ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [INFINITE] Untitled [MyungYeol]

    ลำดับตอนที่ #2 : [Untitled] Chapter 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.15K
      2
      20 เม.ย. 56

    Chapter 1

                    ซองยอลอาศัยอยู่คนเดียวในคอนโดขนาดกลาง เขาโชคดีที่เรียนจบปั๊บก็ได้ทำงานในบริษัทใหญ่ เงินเดือนเขาค่อนข้างดีจึงพอมีเงินเก็บ ชีวิตเขาน่าเบื่อเหมือนคนทำงานทั่วไป วันจันทร์ถึงศุกร์ตื่นแต่เช้าเบียดกับผู้คนบนรถไฟเพื่อไปเข้างานให้ตรงเวลา ทำงานช่วงเช้า 4 ชั่วโมงแล้วพักเที่ยง จากนั้นจึงกลับมาทำงานช่วงบ่ายต่ออีก 4 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้นแล้วกลับห้อง วันเสาร์อาทิตย์กลับบ้านบ้างตามโอกาส วันหยุดออกไปดูหนังคนเดียวหรือบางครั้งก็ไปเที่ยวกับเพื่อน แต่ส่วนใหญ่ซองยอลจะปล่อยให้ตัวเองนอนตื่นสาย และใช้เวลาไปกับการอยู่ว่างๆ ให้หายเหนื่อยมากกว่า

                    เขาไม่มีคนรัก

                    ไม่เคยบอกรักใคร และไม่มีใครบอกรัก

                    ชีวิตเขาจึงน่าเบื่อขึ้นเป็นสองเท่า

                    ครอบครัวของซองยอลไม่อบอุ่นนัก พ่อแม่รักกันแต่ไม่รักเขาเพราะเขาเป็นลูกชายที่ไม่ได้ดั่งใจ แม้จะเรียนดี มีงานทำ แต่กลับมีรสนิยมไม่ปกติ- - -พ่อพูดอย่างนั้น พ่อเรียกการชอบผู้ชายด้วยกันว่าเป็นรสนิยมไม่ปกติ เขาก็ปล่อยให้พ่อเรียกไปตามใจ คิดว่าอย่างน้อยก็ยังดีกว่าถูกเรียกว่าวิปริตหรือวิตถาร ส่วนแม่ไม่เคยพูดอะไร แต่ก็ไม่อยากมองเขาเต็มตานัก

                    พ่อรู้เรื่องซองยอล มีรสนิยมไม่ปกติ เมื่อเขาขึ้นชั้นมัธยมปลาย พ่อพบรูปเด็กผู้ชายซึ่งจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นเพื่อนร่วมชั้นมัธยมต้นของเขาในกระเป๋าสตางค์ระหว่างกำลังนำเงินไปใส่ให้เพราะตั้งใจจะเซอร์ไพรส์ที่เขาสอบเข้าโรงเรียนดังได้สำเร็จ โชคร้ายที่พ่อเกิดสงสัยจึงค้นกระเป๋าเป้ของเขาต่อและพบลายมือเขาเขียนชื่อเพื่อนคนนั้นไว้ในสมุดจดเล่มโน้นเล่มนี้เต็มไปหมด

                    พ่อเรียกซองยอลไปคุย คาดคั้นเขาจนในที่สุดซองยอลต้องยอมรับ พ่อโกรธมาก พูดเสียงสั่นว่าเป็นความผิดของตัวเองที่ส่งซองยอลเข้าเรียนโรงเรียนชายล้วน เขาถูกทุบจนน่วมไปทั้งตัว แม่ต้องขอร้องให้พ่อหยุดแล้วพาเขากลับไปส่งห้อง ทายาและป้อนยาให้เขา ซองยอลคิดว่าแม่คงยอมเข้าใจ แต่เขาคิดผิด วันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่แม่ทำดีกับเขา

                    ซองยอลสอบเข้ามหาวิทยาลัยในโซลแล้วย้ายมาอยู่หอพักนักศึกษา พ่อแม่โล่งใจที่เขาไปเสียได้ เขาพบอูฮยอนที่มหาวิทยาลัย อูฮยอนเป็นเพื่อนร่วมรุ่น ซึ่งภายหลังกลายเป็นเพื่อนสนิทและเป็นร่วมงานด้วยอีกสองตำแหน่ง อีกฝ่ายเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่เขาเปิดใจให้ เพราะพวกเขามีรสนิยมอย่างเดียวกัน “รสนิยมไม่ปกติ” อูฮยอนยืดอกยอมรับกับเขาเต็มปากเต็มคำซ้ำยังล้อเลียนคำพูดของพ่อโดยไม่รู้สึกอับอายอย่างที่เขาเป็น

                    ชีวิตของซองยอลดำเนินไปเหมือนเดิมทุกวัน ไม่มีวันไหนพิเศษกว่าวันใด กระทั่งวันหนึ่งเมื่อคิมมยองซูปรากฏตัวขึ้น แล้วชีวิตซ้ำซากจำเจของซองยอลก็ปั่นป่วนรวนเรไปหมด

     

                    วันนั้นซองยอลออกไปดูหนังคนเดียวเหมือนทุกครั้ง เขากระชับแจ็คเก็ตให้เข้าทางแล้วเดินผ่านประตูอัตโนมัติออกไปผจญสายลมเย็นเฉียบปลายฤดูใบไม้ร่วง

                    หน้าคอนโดมีคนนั่งบนขอบกระถางปูนปลูกต้นไม้ต่างเก้าอี้อยู่สองสามคน ซองยอลเดินผ่านพวกเขาตรงไปยังสถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้ที่สุด เขาไปดูหนังและเดินเตร็ดเตร่อยู่ครึ่งค่อนวัน เมื่อฟ้าเริ่มมืดก็ตัดสินใจกลับ

                    แปลก ซองยอลคิดในใจขณะเดินผ่านชายคนหนึ่งหน้าคอนโด เขานั่งสูบบุหรี่บนขอบกระถางต้นไม้ ระหว่างเท้าทั้งสองข้างมีก้นบุหรี่กองโต ใครเห็นก็เดาได้ว่าชายคนนี้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่นี่มานานแล้ว

                    คงไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เที่ยงหรอกนะ ซองยอลได้แต่สงสัยอยู่ในใจ แม้จะได้สบตากันแวบหนึ่งแต่เขาก็กลับขึ้นห้องไปโดยไม่คิดจะเอาคำตอบ

                    เขาถึงห้องได้ครู่เดียวก็มีโทรศัพท์จากยามที่ชั้นหนึ่ง ซองยอลรู้ทั้งที่ยังไม่ทันรับสายเพราะสมัยนี้แทบไม่มีใครโทรเข้าโทรศัพท์บ้านกันแล้ว เขารีบดื่มน้ำให้หมดแก้วแล้วเดินไปยกหู ว่าไงครับคุณอี อีกฝั่งสายบอกเขาว่ามีคนมาหา

                    ใครครับ? ซองยอลได้ยินเสียงคุยกันอู้อี้ คุณอีคงเอามือปิดปากโทรศัพท์ไว้ขณะถามแขกคนนั้นว่าชื่ออะไร เขาเริ่มสงสัยจึงพูดกับอีกฝ่ายต่อก่อนจะทราบคำตอบของคำถามแรก ไม่ใช่คนรู้จักใช่มั้ยครับ ไม่อย่างนั้นคงขึ้นมากดอินเตอร์คอมหน้าห้องผมแล้ว คอนโดของซองยอลไม่มีระบบรักษาความปลอดภัยหนาแน่นขนาดต้องปลดล็อกจากห้องข้างบนให้ตั้งแต่หน้าประตูทางเข้า ขอเพียงรู้ว่าใครอยู่ห้องไหนก็ตรงขึ้นไปยังห้องนั้นได้เลย แต่เจ้าของห้องจะยอมเปิดประตูรับหรือเปล่านั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

                    แขกของเขาติดต่อผ่านคุณอีแสดงว่าไม่รู้เบอร์ห้องเขา หากเป็นเพื่อนก็สามารถโทรถามกันได้ แต่ซองยอลไม่ได้รับโทรศัพท์จากใคร ดังนั้นคนที่มาหาเขาจะเป็นใครไม่ได้นอกจากคนแปลกหน้า

                    ผมไม่อนุญาตให้เขาขึ้นมา ฝากคุณช่วยจัดการให้ด้วยนะครับ

                    ซองยอลสั่งอีกฝ่ายไว้เช่นนั้นก่อนจะวางสาย แต่ไม่กี่นาทีจากนั้นกลับมีเสียงออดดังจากหน้าห้อง เขาเกิดกลัวขึ้นมานิดหน่อย ใจเต้นแรงขณะเดินไปหาอินเตอร์คอม บนหน้าจอขนาดเล็กปรากฏใบหน้าที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อนแต่กลับรู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง ซองยอลแกล้งทำเป็นไม่สนใจ คิดว่าหากปล่อยทิ้งไว้ไม่ช้าคนๆ นั้นคงเบื่อจะรอแล้วกลับออกไปเอง ดังนั้นไม่ว่าเสียงออดจะดังอีกกี่หน ซองยอลก็ทำเฉยเสีย เขาหยิบเฮดโฟนขึ้นมาใส่แล้วเปิดเพลงฟังเสียงดังเพื่อจะได้ไม่ได้ยินเสียงออดอีก

                    เช้าวันต่อมาเขาลืมเรื่องนี้สนิท เมื่อเปิดประตูห้องแล้วมีร่างคนล้มลงใส่ซองยอลจึงตกใจจนทำตะกร้าผ้าใช้แล้วหล่นและหงายหลังล้มลงกับพื้นห้องด้วยอีกคน

                    โอย... คนแปลกหน้าครางเบาๆ หลังยันตัวขึ้นนั่งได้สำเร็จ เขากำมือไล่ทุบตามแขนและไหล่ให้คลายปวดก่อนบ่นใส่เขาว่า ปล่อยให้รอทั้งคืนกว่าจะยอมเปิดประตู

                    นายเป็นใคร!?!” ซองยอลถามด้วยความกลัว เขาคว้าร่มจากชั้นวางรองเท้ามาได้ก็ถือขู่แทนอาวุธ

                    นี่อีซองยอล ขออยู่ด้วยได้มั้ย ฉันไม่มีที่ไปแล้ว

                    ออกไป เขาขู่

                    ใจเย็นสิ

                    จะเย็นอยู่ได้ยังไงในเมื่อมีพวกโรคจิตนั่งอยู่หน้าบ้าน! นั่นนายจะทำอะไรน่ะ!?”

                    เก็บผ้าให้ไง เกลื่อนไปหมดแล้ว

                    อย่ามาแตะต้องของๆ คนอื่นนะ!” ซองยอลเผลอปล่อยมือข้างหนึ่งจากร่มไปคว้าเสื้อผ้าคืนแค่นิดเดียวคนแปลกหน้าก็กระโจนเข้าใส่ รวบข้อมือทั้งสองของเขาไว้ด้วยมือข้างเดียว อีกข้างหนึ่งเอื้อมมาปิดปากเขาแน่นแล้วใช้เท้าเตะประตูปิด

                    เขาดิ้นสุดแรงเกิดแต่ก็ถูกลากถูลู่ถูกังไปถึงโซฟาจนได้ ชายคนนั้นผลักเขาล้มลง บอกว่าจะยอมปล่อยแต่ต้องสัญญาว่าจะไม่โวยวาย ซองยอลพยักหน้ารับ แต่พอเป็นอิสระก็ถีบท้องอีกฝ่ายเต็มรักแล้วตั้งท่าจะหนี

                    นี่! อย่าสติแตกสิ!”

                    เขาถูกจับตัวไว้ได้อีกครั้งแต่หนนี้ไม่ถูกอุดปาก ช่วยด้วย!”

                    ฟังกันก่อนสิ!”

                    ปล่อย!”

                    ฉันเห็นนายหน้าคอนโดคิดว่าน่าจะพึ่งพาได้เลยมาขออาศัย ฉันที่นั่งสูบบุหรี่อยู่ข้างนอกเมื่อวานนี้ไง พอจะนึกออกมั้ย?”

                    ซองยอลหยุดดิ้น เขาหอบด้วยความเหนื่อย คนแปลกหน้านั่งคุกเข่าอยู่บนหลังเขา อีกฝ่ายจับเขานอนคว่ำหน้ากับพื้นเอามือไพล่หลัง แม้ข้างหน้าจะไม่มีกระจกให้ส่อง ซองยอลก็รู้ว่าสารรูปเขาคงดูไม่จืด

                    ปล่อยสิ

                    สัญญาก่อนว่าจะไม่ถีบ

                    ถ้านายไม่ปล่อยฉัน ฉันจะร้อง!”

                    ก็ได้ๆ ปล่อยแล้วนี่ไง

                    ชายคนนั้นลุกออกจากตัวเขาแล้วถอยออกไปยืนหลบตรงมุมห้อง ซองยอลยันศอกขึ้นคลานไปนั่งพิงโซฟา คว้าหมอนอิงมากอดเพราะอยากได้อะไรก็ได้มาถือในมือไว้ก่อน แม้ว่าหมอนนิ่มๆ จะป้องกันเขาจากอีกฝ่ายไม่ได้เลยก็ตาม

                    นายเป็นใคร รู้จักฉันได้ยังไง ทำไมต้องเป็นฉัน ฉันจะถูกฆ่ารึเปล่า?

                    ทั้งๆ ที่เขาจริงจังกับคำถามพวกนั้นมาก แต่คนแปลกหน้ากลับยิ้มและเปล่งเสียงหัวเราะดังขึ้นๆ ใส่

                    ถ้าไม่รีบตอบฉันจะร้องให้คนช่วย!”

                    รู้แล้ว ฝ่ายนั้นมองเขายิ้มๆ ฉันชื่อคิมมยองซู

    รู้จักฉันได้ยังไง?

    ยามแก่ๆ ข้างล่างบอกว่านายชื่ออีซองยอล อาศัยอยู่คนเดียว เป็นคนเงียบๆ แต่มีน้ำใจ บางครั้งก็ซื้อของมาฝากเขา ของกินบ้าง เสื้อผ้าบ้าง ฉันฟังแล้วคิดว่านายน่าจะใจดีให้ฉันอยู่ด้วยคนได้ เลยแอบดูเบอร์ห้องตอนเขาโทรหานายแล้วขึ้นมาหา

    ถ้าอย่างนั้นฉันคงไม่ถูกฆ่าสินะ

    วางใจได้ ฉันไม่มีรสนิยมอย่างนั้น

    คำว่า รสนิยมอย่างนั้น ระคายหูซองยอลนิดหน่อย เขาย้ายตัวไปนั่งบนโซฟา มือยังกอดหมอนอิงแน่นไม่ปล่อย พอคิมมยองซูขยับเท้าก้าวเข้ามา ซองยอลก็สะดุ้งสุดตัวแล้วสั่งให้อีกฝ่ายหยุดอยู่ตรงนั้น

    อย่าเข้ามานะ!”

    ฉันนั่งอยู่ข้างนอกนั่นทั้งคืน เมื่อยจะแย่อยู่แล้วคิมมยองซูขอความเห็นใจ

    ฉันไม่สน ที่นี่ห้องฉัน นายไม่มีสิทธิ์เดินไปไหนมาไหนตามใจชอบ ถ้าไม่อยากถูกไล่ออกไปก็ยืนเฉยๆ ตรงนั้นจนกว่าฉันจะวางใจ

    ฉันไม่ใช่คนเลวหรอกน่า!”

    ถ้าอย่างนั้นก็ออกไปซะ

    ได้ยินดังนั้นคิมมยองซูก็ยอมรูดซิปปากยืนกอดอกนิ่งๆ ตรงมุมห้อง ซองยอลได้ยินเสียงบ่นพึมพำว่า ไหนว่าเป็นคนเงียบๆ ไง จึงจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง คิมมยองซูยกมือทำท่ายอมแพ้แล้วยืนตัวตรงเหมือนหุ่น พอเมื่อยก็ขยับเปลี่ยนท่า นานเข้าก็เอนหลังพิงผนังห้อง

    นายเป็นใคร? ซองยอลถามคำถามเดิมอีกครั้งหนึ่ง

    ก็เป็นมยองซูนี่แหละ

    อายุเท่าไหร่?”

    ยี่สิบสี่

    คิมมยองซูอ่อนกว่าซองยอลปีหนึ่ง

    ทำงานอะไร?เขาถามต่อ

    งานบริการ

    ครอบครัวล่ะ?

    ไม่มีหรอก ของพรรค์นั้น

    ซองยอลฟังคำตอบแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง ที่ว่าไม่มีที่ไปหมายถึงอย่างนี้เหรอ?

    ก็ไม่เชิง

    ตอบดีๆ หน่อย

    ฉันไม่มีเงิน

    นายคิดจะเกาะฉันกินเหรอ?”

    ได้มั้ยล่ะ?

    ออกไป เขาชี้นิ้วไปทางประตูห้อง

    อย่าใจร้ายไปหน่อยเลย!”

    ไม่มีคนสติดีที่ไหนยอมให้คนไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาอาศัยอยู่ด้วยหรอก ออกไปซะ แล้วฉันจะไม่ถือสาที่นายบุกรุกเข้ามาในห้องฉัน

    ฉันไม่เรื่องมาหรอก งานการก็มีให้ออกไปทำ ขอแค่ที่นอนกับข้าวสองสามมื้อเท่านั้นแหละ

    ซองยอลชายตามองคิมมยองซูด้วยสีหน้าเคลือบแคลงสงสัย เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าคนๆ นี้ไม่ได้โกหก- - -จริงสิ ขอดูบัตรประชาชนหน่อย

    อีกฝ่ายแค่นหัวเราะพลางยกมือขึ้นเสยผม นายเป็นตำรวจรึไง?”

    พ่อฉันเป็น เขาโกหกคำโต

    คิมมยองซูทำหน้าบูดสนิทก่อนหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาดึงบัตรบางจ๋อยออกจากช่องด้านในแล้วโยนให้ซองยอล เขาใช้ชายเสื้อหยิบขึ้นดู รูปถ่าย ชื่อ และอายุตรงตามที่อีกฝ่ายบอก เขาเดินไปหยิบกระดาษทิชชูจากครัวมาห่อแล้วเก็บมันลงกระเป๋ากางเกงหน้าตาเฉย

    ทำอะไรน่ะ ดูเสร็จแล้วก็เอาคืนมาสิ

    ถ้านายพิสูจน์ตัวเองว่าไว้ใจได้เมื่อไหร่ฉันจะคืนให้

    อีซองยอล!”

    คิมมยองซู!”

    เจ้าของชื่อเตะชั้นวางหนังสือของเขาแรงๆ ทีหนึ่งแล้วโวยวายอย่างขัดใจ เชิญเลย! จะเก็บลายนิ้วมือด้วยมั้ย เอาผมไปตรวจดีเอ็นเอด้วยเลยดีมั้ย จะได้รู้หัวนอนปลายเท้ากันทะลุปรุโปร่งไปเลย!”

    ฉันได้ลายนิ้วมือนายแล้ว ซองยอลตบกระเป๋าซึ่งใส่บัตรประชาชนของอีกฝ่ายไว้เบาๆ ด้วยทีท่าเหนือกว่า ถ้าเมื่อยก็นั่งสิ เขาชี้ไปยังโซฟาเดี่ยวที่ตั้งอยู่ข้างๆ กัน คิมมยองซูเดินตัวเอียงมาหย่อนตัวลงนั่ง พอก้นติดเบาะก็ทำหน้าราวกับได้ขึ้นสวรรค์

    ค่อยยังชั่ว ฝ่ายนั้นครางอย่างมีความสุข นึกว่าจะต้องนอนข้างนอกอีกคืนซะแล้ว

    ซองยอลยังไม่วางใจนัก แต่ก็ยอมให้คิมมยองซูเถลือกไถลตัวไปกับโซฟาของเขา ทว่าเมื่อเห็นอีกฝ่ายล้วงกระเป๋าควักมวนบุหรี่ขึ้นใส่ปากคาบ ซองยอลก็พูดดักเสียงขุ่น

    คนที่นี่ไม่สูบบุหรี่

    คิมมยองซูเหลือบตามองเขา ชะงักมือซึ่งกำลังดันฝาไฟแช็กเปิดแล้วยอมเก็บมันลงกระเป๋ากางเกงแต่โดยดี ฝ่ายนั้นพึมพำเบาๆ ให้เขาได้ยินว่า คนที่นี่ ก็มีแต่ซองยอลคนเดียวนั่นแหละ แต่ซองยอลทำเป็นไม่สนใจ

    เขาเพิ่งพูดอยู่เมื่อครู่นี้เองแท้ๆ ว่าไม่มีคนสติดีที่ไหนยอมให้คนไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาอาศัยอยู่ด้วย แต่เขากลับยอมให้ชายคนนี้อยู่ ซองยอลไม่มีเหตุผลอะไรทั้งนั้น เขาไม่ได้ถูกใจอีกฝ่ายหรือเหงาจนอยากมีเพื่อน

    เขาแค่ตกกระไดพลอยโจน หรือไม่อย่างนั้นก็กลายเป็นคนสติไม่ดีไปแล้ว

     

    กลับมาแล้วเหรอ?”

    ซองยอลยังไม่ชินกับการกลับมาพบคิมมยองซูนอนเอกเขนกดูโทรทัศน์บนโซฟาราวกับเป็นเจ้าของห้อง วันแรกๆ เขาถึงกับผงะถอยไปชนประตูปิดดังปัง ถามอีกฝ่ายว่าทำไมถึงยังอยู่ที่นี่ทั้งที่บอกว่าจะออกไปทำงาน

    ขืนออกไปก็ไม่ได้กลับมาเข้ามาน่ะสิ คิมมยองซูตอบหน้าตาเฉย กุญแจห้องก็ไม่มี พาสเวิร์ดก็ไม่รู้ ออกไปก็มีแต่จะต้องรอให้นายกลับมาเปิดให้ เรื่องอะไรจะทำอย่างนั้น

    เขาขู่อีกฝ่ายว่าจะให้ตำรวจมาจับตัวโยนออกไป แต่คิมมยองซูก็ยิ้มใส่ บอกว่าถ้าเขาจะทำก็คงทำไปตั้งแต่วันแรกแล้ว ซองยอลจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากด 112 ฝ่ายนั้นเห็นแล้วร้องลั่น

    ล้อเล่นน่า ฉันทำงานกะดึกต่างหาก!”

    ซองยอลไม่รู้หรอกว่าคิมมยองซูพูดจริงหรือแค่โกหกให้รอดตัวเฉยๆ แต่คนๆ นั้นก็ออกจากบ้านไปตอนดึกๆ และกลับมาอีกทีตอนเช้าเดือดร้อนเขาต้องตื่นเร็วขึ้นเพื่อไปเปิดประตูให้ทุกที แต่เพราะใช้ชีวิตคนละกะอย่างนี้ ซองยอลกับคิมมยองซูจึงเจอหน้าและพูดคุยกันวันละไม่กี่คำ เขาคิดว่าดีอยู่หรอก เพราะระหว่างที่คิมมยองซูไม่อยู่ตัวเองสามารถตรวจข้าวของในห้องได้ว่าอยู่ครบหรือเปล่าซึ่งของทุกชิ้นก็ยังอยู่ดี มีบางอย่างที่แตกต่างจากเดิมไปบ้างคือจำนวนแปรงสีฟันในห้องน้ำกับแก้วน้ำจานชามที่เพิ่มขึ้นในห้องครัว เสื้อผ้าใส่แล้วในตะกร้าผ้าก็พูนสูงขึ้น แต่คิมมยองซูอาสานำไปซักให้ภาระจึงน้อยลง นอกจากนี้บนโซฟาตัวยาวของเขายังมีผ้าห่มพับกองอยู่ฝั่งหนึ่งด้วย

    บางครั้งซองยอลก็อยากเอาข้าวของของคิมมยองซูไปโยนทิ้ง เขากลัวว่าวันหนึ่งจะเห็นของพวกนี้จนชิน และหากวันไหนไม่เห็นพวกมันขึ้นมาจะรู้สึกว่าชีวิตขาดอะไรไป แต่สุดท้ายเขาก็เรียกคิมมยองซูว่ามยองซู และขานรับอีกฝ่ายทุกครั้งที่กลับถึงห้องว่า กลับมาแล้ว

    มยองซูกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาไปในที่สุด

     

    นี่ อีซองยอล อูฮยอนเคยทักเขา นายมีอะไรปิดบังฉันอยู่ใช่มั้ย?”

    ซองยอลถามกลับโดยไม่ยอมสบตาเพื่อนสนิทว่า พูดอะไรของนายน่ะ? วันนั้นทั้งสองคนนัดไปดื่มเหล้าด้วยกันหลังเลิกงาน เขายังทำงานที่บริษัทอื่น อูฮยอนยังเป็นแค่เพื่อนสมัยเรียนที่ว่างเมื่อไรก็นัดเจอกัน

    อย่ามา!” เพื่อนของเขาชักจะโกรธ ฉันรู้หรอกน่า คิดว่าฉันเป็นเพื่อนนายมากี่ปีกัน

    เขาทำเป็นตั้งใจย่างหมูทั้งที่ในหัวสมองชั่งตวงวัดวุ่นวายว่าควรเล่าเรื่องมยองซูมาขออาศัยให้อูฮยอนฟังดีหรือเปล่า

    เดี๋ยวนายก็หาว่าฉันบ้า ซองยอลดักคอเพื่อนอย่างรู้ทัน

    เล่ามาก่อน

    ฉันให้คนแปลกหน้ามาอยู่ร่วมห้อง

    เหรอ? แต่อูฮยอนกลับสงบกว่าที่คิด นายมีรูมเมทแล้วเหรอ ใครล่ะ พี่ดงอูรึเปล่า? พี่ดงอูเป็นรูมเมทสมัยซองยอลอยู่หอพักนักศึกษา แต่นั่นหมายความว่าพี่ดงอูไม่ใช่คนแปลกหน้า เขาส่ายศีรษะให้เพื่อน ปล่อยให้อีกฝ่ายทายชื่อคนโน้นคนนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรู้สึกตัวว่าที่เอ่ยชื่อมาทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นคนรู้จัก

    หมายความว่ายังไง ที่ว่าแปลกหน้านี่มันแปลกแค่ไหน?”

    พอซองยอลเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังก็ถูกอูฮยอนตะโกนใส่หน้า

    บ้ารึเปล่า!”

    เขาพยักหน้ารับแกนๆ คงงั้นมั้ง

    นายอยู่กับเขามานานแค่ไหนแล้ว?”

    ประมาณสามอาทิตย์

    นายปิดบังฉันตั้งเกือบเดือน!” อูฮยอนโวย พ่อแม่นายรู้รึเปล่า ไม่สิ ฉันไม่น่าถามเลย พวกท่านไม่มีวันรู้อยู่แล้ว นายจะรอให้เขาฆ่านายหมกส้วมก่อนแล้วค่อยมาเข้าฝันบอกฉันรึไง!?!”

    ซองยอลคีบหมูเข้าปากกินแกล้มเหล้า

    ฉันโกรธนะ!” เพื่อนของเขาแสดงความโกรธด้วยการคีบหมูจากเตาใส่จานตัวเองทั้งหมด

    ฉันขอโทษ แต่บอกเร็วบอกช้ายังไงนายก็โกรธฉันอยู่ดี

    อูฮยอนกระดกเหล้าเข้าปากแล้วกระแทกแก้วลงกับโต๊ะดังปั้ก นายโดนเขาทำอะไรรึเปล่า?”

    เขาสำลักกิมจิ ไอจนหน้าแดง ไม่โดน!” ซองยอลแทบจะตะโกน

    ระวังตัวให้ดีเถอะ

    เขาโกยหมูบนเตาทั้งหมดลงจานตัวเองบ้าง อูฮยอนรู้ตัวว่าทำเขาหงุดหงิดจึงไม่บ่น เพื่อนสนิทคีบเนื้อหมูสีชมพูซีดๆ อีกชิ้นลงย่างบนเตาใหม่

     

    แม้จะทำเหมือนไม่ใส่ใจคำพูดของอูฮยอน แต่หลังจากนั้นซองยอลก็ระวังตัวแจ เขาทำงานในห้องนอน จะออกไปห้องข้างนอกก็เฉพาะเวลาหิวหรืออยากเข้าห้องน้ำ มยองซูคงสังเกตเห็นเพราะแม้แต่วันอาทิตย์ที่ปกติซองยอลจะต้องงัวเงียตื่นนอนตอนสายๆ ออกจากห้องมาต้มบะหมี่กินพร้อมกับดูข่าวเขาก็ไม่ออกมา มยองซูตะโกนถามเขาว่าไม่หิวหรือ ซองยอลก็ตอบสั้นๆ แค่ว่ายังไม่หิว พออีกฝ่ายถือวิสาสะเปิดประตูห้องนอนเพื่อเอาขนมมาให้ ซองยอลก็บอกให้ออกไป จนในที่สุดมยองซูก็ทนสงสัยไม่ไหว

    เป็นอะไร?

    เขาไม่ยอมตอบ

    อีซองยอล เป็นอะไร?”

    เพื่อนฉันบอกให้ระวังนายไว้ เขารู้ว่าถ้าไม่ยอมตอบสักทีมยองซูก็จะทู่ซี้ถามต่อไปอย่างนี้

    ถึงว่าสิถึงต้องคอยเปิดตู้ดูลิ้นชักทุกช่องว่าฉันขโมยของไปบ้างรึเปล่า

    ซองยอลมองอีกฝ่ายอย่างตกตะลึง

    คิดว่าฉันไม่รู้เหรอ? อีซองยอลผู้แสนดี คิมมยองซูคนนี้ไม่ได้โง่นะ มยองซูยืนกอดอกชิดขอบเตียงแคบๆ ของเขา คำพูดของฉันมันเชื่อถือไม่ได้ขนาดนั้นเลยรึไง หน้าฉันมันผู้ร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ?”

    ซองยอลถอนหายใจ เขารู้สึกผิดนิดหน่อย ฉันรู้แล้ว ขอโทษที่ไม่เชื่อใจ ออกไปจากห้องนอนก่อนเถอะ

    ดูเหมือนมยองซูจะจับความรู้สึกบางอย่างจากคำพูดของเขาได้ อ้อ นายกลัวจะโดนปล้ำละสิ ฝ่ายนั้นว่าพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำไมล่ะ ไม่ได้รังเกียจผู้ชายไม่ใช่เหรอ?”

    เขามองมยองซูด้วยความตกใจอีกครั้ง

    ฉันรู้แล้วกัน มยองซูคงอ่านสีหน้าเขาออกจึงให้คำตอบโดยไม่ต้องถาม รู้ด้วยว่านายยังเวอร์จิ้น ไม่รู้แม้กระทั่งวิธีจูบ

    คิมมยองซู!” ซองยอลเริ่มโกรธ เขาชี้นิ้วไปทางประตูห้องโดยไม่พูดอะไรอีก ถ้าคิมมยองซูไม่โง่อย่างที่ปากบอกก็ควรออกไปเสียเดี๋ยวนี้ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากไล่เป็นคำพูด

    หมายความว่าฉันพูดได้แค่นี้สินะ จากนี้ไปเป็นเขตต้องห้าม มยองซูยักไหล่ให้เขาแล้วเดินไปอ้อยอิ่งแถวกรอบประตูพลางยื่นมือไปหมุนลูกบิดเล่น สบายใจได้ ฉันไม่ล้ำเส้นที่นายขีดไว้หรอก ฉันยังอยากมีที่ซุกหัวนอนอยู่

    มยองซูดึงประตูปิดเบาๆ แล้วพวกเขาสองคนก็ถูกกันออกจากกัน

    ไม่ใช่ด้วยผนังห้อง แต่เป็นเส้นบางๆ ที่เรียกว่าเรื่องส่วนตัว

    ถ้าเขาเป็นคนช่างพูดกว่านี้คงเถียงมยองซูกลับไปว่าแล้วตัวนายเองเก่งนักหรืออย่างไร มยองซูคงตอบอย่างมั่นใจว่าแน่นอน ซองยอลคิดว่าอย่างนั้น จนป่านนี้เขายังไม่รู้ว่า งานกะดึก ของมยองซูคืองานประเภทไหน แต่ดูจากนิสัยของฝ่ายนั้นแล้วคงไม่ใช่งานธรรมดาๆ หรอก

    มยองซูอาบน้ำก่อนกลับห้องเสมอ เขามักได้กลิ่นสบู่โชยจากตัวอีกฝ่ายเมื่อเดินไปเปิดประตูให้ในตอนเช้า ก่อนออกไปทำงานก็หมุนตัวหน้ากระจกเป็นร้อยรอบและฉีดน้ำหอมฟุ้งไปทั้งตัว แม้จะพอเดาได้ว่ามยองซูทำงานอะไรซองยอลก็พยายามจะไม่เดา แต่ถ้าอีกฝ่ายทำงานอย่างที่เขาสงสัยจริงก็ไม่แปลกที่มยองซูจะสบประมาทเขาเรื่องเซ็กส์

    หลังจากนั้นซองยอลและมยองซูต่างทำตัวห่างเหินใส่กัน เดิมทีพวกเขาคุยกันน้อยอยู่แล้ว แค่ทักทายกัน ดูโทรทัศน์ด้วยกันบ้าง บางทีมยองซูก็เดินมาดูเขาทำงาน ถามเขานิดหน่อยว่าทำอะไร แต่ไม่เคยซักไซ้ไล่เลียงว่าเขาทำงานที่บริษัทไหน ตำแหน่งอะไร เงินเดือนเท่าไร บางทีพวกเขาก็คุยกันเรื่องข่าว แต่ต่อคำกันได้ไม่กี่ประโยคมยองซูก็หลับเพราะไม่ใช่คนสนใจข่าวสารซ้ำยังอ้างว่าช่วงเวลาก่อนค่ำเป็นเวลานอนหลับพักผ่อน

    หลังการเถียงกันเล็กๆ คราวก่อนซองยอลก็เก็บตัวอยู่ในห้องนอนมากขึ้น เขาเลิกระแวงมยองซูเรื่องไม่เข้าท่านั้นแล้ว เพียงแต่ไม่อยากเห็นหน้าอีกฝ่ายเฉยๆ เพราะพาลจะหงุดหงิด มยองซูก็รู้จึงไม่ย่างเท้าเข้ามาในห้องนอนของเขาอีก แต่บางครั้งเมื่อซองยอลกำลังจะออกไปทำงาน อีกฝ่ายก็ชอบแหย่เขาด้วยการเดินตามมาส่ง ขยิบตา และส่งจูบให้

    ตั้งใจทำงานนะที่รัก

    แล้ววันนั้นซองยอลก็จะอารมณ์เสียไปทั้งวัน

     

    วันหนึ่งซองยอลลืมแฟลชไดรฟ์ไว้ที่ห้อง ในนั้นมีไฟล์งานที่ยังทำไม่เสร็จและต้องส่งให้เพื่อนร่วมงานซึ่งมีหน้าที่เก็บรวบรวมภายในเย็นวันนั้น ถึงจะไม่อยากแต่เขาก็ต้องโทรศัพท์กลับไปที่ห้อง ซองยอลรอสายอยู่นานกว่ามยองซูจะมารับ อีกฝ่ายคงนอนอยู่ เขาสังเกตว่าอีกฝั่งสายเอ่ยปากรับโทรศัพท์เสียงห้วนเหมือนคนอารมณ์เสียเพราะถูกกวนระหว่างหลับ

    ฉันเองนะ

    ฉันไหน? มยองซูถาม

    ซองยอลพูดธุระต่อโดยไม่สนใจจะตอบคำถามอีกฝ่าย ช่วยเอาของมาให้หน่อยสิ แฟลชไดรฟ์สีเงิน น่าจะอยู่บนโต๊ะหัวเตียง

    ฉันได้รับอนุญาตให้เข้าไปในนั้นแล้วเหรอ?”

    เอามาให้ฉันที่ตึก W นั่งรถไฟใต้ดินมาลงสถานียออีโดออกทางออกที่สาม เดินตรงมาประมาณเจ็ดนาทีอยู่ทางซ้ายมือ มาถึงแล้วโทรมาบอกฉัน ฉันจะลงไปหา

    ช้าๆ หน่อย ฉันจดไม่ทัน

    สถานียออีโด…” ซองยอลค่อยๆ ทวนให้อีกฝ่ายฟังตั้งแต่แรก เมื่อแน่ใจว่ามยองซูจดลงกระดาษเรียบร้อยแล้วก็เอ่ยปากเร่งอีกฝ่ายอ้อมๆ นายจะออกมาเลยรึเปล่า?”

    รีบใช่มั้ยล่ะ ขอเปลี่ยนเสื้อแป๊บนึง เขาได้ยินเสียงกุกกักจึงจะวางสายปล่อยให้มยองซูจัดการตัวเองให้เสร็จ เดี๋ยวก่อนสิ จะให้ฉันโทรหานายที่เบอร์ไหน? ซองยอลจึงให้เบอร์โทรศัพท์มือถือของเขาไป มยองซูยิงเข้ามาแล้วสั่งให้เขาบันทึกเบอร์ไว้ เขาจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าแม้จะอยู่ด้วยกันมาพักใหญ่ แต่ต่างฝ่ายต่างรู้เรื่องของอีกฝ่ายน้อยจริงๆ

     

    มยองซูบอกว่ารอเขาอยู่ในโถงลิฟต์ พอประตูลิฟต์เปิด ซองยอลก็พบอีกฝ่ายทันที

    มยองซูใส่เสื้อยืดสวมทับด้วยแจ๊คเก็ตสูทสีดำกับกางเกงยีนส์ซึ่งเป็นเสื้อผ้าแบบเดียวกับที่ใส่ไปทำงานแต่ไม่ยักประโคมเครื่องประดับเหมือนปกติ เขาใส่แค่แว่นตาไร้เลนส์เรียบๆ ส่วนคอ ข้อมือกับนิ้วมือปล่อยให้ว่าง น้ำหอมก็ไม่ได้ฉีด คงเพราะไม่อยากเด่น หรือไม่อย่างนั้นก็เพราะรีบออกมาหาเขา แต่ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลข้อใด ซองยอลก็นึกขอบใจอีกฝ่ายที่อุตส่าห์เป็นธุระให้ และเป็นครั้งแรกที่คิดว่าการมีมยองซูอยู่ร่วมห้องก็ดีเหมือนกัน

    ขอบใจ เขารับแฟลชไดรฟ์มาและกล่าวเบาๆ

    ไม่เป็นไร มยองซูโบกมือให้พลางมองไปรอบๆ นายรวยแต่งกไม่ให้ฉันขอเงินใช้ใช่มั้ย?” ตึกW ที่ซองยอลขอให้อีกฝ่ายมาหาสูงหลายสิบชั้น และตกแต่งเรียบง่ายแต่ดูหรู มยองซูคงประเมินบริษัทของเขาจากความโอ่อ่าของตึก

    ฉันไม่รวยหรอก แค่มีเงินใช้ไม่ขัดสนเท่านั้นแหละ เงินสำหรับใช้คนเดียวด้วย ซองยอลพูดดักคอเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะพูดถึงเงินของเขาอีก เขามองมยองซูจิ๊ปากอย่างขัดใจแต่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดจริงจัง หลังลอบมองมยองซูอยู่ได้พักหนึ่ง ซองยอลก็ตัดสินใจถามเรื่องที่สงสัยมานาน

    แล้วงานของนายล่ะ?”

    ฝ่ายนั้นท่าทางประหลาดใจที่เขาถาม นึกอะไรถึงได้อยากรู้ขึ้นมาล่ะ?” มยองซูถามยิ้มๆ

    ถ้านายไม่อยากตอบ ฉันจะไม่ถามอีก

    ฉันไม่คิดมากหรอก แต่กลัวว่าถ้านายรู้แล้วจะคิดว่าไม่น่าถามแต่แรกต่างหาก

    ซองยอลมุ่นคิ้ว นายทำงานอะไรกันแน่?”

    มยองซูเอามือล้วงกระเป๋าแล้วยื่นหน้ามาใกล้หูเขา ซองยอลนึกว่าอีกฝ่ายจะกระซิบบอกจึงเงี่ยหูฟัง ทว่าฝ่ายนั้นกลับเป่าลมรดใบหูจนเขาขนลุกซู่ไปทั้งตัว

    ทำอะไรน่ะ!?”

    งานของฉันก็ประมาณนั้นแหละ

    ซองยอลยกมือลูบใบหูหวังจะลบสัมผัสวาบหวิวเมื่อครู่ให้หมด เขาหน้าแดงจัด กระแทกเสียงบอกขอบใจมยองซูอีกหนแล้วขอตัวกลับขึ้นไปทำงานต่อ

    ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันรับบริการเฉพาะคนที่จ่ายเงินให้ ฝ่ายนั้นกระซิบบอกเขาขณะกำลังรอลิฟต์อยู่ แต่ถ้านายสนใจจะยอมลดให้เป็นพิเศษ

    เขายืนรอลิฟต์อย่างกระสับกระส่าย เมื่อประตูเปิดออกแล้วเดินเข้าไป มยองซูก็ยืนโบกมือและยิ้มให้จนกระทั่งประตูปิด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×