คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : [Untitled] Chapter 2
Chapter 2
ซองยอลกลับไประวังตัวอีกหน แต่คราวนี้มยองซูไม่ยักหัวเสียอย่างคราวก่อน ตรงกันข้ามฝ่ายนั้นดูจะสนุกเสียด้วยซ้ำ มยองซูเห็นเขาคอยหลบเลี่ยงก็ยิ่งเข้าหา ไม่ว่าซองยอลจะทำอะไร หากมยองซูตื่นอยู่และไม่ขี้เกียจ เขาจะคอยเดินตามซองยอลไปทุกหนแห่ง
ครั้งหนึ่งซองยอลกำลังชงซุปกึ่งสำเร็จรูปอยู่ในครัว มยองซูเดินเข้ามาแกล้งกอดเขาจากด้านหลัง เขาตกใจจนทำถ้วยมักตกแตก ซุปร้อนๆ หกรดเท้าเขาเข้าเต็มรัก ส่วนมยองซูผงะหนีน้ำร้อนพ้นแต่ถอยไปเหยียบถูกเศษกระเบื้องเต็มแรง พวกเขาหอบสังขารฝ่าอากาศหนาวไปหาหมอที่คลินิกใกล้ๆ คนหนึ่งหลังเท้าแดงแจ๋เพราะถูกลวก ส่วนอีกคนฝ่าเท้าแดงเถือกเพราะเลือดอาบ ดูไม่จืดทั้งคู่จนแม้แต่หมอยังอดแซวไม่ได้
“แหม กว่าจะพากันมาถึงคงลำบากน่าดูเลยนะคะ” เธอยังอารมณ์ดีอยู่ แม้จะเห็นเลือดสดๆ หยดลงบนพื้นห้องสะอาดสะอ้านขณะมยองซูอวดเท้าโชว์แผล
วันต่อมาซองยอลต้องลางานเพราะเดินมากๆ ไม่ไหว มยองซูก็ต้องลางานเหมือนกัน ซองยอลฟังแล้วแค่นหัวเราะดังหึ
“ไม่ยักรู้ว่างานอย่างนั้นก็ต้องลา”
“นี่” มยองซูยื่นปลายเท้าข้างที่ไม่เจ็บมาเขี่ยข้อศอกเขาอย่างไร้มารยาท “ฉันแค่เปรียบเทียบไม่ได้รึไง ฉันไปไม่ไหวก็ถือว่าฉันลานั่นแหละ”
เขาปัดเท้าอีกฝ่ายออกไปแล้วถูข้อศอกตัวเองอย่างหวงแหน “อย่ามาโดนตัวฉันนะ เดี๋ยวก็เป็นเรื่องอีกหรอก”
มยองซูมองเขาแล้วกลอกตาพลางถอนหายใจอย่างระอา “ฉันนอนอยู่นี่ ส่วนนายนั่งอยู่นั่น” เขาชี้โซฟายาวที่ตัวเองนอนแบ็บอยู่สลับกับโซฟาเดี่ยวตัวที่ซองยอลนั่ง “มันจะมีเรื่องอะไร ไฟบนเพดานจะตกใส่หัวเรารึไง?”
“ถ้าฉันถือรีโมทอยู่แล้วนายเล่นพิเรนทร์อีก ฉันอาจจะตกใจจนเผลอโยนรีโมทขึ้นไปโดนไฟบนเพดานตกลงมาแตกก็ได้”
“นายปัญญาอ่อนรึไง?”
ซองยอลจ้องหน้ามยองซูตาเขียว เขาชี้นิ้วใส่เท้าข้างขวาของตัวเองอย่างโกรธๆ “นายเห็นเท้าฉันมั้ย บอกได้มั้ยว่าใครเป็นคนเล่นปัญญาอ่อนจนมันเป็นอย่างนี้?”
“ฉันก็ชดใช้ให้แล้วนี่ไง” มยองซูโบกเท้าซ้ายซึ่งพันผ้าพันแผลไว้อย่างดีขึ้นกลางอากาศ “ฉันเป็นหนักกว่านายยังไม่บ่นเลย”
“นายลองบ่นซักคำสิ” เขายกมือขึ้นทำท่าปาดคอ
“น่ากลัวจะแย่แล้ว”
“คิมมยองซู”
“รู้แล้วน่า เพราะรู้ว่าตัวเองเป็นคนผิดถึงได้ไม่บ่นอยู่นี่ไง”
“ดี” ซองยอลนึกขอบคุณที่มยองซูยังพอมีสามัญสำนึกกับเขาบ้าง เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรสั่งอาหาร สองวันหลังจากนั้นก็เหมือนกัน ซองยอลกับมยองซูต้องพึ่งพาร้านอาหารที่มีบริการส่งถึงบ้าน พวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ด้วยกันในห้องรับแขก ซองยอลไม่กินข้าวในห้องนอนเพราะไม่ชอบให้มีกลิ่นอาหารในนั้น นอกจากนี้ยังไม่อยากเดินเข้าเดินออกห้องนอนกับห้องข้างนอกบ่อยๆ จึงขนงานออกมาทำหน้าโทรทัศน์ กินข้าวก็กินตรงนั้น ทำงานก็ทำตรงนั้น บางครั้งก็หยุดพักดูรายการที่มยองซูเปิดดูบ้าง ช่วงที่อยู่ด้วยกันทำให้ซองยอลรู้เรื่องของมยองซูเพิ่มขึ้นสองสามอย่าง
เขารู้ว่ามยองซูชอบกินอาหารรสหวาน จานโปรด (ในบรรดาอาหารเดลิเวอรี่) ของอีกฝ่ายคือจาจังมยอน มยองซูมักใช้ไชเท้าดองปาดน้ำซอสสีดำกินจนหยดสุดท้าย เขาไม่ชอบแครอทจึงมักคีบใส่ชามให้ซองยอลเสมอ ปากบอกว่าบริการให้ทั้งที่จริงๆ แล้วตัวเองไม่อยากกิน
มยองซูชอบดูรายการเพลงแล้วขยับปากพึมพำร้องตาม ซองยอลยอมรับอย่างไม่เต็มใจนักว่าอีกฝ่ายมีน้ำเสียงไพเราะ มยองซูมักหลับตาร้องเวลาอินจัดๆ บางครั้งเมื่อเห็นเขามองก็คว้ารีโมทมาถือต่างไมโครโฟนจนเขาอดอมยิ้มไม่ไหว
มยองซูยังเป็นพวกตื๊อไม่เลิกชนิดกัดไม่ปล่อย แผลที่เท้าต้องทำความสะอาดและใส่ยาใหม่ทุกวัน แต่แทนที่จะจัดการเองฝ่ายนั้นกลับขอให้ซองยอลช่วยทำให้ พอเขาปฏิเสธก็บ่นพึมพำติดต่อกันเป็นชั่วโมงบ้างละ ขู่ปัญญาอ่อนว่าจะฉวยจังหวะขโมยจูบบ้างละ กวนเวลาเขาทำงานบ้างละ ในที่สุดเมื่อเขาทนไม่ไหวจนต้องช่วยทำแผลให้ มยองซูก็จะนอนนิ่งๆ ให้เขาเช็ดหนองและใส่ยา จากนั้นก็ยิ้มให้และบอกขอบใจ กลับกันก็อาสาทายาให้เขาเป็นการตอบแทนและโบกมือให้อย่างไม่ใส่ใจเมื่อเขากล่าวขอบคุณ
แผลที่เท้าใช้เวลาสามวันจึงหายสนิท ซองยอลรู้จักมยองซูดีขึ้นพร้อมๆ กับที่แผลอาการดีขึ้น
“กลับมาแล้วเหรอ”
“กลับมาแล้ว”
“ขอรบกวนหน่อยนะ”
ซองยอลเดินนำอูฮยอนเข้าห้อง คงเพราะได้ยินเสียงของใครไม่รู้มยองซูจึงยืดคอจากโซฟาสุดชีวิตเพื่อดูว่าเขาพาใครมา พอเห็นหน้าเพื่อนสนิทของเขา ฝ่ายนั้นที่เดิมทีกำลังนอนแผ่หราอยู่ก็ยันศอกขึ้นนั่งช้าๆ ราวกับป่วยหนักทั้งที่จริงๆ แล้วใกล้จะหายเต็มที
มยองซูส่งยิ้มอิดโรยให้อูฮยอนแล้วถามเสียงแหบ “เพื่อนของซองยอลเหรอ”
“ใช่” ซองยอลเป็นฝ่ายตอบ “อูฮยอน นี่มยองซู มยองซู นี่อูฮยอน”
“ชื่อน่ารักดี”
อูฮยอนได้ยินคำชมแล้วขยับมายืนชิดเขาทันควัน เพื่อนสนิทแอบกระซิบข้างหูว่าหมอนี่เลี่ยนชะมัด ซองยอลพยักหน้ารับ เขาเองเพิ่งเคยเห็นมยองซูคุยกับคนอื่นเพราะตลอดมาพบกันเฉพาะเวลาอยู่ด้วยกันสองคนในห้อง แม้จะพอรู้ว่าคิมมยองซูเป็นคนช่างฉอเลาะเพราะลักษณะงานน่าจะทำให้อีกฝ่ายต้องพูดจาทำนองนี้เสมอจนติดเป็นนิสัย แต่ซองยอลก็อดหมั่นไส้อีกฝ่ายไม่ได้
“ฉันเล่าให้อูฮยอนฟังแล้วว่านายแค่โดนกระเบื้องตำเท้า”
“ไข้ฉันกลับ” มยองซูยกหลังมือขึ้นอังหน้าผากอย่างมีจริต
“นายคงป่วยจนต้องโทรศัพท์สั่งหนังจากร้านเช่ามาดูเลยสินะ” ซองยอลเหล่กองภูเขาแผ่นบลูเรย์บนโต๊ะหน้าทีวีแล้วจ้องตาอีกฝ่ายอย่างจับผิด “อูฮยอนมีแฟนแล้ว” เขาบอกสั้นๆ หวังจะให้ฝ่ายนั้นเลิกส่งสายตาก้อร่อก้อติกใส่เพื่อนสนิทของเขา
“เหรอ” แต่มยองซูยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “ลูกค้าของฉัน 90% มีแฟนแล้ว”
ซองยอลเหลือบเห็นอูฮยอนเบ้ปากด้วยความขยะแขยง
“ฉันบอกนายแล้วใช่มั้ยว่าอย่าเจอเขาดีกว่า” เขาแอบกระซิบกับเพื่อน
“นายทนอยู่กับคนอย่างนี้ได้ยังไง!?” อูฮยอนเอ็ดเขาเบาๆ “โคตรน่ารังเกียจอะ!”
“เขาก็พอมีดีบ้างแหละ”
“นี่นายแก้ตัวแทนเขาเหรอ” เพื่อนของเขาทำหน้าเหมือนโลกจะแตก “นายโดนหมอนี่กินไปแล้วใช่มั้ย!?”
ซองยอลกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายมาเขย่าเป็นการลงโทษฐานปากพล่อย เขาลากตัวอูฮยอนเข้าไปในห้องนอน ปิดประตูลงกลอนแล้วหันไปแยกเขี้ยวใส่เพื่อนสนิท “นายคิดเป็นอยู่เรื่องเดียวรึไง เลิกยัดเยียดให้ฉันตกเป็นของเขาซักทีเถอะ!”
อูฮยอนเท้าสะเอวมองเขา “นายฟังที่หมอนั่นพูดสิ แล้วไหนจะสายตาที่ใช้มองฉันอีก คิมมยองซูมาดหมาป่าออกขนาดนั้น ลูกแกะอย่างนายรึจะสู้ไหว”
“อ้อ เหมือนลูกแกะอูฮยอนกับหมาป่าซองกยูน่ะเหรอ”
“อย่ามา!” อูฮยอนหน้าแดงแจ๋ได้แต่ทำเสียงดังกลบเกลื่อน
“มยองซูไม่ทำอะไรฉันหรอก เขากลัวไม่มีที่อยู่ และฉันก็ไม่ได้จ่ายเงินให้เขา” ซองยอลถูกเพื่อนบังคับให้เล่าว่ามยองซูทำงานอะไร และอูฮยอนก็เริ่มต้นตื๊อขอมาที่ห้องทันทีที่รู้ว่ามยองซูทำงานอะไร
เพื่อนสนิทมองเขาอย่างกังวล ซองยอลนึกขอบคุณที่เพื่อนอุตส่าห์เป็นห่วง “ถ้ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นฉันจะเล่าให้นายฟัง”
“เหอะ” อูฮยอนกอดอกทำเสียงฮึดอัดในลำคอ “ฉันไม่เชื่อหรอก แค่จะขอดูหน้าคิมมยองซูยังต้องเกลี้ยกล่อมอ้อนวอนจนเสียงแทบแหบเลย”
“ก็ฉันรู้ว่าถ้านายเจอเขาแล้วจะเป็นอย่างนี้”
“เป็นยังไง?”
“นายไม่ชอบเขา”
“แปลว่านายชอบเขาเหรอ!?” อูฮยอนทำเสียงร่ำๆ จะขาดใจอีกหน
“นัมอูฮยอน!”
“ไม่พูดแล้วก็ได้!” เพื่อนสนิทกระแทกเสียงใส่ซองยอลโกรธๆ เขาเห็นอาการของเพื่อนแล้วได้แต่ถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม จู่ๆ อูฮยอนลุกพรวดจากขอบเตียงไปเปิดประตูตะโกนเรียกชื่อคิมมยองซูดังลั่น เจ้าของชื่อวางนิตยสารรถลงบนตักพลางขานรับงงๆ
“มีอะไรครับ?”
ซองยอลได้ยินถ้อยคำสุภาพนั้นแล้วทำคิ้วย่น
“นายจะไม่ทำอะไรซองยอลใช่มั้ย”
เขาเดินตามไปบีบแขนอูฮยอนแรงๆ เป็นการเตือนไม่ให้พูดมากจึงเห็นมยองซูส่งยิ้มหวานหยดให้เพื่อนเขาแล้วถามกลับเหมือนไม่เข้าใจว่า “ทำอะไรล่ะครับ?”
“ก็อะไรๆ น่ะแหละ”
“ไม่รู้สิครับ”
อูฮยอนกระโจนเข้าไปคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายขึ้นเต็มสองมือ “นายจะไม่ทำอะไรซองยอลใช่มั้ย?” น้ำเสียงเพื่อนสนิทเหมือนขู่มากกว่าถาม มยองซูคงคิดเหมือนเขาจึงชูมือขึ้นโบก “ผมไม่ชอบบังคับใคร”
“แน่นะ”
“ครับ”
“สาบาน?”
มยองซูชูสามนิ้ว
“งั้นฉันยอมให้นายอยู่กับเพื่อนฉันก็ได้” อูฮยอนว่าพลางปล่อยมือจากอีกฝ่ายแล้วตบมือป้าบๆ พลางหันมาพูดกับซองยอล “วันนี้รบกวนแค่นี้แหละ กลับก่อนนะ”
“ไปส่งมั้ย?”
“ไม่ต้องหรอก พี่ซองกยูคงมาถึงแล้ว”
“อ้อ” เขาหัวเราะหึหึ บางครั้งเวลามาห้องของเขา อูฮยอนก็นัดให้พี่ซองกยูมารับที่นี่ “งั้นไปเถอะ”
“อื้อ” อูฮยอนสะพายกระเป๋าขึ้นบ่าแล้วเดินกลับออกไป เพื่อนสนิทไม่วายหันมาค้อนวงโตใส่ซองยอลเพราะโดนแซวว่า ‘อย่าชวนกันไปเถลไถลล่ะ’ เขาหัวเราะแล้วงับประตูปิดเมื่ออูฮยอนเดินหายเข้าไปในลิฟต์แล้ว
“คนนี้ใช่มั้ยที่เตือนให้นายระวังฉัน” มยองซูถามขึ้นทันทีที่เขากลับเข้าไปในห้องรับแขก
ซองยอลพยักหน้าตอบ
“เป็นเพื่อนที่ดีนะ” อีกฝ่ายพลอยพยักหน้าตามเขาไปด้วย “น่ารักแต่ดุ”
“อูฮยอนมีแฟนแล้ว”
“รู้แล้วน่า” มยองซูพูดติดรำคาญ “เมื่อกี้นายบอกฉันแล้ว”
“ทำไมนายต้องพูดอย่างนั้นกับเขาด้วย เขาไม่ใช่ลูกค้าของนายนะ” ซองยอลยกมือกอดอกพูดหน้าเครียด
อีกฝ่ายเลิกคิ้วใส่เขาแทนคำถามว่าพูดเรื่องอะไร ซองยอลจึงตอบเสียงขุ่น “ฉันได้ยินนายคุยโทรศัพท์ นายพูดเพราะทุกประโยคซ้ำยังตบท้ายด้วยคำหวาน” ช่วงลางานซองยอลอยู่กับมยองซูตลอดทั้งวัน บางครั้งจึงต้องฟังฝ่ายนั้นคุยโทรศัพท์อย่างเสียไม่ได้ “นายคุยกับลูกค้าใช่มั้ยล่ะ”
“ใช่” มยองซูพยักหน้า “แล้วไงล่ะ?”
“อูฮยอนไม่ใช่ลูกค้าของนาย อย่าพูดจาแบบนั้นกับเขา”
“เงื่อนไขของนายนี่เยอะขึ้นทุกวัน” อีกฝ่ายยิ้มพลางส่ายหัวหน่ายๆ
“ถ้าไม่ชอบก็ออกไป”
“นายคงไม่ได้กลัวฉันทิ้งนายไปยุ่งกับเพื่อนนายแทนหรอกนะ?”
ซองยอลจ้องอีกฝ่ายเขม็ง “นายอย่าสำคัญตัวผิด” เขาส่งเสียงลอดไรฟัน “อูฮยอนเป็นเพื่อนของฉัน ฉันไม่ต้องการให้นายเอาเขาไปรวมกับลูกค้าของนาย”
โทรศัพท์มือถือของมยองซูดังขึ้นพอดีฝ่ายนั้นจึงละสายตาจากเขาไปกดรับโทรศัพท์ ทันทีที่ได้ยินมยองซูเอ่ยทักทายอีกฝั่งสายว่า ‘สวัสดีครับ ฮเยจิน’ ซองยอลก็เบือนหน้าหนีและหันหลังเดินไปเปิดตู้เย็นในครัว เขาหยิบน้ำออกมาเทดื่มแล้วกระแทกแก้วลงกับโต๊ะอย่างหัวเสีย
เขาไม่ได้กลัวมยองซูจะทิ้งเขาไปไหน เมื่อเขาบอกว่าไม่อยากให้อีกฝ่ายเอาอูฮยอนไปเหมารวมกับลูกค้าก็แปลว่าเขาหมายความตามนั้นจริงๆ
แต่ว่า
เขาปฏิเสธไม่ได้ว่าวันหนึ่งเขาอาจจะรู้สึกอย่างที่ถูกกล่าวหาเพราะเขาสนิทใจกับมยองซูขึ้นทุกที เขารู้ตัวทันทีที่อูฮยอนบอกว่าเขาแก้ตัวแทนมยองซู และเมื่อเพื่อนสนิทถามว่าเขาชอบมยองซูหรือ เขาเลือกจะไม่ตอบแต่ขึ้นเสียงใส่เพื่อนแทน
ซองยอลไม่โง่ เขารู้ว่าถ้าปล่อยให้ตัวเองใกล้ชิดกับมยองซูไปมากกว่านี้สักวันคงจะชอบอีกฝ่ายขึ้นมาจริงๆ เดิมทีเขาอาศัยคนเดียว เพื่อนสนิทอย่างอูฮยอนก็มีคนรัก ซองยอลจึงรู้สึกเหงา หากเขาจะปล่อยใจให้ชอบใครสักคนคงไม่แปลก
เขาสับสนว่าควรจะปล่อยให้มันเป็นไป หรือควรห้ามไม่ให้เรื่องอย่างนั้นเกิดขึ้นดี
นานมากแล้วที่เขาไม่กล้าตกหลุมรักใคร เพราะเมื่อไรที่ใจสั่น ความทรงจำเมื่อวันที่พ่อรู้ความจริงจะย้อนกลับมาทำร้ายเขาเสมอ เขาควรเอาชนะความกลัวนั้นไหม หรือควรปิดกั้นใจไม่ให้หลงรักใครและไม่เปิดโอกาสให้ใครใกล้ชิดอย่างที่เคยทำมาต่อไป
โดยเฉพาะกับชายแปลกหน้าที่ชื่อคิมมยองซู
หลังจากนั้นทั้งซองยอลและมยองซูต่างทำตัวปกติ ซองยอลไม่อยากหลบหน้าอีกฝ่ายเพราะรู้ว่าขืนทำไปก็มีแต่จะถูกต้อนถามเอาเหตุผล เขาไม่อยากเสียเวลาห้ามใจตัวเองด้วย เพราะหากวันหนึ่งเขาเกิดชอบมยองซูขึ้นมาจริงๆ จะได้ไม่ต้องหัวเราะเยาะตัวเองทีหลังว่าสุดท้ายความพยายามก็ล้มเหลว
ช่างมันเถอะ ซองยอลคิด อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เรื่องมันเหลือเชื่อตั้งแต่เขายอมให้มยองซูมาอยู่ด้วยแล้ว
มยองซูก็เหมือนเดิม เขาคิดว่าที่อีกฝ่ายพูดอย่างนั้นคงเพราะต้องการแหย่เขาเล่นเฉยๆ มยองซูมีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นเขาอารมณ์เสีย บางทีซองยอลก็คิดว่าคนๆ นั้นเป็นโรคจิต
โชคดีที่มยองซูเลิกแหย่เขาด้วยการเล่นถึงเนื้อถึงตัวแล้ว คงได้บทเรียนจากการเจ็บตัวเมื่อคราวก่อน ซองยอลเองก็ระวังตัวมากขึ้นด้วย ถ้าเขาเห็นมยองซูเข้าใกล้เกินกว่าเหตุเขาจะชี้ที่เท้าและมองหน้าอีกฝ่ายดุๆ เป็นการเตือน
“ฉันแค่จะเดินมากินน้ำเฉยๆ” มยองซูบ่นเสียงขุ่น
“ก็กินไปสิ ฉันเปล่าพูดอะไรซักคำ”
“หน้านายมันเขียนว่า อย่า.เข้า.มา.ใกล้” ฝ่ายนั้นชี้นิ้วใส่หน้าเขาขวับๆ “หวงเนื้อหวงตัวเหลือเกิน อย่างกับฉันอยากแตะต้องนักแหละ”
ซองยอลไม่เถียงต่อ แต่ยิ้มเย็นๆ ให้มยองซูแล้วชี้ที่เท้าซ้ายอีกหนแทน
“รู้แล้วน่ะ ฉันไม่โง่ ฉันเจ็บแล้วจำ!”
บางครั้งเขาก็เป็นฝ่ายยั่วโมโหมยองซูบ้าง และสนุกทุกครั้งที่เห็นอีกฝ่ายโมโห
เขาพอจะเข้าใจที่มยองซูชอบแกล้งแหย่เขาอยู่หรอก
“นี่”
บ่ายวันหนึ่งมยองซูทักเขาขณะรีดเสื้อ “หือ?” เขาขานรับโดยไม่ละมือจากงาน
“คริสต์มาสอีฟจะไปไหนรึเปล่า?”
“ฉันไม่อนุญาตให้นายพาลูกค้ามาใช้ที่นี่แทนโรงแรม”
มยองซูโยนเนคไทในกองผ้ายังไม่ได้รีดใส่เขา “อย่าชวนทะเลาะได้มั้ย”
“ถ้าอย่างนั้นนายถามฉันทำไม” ซองยอลวางเตารีดลงแล้วแขวนเสื้อกับไม้แขวนจากนั้นจึงวางลงกับโซฟาอย่างระวัง เขาหยิบเนคไทที่ถูกโยนใส่มารีดสองสามหนแล้วม้วนเก็บ
“ไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันเถอะ”
“นายเป็นคริสเตียนเหรอ” เขาพยายามนึกถึงข้อมูลบนบัตรประชาชนของอีกฝ่าย
“ใครๆ ก็ฉลองคริสต์มาสได้ทั้งนั้น” มยองซูเคาะนิ้วกับโต๊ะหน้าโทรทัศน์ “ไปเถอะ ฉันอุตส่าห์จะเลี้ยงเชียวนะ”
“ว่าไงนะ?” ซองยอลถึงกับหยุดรีดกางเกงชั่วคราว
“เดี๋ยว.ฉัน.เลี้ยง”
“วันอีฟปีนี้หิมะคงตกลงมาเป็นหนอนวุ้น”
“หา?”
“เมื่อปี 2006 ประเทศไทยเคยมีข่าวว่ามีหนอนวุ้นตกลงมาจากท้องฟ้า”
“เป็นไปไม่ได้หรอก!”
“ก็เป็นไปไม่ได้น่ะสิ เหมือนเรื่องที่นายพูดนั่นแหละ” เขารีดกางเกงต่อไปเรื่อยๆ จนเสร็จ แล้วมยองซูก็เข้ามาแย่งเตารีดไปจากมือเพื่อรีดเสื้อผ้าส่วนของตัวเองบ้าง
“นายเลิกงานกี่โมง?” อีกฝ่ายชวนเขาคุยต่อ
“สี่โมงเย็น” ซองยอลตอบ
“ถ้าอย่างนั้นวันที่ยี่สิบสี่ฉันจะไปรอที่ล้อบบี้ตึกนายตอนสี่โมง”
เขาชันเข่าขึ้นกอดแล้วมองหน้ามยองซูอย่างกังขา “นายไม่ได้ล้อเล่นหรอกเหรอ?”
“ก็ไม่ได้ล้อเล่นน่ะสิ”
มยองซูยืนยันคำพูดของตัวเองด้วยการส่งข้อความหาเขาตั้งแต่บ่ายสามโมงครึ่งของวันที่ยี่สิบสี่ว่า ‘มาถึงแล้ว รออยู่ข้างล่างนะที่รัก’
เพื่อนร่วมงานโต๊ะข้างๆ ของเขาบังเอิญเป็นหญิงสาวช่างคุย พอหล่อนเห็นเขาเปิดข้อความอ่านแล้วทำหน้าบอกบุญไม่รับก็ถือวิสาสะลุกขึ้นเดินอ้อมหลังมาอ่าน ดังนั้นเมื่อเลิกงานจึงมีสายตาอยากรู้สอดส่ายไล่หลังซองยอลตั้งแต่ชั้นบนจนถึงชั้นล่าง เขาต้องโทรศัพท์สั่งให้มยองซูไปรอเขาที่สถานีรถไฟใต้ดินแล้วตามไปพบกันที่นั่นแทน ฝ่ายนั้นถามว่าทำไม เขาอธิบายเหตุผลอย่างมีอารมณ์ ทว่าพอมยองซูฟังจบก็หัวเราะเสียงดังแล้วถามเขาว่า ‘เขินเหรอ ที่รัก’
มยองซูถามเขาว่าอยากกินอะไรแล้วพาเขาไปกินอย่างที่ขอ อีกฝ่ายประหลาดใจที่เขาเลือกกินออมุกกุกบนรถเข็นขายอาหารข้างทาง ซองยอลกำลังเลือกลูกชิ้นปลาแผ่นใหญ่ๆ หน้าตาคล้ายโอเด้งของญี่ปุ่นอยู่ตอนที่มยองซูกระซิบถามเขาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
“นายคิดว่าฉันไม่มีปัญญาเลี้ยงอาหารดีๆ รึไง?”
เขามองหน้าอีกฝ่ายงงๆ พลางหยิบออมุกกุกขึ้นจากน้ำซุปมาเป่าให้หายร้อน “เปล่า ฉันอยากกินจริงๆ” ออมุกกุกร้อนๆ เหมาะกินเวลาอากาศหนาวที่สุด
“คริสต์มาสอีฟทั้งทีทำไมไม่กินอะไรที่มันพิเศษหน่อยล่ะ”
“แค่นายเลี้ยงก็พิเศษแล้วนี่”
ซองยอลไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้ซึ้ง เขาเพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปก็เมื่อมยองซูระบายยิ้มบนใบหน้าแล้วตักน้ำซุปใส่ถ้วยส่งให้เขา “พูดได้จับใจมาก”
“เปล่าซักหน่อย” เขาบ่นอุบอิบแต่ก็ยอมรับน้ำซุปมายกจิบ “นายกินด้วยสิ” เขาหยิบแก้วกระดาษมาตักน้ำซุปส่งให้อีกฝ่ายบ้าง
“ชนมั้ย?”
“ชนทำไม” ซองยอลส่งออมุกกุกเข้าปาก
“แด่นาย”
เขาเลิกคิ้วใส่มยองซูแทนคำถามเพราะปากไม่ว่าง
“แด่เจ้าของห้องผู้ใจดี” อีกฝ่ายยื่นมือมาชนแก้วกับเขาแล้วยกน้ำซุปขึ้นจิบ “วันนี้ฉันเลี้ยงเพื่อขอบคุณนายไงล่ะ”
“ทำไม นายจะไปแล้วเหรอ?”
“ทำไมล่ะ นายไม่อยากให้ฉันไปเหรอ?”
ซองยอลทำหน้าเอือมระอาพลางถอนหายใจหน่ายๆ เขาหันไปเลือกออมุกกุกไม้ที่สามโดยไม่ตอบคำถามของมยองซู พวกเขากินกันต่อเงียบๆ กระทั่งเจ้าของร้านอุทานออกมาเบาๆ แล้วชี้นิ้วออกไปนอกกระโจมพลาสติกซึ่งกางไว้เพื่อกันลมหนาว
“หิมะตกแล้ว” มยองซูเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน
ซองยอลมองตามแล้วพยักหน้า “หิมะตกอีกแล้ว”
อีกฝ่ายทำหน้าเอือมใส่เขาบ้าง “วันนี้มันเพิ่งจะตกเองนะ”
“แต่ปีนี้มันตกมาไม่รู้กี่วันแล้ว”
“นายหัดดีใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บ้างสิ ชีวิตจะได้มีความสุข”
เขาทำหน้าบึ้งแล้วกัดลูกชิ้นปลาเข้าปาก “ฉันไม่มีสิทธิ์จะมีความสุขหรอก เพราะทำให้พ่อแม่เป็นทุกข์” เพราะมีอาหารอยู่ในปากด้วยจึงทำให้มยองซูฟังเขาพูดไม่รู้เรื่อง
“อะไรนะ?”
เขาถอนหายใจแล้วบอกว่าช่างมันเถอะ เขาแค่บ่นไปเรื่อย
จู่ๆ มยองซูยื่นมือมาลูบหัวเขา ซองยอลปัดมืออีกฝ่ายออกแล้วขมวดคิ้วมองดุๆ “ทำอะไร”
“ก็เห็นทำหน้าหงอยๆ”
“ฉันไม่ใช่เด็กนะ โตกว่านายด้วย” เขาพูดอย่างนั้นทั้งที่ในใจกำลังนึกถึงออมุกกุกฝีมือแม่
มยองซูปล่อยให้เขากินต่อไปโดยไม่กวนเขาอีก ฝ่ายนั้นก็กินด้วย นอกจากนี้ยังชวนเจ้าของร้านคุยสัพเพเหระอีก ในที่สุดเมื่อพวกเขาทั้งคู่อิ่ม มยองซูก็จ่ายเงินและกล่าวสุขสันต์วันอีฟกับเจ้าของร้านก่อนเดินตามเขาออกไปยืนตากหิมะนอกกระโจม
ข้างนอกนั้นเต็มไปด้วยคู่รักเดินโอบกอดกันเพื่อคลายความหนาว หลายคู่ที่หลบเข้าไปนั่งตากฮีทเตอร์ในร้านอาหารต่างพูดคุยกันกระหนุงกระหนิง ซองยอลคิดว่าป่านนี้อูฮยอนกับพี่ซองกยูเองก็คงกำลังนั่งกินอะไรอร่อยๆ อยู่ด้วยกันที่ไหนสักแห่ง หรือไม่อย่างนั้นก็คงเป็นพี่ซองกยูฝ่ายเดียวนั่นแหละที่กำลังกินของหวานอยู่
ซองยอลรู้สึกตัวว่ากำลังคิดเรื่อยเปื่อยก็ตอนที่มยองซูตบไหล่เรียกเขา อีกฝ่ายถามว่าจะกลับเลยไหม เมื่อเขาพยักหน้ามยองซูก็โบกมือให้
“กลับดีๆ ล่ะ”
เขายืนอึ้งไปครู่หนึ่งก็ตอบว่า “ถ้าอย่างนั้น...ฉันไปก่อนนะ” แล้วหันหลังให้อีกฝ่ายก่อนจะเดินจากมา ในหัวสมองว่างเปล่าพิกล เขาอดใจหายไม่ได้เมื่อจู่ๆ มยองซูก็จะไป แล้วข้าวของของมยองซูล่ะ หรืออีกฝ่ายจะเก็บออกไปแล้วก่อนจะไปรับเขาที่ตึก บัตรประชาชนที่เขายังคงเก็บไว้กับตัวล่ะ หรือมยองซูจะไปแจ้งบัตรหายแล้วทำใหม่แล้ว
ซองยอลกลับถึงห้องแล้วพบว่ามันยังอยู่ในสภาพเดิมทุกอย่าง ที่โซฟาฝั่งหนึ่งยังมีผ้าห่มพับกองไว้ เขาเดินไปเปิดตู้เก็บดีวีดีที่มยองซูยึดไปเป็นตู้เสื้อผ้าก็ยังเห็นของๆ มยองซูยัดอยู่ในนั้น เขานั่งคุกเข่าอยู่ในท่าเดิมพักใหญ่ ทันใดนั้นมีเสียงเคาะประตูดังจากหน้าห้อง ซองยอลรีบลุกออกไปเปิดโดยไม่มองตาแมวหรือตะโกนถามว่านั่นใคร
ชายคนที่ยืนถือกล่องเค้กใบใหญ่อยู่หน้าห้องจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคิมมยองซู
“นาย...“
“กลับมาแล้ว”
“นายหลอกฉันเหรอ!?”
“ใครเขาหลอกนายกัน” มยองซูส่ายหน้าพลางเดินแทรกตัวเข้ามาในห้อง
“ไหนนายบอกว่านายจะไปแล้ว”
“ฉันยังไม่ได้พูดอย่างนั้นซักคำ”
“แต่...“
“ไม่มีแต่ นายคิดเองเออเองทั้งนั้น”
ซองยอลได้แต่ยืนมองอีกฝ่ายหยิบเค้กหน้าตาน่ากินออกจากกล่องวางบนโต๊ะหน้าโทรทัศน์แล้วเริ่มต้นร้องเพลงจิงเกิลเบลล์คนเดียว
“ยืนอยู่ทำไมล่ะ มากินเค้กสิ” มยองซูกวักมือเรียกเขา เมื่อเห็นเขาไม่ยอมขยับก็ลุกจากโซฟามาลากตัวเขาไปนั่งด้วยกัน อีกฝ่ายส่งส้อมจิ้มสตรอเบอร์รี่ให้เขา ส่วนตัวเองจ้วงส้อมลงไปในครีมสดเนื้อหนาแล้วส่งเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
ยิ่งซองยอลเห็นมยองซูทำตัวตามปกติในห้องของเขามากเท่าไรก็ยิ่งโมโหมากเท่านั้น เขาโยนส้อมลงกับโต๊ะทั้งที่ยังไม่ได้แตะต้องสตรอเบอร์รี่สีแดงสด ใช้ปลายนิ้วทั้งห้าควักเอาครีมขึ้นป้ายใส่หน้าอีกฝ่ายอย่างเหลืออด
“ไอ้งี่เง่า!” เขาตะโกนใส่ใบหน้าเปื้อนครีมของมยองซูจบแล้วก็เดินกระแทกเท้าเข้าไปล้างมือในห้องน้ำ ขณะกำลังจะเดินกลับไปห้องนอน มยองซูก็โผล่มาป้ายครีมใส่หน้าเขาโครมใหญ่
“เฮ้ย!” ซองยอลร้องเสียงหลง
“สมน้ำหน้า เป็นยังไง ตกใจใช่มั้ยล่ะ” อีกฝ่ายทับถมเขาจบก็ปิดท้ายด้วยการหัวเราะเยาะใส่
“คิมมยองซู!” เขาปาดครีมออกจากหน้าตัวเองแล้วมองหน้าฝ่ายนั้นด้วยความโกรธ “นายกล้าดียังไง!? ออกไปจากห้องนี้เดี๋ยวนี้เลย!”
“ไม่มีทาง”
“ออกไป” ซองยอลสะบัดนิ้วชี้ไปทางประตูจนครีมกระเด็นลงพื้น
“ไม่ไป”
“ออกไป”
“ไม่ออก”
“อย่ามากวนนะ ออกไปเดี๋ยวนี้”
“ฉันไม่ไปไหนหรอก เดี๋ยวมีคนหงอยจนเดินคอตก”
เขาอายจนหน้าแดงแต่เถียงไม่ออกเพราะรู้ตัวว่าเป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูดจริง สุดท้ายหลังจากยืนกำมือแน่นอยู่ครู่หนึ่ง ซองยอลก็เตะหน้าแข้งมยองซูเต็มแรงแล้วเดินกลับเข้าไปล้างครีมในห้องน้ำอีกหน
“เจ็บนะ!”
ซองยอลแค่นหัวเราะดังหึใส่กระจก นึกสมน้ำหน้าอีกฝ่ายในใจ
“หลบไป” มยองซูตามเขาเข้ามาล้างหน้าในห้องน้ำด้วย ฝ่ายนั้นเบียดเขาออกจากอ่างหน้าตาเฉย เขาซึ่งปกติจะไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วยแต่คราวนี้อยู่ในอารมณ์อยากเอาชนะจึงเบียดกลับไป มยองซูหัวเราะใส่หน้าเขาแล้วออกแรงผลักกลับนิดเดียวก็ทำเขาเซแถดๆ ไปนั่งบนขอบอ่างอาบน้ำ ซองยอลเปิดฝักบัวฉีดน้ำเย็นจัดใส่อีกฝ่ายแล้ววิ่งหายออกไปก่อนมยองซูจะแก้แค้นได้ทัน
“อีซองยอล!” เขาได้ยินเสียงอีกฝ่ายตะโกนไล่หลัง “ถ้าฉันเป็นหวัดนะ!”
ซองยอลใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดครีมออกจากหน้า ปากก็คลี่ยิ้มใส่บานประตูห้องนอนซึ่งช่วยเขากันมยองซูไว้ข้างนอก เขารอจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำอะไรเขาแล้วจึงแง้มประตูยื่นหน้าออกไป มยองซูซึ่งน่าจะเพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินเข้ามาขยี้หัวเขาแรงๆ อย่างมันเขี้ยวแล้วหัวเราะหึๆ ใส่หน้าเขา
“อะไร?” ซองยอลถามพลางยกมือขึ้นคลำหน้าหาสิ่งผิดปกติ
“นายยังร้ายไม่เปลี่ยน” อีกฝ่ายชี้ท้องกับหน้าแข้งของตัวเองสลับกัน “วันแรกเป็นยังไง วันนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น”
เขายกมือขึ้นลูบท้ายทอยเขินๆ ก่อนจะเปิดประตูให้กว้างขึ้นแล้วเดินตรงไปอาบน้ำ มยองซูเดินตามเขามา เมื่อเขาปิดประตูอีกฝ่ายคงเอนตัวลงพิงเพราะเขาได้ยินเสียงตุบเบาๆ
“นี่ ฉันยังอยู่ที่นี่ได้ใช่มั้ย”
ซองยอลถอดเสื้อผ้าออกโดยไม่ยอมตอบคนข้างนอก
“ไม่ตอบแปลว่าได้นะ”
เขาปล่อยให้อีกฝ่ายพูดคนเดียวส่วนตัวเองก้าวเข้าไปอาบน้ำอุ่นในอ่าง
“ไม่อยากให้ฉันไปใช่มั้ยล่ะ”
ซองยอลขมวดคิ้วใส่บานประตูขณะรองน้ำเพื่อแช่ตัว
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะอยู่กวนนายต่อไปอีกนานเลยละ”
จบประโยคนั้นมยองซูก็เงียบเสียงไป ซองยอลคิดว่าอีกฝ่ายคงกลับไปนั่งดูโทรทัศน์แล้ว หลังจากแช่ตัวอยู่พักใหญ่ เขาก็ลุกออกจากอ่างไปแต่งตัวและแปรงฟัน
ทว่าเมื่อเปิดประตูออกไปซองยอลกลับพบมยองซูยืนกอดอกรออยู่
“อะ-” เขาผงะถอยหลังไปสองสามก้าว “อะไรของนาย ตกใจหมด”
“ฉันรอนายอยู่”
“รอฉัน?”
“เมื่อกี้ว่าจะอาศัยช่วงเล่นครีมแต่ดันหาจังหวะไม่ได้”
“หา?”
ทันใดนั้นมยองซูก็เดินเข้ามาประชิดตัวเขาแล้วยื่นใบหน้ามาประทับจูบ “สุขสันต์วันอีฟนะที่รัก” ฝ่ายนั้นกระซิบบอกเขาแล้ววิ่งแจ้นไปคลุมโปงใต้ผ้าห่ม
ซองยอลทรุดตัวลงนั่งกับพื้นแล้วตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่ายลั่นห้อง
“คิมมยองซู!”
ความคิดเห็น