ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [INFINITE] Untitled [MyungYeol]

    ลำดับตอนที่ #3 : [Untitled] Chapter 2

    • อัปเดตล่าสุด 21 เม.ย. 56


    Chapter 2

                    ซองยอลกลับไประวังตัวอีกหน แต่คราวนี้มยองซูไม่ยักหัวเสียอย่างคราวก่อน ตรงกันข้ามฝ่ายนั้นดูจะสนุกเสียด้วยซ้ำ มยองซูเห็นเขาคอยหลบเลี่ยงก็ยิ่งเข้าหา ไม่ว่าซองยอลจะทำอะไร หากมยองซูตื่นอยู่และไม่ขี้เกียจ เขาจะคอยเดินตามซองยอลไปทุกหนแห่ง

                    ครั้งหนึ่งซองยอลกำลังชงซุปกึ่งสำเร็จรูปอยู่ในครัว มยองซูเดินเข้ามาแกล้งกอดเขาจากด้านหลัง เขาตกใจจนทำถ้วยมักตกแตก ซุปร้อนๆ หกรดเท้าเขาเข้าเต็มรัก ส่วนมยองซูผงะหนีน้ำร้อนพ้นแต่ถอยไปเหยียบถูกเศษกระเบื้องเต็มแรง พวกเขาหอบสังขารฝ่าอากาศหนาวไปหาหมอที่คลินิกใกล้ๆ คนหนึ่งหลังเท้าแดงแจ๋เพราะถูกลวก ส่วนอีกคนฝ่าเท้าแดงเถือกเพราะเลือดอาบ ดูไม่จืดทั้งคู่จนแม้แต่หมอยังอดแซวไม่ได้

                    แหม กว่าจะพากันมาถึงคงลำบากน่าดูเลยนะคะ เธอยังอารมณ์ดีอยู่ แม้จะเห็นเลือดสดๆ หยดลงบนพื้นห้องสะอาดสะอ้านขณะมยองซูอวดเท้าโชว์แผล

                    วันต่อมาซองยอลต้องลางานเพราะเดินมากๆ ไม่ไหว มยองซูก็ต้องลางานเหมือนกัน ซองยอลฟังแล้วแค่นหัวเราะดังหึ

    ไม่ยักรู้ว่างานอย่างนั้นก็ต้องลา

                    นี่ มยองซูยื่นปลายเท้าข้างที่ไม่เจ็บมาเขี่ยข้อศอกเขาอย่างไร้มารยาท ฉันแค่เปรียบเทียบไม่ได้รึไง ฉันไปไม่ไหวก็ถือว่าฉันลานั่นแหละ

                    เขาปัดเท้าอีกฝ่ายออกไปแล้วถูข้อศอกตัวเองอย่างหวงแหน อย่ามาโดนตัวฉันนะ เดี๋ยวก็เป็นเรื่องอีกหรอก

                    มยองซูมองเขาแล้วกลอกตาพลางถอนหายใจอย่างระอา ฉันนอนอยู่นี่ ส่วนนายนั่งอยู่นั่น เขาชี้โซฟายาวที่ตัวเองนอนแบ็บอยู่สลับกับโซฟาเดี่ยวตัวที่ซองยอลนั่ง มันจะมีเรื่องอะไร ไฟบนเพดานจะตกใส่หัวเรารึไง?

                    ถ้าฉันถือรีโมทอยู่แล้วนายเล่นพิเรนทร์อีก ฉันอาจจะตกใจจนเผลอโยนรีโมทขึ้นไปโดนไฟบนเพดานตกลงมาแตกก็ได้

                    นายปัญญาอ่อนรึไง?”

                    ซองยอลจ้องหน้ามยองซูตาเขียว เขาชี้นิ้วใส่เท้าข้างขวาของตัวเองอย่างโกรธๆ นายเห็นเท้าฉันมั้ย บอกได้มั้ยว่าใครเป็นคนเล่นปัญญาอ่อนจนมันเป็นอย่างนี้?

                    ฉันก็ชดใช้ให้แล้วนี่ไง มยองซูโบกเท้าซ้ายซึ่งพันผ้าพันแผลไว้อย่างดีขึ้นกลางอากาศ ฉันเป็นหนักกว่านายยังไม่บ่นเลย

                    นายลองบ่นซักคำสิ เขายกมือขึ้นทำท่าปาดคอ

                    น่ากลัวจะแย่แล้ว

                    คิมมยองซู

                    รู้แล้วน่า เพราะรู้ว่าตัวเองเป็นคนผิดถึงได้ไม่บ่นอยู่นี่ไง

                    ดี ซองยอลนึกขอบคุณที่มยองซูยังพอมีสามัญสำนึกกับเขาบ้าง เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรสั่งอาหาร สองวันหลังจากนั้นก็เหมือนกัน ซองยอลกับมยองซูต้องพึ่งพาร้านอาหารที่มีบริการส่งถึงบ้าน พวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ด้วยกันในห้องรับแขก ซองยอลไม่กินข้าวในห้องนอนเพราะไม่ชอบให้มีกลิ่นอาหารในนั้น นอกจากนี้ยังไม่อยากเดินเข้าเดินออกห้องนอนกับห้องข้างนอกบ่อยๆ จึงขนงานออกมาทำหน้าโทรทัศน์ กินข้าวก็กินตรงนั้น ทำงานก็ทำตรงนั้น บางครั้งก็หยุดพักดูรายการที่มยองซูเปิดดูบ้าง ช่วงที่อยู่ด้วยกันทำให้ซองยอลรู้เรื่องของมยองซูเพิ่มขึ้นสองสามอย่าง

                    เขารู้ว่ามยองซูชอบกินอาหารรสหวาน จานโปรด (ในบรรดาอาหารเดลิเวอรี่) ของอีกฝ่ายคือจาจังมยอน มยองซูมักใช้ไชเท้าดองปาดน้ำซอสสีดำกินจนหยดสุดท้าย เขาไม่ชอบแครอทจึงมักคีบใส่ชามให้ซองยอลเสมอ ปากบอกว่าบริการให้ทั้งที่จริงๆ แล้วตัวเองไม่อยากกิน

                    มยองซูชอบดูรายการเพลงแล้วขยับปากพึมพำร้องตาม ซองยอลยอมรับอย่างไม่เต็มใจนักว่าอีกฝ่ายมีน้ำเสียงไพเราะ มยองซูมักหลับตาร้องเวลาอินจัดๆ บางครั้งเมื่อเห็นเขามองก็คว้ารีโมทมาถือต่างไมโครโฟนจนเขาอดอมยิ้มไม่ไหว

                    มยองซูยังเป็นพวกตื๊อไม่เลิกชนิดกัดไม่ปล่อย แผลที่เท้าต้องทำความสะอาดและใส่ยาใหม่ทุกวัน แต่แทนที่จะจัดการเองฝ่ายนั้นกลับขอให้ซองยอลช่วยทำให้ พอเขาปฏิเสธก็บ่นพึมพำติดต่อกันเป็นชั่วโมงบ้างละ ขู่ปัญญาอ่อนว่าจะฉวยจังหวะขโมยจูบบ้างละ กวนเวลาเขาทำงานบ้างละ ในที่สุดเมื่อเขาทนไม่ไหวจนต้องช่วยทำแผลให้ มยองซูก็จะนอนนิ่งๆ ให้เขาเช็ดหนองและใส่ยา จากนั้นก็ยิ้มให้และบอกขอบใจ กลับกันก็อาสาทายาให้เขาเป็นการตอบแทนและโบกมือให้อย่างไม่ใส่ใจเมื่อเขากล่าวขอบคุณ

    แผลที่เท้าใช้เวลาสามวันจึงหายสนิท ซองยอลรู้จักมยองซูดีขึ้นพร้อมๆ กับที่แผลอาการดีขึ้น

     

                    กลับมาแล้วเหรอ

                    กลับมาแล้ว

                ขอรบกวนหน่อยนะ

                    ซองยอลเดินนำอูฮยอนเข้าห้อง คงเพราะได้ยินเสียงของใครไม่รู้มยองซูจึงยืดคอจากโซฟาสุดชีวิตเพื่อดูว่าเขาพาใครมา พอเห็นหน้าเพื่อนสนิทของเขา ฝ่ายนั้นที่เดิมทีกำลังนอนแผ่หราอยู่ก็ยันศอกขึ้นนั่งช้าๆ ราวกับป่วยหนักทั้งที่จริงๆ แล้วใกล้จะหายเต็มที

    มยองซูส่งยิ้มอิดโรยให้อูฮยอนแล้วถามเสียงแหบ เพื่อนของซองยอลเหรอ

    ใช่ ซองยอลเป็นฝ่ายตอบ อูฮยอน นี่มยองซู มยองซู นี่อูฮยอน

    ชื่อน่ารักดี

    อูฮยอนได้ยินคำชมแล้วขยับมายืนชิดเขาทันควัน เพื่อนสนิทแอบกระซิบข้างหูว่าหมอนี่เลี่ยนชะมัด ซองยอลพยักหน้ารับ เขาเองเพิ่งเคยเห็นมยองซูคุยกับคนอื่นเพราะตลอดมาพบกันเฉพาะเวลาอยู่ด้วยกันสองคนในห้อง แม้จะพอรู้ว่าคิมมยองซูเป็นคนช่างฉอเลาะเพราะลักษณะงานน่าจะทำให้อีกฝ่ายต้องพูดจาทำนองนี้เสมอจนติดเป็นนิสัย แต่ซองยอลก็อดหมั่นไส้อีกฝ่ายไม่ได้

    ฉันเล่าให้อูฮยอนฟังแล้วว่านายแค่โดนกระเบื้องตำเท้า

    ไข้ฉันกลับ มยองซูยกหลังมือขึ้นอังหน้าผากอย่างมีจริต

    นายคงป่วยจนต้องโทรศัพท์สั่งหนังจากร้านเช่ามาดูเลยสินะ ซองยอลเหล่กองภูเขาแผ่นบลูเรย์บนโต๊ะหน้าทีวีแล้วจ้องตาอีกฝ่ายอย่างจับผิด อูฮยอนมีแฟนแล้ว เขาบอกสั้นๆ หวังจะให้ฝ่ายนั้นเลิกส่งสายตาก้อร่อก้อติกใส่เพื่อนสนิทของเขา

    เหรอ แต่มยองซูยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ลูกค้าของฉัน 90% มีแฟนแล้ว

    ซองยอลเหลือบเห็นอูฮยอนเบ้ปากด้วยความขยะแขยง

    ฉันบอกนายแล้วใช่มั้ยว่าอย่าเจอเขาดีกว่า เขาแอบกระซิบกับเพื่อน

    นายทนอยู่กับคนอย่างนี้ได้ยังไง!?” อูฮยอนเอ็ดเขาเบาๆ โคตรน่ารังเกียจอะ!”

    เขาก็พอมีดีบ้างแหละ

    นี่นายแก้ตัวแทนเขาเหรอ เพื่อนของเขาทำหน้าเหมือนโลกจะแตก นายโดนหมอนี่กินไปแล้วใช่มั้ย!?”

    ซองยอลกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายมาเขย่าเป็นการลงโทษฐานปากพล่อย เขาลากตัวอูฮยอนเข้าไปในห้องนอน ปิดประตูลงกลอนแล้วหันไปแยกเขี้ยวใส่เพื่อนสนิท นายคิดเป็นอยู่เรื่องเดียวรึไง เลิกยัดเยียดให้ฉันตกเป็นของเขาซักทีเถอะ!”

    อูฮยอนเท้าสะเอวมองเขา นายฟังที่หมอนั่นพูดสิ แล้วไหนจะสายตาที่ใช้มองฉันอีก คิมมยองซูมาดหมาป่าออกขนาดนั้น ลูกแกะอย่างนายรึจะสู้ไหว

    อ้อ เหมือนลูกแกะอูฮยอนกับหมาป่าซองกยูน่ะเหรอ

    อย่ามา!” อูฮยอนหน้าแดงแจ๋ได้แต่ทำเสียงดังกลบเกลื่อน

    มยองซูไม่ทำอะไรฉันหรอก เขากลัวไม่มีที่อยู่ และฉันก็ไม่ได้จ่ายเงินให้เขาซองยอลถูกเพื่อนบังคับให้เล่าว่ามยองซูทำงานอะไร และอูฮยอนก็เริ่มต้นตื๊อขอมาที่ห้องทันทีที่รู้ว่ามยองซูทำงานอะไร

    เพื่อนสนิทมองเขาอย่างกังวล ซองยอลนึกขอบคุณที่เพื่อนอุตส่าห์เป็นห่วง ถ้ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นฉันจะเล่าให้นายฟัง

    เหอะ อูฮยอนกอดอกทำเสียงฮึดอัดในลำคอ ฉันไม่เชื่อหรอก แค่จะขอดูหน้าคิมมยองซูยังต้องเกลี้ยกล่อมอ้อนวอนจนเสียงแทบแหบเลย

    ก็ฉันรู้ว่าถ้านายเจอเขาแล้วจะเป็นอย่างนี้

    เป็นยังไง?

    นายไม่ชอบเขา

    แปลว่านายชอบเขาเหรอ!?” อูฮยอนทำเสียงร่ำๆ จะขาดใจอีกหน

    นัมอูฮยอน!”

    ไม่พูดแล้วก็ได้!” เพื่อนสนิทกระแทกเสียงใส่ซองยอลโกรธๆ เขาเห็นอาการของเพื่อนแล้วได้แต่ถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม จู่ๆ อูฮยอนลุกพรวดจากขอบเตียงไปเปิดประตูตะโกนเรียกชื่อคิมมยองซูดังลั่น เจ้าของชื่อวางนิตยสารรถลงบนตักพลางขานรับงงๆ

    มีอะไรครับ?

    ซองยอลได้ยินถ้อยคำสุภาพนั้นแล้วทำคิ้วย่น

    นายจะไม่ทำอะไรซองยอลใช่มั้ย

    เขาเดินตามไปบีบแขนอูฮยอนแรงๆ เป็นการเตือนไม่ให้พูดมากจึงเห็นมยองซูส่งยิ้มหวานหยดให้เพื่อนเขาแล้วถามกลับเหมือนไม่เข้าใจว่า ทำอะไรล่ะครับ?

    ก็อะไรๆ น่ะแหละ

    ไม่รู้สิครับ

    อูฮยอนกระโจนเข้าไปคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายขึ้นเต็มสองมือ นายจะไม่ทำอะไรซองยอลใช่มั้ย? น้ำเสียงเพื่อนสนิทเหมือนขู่มากกว่าถาม มยองซูคงคิดเหมือนเขาจึงชูมือขึ้นโบก ผมไม่ชอบบังคับใคร

    แน่นะ

    ครับ

    สาบาน?

    มยองซูชูสามนิ้ว

    งั้นฉันยอมให้นายอยู่กับเพื่อนฉันก็ได้ อูฮยอนว่าพลางปล่อยมือจากอีกฝ่ายแล้วตบมือป้าบๆ พลางหันมาพูดกับซองยอล วันนี้รบกวนแค่นี้แหละ กลับก่อนนะ

    ไปส่งมั้ย?

    ไม่ต้องหรอก พี่ซองกยูคงมาถึงแล้ว

    อ้อ เขาหัวเราะหึหึ บางครั้งเวลามาห้องของเขา อูฮยอนก็นัดให้พี่ซองกยูมารับที่นี่ งั้นไปเถอะ

    อื้อ อูฮยอนสะพายกระเป๋าขึ้นบ่าแล้วเดินกลับออกไป เพื่อนสนิทไม่วายหันมาค้อนวงโตใส่ซองยอลเพราะโดนแซวว่า อย่าชวนกันไปเถลไถลล่ะ เขาหัวเราะแล้วงับประตูปิดเมื่ออูฮยอนเดินหายเข้าไปในลิฟต์แล้ว

    คนนี้ใช่มั้ยที่เตือนให้นายระวังฉัน มยองซูถามขึ้นทันทีที่เขากลับเข้าไปในห้องรับแขก

    ซองยอลพยักหน้าตอบ

    เป็นเพื่อนที่ดีนะ อีกฝ่ายพลอยพยักหน้าตามเขาไปด้วย น่ารักแต่ดุ

    อูฮยอนมีแฟนแล้ว

    รู้แล้วน่า มยองซูพูดติดรำคาญ เมื่อกี้นายบอกฉันแล้ว

    ทำไมนายต้องพูดอย่างนั้นกับเขาด้วย เขาไม่ใช่ลูกค้าของนายนะ ซองยอลยกมือกอดอกพูดหน้าเครียด

    อีกฝ่ายเลิกคิ้วใส่เขาแทนคำถามว่าพูดเรื่องอะไร ซองยอลจึงตอบเสียงขุ่น ฉันได้ยินนายคุยโทรศัพท์ นายพูดเพราะทุกประโยคซ้ำยังตบท้ายด้วยคำหวาน ช่วงลางานซองยอลอยู่กับมยองซูตลอดทั้งวัน บางครั้งจึงต้องฟังฝ่ายนั้นคุยโทรศัพท์อย่างเสียไม่ได้ นายคุยกับลูกค้าใช่มั้ยล่ะ

    ใช่ มยองซูพยักหน้า แล้วไงล่ะ?

    อูฮยอนไม่ใช่ลูกค้าของนาย อย่าพูดจาแบบนั้นกับเขา

    เงื่อนไขของนายนี่เยอะขึ้นทุกวันอีกฝ่ายยิ้มพลางส่ายหัวหน่ายๆ

    ถ้าไม่ชอบก็ออกไป

    นายคงไม่ได้กลัวฉันทิ้งนายไปยุ่งกับเพื่อนนายแทนหรอกนะ?

    ซองยอลจ้องอีกฝ่ายเขม็ง นายอย่าสำคัญตัวผิด เขาส่งเสียงลอดไรฟัน อูฮยอนเป็นเพื่อนของฉัน ฉันไม่ต้องการให้นายเอาเขาไปรวมกับลูกค้าของนาย

    โทรศัพท์มือถือของมยองซูดังขึ้นพอดีฝ่ายนั้นจึงละสายตาจากเขาไปกดรับโทรศัพท์ ทันทีที่ได้ยินมยองซูเอ่ยทักทายอีกฝั่งสายว่า สวัสดีครับ ฮเยจิน ซองยอลก็เบือนหน้าหนีและหันหลังเดินไปเปิดตู้เย็นในครัว เขาหยิบน้ำออกมาเทดื่มแล้วกระแทกแก้วลงกับโต๊ะอย่างหัวเสีย

    เขาไม่ได้กลัวมยองซูจะทิ้งเขาไปไหน เมื่อเขาบอกว่าไม่อยากให้อีกฝ่ายเอาอูฮยอนไปเหมารวมกับลูกค้าก็แปลว่าเขาหมายความตามนั้นจริงๆ

    แต่ว่า

    เขาปฏิเสธไม่ได้ว่าวันหนึ่งเขาอาจจะรู้สึกอย่างที่ถูกกล่าวหาเพราะเขาสนิทใจกับมยองซูขึ้นทุกที เขารู้ตัวทันทีที่อูฮยอนบอกว่าเขาแก้ตัวแทนมยองซู และเมื่อเพื่อนสนิทถามว่าเขาชอบมยองซูหรือ เขาเลือกจะไม่ตอบแต่ขึ้นเสียงใส่เพื่อนแทน

    ซองยอลไม่โง่ เขารู้ว่าถ้าปล่อยให้ตัวเองใกล้ชิดกับมยองซูไปมากกว่านี้สักวันคงจะชอบอีกฝ่ายขึ้นมาจริงๆ เดิมทีเขาอาศัยคนเดียว เพื่อนสนิทอย่างอูฮยอนก็มีคนรัก ซองยอลจึงรู้สึกเหงา หากเขาจะปล่อยใจให้ชอบใครสักคนคงไม่แปลก

    เขาสับสนว่าควรจะปล่อยให้มันเป็นไป หรือควรห้ามไม่ให้เรื่องอย่างนั้นเกิดขึ้นดี

    นานมากแล้วที่เขาไม่กล้าตกหลุมรักใคร เพราะเมื่อไรที่ใจสั่น ความทรงจำเมื่อวันที่พ่อรู้ความจริงจะย้อนกลับมาทำร้ายเขาเสมอ เขาควรเอาชนะความกลัวนั้นไหม หรือควรปิดกั้นใจไม่ให้หลงรักใครและไม่เปิดโอกาสให้ใครใกล้ชิดอย่างที่เคยทำมาต่อไป

    โดยเฉพาะกับชายแปลกหน้าที่ชื่อคิมมยองซู

     

    หลังจากนั้นทั้งซองยอลและมยองซูต่างทำตัวปกติ ซองยอลไม่อยากหลบหน้าอีกฝ่ายเพราะรู้ว่าขืนทำไปก็มีแต่จะถูกต้อนถามเอาเหตุผล เขาไม่อยากเสียเวลาห้ามใจตัวเองด้วย เพราะหากวันหนึ่งเขาเกิดชอบมยองซูขึ้นมาจริงๆ จะได้ไม่ต้องหัวเราะเยาะตัวเองทีหลังว่าสุดท้ายความพยายามก็ล้มเหลว

    ช่างมันเถอะ ซองยอลคิด อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เรื่องมันเหลือเชื่อตั้งแต่เขายอมให้มยองซูมาอยู่ด้วยแล้ว

    มยองซูก็เหมือนเดิม เขาคิดว่าที่อีกฝ่ายพูดอย่างนั้นคงเพราะต้องการแหย่เขาเล่นเฉยๆ มยองซูมีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นเขาอารมณ์เสีย บางทีซองยอลก็คิดว่าคนๆ นั้นเป็นโรคจิต

    โชคดีที่มยองซูเลิกแหย่เขาด้วยการเล่นถึงเนื้อถึงตัวแล้ว คงได้บทเรียนจากการเจ็บตัวเมื่อคราวก่อน ซองยอลเองก็ระวังตัวมากขึ้นด้วย ถ้าเขาเห็นมยองซูเข้าใกล้เกินกว่าเหตุเขาจะชี้ที่เท้าและมองหน้าอีกฝ่ายดุๆ เป็นการเตือน

    ฉันแค่จะเดินมากินน้ำเฉยๆมยองซูบ่นเสียงขุ่น

    ก็กินไปสิ ฉันเปล่าพูดอะไรซักคำ

    หน้านายมันเขียนว่า อย่า.เข้า.มา.ใกล้ ฝ่ายนั้นชี้นิ้วใส่หน้าเขาขวับๆ หวงเนื้อหวงตัวเหลือเกิน อย่างกับฉันอยากแตะต้องนักแหละ

    ซองยอลไม่เถียงต่อ แต่ยิ้มเย็นๆ ให้มยองซูแล้วชี้ที่เท้าซ้ายอีกหนแทน

    รู้แล้วน่ะ ฉันไม่โง่ ฉันเจ็บแล้วจำ!”

    บางครั้งเขาก็เป็นฝ่ายยั่วโมโหมยองซูบ้าง และสนุกทุกครั้งที่เห็นอีกฝ่ายโมโห

    เขาพอจะเข้าใจที่มยองซูชอบแกล้งแหย่เขาอยู่หรอก

     

    นี่

    บ่ายวันหนึ่งมยองซูทักเขาขณะรีดเสื้อ หือ? เขาขานรับโดยไม่ละมือจากงาน

    คริสต์มาสอีฟจะไปไหนรึเปล่า?

    ฉันไม่อนุญาตให้นายพาลูกค้ามาใช้ที่นี่แทนโรงแรม

    มยองซูโยนเนคไทในกองผ้ายังไม่ได้รีดใส่เขา อย่าชวนทะเลาะได้มั้ย

    ถ้าอย่างนั้นนายถามฉันทำไม ซองยอลวางเตารีดลงแล้วแขวนเสื้อกับไม้แขวนจากนั้นจึงวางลงกับโซฟาอย่างระวัง เขาหยิบเนคไทที่ถูกโยนใส่มารีดสองสามหนแล้วม้วนเก็บ

    ไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันเถอะ

    นายเป็นคริสเตียนเหรอ เขาพยายามนึกถึงข้อมูลบนบัตรประชาชนของอีกฝ่าย

    ใครๆ ก็ฉลองคริสต์มาสได้ทั้งนั้น มยองซูเคาะนิ้วกับโต๊ะหน้าโทรทัศน์ ไปเถอะ ฉันอุตส่าห์จะเลี้ยงเชียวนะ

    ว่าไงนะ? ซองยอลถึงกับหยุดรีดกางเกงชั่วคราว

    เดี๋ยว.ฉัน.เลี้ยง

    วันอีฟปีนี้หิมะคงตกลงมาเป็นหนอนวุ้น

    หา?

    เมื่อปี 2006 ประเทศไทยเคยมีข่าวว่ามีหนอนวุ้นตกลงมาจากท้องฟ้า

    เป็นไปไม่ได้หรอก!”

    ก็เป็นไปไม่ได้น่ะสิ เหมือนเรื่องที่นายพูดนั่นแหละ เขารีดกางเกงต่อไปเรื่อยๆ จนเสร็จ แล้วมยองซูก็เข้ามาแย่งเตารีดไปจากมือเพื่อรีดเสื้อผ้าส่วนของตัวเองบ้าง

    นายเลิกงานกี่โมง? อีกฝ่ายชวนเขาคุยต่อ

    สี่โมงเย็น ซองยอลตอบ

    ถ้าอย่างนั้นวันที่ยี่สิบสี่ฉันจะไปรอที่ล้อบบี้ตึกนายตอนสี่โมง

    เขาชันเข่าขึ้นกอดแล้วมองหน้ามยองซูอย่างกังขา นายไม่ได้ล้อเล่นหรอกเหรอ?

    ก็ไม่ได้ล้อเล่นน่ะสิ

    มยองซูยืนยันคำพูดของตัวเองด้วยการส่งข้อความหาเขาตั้งแต่บ่ายสามโมงครึ่งของวันที่ยี่สิบสี่ว่า มาถึงแล้ว รออยู่ข้างล่างนะที่รัก

    เพื่อนร่วมงานโต๊ะข้างๆ ของเขาบังเอิญเป็นหญิงสาวช่างคุย พอหล่อนเห็นเขาเปิดข้อความอ่านแล้วทำหน้าบอกบุญไม่รับก็ถือวิสาสะลุกขึ้นเดินอ้อมหลังมาอ่าน ดังนั้นเมื่อเลิกงานจึงมีสายตาอยากรู้สอดส่ายไล่หลังซองยอลตั้งแต่ชั้นบนจนถึงชั้นล่าง เขาต้องโทรศัพท์สั่งให้มยองซูไปรอเขาที่สถานีรถไฟใต้ดินแล้วตามไปพบกันที่นั่นแทน ฝ่ายนั้นถามว่าทำไม เขาอธิบายเหตุผลอย่างมีอารมณ์ ทว่าพอมยองซูฟังจบก็หัวเราะเสียงดังแล้วถามเขาว่า เขินเหรอ ที่รัก

     

    มยองซูถามเขาว่าอยากกินอะไรแล้วพาเขาไปกินอย่างที่ขอ อีกฝ่ายประหลาดใจที่เขาเลือกกินออมุกกุกบนรถเข็นขายอาหารข้างทาง ซองยอลกำลังเลือกลูกชิ้นปลาแผ่นใหญ่ๆ หน้าตาคล้ายโอเด้งของญี่ปุ่นอยู่ตอนที่มยองซูกระซิบถามเขาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์

    นายคิดว่าฉันไม่มีปัญญาเลี้ยงอาหารดีๆ รึไง?

    เขามองหน้าอีกฝ่ายงงๆ พลางหยิบออมุกกุกขึ้นจากน้ำซุปมาเป่าให้หายร้อน เปล่า ฉันอยากกินจริงๆออมุกกุกร้อนๆ เหมาะกินเวลาอากาศหนาวที่สุด

    คริสต์มาสอีฟทั้งทีทำไมไม่กินอะไรที่มันพิเศษหน่อยล่ะ

    แค่นายเลี้ยงก็พิเศษแล้วนี่

    ซองยอลไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้ซึ้ง เขาเพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปก็เมื่อมยองซูระบายยิ้มบนใบหน้าแล้วตักน้ำซุปใส่ถ้วยส่งให้เขา พูดได้จับใจมาก

    เปล่าซักหน่อย เขาบ่นอุบอิบแต่ก็ยอมรับน้ำซุปมายกจิบ นายกินด้วยสิ เขาหยิบแก้วกระดาษมาตักน้ำซุปส่งให้อีกฝ่ายบ้าง

    ชนมั้ย?

    ชนทำไม ซองยอลส่งออมุกกุกเข้าปาก

    แด่นาย

    เขาเลิกคิ้วใส่มยองซูแทนคำถามเพราะปากไม่ว่าง

    แด่เจ้าของห้องผู้ใจดี อีกฝ่ายยื่นมือมาชนแก้วกับเขาแล้วยกน้ำซุปขึ้นจิบ วันนี้ฉันเลี้ยงเพื่อขอบคุณนายไงล่ะ

    ทำไม นายจะไปแล้วเหรอ?

    ทำไมล่ะ นายไม่อยากให้ฉันไปเหรอ?

    ซองยอลทำหน้าเอือมระอาพลางถอนหายใจหน่ายๆ เขาหันไปเลือกออมุกกุกไม้ที่สามโดยไม่ตอบคำถามของมยองซู พวกเขากินกันต่อเงียบๆ กระทั่งเจ้าของร้านอุทานออกมาเบาๆ แล้วชี้นิ้วออกไปนอกกระโจมพลาสติกซึ่งกางไว้เพื่อกันลมหนาว

    หิมะตกแล้ว มยองซูเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน

    ซองยอลมองตามแล้วพยักหน้า หิมะตกอีกแล้ว

    อีกฝ่ายทำหน้าเอือมใส่เขาบ้าง วันนี้มันเพิ่งจะตกเองนะ

    แต่ปีนี้มันตกมาไม่รู้กี่วันแล้ว

    นายหัดดีใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บ้างสิ ชีวิตจะได้มีความสุข

    เขาทำหน้าบึ้งแล้วกัดลูกชิ้นปลาเข้าปาก ฉันไม่มีสิทธิ์จะมีความสุขหรอก เพราะทำให้พ่อแม่เป็นทุกข์ เพราะมีอาหารอยู่ในปากด้วยจึงทำให้มยองซูฟังเขาพูดไม่รู้เรื่อง

    อะไรนะ?

    เขาถอนหายใจแล้วบอกว่าช่างมันเถอะ เขาแค่บ่นไปเรื่อย

    จู่ๆ มยองซูยื่นมือมาลูบหัวเขา ซองยอลปัดมืออีกฝ่ายออกแล้วขมวดคิ้วมองดุๆ ทำอะไร

    ก็เห็นทำหน้าหงอยๆ

    ฉันไม่ใช่เด็กนะ โตกว่านายด้วย เขาพูดอย่างนั้นทั้งที่ในใจกำลังนึกถึงออมุกกุกฝีมือแม่

    มยองซูปล่อยให้เขากินต่อไปโดยไม่กวนเขาอีก ฝ่ายนั้นก็กินด้วย นอกจากนี้ยังชวนเจ้าของร้านคุยสัพเพเหระอีก ในที่สุดเมื่อพวกเขาทั้งคู่อิ่ม มยองซูก็จ่ายเงินและกล่าวสุขสันต์วันอีฟกับเจ้าของร้านก่อนเดินตามเขาออกไปยืนตากหิมะนอกกระโจม

    ข้างนอกนั้นเต็มไปด้วยคู่รักเดินโอบกอดกันเพื่อคลายความหนาว หลายคู่ที่หลบเข้าไปนั่งตากฮีทเตอร์ในร้านอาหารต่างพูดคุยกันกระหนุงกระหนิง ซองยอลคิดว่าป่านนี้อูฮยอนกับพี่ซองกยูเองก็คงกำลังนั่งกินอะไรอร่อยๆ อยู่ด้วยกันที่ไหนสักแห่ง หรือไม่อย่างนั้นก็คงเป็นพี่ซองกยูฝ่ายเดียวนั่นแหละที่กำลังกินของหวานอยู่

    ซองยอลรู้สึกตัวว่ากำลังคิดเรื่อยเปื่อยก็ตอนที่มยองซูตบไหล่เรียกเขา อีกฝ่ายถามว่าจะกลับเลยไหม เมื่อเขาพยักหน้ามยองซูก็โบกมือให้

    กลับดีๆ ล่ะ

    เขายืนอึ้งไปครู่หนึ่งก็ตอบว่า ถ้าอย่างนั้น...ฉันไปก่อนนะ แล้วหันหลังให้อีกฝ่ายก่อนจะเดินจากมา ในหัวสมองว่างเปล่าพิกล เขาอดใจหายไม่ได้เมื่อจู่ๆ มยองซูก็จะไป แล้วข้าวของของมยองซูล่ะ หรืออีกฝ่ายจะเก็บออกไปแล้วก่อนจะไปรับเขาที่ตึก บัตรประชาชนที่เขายังคงเก็บไว้กับตัวล่ะ หรือมยองซูจะไปแจ้งบัตรหายแล้วทำใหม่แล้ว

    ซองยอลกลับถึงห้องแล้วพบว่ามันยังอยู่ในสภาพเดิมทุกอย่าง ที่โซฟาฝั่งหนึ่งยังมีผ้าห่มพับกองไว้ เขาเดินไปเปิดตู้เก็บดีวีดีที่มยองซูยึดไปเป็นตู้เสื้อผ้าก็ยังเห็นของๆ มยองซูยัดอยู่ในนั้น เขานั่งคุกเข่าอยู่ในท่าเดิมพักใหญ่ ทันใดนั้นมีเสียงเคาะประตูดังจากหน้าห้อง ซองยอลรีบลุกออกไปเปิดโดยไม่มองตาแมวหรือตะโกนถามว่านั่นใคร

    ชายคนที่ยืนถือกล่องเค้กใบใหญ่อยู่หน้าห้องจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคิมมยองซู

    นาย...

    กลับมาแล้ว

    นายหลอกฉันเหรอ!?”

    ใครเขาหลอกนายกัน มยองซูส่ายหน้าพลางเดินแทรกตัวเข้ามาในห้อง

    ไหนนายบอกว่านายจะไปแล้ว

    ฉันยังไม่ได้พูดอย่างนั้นซักคำ

    แต่...

    ไม่มีแต่ นายคิดเองเออเองทั้งนั้น

    ซองยอลได้แต่ยืนมองอีกฝ่ายหยิบเค้กหน้าตาน่ากินออกจากกล่องวางบนโต๊ะหน้าโทรทัศน์แล้วเริ่มต้นร้องเพลงจิงเกิลเบลล์คนเดียว

    ยืนอยู่ทำไมล่ะ มากินเค้กสิ มยองซูกวักมือเรียกเขา เมื่อเห็นเขาไม่ยอมขยับก็ลุกจากโซฟามาลากตัวเขาไปนั่งด้วยกัน อีกฝ่ายส่งส้อมจิ้มสตรอเบอร์รี่ให้เขา ส่วนตัวเองจ้วงส้อมลงไปในครีมสดเนื้อหนาแล้วส่งเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย

    ยิ่งซองยอลเห็นมยองซูทำตัวตามปกติในห้องของเขามากเท่าไรก็ยิ่งโมโหมากเท่านั้น เขาโยนส้อมลงกับโต๊ะทั้งที่ยังไม่ได้แตะต้องสตรอเบอร์รี่สีแดงสด ใช้ปลายนิ้วทั้งห้าควักเอาครีมขึ้นป้ายใส่หน้าอีกฝ่ายอย่างเหลืออด

    ไอ้งี่เง่า!” เขาตะโกนใส่ใบหน้าเปื้อนครีมของมยองซูจบแล้วก็เดินกระแทกเท้าเข้าไปล้างมือในห้องน้ำ ขณะกำลังจะเดินกลับไปห้องนอน มยองซูก็โผล่มาป้ายครีมใส่หน้าเขาโครมใหญ่

    เฮ้ย!” ซองยอลร้องเสียงหลง

    สมน้ำหน้า เป็นยังไง ตกใจใช่มั้ยล่ะ อีกฝ่ายทับถมเขาจบก็ปิดท้ายด้วยการหัวเราะเยาะใส่

    คิมมยองซู!” เขาปาดครีมออกจากหน้าตัวเองแล้วมองหน้าฝ่ายนั้นด้วยความโกรธ นายกล้าดียังไง!? ออกไปจากห้องนี้เดี๋ยวนี้เลย!”

    ไม่มีทาง

    ออกไป ซองยอลสะบัดนิ้วชี้ไปทางประตูจนครีมกระเด็นลงพื้น

    ไม่ไป

    ออกไป

    ไม่ออก

    อย่ามากวนนะ ออกไปเดี๋ยวนี้

    ฉันไม่ไปไหนหรอก เดี๋ยวมีคนหงอยจนเดินคอตก

    เขาอายจนหน้าแดงแต่เถียงไม่ออกเพราะรู้ตัวว่าเป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูดจริง สุดท้ายหลังจากยืนกำมือแน่นอยู่ครู่หนึ่ง ซองยอลก็เตะหน้าแข้งมยองซูเต็มแรงแล้วเดินกลับเข้าไปล้างครีมในห้องน้ำอีกหน

    เจ็บนะ!”

    ซองยอลแค่นหัวเราะดังหึใส่กระจก นึกสมน้ำหน้าอีกฝ่ายในใจ

    หลบไป มยองซูตามเขาเข้ามาล้างหน้าในห้องน้ำด้วย ฝ่ายนั้นเบียดเขาออกจากอ่างหน้าตาเฉย เขาซึ่งปกติจะไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วยแต่คราวนี้อยู่ในอารมณ์อยากเอาชนะจึงเบียดกลับไป มยองซูหัวเราะใส่หน้าเขาแล้วออกแรงผลักกลับนิดเดียวก็ทำเขาเซแถดๆ ไปนั่งบนขอบอ่างอาบน้ำ ซองยอลเปิดฝักบัวฉีดน้ำเย็นจัดใส่อีกฝ่ายแล้ววิ่งหายออกไปก่อนมยองซูจะแก้แค้นได้ทัน

    อีซองยอล!” เขาได้ยินเสียงอีกฝ่ายตะโกนไล่หลัง ถ้าฉันเป็นหวัดนะ!”

    ซองยอลใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดครีมออกจากหน้า ปากก็คลี่ยิ้มใส่บานประตูห้องนอนซึ่งช่วยเขากันมยองซูไว้ข้างนอก เขารอจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำอะไรเขาแล้วจึงแง้มประตูยื่นหน้าออกไป มยองซูซึ่งน่าจะเพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินเข้ามาขยี้หัวเขาแรงๆ อย่างมันเขี้ยวแล้วหัวเราะหึๆ ใส่หน้าเขา

    อะไร? ซองยอลถามพลางยกมือขึ้นคลำหน้าหาสิ่งผิดปกติ

    นายยังร้ายไม่เปลี่ยน อีกฝ่ายชี้ท้องกับหน้าแข้งของตัวเองสลับกัน วันแรกเป็นยังไง วันนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น

    เขายกมือขึ้นลูบท้ายทอยเขินๆ ก่อนจะเปิดประตูให้กว้างขึ้นแล้วเดินตรงไปอาบน้ำ มยองซูเดินตามเขามา เมื่อเขาปิดประตูอีกฝ่ายคงเอนตัวลงพิงเพราะเขาได้ยินเสียงตุบเบาๆ

    นี่ ฉันยังอยู่ที่นี่ได้ใช่มั้ย

    ซองยอลถอดเสื้อผ้าออกโดยไม่ยอมตอบคนข้างนอก

    ไม่ตอบแปลว่าได้นะ

    เขาปล่อยให้อีกฝ่ายพูดคนเดียวส่วนตัวเองก้าวเข้าไปอาบน้ำอุ่นในอ่าง

    ไม่อยากให้ฉันไปใช่มั้ยล่ะ

    ซองยอลขมวดคิ้วใส่บานประตูขณะรองน้ำเพื่อแช่ตัว

    ไม่ต้องห่วง ฉันจะอยู่กวนนายต่อไปอีกนานเลยละ

    จบประโยคนั้นมยองซูก็เงียบเสียงไป ซองยอลคิดว่าอีกฝ่ายคงกลับไปนั่งดูโทรทัศน์แล้ว หลังจากแช่ตัวอยู่พักใหญ่ เขาก็ลุกออกจากอ่างไปแต่งตัวและแปรงฟัน

    ทว่าเมื่อเปิดประตูออกไปซองยอลกลับพบมยองซูยืนกอดอกรออยู่

    อะ-เขาผงะถอยหลังไปสองสามก้าว อะไรของนาย ตกใจหมด

    ฉันรอนายอยู่

    รอฉัน?

    เมื่อกี้ว่าจะอาศัยช่วงเล่นครีมแต่ดันหาจังหวะไม่ได้

    หา?

    ทันใดนั้นมยองซูก็เดินเข้ามาประชิดตัวเขาแล้วยื่นใบหน้ามาประทับจูบ สุขสันต์วันอีฟนะที่รัก ฝ่ายนั้นกระซิบบอกเขาแล้ววิ่งแจ้นไปคลุมโปงใต้ผ้าห่ม

    ซองยอลทรุดตัวลงนั่งกับพื้นแล้วตะโกนเรียกชื่ออีกฝ่ายลั่นห้อง

    คิมมยองซู!”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×