมาเลย” ตอบกลับไปเสียงเรียบตามความจริงทุกประการ แต่มันกลับยิ่งทำให้แบคฮยอนหัวเสีย เหยียบคันเร่งกระชากตัวรถออกจนเกือบเฉียดกับกระถางต้นไม้ตรงโคนเสา

     

    “ถ้าไม่ติดว่าคุณเป็นยมทูต เชื่อเถอะว่าผมต่อยคุณตกจากรถแน่” ร่างเล็กขับรถฉุนเฉียวได้สมกับอารมณ์ แทบจะเฉี่ยวตรงนั้นทีตรงนี้ที กว่าจะพ้นรั้วบ้านไปได้คงไม่วายที่จะได้ปะทะคารมณ์กับคิมจุนมยอนอีกรอบหากต้องขับชนรั้วบ้านพังไปเสียก่อน

     

    “ตอนนี้ผมเป็นมนุษย์ แน่นอนว่าคุณต่อยผมได้” ขาดก็เสียแต่การยักคิ้ว ไม่อย่างนั้นมันคงเป็นการกวนประสาทโดยสมบูรณ์แบบ แบคฮยอนได้แต่ย้ำคำ ถ้าไม่ติดว่าเป็นยมทูต อยู่ในใจอีกถึงห้าครั้ง “แบคฮยอน”

     

    “คุณจะเอาอะไรอีก?”

     

    “คุณรักอู๋อี้ฟานหรือเปล่า?”

     

    “.....”

     

    “.....”

     

    “คุณจะอยากรู้ไปทำไม” ชายหนุ่มแค่นเสียงใส่กึ่งเป็นการสบถ ถึงจะย้ำกับตัวเองว่าคนตรงหน้านี้เป็นยมทูต แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยู่ในร่างมนุษย์... เป็นดังมนุษย์ทุกอย่าง

     

    “การเอาปากชนกันแบบนั้น... คือวิธีการแสดงความรักของมนุษย์อย่างนั้นเหรอ...?”

     

    ร่างเล็กแทบเหยียบเบรกให้รถจอดขวางถนนเลนแคบเสียเดี๋ยวนั้น แน่นอนว่าถ้ามีน้ำหรืออะไรในปาก แบคฮยอนก็คงพรวดมันออกมาเช่นกัน... ให้ตายเถอะ ยมทูตนี่ถามอะไร? มันฟังดูไม่เข้าท่าสักนิดเลย! “นี่คุณยมทูต...”

     

    “ผมถามคุณ”

     

    นัยน์ตาสีรัตติกาลนั้นจริงจังใคร่รู้ไม่ต่างจากเด็กวัยกำลังประสีประสา กระนั้นแล้วดวงหน้าเรียวกลับขึ้นสี เป็นยมทูตแล้วทำไมไม่รู้ให้มันทุกเรื่องวะ “ไม่เชิง... ถ้ารู้สึกดี ก็คงจูบได้”

     

    ว่าออกไปเสียงห้วนแต่ดูจะติด ๆ ขัด ๆ อยู่สักหน่อย เพียงเท่านั้นอีกฝ่ายก็พึงใจ เอนตัวกลับพิงเบาะรถขบคิดถึงบางสิ่ง อะไรที่เขาเคยได้พบเจอมานักต่อนัก แต่ก็ไม่เข้าใจมันเสียทีเดียว “แบคฮยอน”

     

    “อะไรอีกครับ~” ประชดเสียงยานคางด้วยความหงุดหงิดที่ไม่ทุเลาลง จะอยากรู้อะไรนัก ลาออกจากยมทูตมาใช้ชีวิตเลยเป็นไร ไหน ๆ ก็ได้ร่างมาแล้วนี่

     

    ผินหน้าหล่อเหลาหันมามองชายหนุ่มอีกครา คราวนี้แบคฮยอนมั่นใจดีว่าคงมีอะไรให้เขาต้องฉุนเฉียวอีก จึงรีบเหยียบเบรกเบี่ยงรถเข้าข้างทาง หวังไขปัญหาคาใจให้มัจจุราชหนุ่มจนเสร็จถ้วนล้วนกระบวนความ หากแต่นัยน์ตาซื่อ ๆ ที่ดูว่างเปล่า และมือซึ่งชี้ที่ปากตัวเองทีเขาทีแบบนั้น...

     

    “ถ้าเกิดว่าเรารู้สึกดีต่อกัน... ก็เอาปากชนกันได้ใช่ไหม”

     

    เชื่อเถอะว่ามันดีแค่ไหนที่บยอนแบคฮยอนไม่ตัดสินใจขับรถต่อไปแล้วไปชนกับรถสิบล้อเข้า!

     

     

     

     

    _________________________

     

     

     

     

     “เอาเป็นว่าคืนนี้คุณนอนตรงนี้กองหมอนและผ้าห่มไว้บนโซฟาก่อนจะยืดตัวขึ้นมายืนเอามือท้าวเอวไว้เสียข้างหนึ่ง อันที่จริงวันนี้เขาแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำแต่ทำไมถึงได้รู้สึกเหนื่อยขนาดนี้กัน อ้อ... ไม่ต้องโทษใครเลย ครั้นเหล่มองไปที่ใครอีกคน (หรือคงจะต้องใช้อีกตน) ก็พบว่ากำลังยืนเอียงซ้ายเอียงขวาทื่อ ๆ อยู่หน้ากระจก หวังว่ายมทูตคงจะไม่มีสมาธิมาอ่านใจเขาตอนนี้หรอกนะ คุณยมทูต

     

    เจ้าของร่างปาร์คชานยอลเอี้ยวตัวกลับมาตามเสียงเรียก มองหน้าแบคฮยอนเสียทีหนึ่งแล้วก็มองเลยไปยังโซฟาข้างหลัง แล้วคุณล่ะ?”

     

    ผมจะนอนในห้องนอน

     

    สิ้นคำแบคฮยอนแทบอยากจะสบถออกมาอีกรอบเมื่อเห็นว่าชานยอลหันเดินเข้าไปในห้องนอนทางขวามือ ไม่รอช้าขาเรียวรีบเดินตามเข้าไปก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งอยู่ที่เตียงของเขา... ไม่ใช่นั่งเฉย ๆ ด้วยนะ แต่กำลังยกก้นขึ้นลงตามการเด้งของฟูกสปริงเหมือนเด็ก ๆ ยังไงยังงั้น มีการหันมายิ้มให้เขาอีก ยมทูตนี่ไม่รู้จักคำว่าเกรงใจหรือกาลเทศะกันบ้างหรือไง

     

    “ไม่รู้จัก แต่ผมชอบสิ่งนี้”

     

    ตอบคำถามด้วยการถือวิสาสะอ่านความคิดคนอื่นเขาอีกแล้ว แต่ไอ้ประโยคหลังนี่สิหมายความว่ายังไง คงไม่ใช่ว่าต้องการยึดเตียงนอนของเขาหรอกนะ

     

    “สิ่งนี้เรียกว่าเตียงเหรอ? มนุษย์ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ช่างสรรหาความสะดวกสบายให้ตัวเองได้ดีเยี่ยม!” ยิ้มพึงใจแล้วก็ทิ้งตัวลงนอนดื้อ ๆ

     

    “ไม่ได้ คุณต้องไปอาบน้ำก่อน!” คนยืนมองร้องแหว นั่นทำให้ปาร์คชานยอลเด้งตัวกลับขึ้นมานั่งตามเดิมพร้อมสีหน้าข้องใจ อา.. พอนึกขึ้นได้ว่ายมทูตคงไม่รู้จักการอาบน้ำ แบคฮยอนก็เหนื่อยหน่ายใจเสียจนต้องกลั้นใจบอกปัดให้ผ่านพ้นคืนนี้ไปได้ด้วยดี “ช่างเถอะ”

     

     

     

     

    _________________________

     

     

     

     

    ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าพร้อมกับพบว่าเพื่อนร่วมบ้านคนใหม่ตื่นมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว ชุดที่ใส่นั่นยังเป็นชุดของเมื่อคืน แล้วมันก็ยับยู่ยี่เสียจนชวนให้ทนไม่ได้หากจะปล่อยให้ใส่ชุดเดิมไปตลอดสิบสามวัน แล้วยังนึกขึ้นได้อีกว่าคงถึงเวลาที่เขาจะต้องสอนยมทูตอาบน้ำได้แล้ว

     

    “ไอ้นี่เรียกว่าสบู่ เอาไว้ถูร่างกาย” ชี้ไปที่สบู่เหลวผู้ชายขวดสีขาว แล้วก็หยิบสองขวดข้าง ๆ ออกมาถือไว้ในมือ “ขวดนี้เรียกว่ายาสระผม คุณก็ใช้มันขยี้บนหัวจนเกิดฟอง เสร็จแล้วล้างน้ำออก และใช้ครีมนวดนี่ต่อ”

     

    ไม่คิดไม่ฝันว่าชีวิตนี้จะได้มีโอกาสมาสอนผู้ชายอาบน้ำ ถึงมันจะน่าเอือมสุด ๆ แต่บยอนแบคฮยอนก็คิดว่ามันตลกดี ชานยอลกำลังสำรวจอุปกรณ์อื่น ๆ ภายในห้องน้ำ แต่เขาไม่ได้อยู่ดูเพราะเสียงโทรศัพท์มือถือจากข้างนอกดังขึ้นมาเสียก่อน

     

    อู๋อี้ฟานโทรมานั่นเอง

     

     

     

     

    _________________________

     

     

     

     

    สายตาของอี้ฟานทอดมองผู้ชายสองคนตรงหน้าซึ่งกำลังนั่งลง คนด้านในเป็นแบคฮยอนหลานชายนอกสายเลือดที่เขาคุ้นเคยดี แต่อีกคนนี่สิ... ถ้าจำไม่ผิดก็คือผู้ชายคนเมื่อวานที่กลับไปพร้อมกันนั่นเอง

     

    อี้ฟานทำสีหน้าอึดอัดแปลก ๆ เพราะคิดว่าจะได้มานั่งคุยกับแบคฮยอนสองต่อสอง ไม่ต้องแปลกที่ยมทูตหนุ่มรู้ถึงความคิดนั้นเป็นอย่างดีจึงได้ลุกออกไป

     

    “คุณสามารถเดินไปสั่งเครื่องดื่มได้ที่เคาน์เตอร์ตรงนั้น”

     

    แบคฮยอนกระซิบกระซาบเอาไว้ตอนที่เขาลุกออกมา เคาน์เตอร์ตรงนั้นหรือ มีป้ายใหญ่ ๆ เป็นภาษาอังกฤษอยู่ทางด้านหลัง มันคือเมนู

     

    “รับอะไรดีคะ” พนักงานสาวเอ่ยถามออกมาตามหน้าที่ ชานยอลมองบนเมนูนั้นพักใหญ่ มีรูปภาพประกอบในแต่ละเมนูจนชวนให้ละลานตา

     

    “มนุษย์ชอบกินอะไรกัน”

     

    “คะ?” พนักงานแสดงท่าทีแปลกใจอยู่นิดหน่อยก่อนจะตีความได้ว่าเขาคงถามถึงเมนูที่มีคนสั่งมากเป็นพิเศษ “ลาเต้ร้อนเป็นไงคะ เป็นกาแฟนมรสชาติไม่เข้มมาก หรือถ้าชอบดื่มเข้ม ๆ แนะนำเป็นเอสเปรสโซ่หรืออเมริกาโนค่ะ จะรับเป็นอะไรดีคะ”

     

    “อย่างที่คุณว่ามาก็ได้”

     

    “อเมริกาโนเหรอคะ?” ชานยอลไม่ได้ตอบ แต่กลับยื่นเงินให้กับพนักงานจำนวนหนึ่ง ไม่ถึงสองนาทีอเมริกาโนร้อนก็ถูกวางลงตรงหน้าเพื่อให้เขาได้ถือกลับไปนั่งที่โต๊ะ “เติมไซรัปได้ที่ทางขวามือนะคะ”

     

    ชานยอลมองตาม ทางขวามือมีเคาน์เตอร์ขนาดเล็กตัวหนึ่งและแกลลอนหัวปั๊มที่มีคนเดินมากดไซรัปใส่แก้วอยู่เนือง ๆ เขาเข้าใจ และได้เดินมาหยุดอยู่หน้าปั๊มไซรัปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แค่เอามือกดลงไปก็จะมีน้ำไซรัปไหลออกมา ร่างสูงลองกด และการประสบความสำเร็จในสิ่งนี้นั่นเองที่ทำให้ชานยอลกดมันอีกถึงห้าครั้งเต็ม ๆ

     

    วางแก้วอเมริกาโนลงบนโต๊ะพลางเหลือบมองแบคฮยอนและอู๋อี้ฟาน ทั้งคู่ดูเคร่งเครียดและสีหน้าแบคฮยอนก็ไม่ดีนักผิดจากในตอนแรก แต่เอาล่ะ ลองกินเจ้าอเมริกาโนที่มนุษย์นิยมชมชอบกันดีกว่า

     

    “....”

     

    รสชาติแย่ นี่คือสิ่งแรกที่ยมทูตหนุ่มคิด เขามองไปรอบ ๆ และเห็นแต่คนที่ดื่มเจ้าสิ่งนี้เหมือน ๆ กัน มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้าใจยาก แต่ว่าโต๊ะที่อยู่ถัดจากเขามีเด็กคนหนึ่งกำลังดูดโกโก้เย็นใส่วิปครีมอย่างเอร็ดอร่อย

     

    “นั่นอะไร” เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์พนักงานแล้วก็ชี้ไปทางโต๊ะของเด็กคนนั้น พนักงานสาวทำสีหน้าแปลกใจอย่างยิ่งยวดอีกครั้งแล้วเอ่ยตอบเสียงเก้อ

     

    “กะ... โกโก้เย็นค่ะ”

     

    “มันรสชาติเหมือนน้ำสีดำนั่นไหม?”

     

    “ไม่ค่ะ มันจะหวานกว่า”

     

    ครางรับอย่างพึงใจแล้วก็สั่งมาหนึ่งแก้ว ถือโกโก้เย็นเดินกลับมาที่โต๊ะแล้วหยิบเอาแก้วอเมริกาโนไปวางยังโต๊ะว่างอีกข้าง นั่งลงแล้วก็ตักเอาวิปครีมเข้าปาก ก่อนจะพยักหน้ากับตัวเองแล้วก้มลงดูดโกโก้จนหมดแก้ว กลายเป็นเสียงดูดอากาศเสียงดัง

     

    โกโก้หมดแล้ว ชานยอลจึงหันมาตักวิปครีมที่มีรสติดหวานหน่อย ๆ นั่นใส่ปาก แล้วคิดกับตัวเองว่า สิ่งนี้รสชาติดี

     

    ยังไม่ทันที่จะตักวิปครีมกินจนหมดมือเรียวของแบคฮยอนก็คว้าเอาต้นแขนของเขาและพาลุกไปด้วยกัน นี่นับเป็นครั้งแรกที่หนุ่มนี่แตะต้องตัวเขา แต่ดูนัยน์ตานั่นสิ มันช่างดูไม่สู้ดีเอาเสียเลย

     

    นี่มันอะไรกัน!? ให้ตายเถอะ!

     

    เสียงในใจแบคฮยอนคำรามก้อง ยมทูตหนุ่มเหลียวกลับไปมองอี้ฟานและเข้าใจว่าคนทั้งคู่กำลังบาดหมางกัน ทำไมล่ะ ทั้งที่รักกันไม่ใช่เหรอ?

     

     

     

     

     

    “คุณเป็นอะไร”

     

    “คุณก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอ? คุณอ่านใจได้นี่” บยอนแบคฮยอนกำลังพาลโดยที่ไม่รู้ว่ายมทูตสามารถทำตามใจตัวเองได้ในระดับหนึ่งเกี่ยวกับการจัดการมนุษย์ที่ไม่ชอบ

     

    “ผมเห็นเพียงคำสบถตัดพ้อจากโทสะและความเศร้าโศกของคุณ” บอกไปตามจริง แต่สิ่งที่อีกฝ่ายตอบรับกลับมีเพียงแค่ความเงียบ ตอนนี้เองที่ยมทูตปาร์คชานยอลคิดว่ามันไม่ใช่เวลาสำหรับการพูดความคิดนั้นออกมา

     

    “....”

     

    “แบคฮยอน” ชี้ไปที่คราบวิปครีมสีขาวซึ่งเลอะรอบปาก “พาผมไปซื้อสิ่งนี้ที”

     

    “....”

     

     

     

     

    _________________________

     

     

     

     

     “มันอยู่ในขวดนี่เหรอ?” มือหนาเขย่าขวดทรงกระบอกสีชมพูในมือไปมา พลิกดูด้านซ้ายทีขวาที แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีตรงไหนที่เจ้าครีมสีขาว ๆ นั่นจะปรากฏออกมาให้เห็น

     

    ครั้นหันไปมองแบคฮยอนก็เห็นว่าร่างเล็กนั่งอยู่ที่โซฟาอย่างเงียบเชียบผิดวิสัย ไม่ส่งเสียงเสียงเอ็ดตะโรหรือแสดงท่าหงุดหงิดใด ๆ เหมือนอย่างเคย เดินเข้าไปยื่นขวดวิปครีมให้ แล้วว่าประโยคแกมคำสั่งอย่างที่ทำทุกที

     

    “ทำให้ครีมนั่นปรากฏออกมาที”

     

    แบคฮยอนรับไปแล้วเปิดฝาให้ ทว่าตาของเขาไม่แม้แต่จะละออกจากหัวเข่าด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่ามันมีอะไรน่ามอง แต่หัวของแบคฮยอนมันมืดทึบจนไม่สามารถคิดอะไรออกแล้วต่างหาก แต่ไม่ครึ่งนาที มือนั้นก็ยื่นขวดวิปครีมแบบไร้ฝามาให้เขาอีกครั้ง

     

    “มันยังไม่เสร็จสมบูรณ์”

     

    เขาควรจะรู้สึกเหลืออดกับยมทูตที่ไม่รู้จักกาลเทศะคนนี้สักที ถ้าอ่านความคิดเขาได้ก็ควรจะรับรู้แล้วสิว่าเขาต้องการอยู่เพียงลำพัง ไม่ใช่มาทำตัวเป็นภาระน่าหงุดหงิดอยู่แบบนี้ “อ้าปากของคุณออกสิ”

     

    ใช้ปลายนิ้วกดหัววิปครีมจนมีฟองสีขาวฟูออกมากระทั่งล้นปากยมทูตหนุ่ม เป็นวิธีระบายความอัดอั้นที่ไร้สาระ แต่ทว่าก็ค่อนข้างได้ผล ชานยอลดูตื่นตาตื่นใจเสียจนไม่นึกโกรธเคืองเขาที่อาจหาญทำเช่นนั้นกับทูตแห่งความตาย

     

    แต่เมื่อรู้สึกตัว บยอนแบคฮยอนก็พบว่าตัวเองหลุดหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น แต่เพียงไม่นานก็กลับมาตีหน้าเครียดตามเดิม แค่ช่วงนาทีสั้น ๆ ที่ชานยอลกินเอาวิปครีมลงไปจนหมด และแค่ช่วงสั้น ๆ ที่แบคฮยอนลืมนึกถึงอู๋อี้ฟานไปได้

     

    “อ้าปากออกสิ”

     

    ถึงจะผงะไปที่ถูกสั่ง แต่ด้วยสายตาคาดคั้นแบคฮยอนก็ยอมอ้าปากออกพอที่จะให้อีกฝ่ายบีบวิปครีมใส่ปากได้ มันฟูออกมาจนล้นปาก ทำให้เขาต้องลนลานรีบกลืนลงไปแล้วเตรียมสบถด่า

     

    “เวลาที่ผมได้ลิ้มรสครีมนี่ ผมรู้สึกดี”

     

    ยมทูตหนุ่มว่าไว้แค่นั้น แล้วก็เดินบีบวิปครีมใส่ปากจากไปอย่างดื้อ ๆ และถึงจะเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดแค่ไหน แต่แบคฮยอนก็ไม่อยากจะเชื่อเลยทฤษฎีวิปครีมไร้สาระนี่มันจะเป็นไปได้

     

    “นี่คุณยมทูต”

     

    “?”

     

    “ให้ผมพาทัวร์ตอนกลางคืนไหม?”

     

     

     

     

    _________________________

     

     

     

     

    แก้วแล้วแก้วเล่าถูกส่งกลับไปให้บริกรแล้วจึงรับแก้วใหม่มาดวดลงปากเรื่อย ๆ ในหัวของเขามีแต่ชื่ออี้ฟาน ประโยคของอี้ฟาน แล้วก็ความทรงจำที่มีกับอี้ฟาน คุณน้าที่เขารักแสนรักเสียยิ่งกว่าใคร

     

    ข้าง ๆ แบคฮยอนเป็นร่างสูงโปร่ง แก้วของชานยอลใหญ่กว่ามาก และน้ำในนั้นก็เป็นสีคล้าย ๆ กัน เพียงแต่รสชาติต่างกันลิบลับ มือหนาใช้มือหนึ่งยกแก้วขึ้นกระดกโคคาโคล่าหวานซ่า แต่สิ่งที่แบคฮยอนดื่มอยู่นั้นรสชาติไม่ได้เรื่อง

     

    “คุณกำลังสูญเสียสติสัมปชัญญะลงเรื่อย ๆ”

     

    “เอาเป็นว่าผมพาคุณกลับบ้านได้น่า คุณยมทูต” ร่างเล็กบอกปัดแล้วยกแก้วใหม่ขึ้นกระดกอีก ดูเหมือนแบคฮยอนจะไม่รู้ตัวว่าน้ำเสียงของเขาในตอนนี้อ้อแอ้ไม่ต่างอะไรจากทารกหัดพูด มันทั้งฟังแทบจะไม่รู้เรื่อง แต่คนฟังกลับเข้าใจได้ไม่ยากจากอีกเสียงหนึ่งซึ่งดังก้องออกมาจากใจ “อีกเท่าไหร่นะ? สิบเอ็ดวันใช่ไหม นานชะมัดยาก”

     

    “อย่าปากดีนักเลย พอถึงเวลานั้นเข้าจริง ๆ มนุษย์ก็น่าสมเพชทุกคน”

     

    มนุษย์ปากดีกำลังกลั้วหัวเราะ นั่นสินะ ในทีแรกเขาเองก็กลัวแทบเป็นแทบตายนี่นะ “ผมคงกำลังเมาจริง ๆ นั่นแหละ”

     

    ยมทูตหนุ่มเสมองอีกฝ่ายด้วยสายตาราบเรียบเสมือนเพิ่งเข้าใจอะไรยาก ๆ ได้อีกอย่างหนึ่ง ทว่ามันไม่ได้ดูน่ายินดีนัก “ผมได้เรียนรู้ว่ามีสามสิ่งที่ทำให้มนุษย์ผู้โง่เขลาดูน่าสมเพชไปกว่าเดิม คุณรู้ไหมว่าคืออะไรแบคฮยอน”

     

    “ถ้าผมชนะจะได้อะไร?”

     

    ชานยอลได้แต่ยิ้ม “เดิมทีคุณไม่ใช่คนชอบต่อรอง”

     

    มือเรียวของแบคฮยอนเอนแก้วไปมาเหมือนตุ้มนาฬิกา ลองทบทวนประโยคคำถามเมื่อครู่อีกสองครั้ง แล้วจึงนึกออก “เมื่อครู่คุณบอกมาหนึ่งอย่างแล้วว่ามันคือความตาย”

     

    “ข้อสองคือความโลภ”

     

    “....” คนถามตอบข้อสองให้แต่เงียบไปในข้อสุดท้าย บางทีแบคฮยอนอาจจะรู้แล้วแต่ไม่ต้องการพูดมันออกมาก็เป็นได้ “ยมทูตอย่างคุณมันไม่เคยมีความรัก คงไม่เข้าใจอะไรงี่เง่าแบบนี้หรอก”

     

    “งั้นคุณก็สอนผมสิ”

     

    “....”

     

    “เมื่อผมเห็นคุณทำตัวน่าสมเพชขนาดนี้แล้ว ผมก็อยากจะรู้จักความรักนั่นดูสักครั้ง ว่ามันจะสำคัญเทียบเท่าความตายอย่างนั้นเลยหรือเปล่า” พูดไปด้วยเสียงจริงจัง แวบหนึ่งที่เขาเห็นว่าใบหน้าของปาร์คชานยอลมันช่างเลือนรางจนดูเหมือนจะกลายเป็นอะไรสักอย่างที่ไร้ตัวตน ใช่แล้ว... เขาเกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าปาร์คชานยอลตัวจริงคือผู้ชายในร้านกาแฟเมื่อสองวันก่อนนั่นต่างหาก

     

    “โจทย์ที่คุณให้ผมมันชักจะยากเกินไปแล้วนะ” เมื่อได้รับตอบกลับมาแค่รอยยิ้ม แบคฮยอนก็ได้แต่สบถไปตามประสา “ให้ตายเถอะ ถ้าผมสอนให้คุณรู้จักความรักไม่ได้ ก็เท่ากับว่าผมทำให้คนค่อนเมืองตายใช่ไหม”

     

    “ไม่ผิด แต่ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว”

     

    ชายหนุ่มเจ้าของนามสกุลบยอนถอนหายใจอีกครั้ง อย่างน้อยในระหว่างที่มีเรื่องอี้ฟานเข้ามาทำให้เขาเสียหลัก งั้นก็ขอให้สิบเอ็ดวันหลังจากนี้มันสุดเหวี่ยงไปเลยก็แล้วกัน

     

     

     

     

    _________________________

     

     

     

     

    ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรงเพราะถูกเบียดเสียดด้วยหญิงสาวในชุดวับ ๆ แวม ๆ มากหน้าหลายตา นับ ๆ ดูแล้วก็ราวเจ็ดคนได้ แต่คนต้นเหตุกลับไปนั่งทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องโดยไม่แม้แต่จะสนใจว่าเขากำลังถูกปฏิบัติจากผู้หญิงพวกนี้อย่างไร เพลงคาราโอเกะที่ดังกระหึ่มนั้นยิ่งทำให้รู้สึกปวดหู ร่างกายของมนุษย์มีขีดจำกัดที่อ่อนแอจนน่าเหลือเชื่อ แม้แต่เพศที่ว่าแข็งแรงก็ยังเปราะบางแม้แต่กับเสียงแบบนี้

     

    ยืนตัวทื่อเป็นเสาหลักให้สาว ๆ พากันลูบไล้จนครบเวลา พอผู้หญิงพวกนั้นออกไปหมด บยอนแบคฮยอนก็ถอนหายใจแล้วลุกขึ้นเดินนำออกไป เป็นอันรู้กันว่าได้เวลากลับบ้านแล้ว

     

     

     

     

    _________________________

     

     

     

     

    วันนี้ทั้งวันหมดไปกับการที่บยอนแบคฮยอนพาเขาไปพบผู้หญิงมากหน้าหลายตา แต่ลงท้ายก็จบด้วยการมานอนอย่างสงบบนเตียงในห้องนอนเฉกเช่นวันที่ผ่านมา

     

    “นี่น่ะเหรอที่คุณบอกว่าจะทำให้ผมรู้จักความรัก”

     

    นอนกันคนละฟากเตียง เมื่อเงยหน้ามองไปก็มีแต่ความมืด มองไม่เห็นเพดานสีครีม หรือไม่แต่ไฟที่เคยส่องสว่างเมื่อไม่ถึงสิบห้านาทีก่อน เขารู้ว่าแบคฮยอนยังไม่หลับ เพราะยังมีเสียงในใจดังออกมาอยู่เรื่อย ๆ วนเวียนอยู่เรื่องเดิม

     

    “ทำไม คุณไม่ปิ๊งใครหรือไง”

     

    “คุณให้ผมเจอผู้หญิงมากมายเพื่อจะให้ผมเลือกรักใครสักคนเหรอ ผมว่ามันฟังดูง่ายดายเกินไปหน่อย”

     

    “ชอบ แล้วก็รัก มันมีอะไรที่เป็นเรื่องยากล่ะ”

     

    “แล้วทำไมต้องผู้หญิง?”

     

    “ในเมื่อผู้หญิงกับผู้ชายถูกสร้างมาคู่กัน อยู่ใกล้กันไปมันก็รักกันเองนั่นแหละ” แบคฮยอนบอกปัด พอนึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันจันทร์เขาก็ควรจะข่มตาหลับเสียที

     

    “แต่อู๋อี้ฟานไม่ใช่ผู้หญิง” ประโยคนี้ทำเอาคนฟังชะงักกึก เหมือนว่าคนข้าง ๆ กำลังจงใจยั่วโทสะเขาไม่มีผิด “ผมอยากเรียนรู้ความรักในแบบของคุณกับชายคนนั้น มันทำให้ผมติดใจสงสัย”

     

    “คุณกำลังล่วงละเมิดสิทธิของคนอื่นอยู่นะ” ร่างเล็กถลาขึ้นท้าวแขนแล้วจ้องหน้าอีกฝ่ายในความมืด แล้วก็นึกขึ้นได้ จึงร่ายคำเหน็บแนมประชดประชันอย่างไม่เกรงกลัว “ผมลืมไปว่าคุณคงชินกับการอ่านใจคนมาทั่วโลก แล้วคุณเองก็ไม่ใช่มนุษย์ด้วย”

     

    “ผมอยากมีความรู้สึกเช่นนั้น”

     

    ตาคู่เรียวสั่นไหว นั่นสินะ เขาจะมาเถียงอะไรคน ๆ นี้กัน ที่ผ่านมาก็ทำให้เดาได้มากพอแล้วว่ายมทูตไม่ได้มีความรู้สึกนึกคิดใด ๆ เหมือนมนุษย์เลย อย่างนั้นถ้าแค่อยากรู้เขาก็จะบอกให้ก็ได้

     

    อาจจะด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์หรืออะไรก็ตามแต่ ความขลาดเขินถูกกลืนหายไปภายใต้บางสิ่งที่เข้ามาแทนที่ บยอนแบคฮยอนกำลังประกบริมฝีปากอยู่กับปาร์คชานยอล ความรู้สึกที่ว่านั่นมันแบบไหนกันล่ะ ถ้าแบบที่เขารักอู๋อี้ฟาน อย่างนั้นแล้ว...

     

    เห็นนัยน์ตาของร่างสูงรำไรในความมืด ไม่ต่างอะไรจากเสียศูนย์ เมื่อถูกตอกกลับออกมาด้วยคำพูด “การเอาปากชนกันหมายถึงความรู้สึกดี ๆ อย่างนั้นแล้วเมื่อครู่คุณก็รู้สึกดี ๆ กับผม”

     

    แบคฮยอนอยากจะถามออกไปว่าความรู้สึกดี ๆ ที่ว่านั่นคืออะไรกัน ใช่อย่างที่เขาหมายถึง หรือแค่ตามที่ยมทูตเข้าใจ ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อริมฝีปากก็ถูกประกบปิดเช่นเดียวกับที่เขาทำเมื่อครู่ ในเวลาที่พอ ๆ กันแล้วอีกฝ่ายจึงผละออก

     

    “ผมรู้สึกดีกับคุณ”

     

    จริง ๆ แล้วความเนิ่นนานในความรู้สึกของแบคฮยอนอาจมีระยะเวลาแค่เพียงสามวินาที หนึ่งวินาที หรือเสี้ยวหนึ่งของการหายใจเท่านั้นเอง

     

    “อีกแค่เก้าวันคุณก็จะหายไปใช่ไหม”

     

    แค่เก้าวันเท่านั้นเอง เขาไม่มีอะไรจะเสีย ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้นี่เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันก็แล้วกัน

     

    โน้มตัวเข้าหาเพื่อมอบรสจูบอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้เนิ่นนาน ลุ่มลึก จนร่างสูงได้แต่นอนแข็งทื่อและเบนลิ้นในโพรงปากตอบรับอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ความรู้สึกแปลก ๆ ก่อตัวขึ้นในร่างกายเพศชายของปาร์คชานยอล แรกเริ่มยมทูตหนุ่มยังไม่รู้ ทว่าเขายิ่งรู้สึกวาบหวาม และต้องการบางอย่างมากขึ้นโดยสัญชาตญาณ

     

    ท้ายแล้วร่างแบคฮยอนก็นอนคว่ำหน้าแล้วโก่งตัวขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของทั้งตัวเองและอีกคน ทั้งคู่อยู่ในร่างเปลือยเปล่าและชานยอลก็เข้าใจในที่สุดว่าการกระทำเช่นนี้คืออะไร มองเลยไปถึงบางสิ่งบางอย่างที่ใหญ่อยู่คับหว่างขาตัวเองแล้วก็รู้สึกข้องใจขึ้นมาดื้อ ๆ มนุษย์เพศชายจัดการกับเจ้านี่ยังไงกัน

     

    “นอนคว่ำหน้าทำไม” ถามออกไปอย่างนั้น ได้ยินเพียงเสียงแบคฮยอนตอบกลับมาอู้อี้ว่า มันง่ายกว่า

     

    อะไรที่ง่ายกว่า? ปาร์คชานยอลไม่เข้าใจนัก เขากำลังว้าวุ่นอยู่กับการคิดว่าจะจัดการเจ้าสิ่งตรงหว่างขานี่อย่างไรดี สัญชาตญาณของร่างกายมันไม่ได้บอกเขาละเอียดนัก

     

    “มีอะไรเหรอ” พอได้หันกลับมามองก็ต้องหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ กับสีหน้าใสซื่อของมัจจุราช แบคฮยอนเอนตัวนอนหงายแล้วจึงแหวกขาออกอย่างขลาดเขิน เขาไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายนักหรอก แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ “ตรงนี้... ใส่เข้ามา”

     

    พูดไปก็อายไป แต่ครั้นได้บดเบียดกายเข้าหากันอย่างแนบแน่นปาร์คชานยอลกลับทำหน้าแปร่งปร่า ดวงตาเบิกโพลงเมื่อได้รับรู้ความรู้สึกอย่างที่มนุษย์เพศชายปรารถนา อย่างนั้นแล้วกลับเก้ ๆ กัง ๆ จนแบคฮยอนต้องคอยช่วยขยับตัวอย่างเสียมิได้

     

    ครั้นถึงจุดที่ร่างกายบอกว่าพอได้ทั้งคู่ถึงผละออกจากกันแล้วทิ้งตัวลงนอนแผ่ราบ เป็นชานยอลที่หันเข้ามาตระกองกอดร่างเล็กก่อน คนถูกกอดจึงได้แต่ปล่อยให้มันเลยตามเลย

     

    อยากให้พรุ่งนี้เช้ามาถึงช้าอีกสักหน่อย ไม่ใช่ว่าอยากอยู่อย่างนี้นาน ๆ หรอกนะเพียงแต่ว่าบยอนแบคฮยอนยังคิดไม่ออกว่าควรทำตัวยังไงดี บางทีถ้าพ้นอีกเก้าวันนี้ไปแล้วยังไม่ตาย การเขียนอัตชีวประวัติร่วมรักกับมัจจุราชคงขายดีจนได้รางวัลโนเบลเชียวล่ะ

     

     

     

     

    _________________________

     

     

     

     

    เสียงโทรทัศน์ที่ถูกตั้งไว้อย่างอัตโนมัติปลุกทั้งคู่ขึ้นมาในตอนตีห้าครึ่งของวันรุ่งขึ้น ฟ้ายังไม่สว่างดี แต่ถึงอย่างนั้นแบคฮยอนก็ดึงดันฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นเพราะไม่ต้องการมีประวัติไปทำงานสายตั้งแต่ต้นเดือน แต่เสียงโทรทัศน์ไม่ได้ปลุกแค่เขาคนเดียวนี่สิ ใครอีกคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ กำลังลืมตาโพลงรับเช้าวันใหม่อย่างไร้ความรู้สึกเคอะเขินใด ๆ มันทำให้แบคฮยอนรู้สึกเสียเปรียบแปลก ๆ ที่ตัวเองเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น

     

    “เดี๋ยวผมจะไปอาบน้ำ คุณยังไม่ต้องรีบตื่นก็ได้”

     

    ถึงจะพูดไปอย่างนั้นแต่ปาร์คชานยอลก็ตื่นแล้ว ร่างสูงหยัดตัวขึ้นนั่งแล้วเดินนำออกไปก่อน แบคฮยอนลุกเดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วจึงตามออกไป เขาเห็นชานยอลกำลังมองโทรทัศน์อย่างสนอกสนใจ แต่ไม่มีอารมณ์จับตาดูนัก เลยเดินเข้าห้องน้ำไปดื้อ ๆ  ในขณะที่อีกคนเดินไปนั่งลงยังโซฟาเพื่อดูรายการโทรทัศน์อย่างใจจดใจจ่อ

     

    ถ้าถามว่าปาร์คชานยอลกำลังสนใจอะไรก็ให้มองตามไป ภาพคู่รักกำลังกอดจูบและชวนกันทำอาหารยามเช้าของรายการโทรทัศน์ช่องหนึ่ง ชานยอลกำลังเกิดแรงบันดาลใจ บางทีเขาควรจะพิสูจน์ว่าตัวเองได้รู้อะไรมากขึ้นแล้ว

     

    ทำอาหารเหรอ? เขาเคยเห็นแบคฮยอนทำ หยิบเจ้ากล่องอาหารแช่แข็งสีขาวในตู้เย็นและใส่เข้าไปในไมโครเวฟ กดปุ่มอะไรสักอย่างและรอจนมันส่งเสียงเตือนว่าเสร็จเรียบร้อยดีแค่นั้นเอง

     

     

     

     

     

    ร่างเล็กทำจมูกฟุดฟิดอยู่หน้าห้องน้ำ กลิ่นอะไรบางอย่างดึงความสนใจของเขาให้ไปที่ครัวโดยไว กลิ่นอาหารหอมฉุยเหรอ... ไม่มีทาง มันเป็นกลิ่นไหม้ ๆ ของอะไรบางอย่างต่างหาก!

     

    “ทำอะไร?”

     

    ปาร์คชานยอลยืนอยู่หน้าเตาไมโครเวฟซึ่งส่องแสงสีส้มอยู่ด้านใน แต่สิ่งที่ผิดแปลกไปดูเหมือนจะเป็นประกายไฟเปรี๊ยะ ๆ นั่นมากกว่า “ทำอาหาร แต่มันยังไม่เสร็จดี”

     

    แบคฮยอนอุทานเสียงดังแล้ววิ่งเข้าไปกดหยุดการทำงานของเครื่องไมโครเวฟเสียเดี๋ยวนั้น สภาพข้างในคือกล่องอาหารแช่แข็งร้อนจี๋และส่งกลิ่นเหม็นไหม้จากพลาสติกซีนที่ห่อรอบ ๆ กล่องซึ่งกำลังหลอมละลายไปแล้วบางจุด นี่ถ้าเขาออกมาช้ากว่านี้อีกสักนาที ถ้าไม่ต้องวิ่งหัวซุกหัวซุนหนีออกจากบ้านก็คงต้องถูกไฟครอกตายคาห้องน้ำไปแล้ว

     

    “มอร์นิ่งคิสแบคฮยอน”

     

    ประโยคคำพูดทื่อ ๆ เหมือนท่อนไม้ราวกับไปเลียนแบบมาจากไหนนั่นทำเอาเขาพูดไม่ออก ทั้งที่เมื่อกี้หมอนี่เกือบจะทำไฟไหม้บ้านอยู่รอมร่อ แต่ยังมีหน้าจะมามอร์นิ่งคิสหน้าตายอีกอย่างนั้นเหรอ ตอบบยอนแบคฮยอนทีเถอะว่า นี่-มัน-อะ-ไร-กัน

     

    ถ้าจะถามว่าอะไรบนโลกที่รับมือยากที่สุด ก็ขอตอบเป็นการรับมือกับยมทูตก็แล้วกัน!

     

     

     

     

    _________________________

     

     

     

     

    ถึงตรงนี้อาจจะเป็นเรื่องเชื่อได้ยากเสียหน่อยหากจะบอกว่านั่นไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เขามีเซ็กส์กับยมทูต ถ้านับตั้งแต่ครั้งแรกนี่ก็ครบหนึ่งอาทิตย์พอดีแล้ว และถ้านับจากวันแรกที่ได้เจอกันอีก วันนี้ก็ล่วงเข้าสู่วันที่สิบ ซึ่งแบคฮยอนยังไม่แน่ใจตัวเองนักว่าความรู้สึกในใจของเขามันกำลังโล่งโหวงหรือว่างเปล่ากันแน่

     

    “สวัสดีครับ แบคฮยอนพูดครับ”

     

     

     

     

     

    ตอนนี้เขาอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนในย่านที่ไม่ไกลจากบริษัทมากนัก แน่นอนว่าข้างกายเขาคือปาร์คชานยอลหรือแท้จริงแล้วก็คือมัจจุราชที่คอยคร่าชีวิตของมนุษย์มานักต่อนัก มันอาจจะฟังดูน่ากลัว แต่คงไม่ใช่สำหรับสถานะในตอนนี้น่ะนะ

     

    เปิดประตูห้องไปก็เจอกับอู๋อี้ฟานผู้มีศักดิ์เป็นน้าบุญธรรม อี้ฟานกำลังเปิดประตูสวนออกมา ในนาทีนั้นเองที่ทำเอาทั้งคู่นิ่งงัน ก่อนที่อี้ฟานจะเป็นฝ่ายเปิดบททักทายขึ้นก่อน

     

    “มาเปลี่ยนเวรเฝ้าคุณแม่เหรอ”

     

    “คุณยายอาการเป็นยังไงบ้างครับ?” ถามกลับไปเสียงเรียบ ใช้ความพยายามในการสะกดกลั้นความรู้สึกอย่างเต็มที่ แบคฮยอนไม่เห็นหรอกว่าชานยอลกำลังสลับสายตามองทั้งคู่ แต่มันไม่ได้ว่างเปล่าอย่างที่เคย

     

    “ตอนนี้คุณแม่อาการทรงตัวแล้วล่ะ พยาบาลเพิ่งให้ยาไปไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน” แบคฮยอนพยักหน้ารับรู้แล้วจะเดินสวนเข้าไปภายในห้อง ท้ายสุดแล้วอี้ฟานก็ทนไม่ได้ เป็นฝ่ายรั้งเรียกอีกคนไว้โดยไม่สนใจว่ามีคนนอกอย่างชานยอลยืนอยู่ด้วย “แบคฮยอน”

     

    “....”

     

    “น้าขอโทษ”

     

    แบคฮยอนโน้มตัวลงน้อย ๆ เป็นการขอบคุณที่เต็มไปด้วยความหมายมากมาย ถ้าไม่เจออี้ฟานเขาก็คงไม่รู้ตัวว่าตลอดเวลาหลายวันมานี้เขาเอาชนะความผิดหวังนั้นได้มากน้อยแค่ไหน น้าอี้ฟานของเขากำลังจะแต่งงานและเลือกที่จะจบความสัมพันธ์ที่มีแต่ทางตันนี้เอาไว้ อย่างน้อยจนกว่าจะถึงวันนั้น เขาคงจะทำใจแบกหน้าไปพบเจ้าสาวของน้าได้อย่างบริสุทธิ์ใจ

     

    “คุณยาย เป็นยังไงบ้างครับ”

     

    เดินมาหยุดลงที่ปลายเตียง คิมโฮยอนส่งยิ้มอ่อน ๆ ให้หลานชายและเลยไปถึงคนข้างหลังซึ่งเธอรู้แก่ใจว่าเป็นใคร ได้พูดคุยกันประสายายหลานนิดหน่อยแบคฮยอนก็อาสาลงไปซื้อผลไม้ที่ชั้นสองของโรงพยาบาลมาให้ และนั่นเปิดโอกาสให้คิมโฮยอนได้สนทนากับมัจจุราชเป็นครั้งที่สอง

     

    “ท่านดูหน้าตาผ่องใสนะ” ชานยอลยิ้มรับ และเปิดโอกาสให้หญิงชราพูดต่อ “น่าแปลกใจจริง ๆ ที่ท่านยังอยู่กับหลานชายฉันที่นี่”

     

    รู้แก่ใจว่าเวลาล่วงเลยมาเพียงไหน สีหน้าของยมทูตถึงได้ดูสร้อยเศร้าลงถนัดตา “ข้ารู้ดีว่าข้ามีขีดจำกัดเพียงไหน”

     

    “ทุกครั้งที่เจอท่าน มันทำให้ฉันมักจะคิดหาเหตุผล” โฮยอนเสียงพร่า คิ้วสีเทาอ่อนนั้นตกลงนิดหน่อย “ฉันทรมานมากเหลือเกิน ใกล้ถึงเวลาของฉันหรือยังคะ”

     

    ร่างสูงวางมือลงกับราวเหล็กกั้นเตียง ว่าเสียงเรียบแต่ทว่ากลับอ่อนโยนอย่างประหลาดจนคนได้ฟังรู้สึกสงบ “ความตายไม่ได้ช่วยอะไรเลยคิมโฮยอน มันว่างเปล่า”

     

    นัยยะนั้นคงมีแต่เธอที่จะเข้าใจ มัจจุราชที่มาในรูปลักษณ์ของชายหนุ่มรูปงาม แต่คำพูดนั้นก็ยังแฝงไปด้วยความอาวุโสอย่างที่ผู้อายุนับร้อยนับพันปีจะพูดได้ และก่อนที่แบคฮยอนจะกลับขึ้นมา เธอก็อยากคุยอะไรอีกสักหน่อย

     

    “หลานชายฉัน ท่านยังคิดจะเอาเขาไปหรือเปล่าคะ”

     

    น่าแปลกว่าทั้งที่ชานยอลควรจะมีคำตอบของคำถามนี้ในใจดีอยู่แล้ว แต่เขากลับเงียบอยู่นาน นานเสียจนแบคฮยอนออกจากลิฟท์และกำลังจะกลับมาถึงห้องในไม่ช้า “นั่นเป็นสิ่งที่ข้ากำลังคิดดูใหม่อีกครั้ง”

     

    “คิดดูใหม่?”

     

    มัจจุราชเงียบไปชั่วอึดใจ ในหัวนั้นมีความคิดมากมายที่ตีกันเสียจนชวนให้รู้สึกสับสน ดวงตาสีดำขลับนั้นหลุบลงเล็กน้อยราวกับกำลังชั่งใจ แต่ท้ายสุดแล้วมันก็ดูมีชีวิตขึ้นมาเฉกเช่นชายหนุ่มทั่วไปยามจ้องมายังหญิงชรา

     

    “คิมโฮยอน ในฐานะที่เจ้าใช้ชีวิตมาอย่างยาวนาน”

     

    “....”

     

    “เจ้ารู้จักความรักดีแค่ไหน?”

     

    สิ้นคำหญิงชราก็เบิกตาโพลงอย่างไม่อยากเชื่อ มือเหี่ยวย่นเลื่อนไปวางทับมือของชายหนุ่มบนราวกั้นเตียง ก่อนที่หล่อนจะเลื่อนมันไปวางบนแผงอกข้างซ้ายของร่างที่ยืนอยู่

     

    “โอ... ไม่... ไม่...” แรงเต้นของหัวใจที่อยู่ภายใต้กายหยาบนี้จุดประกายรอยยิ้มที่ก้ำกึ่งระหว่างความคาดหวังและหวาดกลัวอย่างประหลาด “ท่านกำลังมีความรัก”

     

    “....”

     

    “ท่านจะมีความรักได้ยังไง ในเมื่อท่านเป็นอมตะ แต่เขาไม่...”

     

     

     

     

    _________________________

     

     

     

     

     “คุยอะไรกับคุณยายระหว่างที่ผมไปซื้อผลไม้น่ะ”

     

    “เป็นความลับ” นึกไปถึงประโยคที่คิมโฮยอนพูดกับเขา ท่านกำลังมีความรัก รักหรอกเหรอ? ยังไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ว่ามันเหมือนสิ่งที่แบคฮยอนพยายามจะสอนตรงไหน เหตุใดรักนั้นจึงเกิดได้อย่างง่ายดาย

     

     

     

     

    ท่านจะทำแบบนั้นไมได้นะคะ... ได้โปรด...

     

    อย่าสั่งสอนข้า

     

    ขอร้องล่ะค่ะ... อย่าคิดที่จะพาเขาไปเลย

     

    .....

     

    ‘….’

     

    เจ้าห้ามข้าไม่ได้... คิมโฮยอน

     

     

     

     

    “เดี๋ยวก็จะจากกันอยู่แล้ว นับไว้หรือเปล่าว่าคุณมีความลับติดค้างผมกี่เรื่องแล้ว” แบคฮยอนพูดไปอย่างนั้นเอง แต่มันกลับจุดประกายให้คนข้าง ๆ ตัดสินใจถามเขาขึ้นมาอย่างหนึ่ง ทันทีที่แบคฮยอนหันกลับไปมองคนที่หยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ เป็นครั้งแรกที่ดวงตาคู่หม่นนั้นช่างลึกซึ้งเหลือเกิน

     

    “ผมขอถามอะไรคุณสองข้อ”

     

    “ครับ?”

     

    “ความไม่ชอบใจที่ได้ยินเสียงระหว่างคุณกับอู๋อี้ฟานถวิลหากันและกันมันคืออะไร?”

     

    “....”

     

    แบคฮยอนห้ามใจตัวเองไว้ว่าอย่าเพิ่งคิดคำตอบนั้นขึ้นมาเด็ดขาด รีบเร่งฝีเท้าทิ้งห่างออกไปให้ไกล จะให้มัจจุราชรู้ไม่ได้หรอกว่าความรู้สึกที่ว่ามันเรียกว่าหึงหวง เพราะถ้ารู้อย่างนั้น แบคฮยอนก็คงต้องเผยสาเหตุที่ตัวเองกำลังหน้าแดงระเรื่อออกไปเหมือนกัน

     

    มันแค่กำลังเริ่ม... กำลังเริ่มเท่านั้นเอง

     

    ข้อมือถูกคว้าไว้ทั้งที่ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น ใจของเขากำลังถูกอ่านออกจนทะลุปรุโปร่ง แต่ปาร์คชานยอลกลับไม่ได้พูดอะไร นอกจากโน้มตัวลงมาจูบเขาเท่านั้น

     

    พอริมฝีปากผละออกอ้อยอิ่ง เสียงทุ้มนุ่มก็ว่า “ผมยังไม่ได้ถามข้อสอง”

     

    ปลายจมูกรั้นเคลียอยู่ที่ข้างแก้มขาว แบคฮยอนทำตัวไม่ถูกเลยสักนิด เขาไม่รู้ว่าชานยอลไปจำวิธีพวกนี้มาจากไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมร่างสูงถึงได้รั้งเอาตัวเขาเข้าไปกอดเสียจมแบบนี้

     

    “ไปกับผมไหม?”

     

    “ไป?” เสียงของแบคฮยอนอู้อี้ ถึงจะเริ่มชินกับอ้อมกอดยมทูตแล้วก็เถอะ แต่ใช่ว่าจะทำใจเฉยได้เสียเมื่อไหร่ “ไปไหน”

     

    “....”

     

    กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นเสียจนคนตัวเล็กทำท่าจะหายใจไม่ออก ครู่เดียว แค่ครู่เดียวเท่านั้นวงแขนก็ค่อย ๆ คลายออก เขาแค่อยากมองหน้ามนุษย์ที่ชื่อบยอนแบคฮยอนให้ชัด ๆ มองให้เห็นลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้นที่สะท้อนภาพปาร์คชานยอลอย่างชัดเจน

     

     

    ใช่... มันสะท้อนภาพของปาร์คชานยอล

     

    ...มนุษย์ผู้นั้น

     

     

     

     

    ดูเหมือนฉันจะยังไมได้บอกท่าน ว่าความรักที่แท้จริงสำหรับมนุษย์นั้นคือการให้

     

    ‘….’

     

    หากท่านพาเขาไปเพียงเพราะความปรารถนา... ฉันจะไม่ให้อภัยท่านอีกเลย

     

     

     

     

    “เอาสิ ผมจะไปกับคุณทุกที่นั่นแหละ”

     

    ดวงตาเรียวรีนั้นยิ่งเด่นชัดขึ้นด้วยภาพของปาร์คชานยอล ความรักใคร่ ปรารถนา และคาดหวังในความรักกำลังส่งผ่านมือคู่นั้นที่กำลังประคองใบหน้าเขาเอาไว้ ใจของบยอนแบคฮยอนในตอนนี้กำลังถลำลึกไปกับความรู้สึกที่มีให้มัจจุราชอย่างเขา

     

    อีกครั้งที่ใจของบยอนแบคฮยอนส่งผ่านคำตอบทุกอย่างโดยที่ไม่ต้องพึ่งคำพูดใด ๆ อีก

     

    ตอนนี้ผมยอมเสียได้ทุกอย่าง แค่มีคุณก็พอ

     

    ...นั่นแหละสิ่งที่เขาต้องการ

     

     

     

     

    _________________________

     

     

     

     

    ล่วงเข้าวันพุธของสัปดาห์แล้ว รถยนต์แออัดคับถนนจนกระดิกไปไหนไม่ได้ เป็นตอนเช้าที่วุ่นวายเช่นเคย บยอนแบคฮยอนเคาะนิ้วชี้กับพวงมาลัยรถเป็นจังหวะแก้เซ็งกลาย ๆ คงอีกนานแน่กว่าเขาจะไปถึงบริษัท

     

    วันนี้คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เงียบผิดปกติทั้งที่น่าจะโพล่งถามอะไรออกมาได้เรื่อย ๆ ไม่หยุด สุดท้ายก็ทนไม่ได้จนต้องเป็นฝ่ายพูดออกไปก่อนอย่างช่วยไม่ได้ “เย็นนี้ผมจะเข้าซูเปอร์มาร์เก็ต บางทีคุณคงจะอยากได้วิปครีมเพิ่ม”

     

    ปาร์คชานยอลยิ้มรับ แต่ไม่ใช่การตอบรับที่เขารู้สึกพอใจเท่าไหร่สำหรับเรื่องวิปครีม อย่างคำว่าดีเลยหรือว่ายอดเยี่ยมอะไรแบบนี้ก็น่าจะพูดออกมาเหมือนทุกทีบ้าง ยมทูตเป็นอะไรไปอีกล่ะ

     

    “ทำไมถึงเงียบนัก” บางทีเขาอาจจะลืมอะไรไปแต่ยังนึกไม่ออก อะไรบางอย่างที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากความรู้สึก “นี่คุณ จะมาไม้ไหนอีกหืม?”

     

    “.....”

     

    “.....”

     

    “มนุษย์มักจะตัดพ้อว่าเวลาไม่เคยพอเสมอ”

     

    “.....”

     

    “ผมเอง... ก็อยากจะได้เวลามากขึ้นเหมือนกัน”

     

    “.....”

     

    “อยากอยู่กับคุณ... มากขึ้น”

     

    ตาเรียวรีสั่นไหว แบคฮยอนเสพูดติดตลกเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกวูบไหวบางอย่าง แต่ก็ปิดได้ไม่มิดนัก “พูดอะไรอย่างนั้น ผมบอกแล้วไงว่าจะไปกับคุณทุกที่”

     

    แต่ชานยอลก็ยังเพียงแค่ยิ้ม ความใจเสียทำให้แบคฮยอนเริ่มนับวันที่ในใจใหม่เป็นครั้งที่สามหลังจากสองครั้งก่อนพังไม่เป็นท่าเพราะสมาธิถูกทำลายไปโดยสิ้นเชิง ครั้งนี้ก็เช่นกัน ทำไมเขาถึงนับไม่ถูกสักทีนะ แค่สิบสามวัน... สิบสามวันนับจากวันนั้น

     

    “ผมเข้าใจแล้ว”

     

    “พูดอะไรน่ะ... ผมไม่ฟังหรอกนะ”

     

    ร่างเล็กสะดุ้งเพราะเสียงและการสั่นของโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง ไม่แค่โทรศัพท์ที่สั่น แม้แต่มือของแบคฮยอนเองก็สั่นจนเผลอทำมันตกไปบนพื้นรถ โน้มตัวลงไปหยิบ ๆ พร้อม ๆ กับนัยน์ตาที่สั่นเครือจนแทบกลั้นไว้ไม่ไหว

     

    ทว่ายังไม่ทันจะได้ดึงตัวขึ้นนั่งในท่าเดิมอีกครั้ง ลำคอก็ถูกโอบกดไว้ภายใต้ระดับความสูงที่ต่ำกว่ากระจกรถ แรกเริ่มเดิมทีเขาคิดว่าบรรยากาศรอบตัวยมทูตนั้นเย็นเยียบ ตอนนี้ก็เช่นกัน เย็นจนแทบเฉือนใจออกเป็นชิ้น ๆ ทั้งที่ยังชาไม่หาย

     

    มีเพียงจูบที่ออกรสเค็มของน้ำตา ...แต่ว่าไม่ใช่ของเขาเลย

     

     

    “ขอบคุณมาก แบคฮยอน”

     

     

    ถ้าในตอนนั้นบยอนแบคฮยอนได้มีโอกาสรู้ล่วงหน้าเขาจะไม่มีวันเงยหน้าขึ้นมาเลย รถบรรทุกเชื้อเพลิงขนาดใหญ่กำลังแล่นมาในเลนฝั่งตรงข้าม ล้อสองข้างส่ายไปมาจนเหมือนว่าจะควบคุมไม่อยู่ ตาเรียวรีเสมองไปรอบกาย เห็นการจราจรแออัด ผู้คนขวักไขว่ การนับวันที่ในใจกลับสำเร็จขึ้นมาทันที

     

     

    ในอีกสิบสามวันข้างหน้าจะมีอุบัติภัยเกิดขึ้น... ถนนทั้งสายจะลุกเป็นไฟ... รวมถึงบ้านเรือนในละแวกนั้น ครึ่งเมืองจะกลายเป็นทะเลเพลิง... ผลาญชีวิตผู้คนนับร้อย.... วันนั้นเจ้ามีประชุมใหญ่กับหุ้นส่วนในบริษัท... ขับรถไปตามท้องถนนแออัดด้วยใจหดหู่... กระทั่งแสงไฟวาบขึ้นข้างหน้า แสงไฟร้อนระอุที่จะพรากชีวิตเจ้าไปตลอดกาล...

     

     

    วันนี้เป็นวันที่สิบสามของพันธสัญญา

     

     

    ถึงตรงนี้น้ำตาของบยอนแบคฮยอนได้ไหลออกมาเป็นสาย รีบเหลียวกลับไปมองรอบกายแต่ก็เห็นเพียงประตูรถที่ถูกผลักปิดจากด้านนอก ปาร์คชานยอลเดินไปแล้ว... เดินไปราวกับมีจุดหมายเป็นรถบรรทุกที่กำลังเสียหลักข้ามมายังเลนอีกฝั่ง

     

    จนกระทั่งร่างนั้นกระเด็นลับหายไปจากสายตาพร้อม ๆ กับเสียงจากฝูงชนที่ดังอื้ออึง

     

    ไม่มีระเบิดใด ๆ เกิดขึ้น

     

    แบคฮยอนยังคงนั่งนิ่งอยู่ในรถ ตอนนี้เขาควรจะรับรู้อะไรก่อนอย่างนั้นเหรอ... รับรู้ว่ามันไม่มีระเบิดหรือทะเลเพลิงเกิดขึ้นอย่างที่ถูกขู่ไว้ รับรู้ว่ายมทูตคนนั้นได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้โดยการช่วยชีวิตเขาและพลเมืองหลายร้อยคนจากความตาย

     

     

    ...หรือรับรู้ว่าหัวใจของบยอนแบคฮยอนถูกใช้เป็นสิ่งตอบแทนอย่างเลือดเย็น

     

     

     

     

     

    “เขายังไม่ตาย!

     

    “เขายังไม่ตาย! เขายังไม่ตาย! บอกกู้ภัยมาทางนี้!!

     

    เสียงโหวกเหวกดังมาจากอีกฟากถนน เป็นเสียงที่ปลุกแบคฮยอนให้ตื่นและยังดึงเอาความหวังกลับมาให้อย่างเต็มเปี่ยมด้วย ชายหนุ่มรีบเปิดประตูรถออกไป รีบเสียจนไม่รู้สึกขลาดอายว่าตัวเองกำลังอยู่ในสภาพผู้ชายน้ำตานองหน้า ผ่านรถบรรทุกเชื้อเพลิงซึ่งชนเสยขึ้นบนเกาะกลางถนนแต่ว่าไม่มีความเสียหายร้ายแรง เหมือนว่าหัวใจจะกลับมาเต้นแรงได้อีกครั้ง เมื่อผู้ชายที่ถูกรายล้อมด้วยเหล่าปุถุชนก็คือคน ๆ เดียวกับคนที่นั่งรถมากับเขาในวันนี้

     

    “ให้ตายเถอะ...”

     

    ร่างนั้นดูจะไม่เป็นอะไรเลย แหงล่ะ ในเมื่อเป็นยมทูตแล้วจะเป็นอะไรไปได้ยังไง ดูแล้วก็มีแค่แผลฟกช้ำเล็กน้อยเท่านั้นเอง เดินเข้าไปใกล้อีกนิด แล้วเอ่ยเรียกให้ชัดคำ

     

    ...มันไม่มีอะไรสักหน่อย

     

     

    “ชานยอล...”

     

     

    ใบหน้านั้นค่อย ๆ เงยขึ้นมองเขา เสียงทุ้มนุ่มนั้นเอื้อนเอ่ยตอบรับออกมา “ครับ?”

     

     

    ได้ยินอย่างนั้นแบคฮยอนก็ปล่อยให้น้ำตานองหน้าอีกครั้งโดยลืมความขลาดอายไปจนสิ้น ชายหนุ่มร่างสูงที่อยู่ตรงหน้าเขาคือปาร์คชานยอลไม่ผิดแน่ ใช่... ปาร์คชานยอลตัวจริงที่จำเขาเป็นเพียงแค่ลูกค้าประจำร้านกาแฟร้านเดียวกัน ปาร์คชานยอลที่ทำเพียงแค่ส่งสายตางุนงงมาทางเขาราวกับทำตัวไม่ถูก

     

    ถึงจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ร่างสูงก็พยายามหยัดตัวเองให้ลุกขึ้นแล้วเดินมาทางเขาอย่างทุลักทุเล

     

    “คุณ... คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”

     

     

     

     

    ผมได้เรียนรู้ว่ามีสามสิ่งที่ทำให้มนุษย์ผู้โง่เขลาดูน่าสมเพชไปกว่าเดิม คุณรู้ไหมว่าคืออะไรแบคฮยอน

     

     

    ข้อแรกคือความตาย

     

    ข้อสองคือความโลภ

     

     

     

     

    และข้อสาม...

     

     

     

     

    _________________________

     

     

     

     

    แสงอาทิตย์อัสดงใกล้จะลาลับขอบฟ้า ราตรีกาลกำลังเข้ามาครอบครองอย่างสงบ ร่างของชายชราบนเตียงผู้ป่วยนั้นดูริบหรี่เต็มที แต่ก็ยังไม่ปิดตา ราวกับว่ากำลังคอยอะไรสักอย่างที่เฝ้ารอมาเนิ่นนาน

     

    จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าหนึ่งก้าวเข้ามาใกล้ และหยุดลงยังข้างเตียงเพื่อจะเป็นผู้เยี่ยมไข้คนสุดท้าย

     

    “รู้ไหมว่าผมรอคุณนานแค่ไหน”

     

    ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดสีดำสนิทหัวเราะเบา ๆ ราวกับจะเป็นการขอโทษอยู่ในที เขายังคงมีใบหน้าอ่อนเยาว์เฉกเช่นร่างจำแลงที่เคยร่วมรัก รอยยิ้มอ่อนโยนขลับกล่อมให้บยอนแบคฮยอนหลุบดวงตาอันอ่อนล้าให้ปิดลง

     

    “ผมมารับคุณแล้ว แบคฮยอน”

     

    ทันทีที่ปาร์คชานยอลผายมือออกมา มืออีกข้างก็วางลงตอบรับและพากันกระชับให้แน่นยิ่งขึ้น มันไม่ใช่มือที่เหี่ยวย่นและปูดโปนดังเช่นกายหยาบเมื่อครู่ แบคฮยอนค่อย ๆ หยัดตัวลุกขึ้น... และออกจากร่างซึ่งเป็นของเขามาตลอดเจ็ดสิบกว่าปี

     

    อาทิตย์คล้อยลงต่ำ สายัณห์ส่องแสงสีส้มนวลตัดกับปีกสีดำซึ่งสยายออกกว้าง แบคฮยอนรู้ดีว่าการรอของเขาได้สิ้นสุดลงแล้ว ริมฝีปากบางแย้มยิ้มให้ชายหนุ่มซึ่งยืนอยู่ตรงหน้า แล้วปีกนั้นก็มลายหายเป็นควันสีดำเพื่อพัดพาเขาและอีกฝ่ายไปสู่บานประตูอันเป็นนิจนิรันดร์

     

     

    ถึงเวลาที่จะสานต่อการเริ่มต้นนั้นสักที

     

     

     

     

    _________________________

     

    จบแยะ ._ .

    ไม่รู้จะชอบกันไหม อะไรยังไง

    อย่าลืมคอมเมนท์เป็นกำลังใจหรือติดแท็ก  #oharhafic  ให้ไปส่องหน่อยน๊า <3

     

     

     






     

    M
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×