ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มนต์มายางู

    ลำดับตอนที่ #2 : ผู้ต้องสงสัย (แก้ไข2)

    • อัปเดตล่าสุด 8 พ.ค. 50



          

           ที่สวนร้าง ประทักษ์เดินเข้าไปหาศฤงคารด้วยท่าทีสงสัย

               "คุณทำอะไรอยู่น่ะครับ" ประทักษ์เดินเข้าไปดูใกล้ๆ

               "ทำกับข้าวให้คุณกิน" ศฤงคารนั่งติดเตา

               "ขอบใจนะที่คุณหวังดีกับผม" ประทักษ์พูดพร้อมรอยยิ้ม

               "ฉันแค่ตอบแทนที่คุณช่วยฉันไว้เท่านั้น" ศฤงคารหันหน้ากลับมาพัดเตาต่อ

           หลายวันผ่านไปทำให้ทั้งสองเกิดความผูกพันจนกลายมาเป็นความรัก

           ประทักษ์ได้ตกหลุมรักศฤงคารอย่างจังเช่นเดียวกับศฤงคารที่รักเขาไปไม่น้อยไปกว่าประทักษ์ที่ประทักษ์รักเธอแต่เธอก็มิกล้าจะเปิดเผยออกไป

           ประทักษ์ถึงแม้จะรักศฤงคารมากเพียงใดแต่เมื่อเป็นงานในหน้าที่แล้วเขาก็ไม่สามารถที่จะหยุดสงสัยในตัวเธอว่าเธอจะเป็นหนึ่งในฆาตกรที่ฆ่าตำรวจและโจรหรือเปล่า และนั่นหมายความว่าถ้าเธอมีส่วนในการก่อคดีครั้งนี้ เธอจะต้องถูกจับโดยไม่มีข้อละเว้น

               "ผมกลับก่อนนะครับ" ประทักษ์มองหน้าศฤงคารอย่างเศร้าๆ

               "ค่ะ" ศฤงคารตอบด้วยท่าทีเฉยชา

           ประทักษ์ขับรถไปได้สักพักก็กลับมาหาศฤงคารอีกครั้ง

               "มีอะไรหรือ" ศฤงคารแอบดีใจอยู่ลึกๆแต่ก็ทำเป็นไม่ค่อยใส่ใจ

               "ผมลืมหัวใจไว้ที่นี่" ประทักษ์พูดพร้อมกับมองหน้าศฤงคาร

               "ก็เก็บมันกลับไปสิ" ศฤงคารหันหน้าไปอีกทาง

               "ผมเก็บมันกลับไปไม่ได้หรอก ผมขอฝากศฤงคารเอาไว้สักพักแล้วกัน" ประทักษ์พูดพร้อมสบตาศฤงคาร

               "ฉันไม่รับฝากอะไรใครทั้งนั้นเพราะฉันไม่ใช่ธนาคาร" ศฤงคารขึ้นเสียงเล็กน้อยแต่ก็แอบยิ้ม

               "ผมไปนะครับ" ประทักษ์ทำท่าเดินจากไป

               "แล้วอย่ากลับมาอีกนะ" ศฤงคารออกประชดเล็กน้อย

               "ผมกลับมาแน่ครับ" ประทักษ์เริ่มพูดจายี้ยวน

               "จะกลับมาทำไม" ศฤงคารพูดอย่างไม่ใส่ใจ

               "ผู้หญิงมักพูดอะไรตรงข้ามใจเสมอ" ประทักษ์ตอบพร้อมรอยยิ้ม

          
           
    ที่โรงแรม ประทักษ์ได้เดินทางไปหาจ่า

               "กลับกันเถอะจ่า" ประทักษ์เดินเข้ามาหาจ่าแล้วรีบนำทางออกจากโรงแรมไป

               "หายดีแล้วหนีครับ" จ่าถามอย่างเป็นห่วง

               "ใช่" ประทักษ์ตอบด้วยแววตาครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

               "แล้วได้หลักฐานหรืออะไรเกี่ยวกับการตายตำรวจโจรและการหายตัวของลูกสาวคุณพิมุขไหมครับ" จ่าเริ่มถามตรงประเด็น

               "ได้ แต่จ่าอย่ารู้เลย" ประทักษ์ตอบขึ้นมาอย่างลำบากใจ

          
         ที่กรมตำรวจ ประทักษ์เดินทางไปหาผู้บังคับบัญชาเพื่อรายงานผล

               "ผมพันตำรวจเอกประทักษ์ ปิ่นพินโย ขอรายงานตัว ครับผม" ประทักษ์ทำความเคารพผู้บังคับบัญชา

               "ผมจ่าดรุณ กิจพินิจ ขอรายงานตัวครับผม" จ่าทำความเคารพตาม

               "ใครสั่งให้จ่าเข้ามา" ผู้บังคับบัญชาเอ่ยถาม

               "อ้าว!ทีผู้พันยังเข้ามาได้เลย" จ่าย้อนถาม

               "นั่นมันไม่เหมือนกัน" ผู้บังคับบัญชาพยายามจะอธิบาย

               "ไม่เหมือนกันยังไงครับ" จ่าซื่อได้ใจ

               "ผู้พันเขามีเรื่องเกี่ยวกับคดีจะคุยด้วย แล้วคุณล่ะมีไหม" ผู้บังคับบัญชางัดไม้เด็ดออกมาใช้

               "ไม่มีครับ" จ่าผู้อย่างตรงไปตรงมา

               "งั้นก็ออกไป" ผู้บังคับบัญชาเชิญจ่าออกไป

               "ครับผม" จ่าทำความเคารพก่อนเดินจากไป

               "ผู้พันเชิญนั่ง" ผู้บังคับบัญชาผายมือไปที่เก้าอี้

               "ขอบคุณครับ" ประทักษ์ค่อยๆนั่งลง

               "คดีไปถึงไหนแล้ว" ผุ้บังคับบัญชาถาม

               "ผมสำรวจมาแล้วพบหญิงคนหนึ่งที่มีนามว่าศฤงคารมีพฤติกรรมแปลกผิดสังเกตผมคิดว่าเธอต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้" ประทักษ์ตอบไปตามความเป็นจริง

               "คุณคงไม่ได้หมายความว่าผู้ต้องสงสัยเป็นลูกสาวคุณพิมุขหรอกนะ" ผู้บังคับบัญชาถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ

               "ผมไม่แน่ใจเพราะตอนเจอตัวเธอ รูปได้หายไปแล้ว ท่านพอจะมีรูปอีกไหมครับ" ประทักษ์ตอบด้วยความลำบากใจ

               "เดี๋ยวผมจะสอบถามให้"

           ผู้บังคับบัญชาพูดจบก็กดโทรศัพท์

               "ผมอธิบดีครับ" ผู้บังคับบัญชาแนะนำตัว

               "มีอะไรให้ช่วยหรือค่ะ" แม่บ้านถามกลับ

               "ช่วยหารูปคุณศฤงคารให้หน่อยครับ" ผู้บังคับบัญชาเอ่ยขึ้น

               "แล้วรูปเก่าของคุณหนูที่เอาไปล่ะค่ะ" แม่บ้านถามด้วยความสงสัย

               "หายครับ คือมันตกหายระหว่างทาง" ผู้บังคับบัญชาอธิบายถึงเหตุผล

               "งั้นก็เสียใจด้วยค่ะ เพราะรูปคุณหนูน่ะมีเหลืออยู่แค่รูปเดียวที่คุณขอ" แม่บ้านตอบกลับไป

               "คุณศฤงคารไม่ชอบถ่ายรูปหรือครับ" ผู้บังคับบัญชาถามต่อ

               "เปล่าหรอกค่ะ ตอนอยู่ที่ญี่ปุ่นคุณหนูเป็นดาวมหาลัยมีหนุ่มๆตามติดเยอะ" แม่บ้านอธิบายให้เข้าใจ

               "แล้วมันเกี่ยวอะไรกับรูปล่ะครับ" ผู้บังคับบัญชายังไม่หายสงสัย

               "เกี่ยวสิคะ พอจะกลับเมืองไทยก็มีหนุ่มๆมาขอรูปคุณหนูไว้ดูต่างหน้าเยอะ" แม่บ้านพูดอย่างชื่นชมในความงามของศฤงคาร

               "ไม่น่าล่ะ" ผู้บังคับบัญชาเริ่มเข้าใจ

               "คุณผู้หญิงกลับมาพอดีค่ะ ลองคุยกับคุณผู้หญิงดูไหมค่ะ" แม่บ้านเดินไปหาโสภีแม่ของศฤงคารผู้หายตัวไป

               "ก็ดีครับ" ผู้บังคับบัญชารอสักพัก

               "คุณผู้หญิงโทรศัพท์ค่ะ" แม่บ้านเดินไปบอก

               "ใครล่ะ" โสภีถาม

               "ท่านอธิบดีค่ะ" แม่บ้านตอบ

           คุณผู้หญิงรีบไปรับโทรศัพท์

               "เรื่องลูกของดิฉันไปถึงไหนแล้วค่ะ" โสภีถามอย่างร้อนใจ

               "คาดว่าจะเจอตัวแล้วครับ แต่รูปคุณศฤงคารหายจึงไม่แน่ใจว่าใช่เธอหรือเปล่า" ผู้บังคับบัญชาพูดด้วยความเห็นใจ

               "คุณพอจะมีรูปคุณศฤงคารเหลืออีกมั้ยครับ" ผู้บังคับบัญชาถามตามที่ประทักษ์จี้ไว้

               "มีค่ะอยู่ที่ญี่ปุ่น" โสภีทำท่าคิด

               "ต้องใช้เวลาอีกกี่วันครับถึงจะได้รูป" ผู้บังคับบัญชาถาม

               "ก็คงประมาณเดือนนึงล่ะคะ" โสภีตอบมาอย่างหนักใจ

               "ช้าอย่างงั้นเชียวหรือครับ" ผู้บังคับบัญชามีท่าทีรีบร้อน

               "ค่ะ แต่ดิฉันจะพยายามให้เขาส่งมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้" โสภีพูดต่อ

               "ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยตามหา" ก่อนเอ่ยตามด้วยความซึ้งใจ

               "ไม่เป็นไรครับ เป็นหน้าที่ของพวกผมอยู่แล้ว" ผู้บังคับบัญชารับคำของโสภี

           พูดจบทั้งคู่ต่างวางสาย

               "ได้เรื่องมั้ยครับ" ประทักษ์ถามขึ้นอย่างไม่รีรอ

           อธิบดีพยักหน้า

               "แล้วเอารูปที่ไหนล่ะครับ" ประทักษ์ถามต่ออย่างมีความหวัง

               "ญี่ปุ่น" ผู้บังคบบัญชาตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

               "ใช้เวลากี่วันครับ" ประทักษ์ยังไม่คลายความกังวล

           ท่านอธิบดีชูมาหนึ่งนิ้ว

               "เร็วดีหนิครับ 1 วัน เอง" ประทักษ์พูดออกมาด้วยความดีใจ

               "ใครบอกล่ะ" ผู้บังคับบัญชาพูดให้ประทักษ์ได้คิด

               "ก็ท่านอธิบดีบอกไงครับ" ประทักษ์ตอบอย่างตรงๆ

               "คือมันใช้เวลา..." ผู้บังคับบัญชาชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้วอีกครั้ง

               "1 วันผมรู้แล้ว" ประทักษ์ตอบอย่างมั่นใจ

               "หนึ่งเดือน" ผู้บังคับบัญชาพูดออกมา

           ประทักษ์ตะโกนลั่น

               "ใจเย็นๆสิผู้พัน" ผู้บังคับบัญชาพยายามกล่อมให้ประทักษ์ใจเย็นลง

               "ผมเย็นไม่ไหวหรอกครับ ถ้ารอให้ถึงเวลานั้นถ้าศฤงคารคือลูกสาวคุณพิมุขผมคง..." ประทักษ์หยุดคำพูดพูดไม่ออก
               
    "ทำไม" ผู้บังคับบัญชาจ้องหน้าถาม
              
    "เปล่าครับ" ประทักษ์ปฎิเสธไป
             
     "หมดเรื่องแล้วคุณกลับไปได้" ผู้บังคับบัญชาดูเรื่องที่ยื่เสนอบนโต๊ต่อ

           ประทักษ์ทำความเคารพแล้วก็เดินออกจากห้องไป


           ณ หน้าบ้านของประทักษ์ได้มีรถทีบขับมาจอด

              "จอดตรงนี้เลย" หญิงสาวท่าทางไฮโซชี้นิ้วสั่ง
             
    "อ่ะ ตังส์" พอจ่ายเงินเสร็จแล้วหญิงสาวก็เดินไปกดกิ่ง

              "มาแล้วค่ะ" คนใช้พูดพร้อมเปิดประตู

              "ป้าคุณทักษ์อยู่ไหม" หญิงสาวท่าทางไฮโซถามแม่บ้าน

              "ไม่อยู่ค่ะ ไปทำงาน" ป้านกมองหน้าหญิงสาวอย่างไม่ไว้ใจ

              "ไม่เป็นไรงั้นเดียวช่วยยกของเข้าไปเก็บห้องพักสำรองด้วย" หญิงสาวท่าทางไฮโซคนนั้นชี้ไปยังกระเป๋าที่วางกองไว้

            หญิงสาวสั่งเสร็จก็เดินเข้าบ้านไป

             "เป้าเอาของเข้าไปเก็บที" ป้าแม่บ้านสั่งคนขับรถ

             "ได้เลยป้า" คนสวนเดินออกมาจากบ้าน

          แต่พอคนสวนเดินมาเห็นข้าวของถึงกับตะลึง

             "โห ป้าแขกของคุณทักษ์คนเนี่ย เขาคิดจะไม่กลับบ้าน เขาแล้วใช่ไหมถึงได้ยกมาทั้งหลังแบบนี้" คนสวนบ่นอุบอิบ

              "กระเป๋าไม่ใช่บ้าน" แม่บ้านแก้ตัวแทนแขกของประทักษ์

              "ป้ามันก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย" คนสวนทำท่าเหมือนกับยกระสอบข้าวเป็นกิโล

           ในบ้าน สาวใช้รีบยกน้ำมาเสริฟ์ให้กับแขกของเจ้านาย
           
      "น้ำค่ะ" สาวใช้นำมาวางไว้บนโต๊ะ

              "อะไรยะ มีแต่น้ำเปล่าเหรอ" หญิงสาวทำท่าไม่พอใจ

              "ไม่ใช่ค่ะ" สาวใช้ตอบตามจริง

              "งั้นช่วยไปเอาน้ำส้มมาหน่อยสิ" หญิงสาวสั่งสาวใช้

           สาวใช้กลับไปเอาน้ำสักพักก็กลับมา

              "นี่ค่ะน้ำส้ม" สาวใช้เสริฟ์หญิงสาวท่าทางไฮโซคนนั้น

               "น้ำส้มรู้สึกสีแปลกๆนะ" หญิงสาวมองอย่างพิจารณา

               "คุณจะดื่มจริงๆหรือคะ" สาวใช้มองอย่างไม่เชื่อสายตา

               "ก็ใช่สิ" หญิงสาวยกแก้วขึ้นสูงก่อนดื่มลงไป

           ในขณะที่ใฝ่ฝันกำลังดื่มแจ๋วก็คิดในใจว่า

               "คนกรุงสมัยนี้กินอะไรแปลกๆ"

           ทันใดนั้นเสียงกรี๊ดก็ดังขึ้น

               "นี่แกเอาอะไร ให้ฉันกินนี่ น้ำส้มที่ไหนเปรี้ยวอย่างงี้" หญิงสาวเริ่มอาลาวาด

               "แล้วน้ำส้มสายชูที่ไหนไม่เปรี้ยวบ้างล่ะคะ" สาวใช้ย้อนคำ

           หลังคำพูดออกสาวใช้จบใฝ่ฝันก็กรี๊ดอีก

               "อะไรค่ะคุณ" ป้าแม่บ้านเดินเข้ามาถามหลังจากได้ยินเสียงกรี๊ดดังขึ้น

               "อีนี่ เอาน้ำส้มสายชูให้ฉันกิน" หญิงสาวฟ้องเป็นชุด

               "จริงเหรอ" แม่บ้านหันมาถามสาวใช้

               "จริง ก็คุณคนนี้สิป้าสั่งน้ำส้มฉันก็ไปเอามาให้ ผิดเหรอ" สาวใช้พูดตามความจริง

               "ไม่ผิดหนิ" แม่บ้านหันมามองทางหญิงสาวผู้เป็นแขกของเจ้าบ้านแทน

               "พวกแกเข้าข้างกันค่อยดูนะพี่ทักษ์กลับมาเมื่อไหร่เขาจะต้องไล่พวกแกออกแน่" หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

           ประเทศสหรัฐอเมริกา ณ หน่วยสืบสวนคดีพิเศษ

               "ไอ้ทักษ์เนี่ยนะครับไปสืบสวนคดีที่เมืองไทย" นฤบดีพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง

               "ใช่" หัวหน้าหน่วยตอบมาเป็นภาษาอังกฤษ

               "งั้นผมขอย้ายไปช่วยไอ้ทักษ์สืบสวนคดีสักพัก" นฤบดีขอเสนอตัว

               "อย่าเลยคดีที่เวียดนามคุณยังสะสางไม่เสร็จเลย" หัวหน้าด้วยทำหน้าอย่างปลงตก

               "งั้นถ้าผมสะสางคดีที่เวียดนามเสร็จ ท่านต้องให้ผมไปช่วยไอ้ทักษ์นะ" นฤบดีพูดอย่างมีความหวัง

               "คดีเก่าคุณทิ้งมันไปเลยดีกว่า ผมมีคดีใหม่ให้รับรองว่ามันง่ายมาก" หัวหน้าหน่วยพูดอย่างเซ็งจิต

               "คดีอะไรหรือครับ" นฤบดีนั่งฟังอย่างสนใจ

               "คุ้มครองลูกสาวเจ้าพ่อเวียดนาม เหตุผลที่ต้องมีคนคุ้มครองเพราะว่าเธอได้เข้าไปล่วงรู้ความลับของขบวนการค้ายา" หัวหน้าหน่วยพูดอย่างสีหน้านิ่งเฉย

               "เธอเป็นถึงลูกเจ้าพ่อคงมีคนดูแลเยอะอยู่แล้ว" นฤบดีพูดอย่างไม่ใส่ใจ

               "แต่เท่าที่ผ่านมาเธอเกือบตายถ้าพวกลูกสมุนเจ้าพ่อไม่ยอมสละชีวิตช่วยเธอ" หัวหน้าหน่วยอ้างเหตุผล

               "แล้วพ่อเธอล่ะ" นฤบดีถามต่อ

               "นี่ล่ะคือปัญหาที่ทำให้ผมต้องให้คุณไปเป็นบอดี้การ์ดให้ลุกสาวเจ้าพ่อ" หัวหน้าหน่วยเริ่มพูดเข้าเรื่อง

               "ไม่เห็นเกี่ยวตรงไหนเลยครับ" นฤบดีมองไปทางอื่นอย่างไม่ใส่ใจ

               "เกี่ยวสิก่อนพ่อเธอตายได้ฝากผมไว้ให้ช่วยดูแล" หัวหน้าหน่วยพูดออกมาตามตรง

               "งั้นผมไปดีกว่า" นฤบดีทำท่าจะลุกขึ้นเดินจากไป

               "ไปเวียดนามใช่มั้ย ดีจริงๆ" หัวหน้าหน่วยพูดอย่างโล่งอก

               "เมืองไทยตะหาก" นฤบดีพูดอย่างไม่แยแส

               "แล้วเรื่องดูแลลูกสาวเจ้าพ่อล่ะ" หัวหน้าหน่วยลำบากใจอีกครั้ง

               "เขาให้ท่านดูแลไม่ใช่หรือครับ" นฤบดีย้อนคำ

               "แต่ผมมอบหน้าที่นี้ให้คุณแล้ว" หัวหน้าหน่วยพยายามกล่อมนฤบดี

               "ผมไม่สน" นฤบดีลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างไม่ใส่ใจคำของหัวหน้า

               "คุณไม่สนก็ไม่เป็นไร ผมจะส่งคนอื่นไปแทน แหม!เสียดายจริงๆที่นั่นมีผู้หญิงสวยๆเยอะเลย" หัวหน้าหน่วยหาเรื่องกล่อมนฤบดีจนได้

               "จอหน์งั้นคุณไปแทนแล้วกัน" หัวหน้าหน่วยหันมามองทางลูกน้องอีกคน

           หัวหน้าหน่วยพูดเป็นภาษาอังกฤษ

               "เดี๋ยวๆครับท่าน ผมไปครับ" นฤบดีรีบเดินกลับมายังโต๊ะหัวหน้าหน่วย

               "อ้าว!ก็คุณไม่สนก็ไม่ต้องไป" หัวหน้าหน่วยแอบยิ้มเจ้าเล่ห์นิดๆ

               "สนครับ ผมสนมากๆเลย" นฤบดีมีท่าทีกระตื้อรือล้นอย่างเห็นได้ชัด

               "นี่คือที่อยู่ของลูกสาวเจ้าพ่อ" หัวหน้าหน่วยยื่นให้

               "ว่าแต่เธอชื่ออะไรน่ะครับ" นฤบดีถามขึ้น

               "ปะไทรีห์" หัวหน้าหน่วยพูดพร้อมมองหน้านฤบดี

               "ชื่ออะไรแปลกพิลึก" นฤบดีพูดไปก็อดขำไม่ได้

               "ถ้าให้เรียกชื่อไทยก็ โสภาเพริดแพร้วมณีเกิดจากฟ้า ธาราลงสู่พิภพคู่ธานี บันดาลให้เกิดลาภผม ประจวบเหมาะมงคล ทุกๆหนล้วนเปรมปรีด์" หัวหน้าหน่วยขยายความ

               "พอๆครับถ้าชื่อไทยยาวอย่างงั้นผมยอมทนเรียกชื่อปะผัดไทรีด" นฤบดีเริ่มปลงตก

               "เธอชื่อปะไทรีห์" หัวหน้าหน่วยย้ำอีกที

               "นั่นล่ะครับ มันก็เหมือนกันน่ะครับ" นฤบดียังอ้างเหตุต่อไปได้เรื่อยๆ

               "ความจริงที่ท่องให้ฟังเมื่อกี้เป็นคำอวยพรที่หลายคนอวยพรให้ปะไทรีห์ตอนเกิด" หัวหน้าหน่วยเฉลยความจริงออกมา

               "เธอชื่อไทยจริงๆคืออะไรหรือครับ" นฤบดีถามอย่างสนใจ

               "นงคราญ" หัวหน้าหน่วยพูดอย่างฉะฉานแม้จะไม่ค่อยชัดก็ตาม

               "ฮู! โคตรโบราณเลยครับท่าน" นฤบดีทำท่าคิด

               "อย่างน้อยก็ดีกว่าคุณที่พ่ออุตส่าห์ตั้งดีๆให้ว่านฤบดี แปลว่าพระราชา แต่ทำงานมาตั้งนานยังไม่เลื่อนขั้นเลยขึ้นมาเลย" หัวหน้าหน่วยเตือนสติให้นฤบดีได้คิด

               "อ้าว! ก็ผมเป็นพระราชาตกกระป๋องนี่ครับจะให้ดีได้ไง" นฤบดียังหาข้ออ้างแก้ตัวได้เรื่อยๆ

               "เอ้า!เอาพลาสปอร์ตไปเลย" หัวหน้าหน่วยขี้เกียจจะเถียงกับนฤบดีแล้ว

               "ไปเดี๋ยวนี้เลยหรือครับ" นฤบดีทำท่าไม่อยากไป

               "ใช่ รีบไปซะอีก 20 นาทีเครื่องจะออกแล้ว" หัวหน้าหน่วยพูดให้นฤบดีรีบทำเวลา

           นฤบดีทำความเคารพเสร็จก็รีบออกจากห้องไปเพื่อตรงไปขึ้นรถขับไปยังสนามบิน

           เมื่อไปถึงสนามบินนฤบดีก็ได้พบโนมพรรณคนรักเก่าของเขาก่อนจะขึ้นเครื่อง

               "พรรณนี่คุณจริงๆด้วย" นฤบดีพูดด้วยรอยยิ้ม

               "บดีเลิกยุ่งกับพรรณเถอะพรรณมีแฟนแล้วนะ แล้วเค้าก็ขี้หึงมากด้วย" โนมพรรณพูดด้วยท่าทีรังเกียจ

           พูดจบโนมพรรณก็เอามือที่นฤบดีจับมือเธอออกแล้วเดินไปหาแฟน

               "Hi เจฟ" โนมพรรณเดินจากไปพร้อมแฟนใหม่

               "อีก 2 นาที เครื่อง F.S.T 21 จะออกขอให้ผู้โดยสารเข้าที่ให้เรียบร้อย"

           ถึงนฤบดีจะเสียใจแต่เมื่อต้องไปปฏิบัติหน้าที่เขาก็ต้องจำใจฝืนทนเดินเข้าเครื่องทั้งๆที่เขาอยากจะร้องไห้ออกด้วยซ้ำแต่ก็ต้องฝืนไว้ เขาอุทานกับตัวเองว่า

               "อย่าเศร้าสิวะ แค่ผู้หญิงคนเดียว"

           ทำเอาคนข้างๆเขาตกใจและพูดว่า

               "มันบ้าแน่ๆเลย"

           นฤบดีหันมาทางชายคนนั้น

               "มึงนะสิบ้า"

           หลายชั่วโมงต่อมาเครื่องบินได้ลงจอดลงบริเวณสนามบิน

               "ท่านส่งเรามาผิดหรือเปล่าวะ คุณครับที่นี่เวียดนามหรือครับ"

           นฤบดีถามเป็นภาษาอังกฤษ

               "ค่ะ" พนักงานต้อนรับพูดเป็นภาษาอังกฤษ

               "โอ๊ย!ไม่เอากลับดีกว่า อุตส่าห์บอกเราว่ามีแต่สวยๆ เท่าที่เห็นมีแต่อีเก้งขาเป๋สังกะสีขึ้นสนิท โอ่งมังกรหลายร้อยใบ เหนือไปกว่านั้นไม่สวยอยู่ไม่ได้"

           พูดจบก็เตรียมจะไปจองพลาสปอร์ตใหม่เพื่อกลับประเทศอเมริกา แต่มือถือกลับดังขึ้น

               "ฮัลโล" นฤบดีรีบโทรศัพท์อย่างเซ็งๆ

               "กลับไม่ได้นะคุณ" หัวหน้าหน่วยตะโกนเสียงสั่งออกมาจากโทรศัพท์มือถือ

               "ท่าน" นฤบดีพูดอย่างอึ้งๆ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×