ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (SF/OS) #OHARHAFIC | CHANBAEK SEKAI

    ลำดับตอนที่ #1 : △ chanbaek | Don't touch me anyway

    • อัปเดตล่าสุด 9 มี.ค. 58









    DON’T TOUCH ME ANYWAY

     

    Type : Drama Romance [OS]

    Author : oharha

    Note : รีไรท์มาจากฟิคเอสเจค่ะ ทราบ -.- เขียนตั้งแต่สมัยภาษายังกาก ๆ

    น่าจะสักสองสามปีก่อนได้ อายนะ แต่ก็ลง 5555555555555555555555555

     

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------

     







     

    กองเอกสารระเกะระกะบนโต๊ะไม้สักถูกรวบเข้ามาในมืออย่างลวก ๆ ด้วยความรีบร้อน แฟ้มเอกสารที่ใช้แขนหนีบไว้ระหว่างลำตัวนั้นยิ่งทำให้ชายหนุ่มดูวุ่นวายขึ้นเป็นกอง แผนผังงานที่เตรียมนำเสนอในเช้าวันนี้ถูกตรวจทานอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่ามันจะสมบูรณ์แบบและสามารถสร้างความพึงพอใจแก่มาสเตอร์ฟอร์ค จนยกงานขนาดยักษ์ให้แก่บริษัทออแกไนซ์ขนาดกลางอย่างบริษัทของเขาในที่สุด

     

    “จะไปแล้วเหรอคะ พยายามเข้านะชานยอล”

     

    เสียงนุ่มของหญิงสาวร่างสูงโปร่งในชุดพีชสีขาวดังขึ้นจากด้านหลัง ชายหนุ่มค่อยๆหันหลังไปมองก่อนจะแย้มรอยยิ้มกว้างออกมาอย่างอิ่มใจ เนคไทบนคอถูกจัดให้ใหม่จนเรียบร้อยหลังจากที่มันเบี้ยวไปหลายครั้งในการเตรียมงานเมื่อครู่

     

    “ผมกำลังจะไปหาเงินให้ลูกเราในอนาคตแล้ว บางทีผมควรจะได้กำลังใจสักหน่อยนะจริงไหม”

     

    ปาร์คโฮจองหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะตีเข้าที่ไหล่ของสามีไม่จริงจังนัก “คุณนี่ขี้เล่นจริง ๆ จะสายแล้วนะคะ เดี๋ยวก็ชวดงานหรอก”

     

    คนถูกตียังคงยืนยิ้มหน้าเป็นอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน  จนภรรยามือใหม่ที่เพิ่งแต่งงานได้เพียงสามเดือนต้องโน้มใบหน้าสามีลงมาหอมแก้มอย่างเสียมิได้ เสียงหัวเราะเบา ๆ สอดประสานกันในเช้าวันจันทร์ท่ามกลางความเงียบสงบของบ้านเดี่ยวใจกลางเมือง

     

    ปาร์คชานยอลเชื่อมาตลอด ว่าเขาเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก

     







     

     

    ===================================

     







     

     

     “พี่ชานยอลครับ ทางนี้ ๆ”

     

    ผู้ชายผิวสีแทนในชุดสูทสีอ่อนลุกขึ้นกวักมือเรียกนายผล็อย ๆ เมื่อเห็นร่างสูงโปร่งคุ้นตาเดินเข้ามาภายในบริษัทที่นัดหมายกันไว้ ปาร์คชานยอลยกมือขึ้นโบกตอบก่อนจะเดินตรงเข้ามาพร้อมสัมภาระงานพะรุงพะรัง

     

    “กี่โมงแล้วจงอิน”

     

    คนเป็นเจ้านายเอ่ยถามลูกน้องคู่ใจเสียงลนในขณะที่แทรกตัวเข้าไปยืนเบียดกับผู้คนในลิฟท์ คิมจงอินรีบก้าวขาตามเข้ามาก่อนจะกระซิบตอบเสียงแผ่ว “มีเวลาเตรียมตัวอีกเกือบ ๆ สิบนาทีครับพี่”

     

    “ขอโทษที...”

     

    คนสูงกว่ายิ้มแห้ง ๆ แล้วเงยหน้ามองตัวเลขบนลิฟท์ เขาบังคับตัวเองให้พยายามใจเย็นลงหลังจากที่เห็นว่าใกล้จะถึงชั้นที่ตั้งของบริษัทที่เขาต้องนำเสนองานในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้

     

    มาสเตอร์ฟอร์คเป็นบริษัทรถยนต์ขนาดใหญ่ที่ส่งออกทั้งในและนอกประเทศ ทั้งยังเป็นต้นคิดการผลิตรถยนต์รูปแบบใหม่ ๆ ที่มีรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยวและตอบสนองการใช้งานต่อผู้คนได้หลากหลาย รวมถึงรุ่นที่กำลังจะเปิดตัวในเวลาอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า บริษัทน้อยใหญ่รวมถึงผู้บริโภคและแวดวงยนตกรรมต่างพากันให้ความสนใจและรอชมงานเปิดตัวอย่างสนอกสนใจ จนทางมาสเตอร์ฟอร์คต้องเร่งคัดบริษัทออแกไนซ์ระดับคุณภาพที่ต่างนำแผนงานมาเสนอ เพื่อให้งานออกมาแปลกใหม่ อลังการ และสร้างความประทับใจแก่ผู้พบเห็นได้มากที่สุด

     

     

    “โอ้ คุณชานยอล ผมดีใจจริง ๆ ที่คุณสนใจมาร่วมงานนี้ตามคำเชิญของผม” ร่างท้วมของชายหนุ่มวัยกลางคนตรงปรี่เข้ามาจับมือเมื่อเห็นผู้ชายที่เขาหยิบยื่นความช่วยเหลือให้เมื่อสองเดือนก่อน

     

    “อา... ผมต้องขอบคุณท่านจริง ๆ นะครับ ลำพังออแกไนซ์เล็ก ๆ อย่างเราคงมาได้ไม่ถึงขนาดนี้หากไม่ได้รับความอนุเคราะห์จากท่าน” ร่างสูงโค้งเล็กน้อยอย่างถ่อมตัว เขาเคยมีโอกาสได้ทำงานให้ประธานชินเมื่อหลายเดือนก่อน อีกทั้งผลงานยังเป็นที่พึงพอใจแก่บริษัทพอสมควร หลังจากนั้นเพียงไม่กี่เดือนประธานชินก็มาหาเขาถึงที่ทั้งยังแนะนำงานใหญ่ที่มาสเตอร์ฟอร์คกำลังจัดหาบริษัทออแกไนซ์มารับผิดชอบ และส่งเสริมให้บริษัทออร์แกไนซ์ดาวรุ่งอย่างเขาส่งแผนงานเข้าเสนอโดยมีผลตอบแทนเป็นเงินก้อนใหญ่และความเติบโตของบริษัท เป็นความหวังดีอย่างบริสุทธิ์ใจที่หาได้ยากเสียจนปาร์คชานยอลต้องใช้หัวคิดอย่างหนักเพื่อพัฒนาภาพลักษณ์ของบริษัทไปในทางที่น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น

     

    “ผมเองก็ได้พูดคุยกับคุณเจย์คิมเขาไว้บ้าง ว่างานที่คุณทำให้ชินกรุ๊ปน่ะดีมากทีเดียว” ประธานชินหัวเราะอย่างพึงพอใจพลางตบบ่าคนอ่อนวัยกว่าเบา ๆ ไปตามประสา

     

    “ขอบคุณมากนะครับท่าน ผมจะไม่ลืมความกรุณาของชินกรุ๊ปเลย”

     







     

     

    ===================================

     









     

    เป็นไปดังคาด เมื่อผลการนำเสนองานของชานยอลออกมาเป็นที่พึงพอใจดังที่ชินกรุ๊ปได้การันตีไว้ มาสเตอร์ฟอร์คเซ็นเช็คเงินก้อนใหญ่ท่ามกลางแสงแฟลชจากนักข่าวในแวดวงธุรกิจ และยังนับเป็นการเปิดตัวรอดูความสำเร็จของปาร์คชานยอลและบริษัทก็ไม่ปาน

     

    ชานยอลและจงอินถูกพาเดินเข้ามายังโกดังทางด้านในอันเป็นสถานที่เก็บรถยนต์รุ่นที่ยังไม่ถูกส่งออกไปเปิดตัวยังโชว์รูม รวมถึงรถยนต์รุ่นใหม่ที่ถูกออกแบบมาไม่นานของมาสเตอร์ฟอร์คที่ปาร์คออแกไนซ์จะต้องศึกษาและจัดงานเปิดตัวออกมาให้ยิ่งใหญ่ที่สุด




     

     

    “เริ่มจากแอโรพาร์ตรอบคันทำด้วยคาร์บอนไฟเบอร์และบังโคลนหลังสไตล์เรซซิ่งที่มาพร้อมดิฟฟิวเซอร์ ครอบไฟหน้าทำด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ โดยส่วนล่างของกันชนหน้าจะพบไฟวิ่ง LED และไฟตัดหมอกที่ครอบด้วยวัสดุโครเมี่ยม ส่วนล้ออัลลอยด์จะมีตั้งแต่ขนาด 18 ไปจนถึง 20 นิ้ว ในด้านการปรับแต่งสมรรถนะ ได้ทำการอัพเกรดเครื่องยนต์ดีเซล TDCi 2.0 ลิตร ทำให้ได้กำลังสูงสุด 195 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 395 นิวตันเมตร จากเดิมซึ่งมี 163 แรงม้า และ 340 นิวตันเมตรตามลำดับ ส่งผลให้มีอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายในเวลา 8.4 วินาที เร็วกว่าเดิม 0.2 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดเพิ่มขึ้นอีก 2 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็น 220 กิโลเมตรต่อชั่วโมง.....”

     

    ทุกสายตาต่างพากันจับจ้องผู้ชายในชุดสูทสีเข้มที่ยืนพูดเจื้อยแจ้วอยู่ข้างรถยนต์สีเทาเงินรุ่นใหม่ซึ่งยังไม่มีผู้ใดเคยได้พบเห็น เขาเป็นผู้ชายรูปร่างเล็ก มีบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์ และผมซอยสั้นสีน้ำตาลที่ขับให้ดวงหน้าดูเด็กกว่าวัย ชานยอลลอบเดาในใจว่าอายุอานามคงจะไม่เกินยี่สิบห้า

     

    ชายหนุ่มหยุดลงยังหน้าทีมงานจากปาร์คออแกไนซ์ด้วยรอยยิ้มบางเบา ดวงตาเรียวรีละจากรถยนต์ของบริษัทเพื่อจับจ้องฝั่งตรงข้าม “ยินดีที่ได้รู้จัก ผมชื่อบยอนแบคฮยอน มาร์เก็ตติ้งโคออร์ดิเนเตอร์ของมาสเตอร์ฟอร์ค หวังว่าข้อมูลที่ผมพูดไปจะเพียงพอต่อการทำงานของคุณต่อจากนี้นะครับ”

     

    “ยินดีที่ได้รู้จัก ผมปาร์คชานยอลจากปาร์คออแกไนซ์ จากนี้ไปก็ขอรบกวนด้วยนะครับ”

     

    ปาร์คชานยอลไม่รู้ตัวสักนิด... ว่าเขาเอาแต่จ้องมองบยอนแบคฮยอนอยู่อย่างนั้นเสียจนต้องพึ่งรายละเอียดทางแผ่นกระดาษมากกว่าการจดจำข้อมูลที่ยังคงถูกร่ายออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหมดในห้านาทีนี้

     







     

     

    ===================================

     







     

     

    งานของปาร์คออแกไนซ์ดำเนินไปได้ด้วยดีโดยมี มาร์เก็ตติ้งโคออร์ดิเนเตอร์จากบริษัทผู้ว่าจ้างอย่างมาสเตอร์ฟอร์คคอยให้ความช่วยเหลือและควบคุมดูแลอยู่ห่างๆ ชานยอลเจอหน้าแบคฮยอนบ่อยพอ ๆ กับที่เจอกับจงอิน เจ็ดสิบเปอร์เซนต์เป็นเรื่องงาน ส่วนอีกสามสิบเปอร์เซนต์คือเรื่องสัพเพเหระที่คนตัวเล็กไม่เคยสนใจจะตอบเลยสักครั้ง

     

    “รถยนต์รุ่นนี้เน้นรูปลักษณ์ที่เล็กกะทัดรัดแต่กลับดูแข็งแกร่งปราดเปรียว โทนสีที่เราเน้นขายจะเป็นสีขาวและดำแบบคลาสสิคอย่างที่คุณเห็น ทำให้รูปทรงของตัวรถดูสมูทและน่าค้นหาขึ้น...”

     

    “จะว่าไป... รถคันนี้ก็เหมือนคุณดีนะครับ”

     

    “คุณปาร์คชานยอล เรากำลังคุยเรื่องงานกันอยู่นะ” ร่างเล็กทวนสถานะระหว่างเขากับคนตรงหน้าเสียงเข้ม แผ่นรูปปริ้นท์เลเซอร์ในมือถูกยกขึ้นพร้อมข้อมูลประกอบที่แบคฮยอนมักจะย้ำทุกครั้งเมื่อต้องมานั่งตกลงงานกัน ผ่านมาเกือบสัปดาห์แล้ว สถานที่และวันเวลาของงานเปิดตัวถูกตกลงไว้เรียบร้อย ภาพร่างสถานที่จัดงานถูกม้วนไปมาอยู่ในมือชานยอลจนกลัวว่าจะยับยู่ในไม่ช้า

     

    “มีเสน่ห์ น่าค้นหา เข้มแข็งแต่ดูสมูท เครื่องยนต์แต่งใหม่ที่มีความเร็วและแรงซ่อนอยู่ในตัว... ผมจำได้แม่นแล้ว” ร่างสูงพูดกลั้วหัวเราะเสียงใส “ผมว่ารถคันนี้ ถ้าเอาไปขับเล่นตอนกลางคืนคงจะสวยไม่หยอก”

     

    “นั่นไม่ใช่ประเด็น” แบคฮยอนถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้ แน่นอนว่าเขาต้องการความมั่นคงและก้าวหน้าทางหน้าที่การงาน งานนี้ไม่ใช่แค่ของปาร์คออแกไนซ์ แต่ยังรวมถึงโคออร์ดิเนเตอร์ฝ่ายการตลาดอย่างเขาที่จะต้องร่วมเนรมิตงานออกมาให้ถูกใจเจ้านายมากที่สุด “คุณปาร์คชานยอล ผมขอร้องล่ะ คุณช่วยจริงจังกับงานนี้หน่อยได้ไหม”

     

    คนฟังอมยิ้ม “งานใหญ่ขนาดนี้ผมจริงจังอยู่แล้วล่ะคุณ”

     

    “ก็ดี อีกสองเดือนจะถึงวันงาน ผมอยากให้งานเป็นรูปเป็นร่างมากที่สุดภายในสิ้นเดือนนี้”

     









     

    ===================================

     









     

    “บันไซ!!!!!!!!

     

    แก้วน้ำสีอำพันเกือบสิบแก้วถูกยื่นเข้าชนกันเหนือกลางโต๊ะพร้อมเสียงกู่ร้องที่ดังขึ้นพร้อมกัน เว้นเสียแต่บางคนที่ยังคงทำหน้านิ่งจนเกือบเรียกได้ว่าไร้อารมณ์ ถ้าไม่สนใจก็คงสมใจคนที่เต็มใจเนรเทศตัวเองไปนั่งหลบมุม แต่กับคนที่ได้แต่จ้องมองแล้วมันกลับดูขัดหูขัดตาอย่างช่วยไม่ได้

     

    “เฮ้คุณ มาฉลองกันทั้งทีอย่าทำหน้าเบื่อโลกแบบนั้นสิครับ คนอื่นเขาจะพลอยหมดสนุกเอา” ร่างสูงพูดกลั้วหัวเราะพลางหยิบขนมขบเคี้ยวบนโต๊ะเข้าปาก งานเลี้ยงเล็ก ๆ ที่เหล่าทีมงานพากันจัดขึ้นเพื่อทำความรู้จักและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นก่อนจะเริ่มงานอย่างจริงจัง ซึ่งทุกอย่างก็ดูจะไปได้สวยตามที่ชานยอลคาดไว้

     

    “หน้าผมมันไปเร้าอารมณ์สนุกใครได้เหรอครับ” บยอนแบคฮยอนตอกกลับเสียงเรียบก่อนจะเขยิบตัวหนีอีกฝ่าย คนอื่น ๆ เริ่มพากันร้องคาราโอเกะเสียงแสบแก้วหู มันอาจจะไม่ได้ทำให้เขารำคาญ แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกสนุกตามเหมือนกัน

     

    “อย่าพูดจาตัดเยื่อใยแบบนั้นสิครับ ใครๆเขาก็สนุกกับงานนี้กันทั้งนั้นเห็นไหม”

     

    แบคฮยอนปรายตามองคนที่ทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ เขา ยกแอลกอฮอล์ในแก้วขึ้นดื่มจนหมดแล้วชงใหม่ ทำเอาชานยอลที่มองตามถึงกับทำตาโตแล้วรีบจับมือร่างเล็กไว้อย่างลืมตัว

     

    “ชงเข้มขนาดนี้ คุณกะเอาเมาเลยหรือไงเนี่ย?”

     

    แวบหนึ่งที่นัยน์ตาสีนิลสนิทนั้นสั่นไหวก่อนจะหลุบลงไปอีกทาง มือเล็กดึงออกจากการเกาะกุมก่อนจะยกของเหลวสีอำพันกระดกลงคออีกครั้งแล้วชงใหม่ซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้นโดยที่ชานยอลทำได้แค่มองเงียบ ๆ อันที่จริงเขาก็แค่เริ่มต้นบทสนทนาต่อจากนี้ไม่ถูกก็แค่นั้น

     

    แบคฮยอนกำลังเศร้ากับอะไรบางอย่าง เขาคิดอย่างนั้น...

     

    “ปาร์คชานยอล...”

     

    “ครับ?”

     

    “คุณน่ะ... เคยเจ็บเพราะความรักหรือเปล่า?”
     

    “.................”

     

    ครู่ใหญ่ๆที่คนถูกถามเงียบมองอีกคนนิ่งงันในขณะที่แบคฮยอนเอาแต่เทเหล้าเพียว ๆ แล้วกระดกเข้าปากไปกว่าห้าหกแก้ว กระทั่งแก้วที่เจ็ด มือเล็กก็ถูกกุมไว้อีกครั้งจากมือคู่เดิม และครั้งนี้ชานยอลไม่ได้ปล่อยออกง่าย ๆ

     

    “คุณดื่มเยอะเกินไปแล้ว....”

     

    แก้วเหล้าถูกจ่อไว้ตรงหน้าทั้งที่ยังไม่สิ้นเสียงดี บยอนแบคฮยอนกำลังยิ้มให้เขา... แต่เชื่อเถอะว่ามันดูประชดประชันเสียจนคนมองรู้สึกอึดอัดตามอย่างช่วยไม่ได้

     

    “ถ้าผมบอกว่าอกหัก คุณจะปล่อยให้ผมดื่มเงียบ ๆ ไหม?”

     

    “.......”

     

    “ใช่ไหมล่ะ... ทีนี้ผมจะดื่มได้หรือยัง?”

     

    “.......”

     

    ปาร์คชานยอลได้แต่ทำสีหน้าปั้นยาก เขาปล่อยให้เสียงร้องคาราโอเกะฟังไม่ได้ศัพท์ลอยเข้ามาในโสตประสาทเผื่อว่ามันจะช่วยให้หลุดหัวเราะได้บ้าง หากสุดท้ายแล้วความตึงเครียดของบยอนแบคฮยอนก็มีอิทธิพลมากกว่า

     

    “งั้นผมจะดื่มเป็นเพื่อนคุณครับ”

     

    ค่อนคืนที่แอลกอฮอล์แก้วแล้วแก้วเล่าถูกยกขึ้นกระดกลงคอ ถึงจะรู้ตัวว่าเมาแต่ก็ไม่หยุดดื่ม มันยิ่งหนักขึ้น ถี่ขึ้น มากเสียจนบยอนแบคฮยอนที่แทบไม่รู้ตัวเอาแต่พึมพำเพลงอกหักตามเสียงคาราโอเกะบ้า ๆ บอ ๆ นั้นแล้วคอพับลงกับไหล่ของเขา

     

     









     

    ===================================

     







     

     

    ร่างเล็กถูกวางลงในรถทั้งที่อีกคนก็แทบจะซวนเซล้มลงรอมร่อ ชานยอลเกาะตัวรถอ้อมมายังฝั่งคนขับก่อนจะเปิดประตูขึ้นนั่ง เพื่อนร่วมงานหลายคนทยอยกลับกันไปบ้างแล้ว โดยคนที่ยังพอไหวก็จะเป็นฝ่ายขับรถไปส่งคนอื่น ๆ ตามสมควร เช่นเดียวกับปาร์คชานยอลที่ยังพอประคองสติไว้ได้ จึงอาสาพาอีกคนไปส่งที่คอนโดมิเนียมซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริษัทนัก

     

    RRrrrrrrr

     

    ชานยอลสะบัดศีรษะไล่ความมึนงงออกไปชั่วขณะก่อนจะโน้มตัวลงหยิบโทรศัพท์มือถือที่ทำตกอยู่ปลายเท้า ชื่อบนดิสเพลย์เรียกรอยยิ้มจากเขาได้ไม่ยากนัก

     

    ( ชานยอล ยังไม่กลับอีกเหรอคะ? )

     

    “อ่า... ขอโทษนะโฮจอง ผมออกมาแล้วล่ะ แต่ต้องพาเพื่อนร่วมงานไปส่งก่อนน่ะ คุณเข้านอนไปก่อนได้เลยนะครับ”

     

    ( โอเคค่ะ งั้นกลับดี ๆ นะ ฉันรักคุณ )

     

    “ผมก็รักคุณครับที่รัก”

     

    เพียงประโยคสั้นๆที่ลอยเข้าหูของคนเมา แต่มันกลับวนเวียนอยู่ในห้วงคิดแม้ว่าจะไม่ได้สติก็ตามที...




     

     

    รถยนต์สีขาวจอดลงยังหน้าคอนโดมิเนียมหรูที่เห็นจนคุ้นตา ร่างเล็กถูกอีกคนค่อย ๆ ประคองลงมาอย่างทุลักทุเลด้วยสภาพที่ดีไปกว่ากันไม่มากนัก คีย์การ์ดในกระเป๋าถูกรื้อออกมาอย่างถือวิสาสะเพื่อตรวจดูเลขห้อง ชานยอลแทบจะล้มกองลงไปกับพื้นหลายครั้งเมื่อคนในอ้อมแขนเกิดดื้อแพ่งขึ้นมา แต่ในที่สุดห้องของบยอนแบคฮยอนก็อยู่ตรงหน้าเขาจนได้

     

    กุญแจในมือถูกไขเข้าไปเช้าๆ มือแกร่งควานหาสวิทซ์ไฟที่อยู่ใกล้ประตูที่สุดก่อนจะกดเปิดอย่างไม่รีรอ หากแต่มันเป็นเพียงไฟรองดวงเล็กที่เยื้องห่างจากเตียงออกไปบริเวณหน้าห้องน้ำ แต่ก็มากพอที่จะทำให้พอเห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

     

    แบคฮยอนถูกวางลงอีกครั้งบนเตียงนอนแข็ง ๆ ชานยอลมองสำรวจห้องอย่างผ่านๆ ทั้งห้องถูกจัดตกแต่งเป็นสไตล์โมเดิร์นโทนสีขาวดำ ทั้งเป็นระเบียบและมีข้าวของไม่มากนัก ผิดจากห้องของผู้ชายที่อยู่ตัวคนเดียวทั่วไปเลยแฮะ

     

    อ่างล้างจานและครัวขนาดย่อมอยู่ใกล้กับห้องน้ำ ชานยอลจัดการหากะละมังใบย่อมที่พอมีอยู่และผ้าขนหนูขาวสะอาดผืนเล็กจากในตู้เสื้อผ้า เขาเปิดเครื่องทำน้ำอุ่นในห้องน้ำเพื่อรองน้ำใส่กะละมัง ก่อนที่มันจะถูกวางยังหัวเตียง

     

    เสื้อเชิ้ตสีเข้มของแบคฮยอนค่อย ๆ ถูกปลดออกอย่างช้า ๆ ร่างโปร่งไล้ผ้าหมาดน้ำไปตามร่างกายอีกคนอย่างเบามือ ท่ามกลางเสียงครางท้วงที่อื้ออึงอยู่แค่เพียงในลำคอ วูบหนึ่งที่ความคิดแปลก ๆ แวบขึ้นมาในสมอง และมันส่งต่อไปยังการกระทำโดยที่ร่างสูงไม่ทันได้ยั้งคิด

     

    ทิศทางการเช็ดตัวที่มือของเขาพาไป มันกำลังลูบวนบนเรือนร่าง ก่อนจะไล้ลงต่ำเรื่อย ๆ จนรู้สึกตัวอีกที มือของปาร์คชานยอลก็กำลังหยุดอยู่ตรงขอบกางเกงอีกฝ่ายอย่างเสียมารยาท

     

    มันเรียกว่าบ้าหรือเปล่า.. หากว่าเขากำลังคิดจะทำอะไรแปลก ๆ กับผู้ชายด้วยกัน

     

    “ชานยอล...”

     

    ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือเสียงของแบคฮยอนที่ดึงปาร์คชานยอลให้ขึ้นไปอยู่บนเตียงแบบนั้น เขามีอะไรกับผู้หญิงมามากหน้าหลายตา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาตัดสินใจจูบผู้ชาย...

     

    และชานยอลรู้ตัวดีว่ามันจะมากกว่านั้น... แต่ทั้งเขาและแบคฮยอนไม่มีใครหยุดมัน

     







     

     

    ===================================

     







     

     

    ผ้าม่านกักเก็บแสงไว้ไม่ได้ทั้งหมดเมื่อเข้าสู่ยามเช้า แดดอ่อน ๆ ลอดผ่านเข้าสู่ม่านตาของร่างเปลือยเปล่าที่นอนขดอยู่ใต้ผ้าห่มร่วมเตียงเดียวกัน เปลือกตาบางของชานยอลค่อย ๆ ลืมขึ้น และหยุดชะงักลงเมื่อสอดประสานกับสายตาของคนที่ตื่นมาก่อนหน้า

     

    ร่างเปลือยเปล่าของบยอนแบคฮยอนโผล่พ้นผ้าห่มออกมาเสียครึ่งตัว และกำลังจ้องมองเขาอยู่อย่างนั้น

     

    “.......”

     

    “.......”

     

    ไม่มีคำพูดใด ๆ เล็ดลอดออกมาจากเรียวปากของทั้งคู่ นัยน์ตาของแบคฮยอนกำลังบอกเขาถึงความตื่นตระหนก ในขณะที่ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนฉายย้อนมาราวม้วนฟิล์ม พวกเขามีอะไรกัน นั่นคือสิ่งเดียวที่เกิดขึ้นหากแต่กลับตามมาด้วยอีกมากมายหลายสิ่งซึ่งตีกันอยู่ในหัว

     

    แต่ปาร์คชานยอลไม่ใช่เกย์ เป็นผู้ชายแท้ ๆ ที่เพิ่งจะแต่งงานและมีอะไรกับผู้ชายด้วยกัน!

     

    “ผม... ผมขอโทษ” เขาไม่รู้จะพูดอะไรออกไปเมื่อทุกอย่างมันจุกอยู่ในลำคอ ชานยอลอาจจะกำลังโทษฤทธิ์แอลกอฮอล์อยู่ในใจ และแบคฮยอนก็คิดอย่างนั้น

     

    “ช่างมันเถอะ... ผู้ชายน่ะมันไม่ท้องอยู่แล้ว”

     

    บั้นท้ายกลมกลึงปรากฎอยู่ตรงหน้าเขาเมื่อร่างเล็กดึงผ้าห่มออกแล้วลุกออกจากเตียงไปยังเสาที่แขวนตากผ้าขนหนูไว้ อากัปกิริยาเฉยเมยและการที่ไม่ได้โวยวายอะไรออกมาทำให้ชานยอลสันนิษฐานรสนิยมของอีกฝ่ายได้ไม่ยาก

     

    “คุณเป็น...”

     

    “เกย์”

     

    แบคฮยอนหันมาสบตานิ่งหลังจากพันผ้าขนหนูปิดท่อนล่างเรียบร้อยดีแล้ว ไม่มีอะไรที่เขาจะต้องปิดบังกับคนที่เพิ่งมีเพศสัมพันธ์กันไป แม้ว่าจะเป็นตอนที่แทบไม่รู้สึกตัวก็ตาม

     

    “ตกใจเหรอ...?” ชายหนุ่มแค่นเสียงพลางเหยียดยิ้มบาง ความเงียบโรยตัวลงมาตัดกับแสงสว่างของแดดที่สอดผ่านเข้ามาในห้อง “ผมรู้ว่าคุณไม่ได้เป็นเหมือนผม...”

     

    “...............”

     

    “รู้แล้วยังไง... จะรังเกียจ จะถอยห่าง หรือจะขอเปลี่ยนตัวโคออร์ดิเนเตอร์ไปเลยผมก็ไม่ว่านะ”

     

    ถ้าถามว่าตกใจไหม... ชานยอลอาจจะตอบว่านิดหน่อย

     

    แต่ถ้าจะถามว่าใครคือคนผิด... ชานยอลตอบได้เต็มปากว่าเป็นตัวเขาเองที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน และสีหน้าของบยอนแบคฮยอนในตอนนั้น ทำให้เขาเผลอบอกตัวเองด้วยความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

     

    มันอาจจะฟังดูเข้าใจยากไปสักหน่อย ถ้าเขาบอกว่าอยากทำความรู้จักผู้ชายคนนี้มากขึ้นไปอีก... อยากอยู่ใกล้ ๆ จนกว่าความรู้สึกนี้จะหายไปเอง

     

    ใช่ นั่นคือทางออกในตอนนั้น







     

     

     

    ===================================

     







     

     

    ความสัมพันธ์ของเราไม่ได้สิ้นสุด หากแต่กลับมากขึ้นทุกวัน ๆ ผมมักจะไปกินข้าวกลางวันกับแบคฮยอนและรับกลับบ้านด้วยกัน ผมแวะคอนโดมิเนียมของเขาทุกหัวค่ำ และกลับบ้านของผมเองในตอนดึก

     

    ใช่ เรายังคงมีเซ็กส์กันหลังจากคืนนั้น

     

    ผมรู้ว่าโฮจองค่อนข้างไม่สบายใจที่ผมกลับบ้านดึกทุกวันและมักจะยกเรื่องงานขึ้นเป็นเหตุผลเสมอ กระนั้นผมก็ไม่ได้ละเลยเธอ แต่กลับมีความสัมพันธ์กับแบคฮยอนเพิ่มขึ้นอีกคน

     

    ตัวผมซึ่งเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่มีครอบครัว แต่ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองสารเลวและน่ารังเกียจขึ้นทุกวันเมื่อบอกรักโฮจองทางโทรศัพท์ แล้วหันไปจูบกับแบคฮยอนซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ

     

    แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นผู้ชายคนนี้กลับทำให้ผมปล่อยเขาไปไม่ได้...







     

     

     

    ===================================

     







     

     

     “หมู่นี้พี่ทำโอทีทุกวันเลยนะครับ”

     

    คิมจงอินส่งยิ้มให้เจ้านายที่นั่งอยู่ยังโต๊ะทำงานภายในห้องทางด้านในของบริษัท ชานยอลเงยหน้าขึ้นยิ้มตอบลูกน้องด้วยรอยยิ้มเฉกเช่นปกติ “นายก็รู้ว่าเราต้องเร่งจัดการงานให้เสร็จทันกำหนด”

     

    “แน่ใจเหรอครับว่าแค่เรื่องงาน...”

     

    ดวงตาที่หลุบลงต่ำกลับเงยขึ้นอีกครั้งหลังสิ้นเสียงทุ้ม สีหน้าของจงอินค่อนไปทางเคร่งเครียด และนั่นทำให้เขาใจคอไม่ค่อยดีนัก

     

    “ผมคิดว่าพี่คงรู้ตัวว่าพี่กำลังทำอะไรอยู่...”

     

    “..............”

     

    “แต่เรื่องบางเรื่องเราก็ควรยุติก่อนที่จะเกิดปัญหาตามมา...”

     

    “..............”

     

    “คุณโฮจองรักพี่มาก แล้วพี่ก็คงรักคุณโฮจองมากเหมือนกัน เพราะอย่างนั้นเรื่องคุณแบคฮยอนน่ะ...”

     

    “...นายรู้?” ชาไปทั้งหน้า ปาร์คชานยอลรู้สึกเหมือนโดนอ่านออกทะลุปรุโปร่ง จงอินเป็นทั้งลูกน้องคนสนิท ทั้งยังเปรียบเสมือนน้องชายคนหนึ่งที่เขามักจะไหว้วานเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างสนิทใจ พูดตามตรงแล้วก็ไม่แปลกใจนักที่จงอินจะรู้เรื่องของเขากับแบคฮยอนในที่สุด แต่ก็คิดไม่ถึงว่ามันจะเร็วขนาดนี้...

     

    “พี่เคยบอกผมว่าพี่เป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลกเพราะได้แต่งงานกับคุณโฮจอง พี่อยากมีครอบครัวที่อบอุ่น อยากมีลูกชายและลูกสาวอย่างละคน”
     

    “................”

     

    “แล้วตอนนี้... พี่ยังคิดแบบนั้นอยู่หรือเปล่าครับ?”

     

     









     

    ===================================

     







     

     

    บุหรี่มวนแล้วมวนเล่าถูกบี้ลงกับราวระเบียงซ้ำจนเป็นรอยดำที่ขัดไม่ออก แบคฮยอนเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างสลับกับมองคนที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงตู้เย็น เขารู้ว่าปาร์คชานยอลกำลังคุยกับภรรยา

     

    ก็ย้ำตัวเองอยู่ทุกวัน... ว่าความสัมพันธ์แบบนี้น่ะ....




     

     

    รู้แล้วยังไง... จะรังเกียจ จะถอยห่าง หรือจะขอเปลี่ยนตัวโคออร์ดิเนเตอร์ไปเลยผมก็ไม่ว่านะ

    ผมไม่ปล่อยคุณไว้คนเดียวหรอก

     




     

    ทำไมแค่คำพูดประโยคเดียวของหมอนั่นในตอนนั้นถึงทำให้เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้นะ แบคฮยอนสมเพชตัวเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันที่ปล่อยให้ทุกอย่างเลยเถิดจนกู่ไม่กลับ
     

    ผู้ชายแท้ ๆ อย่างปาร์คชานยอล มีเมีย มีลูก มีครอบครัว มันก็ถูกแล้ว... สถานะอย่างเขามันก็แค่ของแปลกที่อีกฝ่ายกำลังเห่อ... อยากลอง... สักวันก็คงเบื่อแล้วกลับไปหาตัวจริงอยู่ดี

     

    ก็เหมือนกับคนที่ผ่าน ๆ มา ทุกวันนี้ก็ยังคงเดินสวนกันเหมือนคนไม่รู้จัก มีเซ็กส์กันมาหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็จบด้วยการเป็นคนอื่น แล้วรอแสดงความยินดีเมื่อเขาร่อนการ์ดแต่งงาน

     

    รู้สึกดีแค่ไหน... ก็รั้งไว้เป็นของตัวเองไม่ได้....




     

     

    อ้อมกอดอุ่น ๆ ไล้ผ่านช่วงเอวเข้ามาจากด้านหลังอย่างไม่ทันตั้งตัวก่อนจะกดริมฝีปากลงบนต้นคอขาว ชานยอลคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว...

     

    “สูบบุหรี่อีกแล้ว คุณควรจะสูบมันให้น้อยลงนะ” เสียงทุ้มพร่ากระซิบข้างหู แต่มันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้น

     

    “เคยฟังเพลง Kiss the rain ไหม?”

     

    ควันสีเทาขุ่นถูกพ่นออกไปเป็นครั้งสุดท้ายก่อนมวนบุหรี่จะถูกบี้ลง แบคฮยอนผละตัวออกจากอ้อมกอดแล้วเดินเข้ามาภายในห้อง กล่องไม้เก่า ๆ ใต้เตียงถูกดึงออกมาโดยที่ชานยอลไม่เคยรู้ว่ามันอยู่ใต้เตียงมานานเท่าไรแล้ว

     

    สโนว์บอลหลากหลายลูกวางซ้อนกันอยู่ในนั้น มันเป็นของสะสมที่เข้าท่าทีเดียว หากแต่แบคฮยอนกลับหยิบเพียงลูกบนสุดออกมาก่อนจะหมุนมันหลายรอบแล้ววางลงบนเตียง

     

    “คุณชอบสโนว์บอล?”

     

    “เวลาที่ผมเหงา เสียงของสโนว์บอลทำให้ผมรู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว”

     

    ภายในสโนว์บอลนั้นไม่ใช่หิมะ หากแต่เป็นสายฝนที่โปรยปรายผ่านลูกแมวลายเปรอะที่ยืนอยู่อย่างเคว้งคว้างราวกับกำลังรอคอย ลูกสโนว์บอลค่อย ๆ หมุนไปตามทิศทางที่แท้จริงพร้อมกับเสียงดนตรีที่ขับกล่อมออกมา

     

    “รู้ไหม... เพลงนี้น่ะมีเนื้อเพลงด้วยนะ”




     

     

    I often close my eyes and I can see you smile

    You reach out for my hand and I'm woken from my dream

    Although your heart is mine

    Its hollow inside

    I never had your love and I never will

     

    I've never felt this way

    To be so in love

    To have someone there

    Yet feel so alone

    Aren't you supposed to be

    The one to wipe my tears

    The one to say that you would never leave

     

    So why am I still here in the rain..

     




     

    ผมไม่รู้ว่าผมโน้มตัวลงไปจูบแบคฮยอนตอนไหน แต่สิ่งที่ผมจำได้ดีคือจูบนั้นมีเพียงแค่รสน้ำตาและความอ้างว้าง ผมหาเหตุผลมาขัดแย้งความรู้สึกตัวเองไม่ได้อีกแล้ว

     

    ผมอยากดูแลเขา...









     

     

    ===================================

     









     

    แผนการนำเสนองานในช่วงบ่ายของวันจบลงด้วยดี ผมกลับมาที่บริษัทพร้อมๆกับแบคฮยอนในช่วงราว ๆ บ่ายสามเพื่อแจ้งจุดที่ควรแก้ไขและสรุปคอนเซปต์งานรอบสุดท้ายกับทีมงานทุกคนก่อนจะเริ่มลงมือจัดสถานที่จริงซึ่งจองไว้ตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป เหลือเวลาอีกแค่สองสัปดาห์ก็จะถึงวันงานเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ของมาสเตอร์ฟอร์ค

     

    ผมปล่อยมือจากแบคฮยอนเมื่อถึงหน้าประตูเพื่อรักษาความลับของเรา แต่ทันทีที่ประตูเปิดออก เสียงโห่ร้องแสดงความยินดีก็ดังอื้ออึงเต็มหูผมพร้อม ๆ กับการโผเข้ากอดของโฮจอง

     

    “ชานยอลคะ เรากำลังจะมีลูกด้วยกันแล้วนะ”

     

    ความตื่นเต้นแล่นรัวอยู่ในอกผมราวกับเสียงกลอง ผมได้ยินเสียงแฟ้มตกลงบนพื้นจากด้านหลัง เมื่อหันหลังไปมองผมเห็นเพียงแบคฮยอนที่กำลังก้มลงเก็บแฟ้มด้วยท่าทางไม่ยินดียินร้าย เขาค่อย ๆ เดินออกไปจากตรงนี้โดยมีเพียงสายตาของผมที่มองตามไป แม้ว่าตัวของผมจะยังอยู่ท่ามกลางความยินดีและยังคงโอบกอดโฮจองอยู่ก็ตาม







     

     

     

    ===================================

     







     

     

     ‘ผมไม่ปล่อยคุณไว้คนเดียวหรอก

     

     

    เหล้าเพียว ๆ ถูกกระดกเข้าปากซ้ำแล้วซ้ำเล่า คำปลอบใจโง่ ๆ ที่เขากำลังยินดีกับครอบครัวของชานยอล สักวันทุกอย่างมันก็ต้องเป็นแบบนี้... บยอนแบคฮยอนรู้ดีแต่แรกแล้ว....

     

    เสียงเคาะประตูในกลางดึกไม่ได้ทำให้เขานึกอยากลุกขึ้นไปเปิด ร่างเล็กยังคงอ้อยอิ่ง โซซัดโซเซจนไถลจากโซฟาตกลงไปกองกับพื้น แต่เสียงเคาะนั้นยังคงดังขึ้นอีกครั้ง

     

    แม้จะคิดว่าเป็นชานยอล... แต่อีกใจก็ปลอบใจตัวเองรอไว้ว่าไม่มีทางใช่หรอก

     

    “ทำไมไม่รับโทรศัพท์”

     

    เจ้าของน้ำเสียงทุ้มที่อยู่ตรงหน้ากำลังถามถึงจำนวนมิสคอลที่มากกว่าสิบสาย สีหน้าของชานยอลดูไม่ดีนัก และนั่นทำให้แบคฮยอนแปลกใจ เมื่อในวันนี้คนที่ควรจะมีความสุขที่สุดก็ควรจะเป็นปาร์คชานยอลไม่ใช่หรือไง

     

    ร่างสูงจัดการแทรกตัวเข้ามาภายในห้องก่อนจะปิดประตูล็อกแล้วดันหลังอีกคนมาหยุดยังโซฟา สภาพระเกะระกะเละเทะของห้องทำให้ชานยอลเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ไม่ยาก

     

    “ถึงพรุ่งนี้จะเป็นวันหยุด แต่คุณก็ไม่ควรที่จะดื่มเยอะขนาดนี้” เสื้อโค้ทตัวเก่งถูกถอดออกวางพาดบนพนักโซฟาก่อนที่เจ้าตัวจะลงมือเก็บแก้วและขวดเหล้าให้เป็นระเบียบเรียบร้อย แบคฮยอนเหยียดยิ้มกับตัวเองราวสมเพช ชานยอลอาจจะแค่สงสารเขาในฐานะอดีตคู่ขาคนหนึ่งเท่านั้น

     

    “มีธุระอะไร...”

     

    ร่างสูงชะงัก แววตาของแบคฮยอนที่มองเขานั้นราบเรียบราวกับปล่อยให้ความรู้สึกมันตายไปแล้วยังไงยังงั้น ชานยอลจัดการยกของบนโต๊ะรับแขกไปวางไว้ยังอ่างล้างจาน ก่อนจะเดินกลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าอีกคน

     

    “ถึงไม่มีธุระ ผมก็มาหาคุณได้”

     

    ถึงตรงนี้ แบคฮยอนกลับแค่นหัวเราะออกมาเสียงพร่า “ยินดีด้วยนะ ที่ได้เป็นพ่อคนแล้ว”

     

    “แบคฮยอน...”

     

    “จะทำกันเป็นครั้งสุดท้ายไหมล่ะ? จะได้จบ ๆ ไปสักที”

     

    “.............”

     

    ในเมื่อมันเริ่มขึ้นโดยไม่มีเหตุผล... แบคฮยอนก็ไม่เห็นความจำเป็นที่เขาจะต้องมองหาเหตุผลในตอนที่คิดจะจบมันลงเหมือนกัน



     

    “ผมเองก็เบื่อเต็มทีแล้ว”







     

    CUT 








     

     

     

    ===================================

     







     

     

    เพื่อนร่วมงานที่ห่างเหิน ไม่ได้สนิทชิดเชื้อ และไม่มีอะไรพิเศษไปกว่าคนอื่น ๆ ผมกับเขาควรจะมีสถานะแบบนี้มาตั้งแต่ต้น

     

    ผมบอกตัวเองว่าอีกแค่ไม่ถึงสองอาทิตย์... ไม่ถึงสองอาทิตย์ที่ผมยังจะต้องเจอหน้ากับเขา เฝ้ามองดูภรรยาของเขาที่มาหาเป็นครั้งคราว และในร่างนั้นคงมีอีกหนึ่งชีวิตที่จะเกิดในอีกหลายเดือนข้างหน้า จนบางครั้งผมเองก็อดจะยิ้มไม่ได้กับความอบอุ่นและความรักที่เขาสองคนมีให้กัน แต่ผมก็ต้องหลบสายตาไปทุกครั้งเมื่อเขาหันมา

     

    เพราะผมไม่อยากรับรู้ว่าในตอนนี้เขายังคงใช้สายตาแบบไหนมองผมอยู่... แค่ลืม ๆ ความรู้สึกแบบนี้ไปซะ... ทุกอย่างก็คงจบ

     

    มันคงลืมได้ไม่ยากหรอก... ก็เหมือนกับที่ผ่าน ๆ มา







     

     

     

    ===================================

     







     

     

    พรุ่งนี้คงจะเป็นวันสุดท้ายที่เราจะต้องเจอกัน ผมปลอบใจตัวเองอย่างนั้น ผมสามารถทำสายตาเรียบเฉยให้เขายามที่ต้องเจอหน้ากันเหมือนเมื่อก่อนได้ดี เช่นเดียวกับวันนี้ในตอนที่ผมยื่นเอกสารให้เขา

     

    และนี่คือสถานที่สุดท้ายที่เราจะได้พบกัน

     

    ผมไม่ได้มีหน้าที่ในเรื่องการจัดสถานที่เสียทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังอยากดูผลงานในฐานะของมาร์เก็ตติ้งโคออร์ดิเนเตอร์ ผมเปิดประตูสต๊าฟที่ตั้งอยู่ทางด้านหนึ่งของฮอลล์เพื่อเข้าไปดูผลงานและตรวจเช็คความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อให้งานพรุ่งนี้ออกมาดีที่สุด

     

    “.......”

     

    หากแต่สิ่งที่ผมเห็นหลังบานประตูสต๊าฟกลับทำให้น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ ทั้งฮอลล์จัดงานเสมือนเป็นโลกอีกใบที่ผมคุ้นตา ความมืด แสงสลัว ยามวิกาลที่ถูกสร้างออกมาได้อย่างอลังการและงดงามจนผมคาดไม่ถึง

     

    หากแต่จุดเด่นของงานคือแท่นสโนว์บอลขนาดใหญ่ตรงกลางที่กำลังหมุนอย่างช้าๆ รถยนต์สีดำสวยสง่าถูกตั้งเอนในองศาที่พอเหมาะอยู่ในลูกแก้วทรงกลมขนาดใหญ่ และหากเดินเข้าไปใกล้อีกนิด จะเห็นรูปปั้นแมวลายเปรอะที่เกาะอยู่เหนือหลังคารถ ท่ามกลางสายฝนซึ่งโปรยปรายเป็นแสงระยิบระยับ

     

    ดังเช่นสโนว์บอลที่ผลคุ้นตาและเสียงเพลงที่คลอเบา ๆ ไปทั่วทั้งฮอลล์




     

     

    คุณชอบสโนว์บอล?

    เวลาที่ผมเหงา เสียงของสโนว์บอลทำให้ผมรู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว

     

    รู้ไหม... เพลงนี้น่ะมีเนื้อเพลงด้วยนะ

     


     

    The one to say that you would never leave

    So why am I still here in the rain..

     







     

     

    ===================================

     

     







     

    งานเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ถูกจัดขึ้นอย่างอลังการ โดยได้รับทั้งเสียงชื่นชมจากสื่อมวลชนและนักธุรกิจจากแวดวงยนตกรรม นับเป็นการประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของมาสเตอร์ฟอร์คและปาร์คออแกไนซ์ที่จัดงานออกมาได้อย่างไร้ที่ติ

     

    แบคฮยอนยืนเคียงคู่ประธานเจย์คิมและคอยตามอธิบายส่วนต่าง ๆ ของงานอย่างคล่องแคล่ว ตลอดทั้งงานเขาไม่เจอชานยอล ถึงแม้จะพยายามใจแข็งเพียงใด แต่สายตาก็ยังคอยแต่มองหาอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว

     

    เสียงปรบมือดังเกรียวกราวเมื่อจบการแสดงสุดอลังการโดยศูนย์กลางอยู่ที่สโนว์บอลรถยนต์ขนาดยักษ์ ความแข็งแกร่งและนุ่มนวลของรถถูกหอบหุ้มด้วยแก้วทรงกลมขนาดใหญ่ที่หมุนไปช้า ๆ คลอกับเสียงดนตรีของเพลง Kiss the rain ทั้งบรรยากาศในงานที่ราวกับอยู่กลางสายฝนในยามค่ำคืน สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ผู้พบเห็น

     

    และเสียงที่ทำให้แบคฮยอนยืนนิ่ง จนแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

     

    หากจะเปรียบรถยนต์รุ่นนี้เป็นคน ๆ หนึ่ง เขานุ่มนวล อ่อนไหว หากแต่ก็ดูแข็งแกร่งและน่าค้นหาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ตัวเขาถูกหอบหุ้มด้วยความอ้างว้างและอบอุ่นของสโนว์บอล ถูกโอบอุ้มด้วยความละมุนของเพลงเศร้า หากแต่เขากลับตราตรึงอยู่ในความฝัน ตราตรึงอยู่ในทุกความคิด ความรู้สึก เป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมใช้เวลาในแต่ละวันอย่างมีค่า โดยที่ผมจะยังมีเขา...

     

    ไม่ต้องหยุดคิดอะไรอีกแล้ว แบคฮยอนเลี่ยงตัวออกจากตรงนั้นก่อนจะเดินไปรอบ ๆ งานเพื่อมองหาใครบางคน

     

    คิดถึง... อยากเจอ...

     

    แต่ก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน......







     

     

    เสียงร้องไห้ดังอื้ออึงอยู่ที่มุมเล็ก ๆ ในห้องเก็บของทางด้านหลัง แบคฮยอนรู้ดีว่าเวลานี้ไม่มีทางที่จะมีคนเข้ามา ในงานยังคงคึกคักและเต็มไปด้วยการยินดีกับความสำเร็จของมาสเตอร์ฟอร์คอย่างคึกคัก

     

    แล้วทำไมตัวเขาถึงมานั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้ล่ะ...?

     

    ทุกอย่างมันก็เริ่มต้นขึ้นเพราะเขามาทำงาน... ส่วนนอกเหนือจากนั้นน่ะมันเป็นไปไม่ได้หรอก

     

    เพลง Kiss the rain ยังคงแว่วมาจากภายในงานซ้ำ ๆ วนไปวนมาจนบีบให้ร้องไห้หนักขึ้น ทำไมชานยอลต้องทำอย่างนี้... ทำไมต้องทำเพื่อเขาขนาดนี้





     

    อ้อมกอดของผู้ชายคนนั้นมักจะมาโดยไม่ทันให้เขารู้ตัว และครั้งนี้ก็เช่นกัน...

     

    ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาถูกหาเจอ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาถูกสวมกอดผมอย่างเงียบ ๆ ในหูยังคงได้ยินเสียงหอบหายใจของปาร์คชานยอลราวกับตามหาเขามาเนิ่นนาน

     

    จูบของเราครั้งนี้เต็มไปด้วยรสของน้ำตาไม่ต่างจากตอนนั้น

     

    ไม่อยากสนอะไรอีกแล้ว... จะเป็นไปไม่ได้ จะถูกทิ้ง หรืออะไรก็ช่าง




     

    “ชานยอล...”

     

    “ครับ”

     

    “ผม...”

     

    “......”

     

    “ผม...”

     

    “......”

     

    “...ผมไม่กล้ารักคุณ”






     

    CUT  2




     








     

     

     

    ===================================

     










     

     

     “ชานฮี ค่อย ๆ เดินมาหาพ่อมา”

     

    แขนเรียวผายออกไปเพื่อรับตัวเด็กผู้หญิงที่ค่อย ๆ เดินเตาะแตะมาทางเขา ท่ามกลางการลุ้นของเหล่าผู้ใหญ่ที่จัดปาร์ตี้ฉลองกันจนเป็นเรื่องปกติ จงอินหัวเราะม่วนขึ้นมากับความน่ารักของเด็กน้อยเมื่อปาร์คชานฮีสะดุดผืนหญ้าล้มลง แต่มือเรียวของใครอีกคนกลับเข้ามาช่วยประคองไว้ทันโดยที่มีโฮจองถอนหายใจอย่างโล่งอกอยู่ห่างๆ

     

    “ถ้าลูกล้มเจ็บตัวไปจะว่ายังไง”

     

    เจ้าของมือที่ช้อนเด็กน้อยขึ้นมาอุ้มไว้แนบอกกำลังค้อนใส่ชานยอลวงใหญ่ คนถูกดุได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ ก่อนจะเดินเข้ามาหยอกล้อกับลูกสาวในอ้อมกอดของอีกคน

     

    “ถ้าคุณแบคฮยอนเข้ามารับไว้ไม่ทัน มีหวังแกคงงอแงเสียงดังน่าดู” โฮจองพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะเดินเข้ามารับบุตรสาวไปอุ้มต่อ พร้อม ๆ กับลำแขนเรียวของใครบางคนที่เอื้อมโอบไหล่บางของคู่สนทนา

     

    “ไม่หรอกครับ ผมว่าแกเข้มแข็งออกนะ” แบคฮยอนเหยียดรอยยิ้มส่งตอบกลับไป สายตาของชานยอลกำลังมองมาทางเขา

     

    จงใจจะแกล้งกันรึไง...

     

    “โชคดีจริง ๆ เลยค่ะที่ได้เป็นเพื่อนกับคุณ ชานยอลเคยเล่าให้ฉันฟังว่าคุณแบคฮยอนเป็นคนเก่ง ตอนที่ทำงานให้บริษัทรถยนต์เมื่อปีที่แล้วงานก็ออกมาดีได้เพราะมีคุณคอยช่วยเหลือ”

     

    คนถูกชมได้แต่ส่งยิ้มบางเบาให้เป็นครั้งที่สองแล้วเดินแยกไปยังห้องครัวเพื่อหยิบของขบเคี้ยวมาแกล้มเหล้ากับคนอื่น ๆ จะบอกว่านึกหมั่นไส้ปาร์คชานยอลก็ไม่ผิด..

     

     

    นั่นสินะ... หนึ่งปีกว่าแล้วที่เรื่องราวทั้งหมดผ่านมา


     

    ความอบอุ่นของครอบครัวปาร์คทำให้เขายิ้มได้แม้ว่าจะเคยต้องร้องไห้เพราะมันมาก่อนก็ตาม

     

     

    รู้ว่าผิด... แต่ก็ยอมที่จะปล่อยให้มันสานต่อพร้อมกับกลืนความเจ็บปวดลงไปอย่างยากลำบาก

     

     

    เป็นเพียงเพื่อนที่กินดื่มด้วยกันในสายตาของคนอื่น เป็นคุณอาที่ดีของเด็กสาวที่มีอายุไม่ถึงขวบปี เป็นคนที่โฮจองไว้วางใจและเข้ามาพูดคุยด้วยเป็นครั้งคราว

     

    แต่ถึงอย่างนั้น....




     

     

    “เดี๋ยวคืนนี้ผมไปส่งคุณที่ห้องนะ...”

     

    เรียวปากของคนที่ซ้อนเข้ามาทางด้านหลังกดจูบลงบนต้นคอขาวดังเช่นที่ชอบทำ แบคฮยอนหันกลับไปสบตาก่อนจะยอมปล่อยให้อีกฝ่ายจูบซ้ำอีกครั้งเมื่อแน่ใจว่าจะไม่มีใครเห็น

     




     

    แม้ว่าภาพที่อยู่ข้างหลังจะเป็นครอบครัวแสนอบอุ่นของชานยอลก็ตามที


























     

    M
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×