นักเรียนเก๋าอังกฤษ
ช้าก่อน ๆ ใครอยากไปเรียนต่อต่างประเทศเชิญแวะมาอ่านเรื่องนี้ แล้วจะได้รู้แนวว่าเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วยนั้น มันเป็นยังไง เรื่องจริงหลายตอนจบ จากประสบการณ์ในประเทศอังกฤษของอดีตเด็กโข่ง
ผู้เข้าชมรวม
1,289
ผู้เข้าชมเดือนนี้
15
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ก. ดีใจด้วยนะฝันเป็นจริงเสียที
ข. เราจะเลี้ยงส่งแกวันไหนดี
ค. เดี๋ยวฉันตามไป แกอย่าเพิ่งรีบกลับนะ
ง. แน่ใจหรือเปล่า
ไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองคนเดียว
ไม่เหงาแย่เหรอ
จ. ไปกี่ปี เมื่อไรกลับ? อย่าลืมของฝาก
ฉ. ไม่ใช่ทุกข้อที่กล่าวมา
หลังจากได้รับวีซ่าเข้าประเทศอังกฤษมาหมาด
ๆ ฉันรีบโทรไปบอกข่าวดีกับเพื่อนสนิท และนี่คือบทสนทนาระหว่างเรา
“เราจะไปอังกฤษอาทิตย์หน้าแล้วนะ”
“ตกลงแกจะกลับไปเรียนต่อจริง
ๆ?”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“อ้าว แล้วงานที่ทำอยู่ทุกวันนี้ล่ะ”
“ก็เลิกไง ไม่ทำแล้ว
จะไปเรียนต่อ”
“เอาจริงเหรอเนี่ย”
“จริงดิ”
“แกจะบ้าหรือเปล่า อยู่ดี ๆ จะเลิกทำงาน ไม่เออรี่รีไทร์ไปซะเลยล่ะ แก่จนปูนนี้แล้วยังจะไปเรียนอะไรอีก! กว่าจะจบกลับมาก็แก่งั่กพอดี งานเขียนบทละครที่แกทำอยู่ทุกวันนี้มันใช้ความรู้ทางวิชาการซะที่ไหน จะไปนั่งเรียนให้มันเมื่อยทำไม !”
ดูมันพูดเข้าสิ ทำอย่างกับเพิ่งได้ยินแผนการที่งี่เง่าและผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต คนเค้าจะไปเรียนต่อ ไม่ได้จะหนีตามผู้ชายซะหน่อย ... แก่จนปูนนี้ .... ฉันก็อายุเท่าแกนั่นแหละ เพิ่งจะสามสิบสองขวบเท่านั้นเอง ไม่เห็นแก่ตรงไหนเลย
ถึงคำประชดประชันของเพื่อนจะฟังแล้วแสลงหูไปบ้างแต่ฉันไม่โกรธหรอก คิดซะว่าหากนางไม่ใช่เพื่อนบังเกิดเกล้าคงไม่พูดด้วยความห่วงใย
(หรือเปล่าก็ไม่รู้) แบบนี้
เพื่อนก็น่าจะรู้ดีว่าถ้าไม่ไปตอนนี้
... แล้วแกจะให้ฉันไปตอนไหน
นี่คือช่วงเวลาที่เหมาะแก่การไปเรียนต่อมากที่สุด เพราะว่าฉัน...
1. ไม่มีครอบครัว
2. ก็เลยยังไม่มีลูก
3. แถมไม่มีแฟนอีกต่างหาก
4. ไม่มีภาระหนี้สิ้น ผ่อนบ้าน
ผ่อนรถ ผ่อนไอโฟน หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ
5.
ไม่มีภาระต้องดูแลพ่อแก่แม่ชรา
6. ไม่ได้ทำงานประจำก็เลยไม่ต้องลาออกจากงาน
7. สามารถซื้อตั๋วแล้วหิ้วกระเป๋าขึ้นเครื่องไปได้เลย
แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วสิ่งที่เพื่อนพูดก็สมเหตุสมผลทุกอย่าง งานเขียนบทละครต้องอาศัยจินตนาการมากกว่าความรู้ทางวิชาการ ถึงกระนั้นฉันก็มีเหตุผลของตัวเองที่ไม่ค่อยเหมือนใคร และจะไม่มีสิ่งใดมาขัดขวางความมุ่งมั่นตั้งใจของว่าที่นักเรียนโข่งคนนี้ได้
“เขาว่ากันว่าการศึกษาคือการลงทุน แกเคยได้ยินไหม”
“แล้วแกมีเงินไปลงทุนเท่าไร”
“...ก็สาม...กว่า ๆ”
“สามล้าน?”
“ไม่ถึงหรอก”
“สามแสน?”
“ไม่ใช่”
“แล้วมันอะไรกันแน่ อย่าบอกนะว่าสามหมื่น”
“ก็ประมาณนั้นแหละ”
“นี่แกจะไปเรียนต่อที่อังกฤษด้วยเงินสามหมื่น
! ... เหรอ ... ล้อเล่นใช่ไหม”
อ๊ะ อ๊ะ อย่าดูถูกเงินสามหมื่นสิยะ ถึงมันจะน้อยนิดแต่ก็ทำฝันให้เป็นจริงได้เหมือนกันนะ
ตอนที่เริ่มวางแผนเรื่องกลับไปเรียนต่อ คือช่วงเวลาที่ฉันมีเงินนอนอยู่ในบัญชีประมาณหนึ่งแสนบาท ซึ่งต่อมาก็ค่อย ๆ ร่อยหรอลงไปกับค่าดำเนินการต่าง ๆ ทั้งค่าสอบ IELST ค่าขอวีซ่า ค่าโน่นนี่นั่น รวมทั้งค่าตั๋วเครื่องบิน
สุดท้ายพอถึงวันที่กำลังจะเดินทางไปประเทศอังกฤษเป็นรอบที่สอง
เพื่อพยายามเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเป็นครั้งที่สอง ฉันเหลือเงินสดอยู่ในกระเป๋าเพียงสามหมื่นบาท โฉนดที่ดินติดริมทะเล คอนโดหรูย่านสาธร พันธบัตรรัฐบาล พระเครื่อง
แหวนเพชรมรดกจากคุณย่า
ก็ไม่มีสักอย่าง
(แล้วจะกล่าวถึงทำไม)
ก่อนหน้านี้ฉันเคยไปเรียนและใช้ชีวิตในลอนดอนมาแล้วครั้งหนึ่ง (เขียนให้ดูดี จริง ๆ แล้วไปเรียนภาษาและทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตเสิร์ฟอาหารอยู่ในร้านไทย) เคยสมัครเข้าเรียนป.โทในมหาวิทยาลัยแล้วแต่ยังไม่ได้เรียน เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม ห้าปีผ่านไปความฝันยังอยู่คงเดิมและฉันยังไม่มีค่าเทอมเหมือนเดิม
ความฝันนั้นเป็นเรื่องแปลก มันก่อตัวขึ้นในจินตนาการ จากนั้นก็เกาะติดหนึบอยู่กับเราเพื่อเฝ้าทวงถามว่าเมื่อไรจะลงมือทำฝันให้เป็นจริงเสียที หากเราแกล้งทำหูทวนลม มันจะเฝ้าเพียรกระซิบถามซ้ำ ๆ อยู่ร่ำไปว่า ‘เมื่อไร เมื่อไร เมื่อไร...’
และถึงจะอธิบายเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ ให้ฟังว่ายังไม่มีตังค์ ไม่มีเวลา
ตอนนี้ยังไม่พร้อม รอให้ถูกหวยสักงวดก่อนได้ไหม
ฯลฯ แต่ดูเหมือนมันไม่เคยเข้าใจ ยังคงตั้งคำถามเดิม ๆ รบกวนใจเรา ‘เมื่อไร
เมื่อไร เมื่อไร...’
เมื่อเห็นว่าเรายังเพิกเฉย ใช้ชีวิตไปวัน ๆ
เหมือนลืมสิ่งที่เคยฝันไว้จนหมดใจ มันก็ปล่อยท่อนฮุกหมัดเด็ดออกมา “แล้วเธอจะมานั่งเสียดายในตอนที่มันสายเกินไปแล้ว”
เหมือนถูกเสยปลายคางจนน๊อคเอ้าท์กลางอากาศ
ฉันหลับไปและเห็นภาพตัวเองย่างเข้าสู่วัยเฒ่าชะแลแก่ชรา คำถามที่หาคำตอบไม่ได้ยังเฝ้าหลอกหลอน แต่เปลี่ยนจากคำถามสั้น ๆ ว่า ‘เมื่อไร
เมื่อไร เมื่อไร...’
มาเป็นคำถามยาว ๆ ว่า ‘ทำไมเธอไม่เดินตามความฝันของตัวเองในวันที่ยังมีโอกาส?’
เมื่อรู้สึกตัวตื่น ฉันได้เหตุผลใหม่มาบอกตัวเองว่า การลงมือทำตามความฝันบางครั้งก็ไม่ต้องใช้เหตุผลอะไรมากมายนักหรอก
แล้วในที่สุดคำถามที่ได้ฟังซ้ำ ๆ เป็นเวลาห้าปีก็กำลังจะจบลง
การเดินทางครั้งนี้เปรียบได้กับการกลับไปปิดจ๊อบ ทำฝันที่ค้างเติ่งให้กลายเป็นความจริงเสียที
Wiser old man กล่าวไว้ว่า ‘คิดทำการใหญ่ต้องวางแผน’
การเดินทางไปเรียนต่อด้วยเงินติดกระเป๋าเพียงสามหมื่นบาทยิ่งต้องวางแผนให้รอบคอบที่สุด ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องเงิน ที่พักอาศัย อาหารการกิน ฯลฯ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยวางแผนอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวเท่านี้มาก่อน
แต่ว่านะหลายครั้งที่เราวางแผนอะไรไว้ก็ตาม มันมักไม่เป็นไปตามนั้นหรอก ครั้งนี้ก็เหมือนกัน จากตอนแรกที่คิดว่าชีวิตต่อจากนี้คงเป็นไปตามแผนการอย่างราบรื่น แต่ก็ผิดแผนจนได้
สุดท้ายแล้วนักเรียนโข่งจะเรียนจบป.โทอย่างที่มุ่งหวังไว้หรือไม่ จะมีความเป็นอยู่แบบไหน จะประกอบอาชีพอะไร จะหาค่าเทอมได้หรือเปล่า กรุณาติดตามอ่านตอนต่อ ๆ ไปผลงานอื่นๆ ของ octoberner ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ octoberner
ความคิดเห็น