ผมยังจำได้ดี ถึงคืนนั้น ฝนตกหนักมาก ผมขับรถมาตามถนนสายกรุงเทพฯ-สระบุรี เพื่อกัลบบ้านที่อยู่บางปะอิน บรรยากาศรอบข้างมันไม่ค่อยอำนวยกับการขับรถเอาซะเลย แต่ในใจผมกลับคิดถึง "ลูกเมว" ที่เพิ่งได้มาจากเพื่อน ตัวลายเสือสีแดงน่ารักมากๆ
เวลา 5 ทุ่ม ของที่นี่ไม่เหมือนในกรุงเทพฯ เพราะรถราค่อนข้างว่าง ผมจึงขับรถไวเป็นพิเศษ
แต่เสี้ยววินาทีนั้น ไม่รู้อะไรวิ่งตัดหน้ารถทำให้ผมเหยี่ยบเบรคเต็มที่ ด้วยสภาพรถถ้าวิ่งธรรมดาก็จะหลุดเป็นชิ้นๆอยู่แล้ว
"โครม" เสียงที่ผมได้ยินมันช่างกังวาลอยู่ในหู ความรู้สึกตอนนี้เหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น รถผมหงายท้องอยู่ข้างถนน ผมพยายามขยับเปลือกตาให้กว้างขึ้น เพื่อจะมองว่าใครมายืนอยู่ข้างรถผมในตอนนี้
"หมดเวลาของเจ้าแล้ว" น้ำเสียงที่มีอำนาจทำให้ผมขนลุกไปทั้งตัว
"หมดเวลาอะไร" ผมตะโกนถามแต่ดูเหมือนเสียงของผมจะไม่ได้เล็ดลอดออกไปเลย แล้วความรู้สึกของผมก็วูบไป
ผมค่อยๆลืมตา
"เรามองเห็น เรายังไม่ตาย"
"เออ มึงยังไม่ตาย กูก็นึกว่ามึงตายแล้วเหมือนกัน"
นั่นมันเสียงใคร เสียงไม่คุ้นหูเอาซะเลย ผมค่อยๆหันไปทางต้นเสียง
"แมว !" ผมอุทานอย่างตกใจ ไม่น่าเชื่อแมวสีขาวตัวอ้วนเนื้อตัวถลอกปอกเปิกมีร่องรอยของการต่อสู้เต็มตัวไปหมด
"ไม่ตายก็ดีแล้ว ไอ้มอเตอร์ไซที่เข้ามาซิ่งในวัดแล้วขับชนเอ็งเมื่อกี้มันไปแล้ว"
"ไม่จริง ไม่จริง" แมวยืนพูดอยู่กับผม ผมต้องฝันไปแน่ๆ
ก่อนที่จะค่อยๆหลับตาลงอีก เผื่อว่าตื่นขึ้นมาผมอาจจะกลับสภาพปกติเสียที
ผมค่อยๆลืมตาอีกครั้ง รู้สึกค่อยยังชั่วกว่าครั้งก่อน สายตาสาดส่องมองไปรอบตัว "ลานวัดนี่นา เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง"
ผมพยายามรวบรวมกำลังพยุงตัวเองลุกขึ้น ปวดแถวๆสะโพกเหมือนกัน ทั้งๆที่ตอนรถควำหัวเรากระแทกกับพวงมาลัยนี่นา ผมเริ่มหันมองไปที่สะโพก
"เฮ้ย"
ทำไมสะโพกผมถึงมีขนสีดำขึ้นเต็มไปหมด หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ผมไม่เชื่อสายตาตัวเอง ตัวผมมีขนสีดำขึ้นเต็มตัวไปหมดแล้วต้องยืนสี่ขาด้วยหรือนี่
"ผมเป็นแมว ผมเป็นแมวจริงๆ"
กุฏิพระอยู่ด้านหน้า ใช่ เราต้องไปหาพระ ผู้บำเพ็ญศีลอาจให้คำตอบแก่เราได้ ว่าทำไมเราต้องมาเป็นแบบนี้ เราใกล้จะถึงบันไดกุฏิแล้ว สายตามองหาพระในกุฏิ ที่กุฏิยกสูงจากพื้นดินเล็กน้อย
"จะไปไหนวะ" เสียงห้าวๆที่สามารถทำให้ผมหยุดนิ่ง แมวสีขาวตัวใหญ่นั่นเอง ตัวที่ผมเห็นในตอนแรก
"ยังไม่เข็ดอีกหรือไง เมื่อกี้กูก็ไล่จนวิ่งหนีไปให้มอเตอร์ไซชนแล้ว ยังจะมาอีก"
"ผมมาหาพระครับ" ผมตอบแบบอ่อนน้อม
"พระเพอะอะไรกัน มึงไม่รู้หรือไงว่ากุฏินี้เป็นที่หากินของใคร"
"มึงไปหากินที่อื่นเลย ก่อนที่กูจะมีน้ำโห"
ไอ้ขาวไม่ได้พูดเล่นมันลุกขึ้นพองขน แล้วทำท่าจะกระโดดเข้าใส่
"เดี๋ยวครับ ผมมาหาพระจริงๆ ไม่ได้มาหาเรื่อง"
เหมือนทุกอย่างจะช้าเกินไปเสียแล้ว เจ้าแมวขาวกระโดดลงจากกุฏิตรงเข้าขย้ำผมทันที
ฟันที่แหลมคมกัดเข้าที่ลำคอและกรงเล็บยังตะปปที่หน้าผมด้วย
"โอ๊ย" ผมรอ้งออกมาด้วยความเจ็บปวด ไม่ไหวแล้วขืนอยู่ตรงนี้ต่อไปต้องตายแน่ๆ ก่อนที่ผมจะสบัดร่างเต็มที่เมื่อหลุดจากเขี้ยวเล็บก็วิ่งเต็มกำลัง ไม่รู้จะไปไหนแต่วิ่งไว้ก่อน
"มันไม่ตามมาแล้ว" ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่
เบื้องหน้าของผมตอนนี้น่าจะเป็นโรงครัวของวัด เพราะผมได้กลิ่นของกับข้าหอมกรุ่น ใช่สิ ตั้งแต่ตื่นมาเรายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย ผมเดินตามกลิ่นกับข้าวไปเรื่อยๆจนข้างหน้าผมคือ กับข้าวสำรับใหญ่วางอยู่บนโต๊ะ ผมไม่รีรอที่จะกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะ
"ขอกินให้หนำใจสักทีเถอะ"
"เฮ้ย แมวดำจะกินกับข้าวแล้ว เร็วไล่ไปที"
เสียงนี้ช่างคุ้นหูผมมาก ทำให้ผมต้องหันไปมอง
มีทั้งหญิงและชายในชุดดำ กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำกับข้าวเลี้ยงพระอยู่ ญาติพี่น้องของผมเอง มารวมกันทำอะไรอยู่ที่นี่ ก่อนที่สมองของผมจะคิดว่ามีใครอยู่กันบ้างเสียงไม้กระแทกหลังผมดัง"แอ้ก"
หลานสาววัย 12 ขวบ เป็นผู้ถือไม้ตีผมเองหรือนี่ ความรู้สึกจุกแล้วปวดที่กระดูกสันหลัง ทำให้ผมต้องรีบกระโดดลงจากโต๊ะแล้วซอยเท้าเต็มที่ ออกจากโรงครัว
กลิ่นธูปตลบอบอวน เสียงร้องไห้เหมือนใจจะขาดอยู่ในศาลาวัด มันเป็นบรรยากาศที่น่าเศร้าจริงๆ
เมียและลูกชายวัย 6 ขวบของผม ทำไมต้องใส่เสื้อดำนั่งอยู่หน้าโรงศพด้วย
ผมตัดสินใจเดินเข้าไปดูให้รู้ไปเลยว่าเป็นศพใคร ทั้งๆที่ร่างกายตอนนี้สะบักสะบอมเต็มที หิวก็หิว
"แมวดำเข้ามา ช่วยไล่ไปหน่อยซิ" นั่นเสียงน้องชายผมเอง
"นี่พี่เอง พี่มงคลไง พอจะจำพี่ได้ไหม"
ผมพูดอย่างนี้จริงๆ แต่เสียงที่มันออกมาคือ
"เหมียวๆ เหมียวๆ" ประมาณนี้แหละ
ก่อนที่ผมจะหันหน้าวิ่งเตลิดออกหน้าศาลาวัด ผมหันไปมองรูปขาวดำข้างโรงศพที่ตั้งเด่นเป็นตระหง่าน
ผมถึงกับเข่าอ่อน นั่นมันรูผมเอง นาย มงคล อยู่สุก ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวผูกเน็คไทร์
โลกนี้เหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ สมองในหัวมันชาไปหมด ทั้งเนี้อทั้งตัวไร้ความรู้สึก มันเหมือนอยากจะร้องไห้ดังๆ อยากตะโกนให้คนในศาลาวัดรู้ว่า นายมงคล อยู่สุก อยู่ตรงนี้ อยู่ในร่างแมวดำตัวนี้ ไม่มีแรงวิ่งอีกต่อไปแล้ว ผมหมอบลงกับพื้น
"อย่าตีมันเลย สงสารมัน" เป็นคำพูดของภรรยาผมเอง ที่ปรามน้องชาย ผมไม่กลัวแล้วผมอยากตายมากกว่า แต่เสี้ยววินาทีนั้นผมนึกมาได้ทันที อาจจะไม่ใช่เราอยู่ในโลงศพ ต้องเป็นการเข้าใจผิดแน่ๆ ผมคิดเข้าข้างตัวเองไว้ก่อน
"ต้องพิสูจน์"
ผมคิดได้ดังนั้นจึงรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้าย กระโดดขึ้นบนฝาโลงแล้วพูดว่า
"ช่วยเปิดฝาโลงให้ดูหน่อย ต้องไม่ใช่ผมแน่ๆที่อยู่ในโลงนี้"
แต่เสียงที่ทุกคนได้ยินคือ
"เมี้ยว เมี้ยว"
แล้วคนในศาลาวัดก็แตกฮือ โวยวายกันใหญ่ ผมฟังไม่ได้ศีพย์ว่าใครพูดอะไรบ้าง รู้สึกจะจับใจความประโยคหลังได้ว่า
"เฮี้ยนแน่ๆ เฮี้ยนแน่ๆ"
เฮี้ยนอะไรผมแค่ต้องการดูศพ ทุกคนต่างพยายามไล่ผมเป็นการใหญ่ ในที่สุดผมก็โดนจับโยนออกมานอกศาลาวัดจนได้
กลุ่มควันโพยพุ้งออกมาจากยอดปล่องเมรุ นี่กระมังจุดจบของมนุษย์ ผมนั่งมองอยู่ห่างๆ แต่ทำไมผมจึงต้องมาอยู่ในสภาพนี้ด้วย
ผมค่อยๆทบทวนเรื่องราว
ผมเป็นคนรักแมว ลูกแมวน่ารัก ผมถนุถนอมเลี้ยงจบเติบโต เอามาจากที่วัดบ้าง เพื่อนให้มาบ้าง พเนจรเดินมาถึงหน้าบ้านก็มี แต่จะเน้นตัวผู้ซะมากกว่า ไม่เหมือนตัวเมียพอโตเป็นสาว ก็จะมีหนุ่มๆแมวทั้งหลายมาติดพัน แล้วเกิดการทะเลาะวิวาทอยู่เสมอ
"รำคาญที่สุด" เป็นคำพูดประจำของผม
เมื่อได้แมวตัวเมียมาเมื่อไร ก็จะเอาไปปล่อยวัดทันทีปล่อยมาหลายตัวแล้ว
ก็ทุกคนคิดว่า "วัด" มีอาหารและปลอดภัยไม่ใช่หรือ เห็นคนอื่นก็ปล่อยกัน แล้วทำไมผมถึงปล่อยไม่ได้ ทำไมนรกต้องลงโทษผมคนเดียวด้วย
หรือว่านรกรอเวลาที่จะลงโทษใครต่อใครค่อไปเหมือนกัน
เวลาเป็นมนุษย์ของผมหมดลงแล้ว
...................................................................................................................................
ปล. เป็นเรื่องแรกของผมนะครับ ผิดพลาดอะไรก็ขออภัยด้วยนะ เรื่องที่แต่งขึ้นนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเองนะครับ เพื่อให้เกิดความสำนึกเวลาที่จะปล่อยแมวที่วัดครับ ไว้เจอกันใหม่เรื่องหน้าครับ
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น