ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มนต์มายางู

    ลำดับตอนที่ #1 : พญางู (แก้ไข)1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 307
      1
      22 ม.ค. 50


        

           เหตุเกิดขึ้นที่บ้านเศรษฐีใหญ่ท่านหนึ่ง

          
          
    ในท่ามกลางความเงียบสงัดและมืดมิดได้มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในห้องลูกสาวท่าเศรษฐีและได้ลักพาตัวลูกสาวท่านเศรษฐีไป

          
           
    ที่กระท่อมร้างท้ายสวนที่เต็มไปด้วยต้นไม้นานาพรรณ

             
          
    "ปล่อยฉันนะ" หญิงสาวร้องตะโกนพร้อมกับมองหน้าชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า

          
           พอชายวัยกลางคนเผลอหญิงผู้นั้นก็วิ่งหนีออกไป แต่ชายวัยกลางคนก็สามารถจับไว้ทัน

             
      
    "คิดจะหนีเหรอ" ชายวัยกลางคนผู้นั้นพูดด้วยเสียงอันดังกึกก้องทั่วบริเวณสวนร้าง


              
    "มาดูนี่" พูดพรางเอามือกระชากลูกเศรษฐีมาดู

              
    "เห็นนี่มั้ยงูพิษเป็นงูพันธุ์พิเศษที่ข้าคิดค้นได้ ข้าปล่อยไว้รอบสวนเลยต่อให้แกหนียังไงก็หนีไม่รอด ไม่เชื่อเหรอ" ชายวัยกลางคนพูดพร้อมมองหน้าหญิงสาว

           พูดจบชายวัยกลางคนก็จัดการเอาหนูตัวหนึ่งโยนไปใกล้ๆงู

           งูตัวนั้นฉกหนูอย่างไม่ปราณี

             
     
    "แกไอ้คนใจร้ายโหดร้าย" หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆอย่างหวาดกลัว

         
         
    "งูพวกนี้นะฉกคนสามารถตายในหนึ่งวิ แต่ก็มียาไม่กี่ประเภทหรอกที่สามารถห้ามพิษไว้ซักระยะหนึ่ง และก็มียาแค่เพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่จะแก้พิษได้แต่แกก็ไม่สามารถหาได้หรอก เพราะมันอยู่บนเขาอโนดานซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์มีพิษนานาชนิด ฮ่าๆๆ" ชายวัยกลางคนพูดด้วยความสะใจ

          
        
    "แกจับฉันมาทำไม" หญิงสาวผู้เป็นลูกเศรษฐีถามพร้อมกับจ้องหน้าชายผู้นั้นอย่างหวาดหวั่น

          
        
    "ก็พ่อแกทำให้ปู่ฉันต้องตรอมใจตาย ถ้าพ่อแกไม่แย่งคุณโดเนเวอร์ไปก่อนบริษัทของเราก็ต้องไม่ล้มละลาย และคุณปู่ก็ไม่ต้องตรอมใจตาย" ชายวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงที่คับแค้นใจสุดๆ

             
     
    "แล้วฉันเกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย ฉันพึ่งกลับมาจากญี่ปุ่นเมื่อวานนี้เองนะ" หญิงสาวเอ่ยถามอย่างสงสัย

            
      
    "เกี่ยวเพราะแกเป็นลูกสาวของมัน มันคงจะเสียใจมากถ้าลูกสาวมันต้องเป็น..." ชายวัยกลางคนพูดด้วยความแค้นแต่สักพักก็มีอันหยุดไป

         

           
       
    "เป็นอะไรแกพูดมาดีๆนะ" หญิงสาวชักโมโหที่ชายวัยกลางคนปิดบัง

           ชายผู้นั้นไม่ตอบกลับกระชากลูกสาวเศรษฐีกลับมาขังในกระท่อม

        
      
    วันรุ่งขึ้น ที่บ้านเศรษฐีคนใช้รวมทั้งเจ้านายพากันแตกตื่นเมื่อพบว่ามีใครบ้างคนหายไป


              
    "ลูกฉันหายไปไหนเนี่ย" พิมุขเอ่ยพร้อมกับกวาดตามองหารอบๆ

           
       
    "รีบตามหากันสิ" โสภีเอ่ยสั่งมือก็กดโทรศัพท์หาเพื่อนลูกของเธอแต่ละคน

           ถึงแม้จะพยายามหาเท่าไหร่ก็ตามก็ไม่พบจนโสภีและพิมุขมหาเศรษฐีทั้งสองเริ่มถอดใจ


              
    "โธ! ลูกแม่" โสภีเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับจะเป็นลม

        
      
    ในที่สุดเมื่อตามหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอลูกสาวของตนโสภีกับพิมุขก็ต้องขอร้องให้ตำรวจช่วยตามหาลูกสาวตน

      
            
    "ว่าไงครับเจอหรือเปล่า" พิมุขคุยโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงอันร้อนรน

             
     
    "ไม่เจอครับแต่ทางเราจะตามหาให้เจอจนได้" ทางตำรวจเอ่ยตอบมาอย่างให้ความหวัง

             
     
    "ยังไงก็ช่วยหน่อยนะครับ" พิมุขขอร้องอีกรอบเพื่อให้ตำรวจเร่งมือขึ้นในการตามหาลูกสาวของตน


              
    "ครับ" ทางตำรวจรับคำเป็นการปลอบใจเจ้าทุกข์

              
    "คุณท่าน คุณผู้หญิง เป็นลมไปแล้วค่ะ" คนใช้ส่งเสียงโวยวายมาจากด้านหลังโซฟา

      
            
    "ขอตัวก่อนนะครับ" พิมุขรีบวางสายเพื่อไปดูภรรยาของตน

               "ครับ" ทางตำรวจตอบรับด้วยความเสียงปลงตก

          
         
    หลายปีผ่านไป ทางตำรวจได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการตามหาลูกสาวของโสภีและพิมุขมหาเศรษฐีทั้งสองแต่ก็ไม่สามารถจะสืบหาเบาะแสหรือร่องรอยแม้แต่น้อยได้เลยว่าลูกสาวของทั้งเศรษฐีถูกจับตัว หรือ ไปอยู่ณแห่งหนใด ยังคงเป็นปริศนาที่ค้างคาใจทางตำรวจเรื่อยมา

        
       ทาง
    ตำรวจได้ทั้งประกาศทั้งส่งกำลังออกตามหาทั่วประเทศก็ยังไม่พบ

         
     
    ที่สวนร้าง ลูกสาวเศรษฐีที่ถูกจับตัวไปได้สังเกตเห็นความผิดปกติกับชายวัยกลางคนที่จับตัวเธอมาขังไว้ณ ที่สวนร้างนี้เป็นเวลานานนับแรมปี

        
          
    "แกเป็นอะไร" หญิงสาวเอ่ยด้วยความเสียงประหลาดใจ

             
     
    "เปล่าแค่ฉันอยู่มานานมากพอแล้วถึงเลาสักทีที่จะพักผ่อน" ชายวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงเอื่อๆ

           ชายผู้นั้นพยายามรวบรวมกำลังที่มีอยู่จับลูกสาวท่านเศรษฐีไว้แน่น


              
    "ปล่อยฉันนะ" หญิงสาวร้องโวยวายให้ปล่อยตัวเธอ

           แล้วก็เหมือนมีอะไรออกมาจากปากชายวัยกลางคน เป็นพญาตัวใหญ่เข้าไปในร่างของหญิงสาว

       
           
    "อย่า" หญิงสาวร้องอย่างทุกข์ทรมาน

           พอปล่อยงูตัวนั้นออกมาจากร่างเสร็จชายวัยกลางคนผู้นั้นก็ถึงกับล้มลงกับพื้น

          
        
    "ถึงยังไงแกก็เคยดีกับฉัน ฉันจะบอกวิธีแก้ให้ก็แล้วกัน ข้อ1.แกต้องฆ่าคนให้ครบร้อยคนแล้วตอนกลางคืนร่างของแกก็จะไม่กลายเป็นงูและจะเป็นคนปกติ ข้อ2.แกต้องเอาเลือดของเด็กที่พึ่งเกิดทาให้ทั่วตัวแต่แกต้องเอามาให้ได้ 999 คน ข้อ3. มันเป็นไปได้ยากมากจะต้องมีชายที่รักแกจริงโดยไม่รังเกียจที่แกเป็นงูในร่างมนุษย์ สิ่งที่ข้าอยากเตือนไว้ก็คือ ตอนดึกแกจะออกไปไหนไม่ได้เพราะร่างกายแกจะกลายเป็นงู แต่ถ้าแกจำเป็นจริงๆแล้วละก็ แกต้องเอาเลือด แกเขียนไว้ที่หน้าผาก"


         
    พูดพร้อมพรางเอาดินสอเขียนให้เห็น

              
    "แต่จำไว้ 1 ชั่วโมงเท่านั้น เพราะฉะนั้นแกคงไม่มีโอกาสได้มีใครมารักหรอก เพราะถ้าเขารู้ความจริงก็จะต้องหนีแกไป แต่ต่อให้คนนั้นเขารักแกจริงล่ะก็ และไม่รังเกียจแกก็ไม่ได้หมายความว่าแกจะหายจากการกลายเป็นงูง่ายๆหรอก"

           ชายผู้นั้นเริ่มพูดไม่ค่อยชัด

             
     
    "เพราะอะไรน้า บอกฉันมาสิ" หญิงสาวคาดคั้นจะรับรู้ความจริง

              
    "เพราะชายผู้นั้นก็ต้องฝ่าฟัดอุปสรรคอีกอย่างหนึ่ง" ชายวัยกลางวัยเริ่มจะหมดแรงน้ำเสียงเริ่มจะขาดหาย

            
      
    "อะไรหรือน้า" หญิงสาวลุ้นอย่างใจจดใจจ่อ

          
        
    "สิ่งนั้นก็คือ..." ชายวัยกลางคนพยายามที่จะพูดออกมา

           ยังไม่ทันจบคำพูดชายวัยกลางคนก็สิ้นลม

             
     
    "น้าๆฟื้นขึ้นมาบอกฉันก่อนสิ" หญิงสาวพูดพร้อมกับเขย่าตัวชายวัยกลางคน

         

     
    ที่บ้านท่านเศรษฐี โสภียังคงเป็นกังวลกับการหายตัวไปอย่างลึกลับของลูกสาวไม่หาย

            
       "
    นี่มันก็หลายปีแล้วนะคะ
    " โสภีเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบายใจด้วยสีหน้าไม่สู่ดีนัก

         
         
    "ครับ มันแปลกมากที่เราหาเท่าไรก็ไม่พบ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ คุณพิมุข คุณโสภี เราได้เขียนจดหมายไปขอร้องให้ที่อื่นส่งตำรวจเก่งๆมาช่วยตามหา แต่เท่าที่ส่งมาไม่มีใครสักคนที่รอดสักคน ทุกคนล้วนกลับมาในสภาพศพ แล้วหลายปีที่ผ่านมาเนี่ยโจรก็ตายไปตั้งเยอะโดยไม่ทราบสาเหตุ รู้สึกว่ารวมตำรวจที่ตายไปด้วยก็ประมาณ 99 คน" ทางตำรวจเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเกร็งๆ

              
    "ผมไม่สนหรอก ยังไงคุณต้องหาลุกผมให้พบ" พิมุขยื่นคำขาด

         
     
    ที่สถานที่ตำรวจ อธิบดีกรมตำรวจเรียกจ่ามาพบเนื่องจากมีเรื่องจะให้ช่วย

              
    "ท่านอธิบดี" จ่าเอ่ยขึ้นหมือนกับเป็นการบอกว่าการตามหาลูกสาวท่าเศรษฐีผิดพลาดอีกครั้ง

            
      
    "ผมทราบแล้ว" อธิบดีเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ

              
    "พรุ่งคุณช่วยไปรับผู้พันประทักษ์ที่สนามบินมาด้วย" อธิบดีตัดสินใจพูดออกมาอีกครั้ง

            
      
    "แน่ใจหรือครับเท่าที่ส่งมาเกือบจะทั้งนั้น เฮ้ย!ไม่ใช่ เท่าที่ส่งมาตายหมด" จ่าพูดอย่างหวาดหวั่นด้วยเกรงว่าผู้ที่ถูกส่งมาจะเป็นอันตรายไปอีกคน

              
    "คนนี้ผมเช็คประวัติเรียบร้อยแล้วเป็นตำรวจไทยคนเดียวที่ได้ไปอยู่หน่วยสืบสวนพิเศษของอเมริกา แถมเป็นหัวหน้าหน่วยอีก" อธิบดีพยายามพูดให้จ่าสบายใจขึ้น

            
      
    "แต่พวกนั้นที่ส่งมาก็หัวหน้าหน่วยเหมือนกัน" น้ำเสียงของจ่ายังลังเลบ่งบอกถึงความไม่มั่นใจ

           
       
     
    "ไม่เหมือนพวกนั้น อยู่หน่อวย พม่า อินเดีย ลาว เวียดนาม ผู้พันคนนี้เนี่ยวิทยายุทธ์รอบตัวเพรียบไม่ว่าจะเป็นไสยศาสตร์ ต่อสู้ วิธีใช้อาวุธ" อธิบดีเน้นย้ำเพื่อให้จ่าเชื่อในฝีมือของคนที่ส่งมา

              
    "ท่านคงโม้อีกตามฟอร์ม" จ่าพูดพร้อมมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างปลงตก

            
      
    "ถ้าไม่เชื่อล่ะก็นี่ประวัติการทำงานของเขา" อธิบดีพูดพร้อมกับโยนแฟ้มลงบนโต๊ะให้จ่าดู

              
    "โห!สุดยอดเลยครับท่าน แต่ละคดีนี้ไม่เหมือนคดีก่อนๆที่ผู้พันเคยทำนะครับ" จ่าทึ้งในความสามารถของบุคคลผู้นั้นแต่ก็ยังไม่วายที่จะอดเป็นห่วงไม่ได้

         
         
    "เชื่อผมยังไงก็ต้องสำเร็จ" อธิบดีพูดด้วยความมั่นใจ

           เช้าวันต่อมา ที่สนามบิน จ่าได้เดินทางไปรับผู้พันตามคำสั่งของอธิบดีแต่เช้า

            
      
    "ผู้พันทางนี้ครับ" จ่ายืนโบกมือทันทีที่เห็นชายที่มีหน้าตาที่เหมือนกับในรูปที่ตนถืออยู่

              
    "รู้ได้ไงครับว่าผมเป็นใคร" ชายหนุ่มร่างสูงถามอย่างสงสัย

          
        
    "ท่านอธิบดีบอกไว้ว่าแต่จะไปได้หรือยัง" จ่าตอบแบบหวนๆ

         
       
       
    "ไปได้แล้วครับ" ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร

        
      
    ที่กรมตำรวจ อธิบดีได้นั่งรอการมาเยือนของตำรวจหนุ่มหน่วยสืบสวนของอเมริกาอยู่นานจนในที่สุดก็ได้พบตัวจริงซะที

             
     
    "ผมพันตำรวจเอกประทักษ์ ปิ่นพินโย ขอรายงานตัวครับผม" ชายหนุ่มก้าวเข้ามาภายในห้องพร้อมกับทำความเคารพ

           
       
    "เชิญนั่ง" อธิบดีเอ่ยพร้อมกับผายมือไปทางเก้าอี้

           
       
    "ขอบคุณครับ" ชายหนุ่มทำความเคารพอีกครั้งก่อนนั่งลง

           
       
    "คุณคงรู้รายละเอียดหมดแล้วใช่มั้ย" อธิบดีเริ่มเกริ่นเรื่อง

        
          
    "ครับ" ชายหนุ่มตอบสั้นๆแต่ได้ใจความ

             
     
    "ผมคิดว่ากรณีการตายของคนร้ายและตำรวจต้องมีส่วนเกี่ยวพันกับหญิงที่หายตัวไปแน่ครับ" ก่อนที่เอ่ยต่อไปในคดีที่ผัวพันเกี่ยวกับการหายตัวไปของลูกสาวเศรษฐี

             
     
    "คุณคิดอย่างงั้นเหรอ" อธิบดีถามอย่างสนใจ

            
      
    "ครับท่าน" ชายหนุ่มยืนยันคำตอบด้วยท่าทีและแววตาที่ม่งมั่น

              
    "นี่คือรูปของคุณศฤงคาร ลูกสาวของคุณพิมุขที่หายตัวไปอย่างลึกลับ" อธิบดีเอ่ยพร้อมกับยื่นรูปส่งให้ชายหนุ่มผู้เป็นตำรวจหน่วยสืบสวนที่ถูกส่งตัวมาจากอเมริกา

              
    "คนนี้หรือครับ ภาพไม่ค่อยชัดเลยนะครับ" นายตำรวจหนุ่มพยายามมองภาพอย่างพิจารณา

              
    "นี่คือภาพที่ชัดที่สุดแล้วนะ" อธิบดีเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

            
      
    "ครับผมจะพยายามตามหาให้เจอ" นายตำรวจหนุ่มชักเริ่มไม่มั่นใจ

             
     
    "ขอบคุณมากที่อุตส่าห์สละเวลางานที่นั่นมาช่วยงานที่ประเทศเรา" อธิบดีกล่าวขอบคุณ

            
      
    "ไม่เป็นไรครับ ผมก็เป็นคนไทยเหมือนกันเราก็ควรจะช่วยเหลือกัน" นายตำรวจหนุ่มพูดอย่างนอบน้อม

         
     
    ที่บ้านเศรษฐี พิมุขมีความดีใจเป็นอย่างมากที่ได้รับรู้ข่าวเกี่ยวกับลูกสาวตน

           
       
    "จริงหรือครับ คุณสารวัตร" พิมุขเอ่ยด้วยท่าทางดีใจสุดๆ

       
           
    "จริงสิครับ" ทางตำรวจพูดด้วยรอยยิ่ม

             
     
    "อย่างงี้ผมค่อยสบายใจได้หน่อยว่าลุกผมต้องกลับมาได้แน่" พิมุขพูดพร้อมถอนหายใจอย่างโล่งอก

         
     
    ฝ่ายประทักษ์ได้ออกมาตามหาศฤงคารลูกสาวของพิมุขและโสภีมหาเศรษฐีที่เลืองชื่อของจังหวัด

             
     
    "จ่าไม่ต้องตามผมมาหรอกครับ ผมคิดว่าผมรู้จักทางแถวนี้ดี เมื่อตอนเด็กๆผมมาวิ่งเล่นแถวนี้บ่อย แต่แปลกปกติเคยมีคุณน้าคนหนึ่งเขาอยู่แถวนี้" ประทักษ์พูดพร้อมกับหันมามองให้จ่าหยุดเดินตามเขามา

          
        
    "ผู้พันสนิทกับเขาหรือครับ" จ่าชักถามอย่างสนใจ

             
     
    "มากเลยล่ะ น้าคนนั้นนะเลี้ยงงูพิษไว้เยอะเลย" ประทักษ์เริ่มเล่าเรื่องให้ฟัง

          
        
    "แล้วคุณไม่กลัวหรือครับ" จ่ายังถามต่อด้วยท่าทีประหลาดใจ

           
        "
    ไม่หรอก น้าเขาสอนวิธีสะกดมนต์งูให้ผม
    " ประทักษ์พูดออกมาโดยไม่ทันได้คิด

             
     
    "ไม่น่าล่ะคุณถึงไม่ให้ผมไปด้วย แต่ที่แบบนี้ไม่น่าจะเป็นที่ให้คนร้ายเอาคุณศฤงคารมาซ่อนหรอกครับมันอันตรายเกินไป" จ่าพูดด้วยน้ำเสียงอึ้งๆ

            
     
     
    "ยิ่งอันตรายยิ่งน่าสงสัย ผมว่าคุณไปได้แล้ว ผมจะสำรวจพื้นที่ ถ้ามีอะไรผิดสังเกตผมจะวอไปบอกคุณ" ประทักษ์พูดพร้อมกับมองไปยังทางเบื้องหน้า


              
    "ครับ" จ่าเอ่ยสมทบ

       
       
    ขณะที่ประทักษ์เดินเข้าไปได้มีงูพิษเลื้อยมาหาเขาเพรียบ


          
    ประทักษ์จึงท่องมนต์


          
    พอท่องมนต์เสร็จงูก็เลื้อยหนี

        
      
    ประทักษ์ได้เข้าไปสำรวจในกระท่อมแต่ก็ไม่พบอะไรจึงเดินออกมา

           ระหว่างทางประทักษ์ได้เห็นโจรกำลังจะลวนลามหญิงสาว เขาจึงเขาไปช่วย

          
    ขณะเดียวกันศฤงคารกำลังจะใช้ฤทธิ์พิษงูฆ่าโจรให้ตายแต่ประทักษ์มาช่วยเธอเลย

    ไม่ใช้กำลัง

          
    โจรอีกคนเข้าไปช่วยต่อสู้

           
    อีกคนเข้าไปเอาตัวศฤงคารมา

         
     
    ประทักษ์ต่อสู้กับคนร้ายจนคนร้ายหมอบไม่เป็นท่า

       
       
    อีกคนเห็นท่าไม่ค่อยดีจึงคว้าปืนออกมายิง


         
    ศฤงคารตะโกนบอก


              
    "ระวัง"

           แต่ประทักษ์หลบไม่ทันจึงโดนยิงและสลบไป

           ศฤงคารเห็นดังนั้นจึงเรียกงูออกมา ทำให้โจรพากันหนีไป

           ศฤงคารเข้าไปช่วยพยุงประทักษ์ขึ้นไปไว้ที่กระท่อม เธอได้ทำแผลให้เขา

         
     
    สักพักประทักษ์ก็ฟื้นขึ้นมา

             
     
    "ขอบใจที่ช่วยฉันไว้" หญิงสาวเอ่ยสั้นๆ

        
          
    "ไม่เป็นไรครับ" ชายหนุ่มตอบ

              
    "นั่นคุณจะไปไหนน่ะ" หญิงสาวถามด้วยความเห็นใจ

            
      
    "กลับโรงแรม" ประทักษ์ตอบทื่อๆ

            
      
    "ทั้งๆที่เจ็บเนี่ยนะ" ศฤงคารขึ้นเสียงสูง

            
      
    "ฉันว่าคุณอยู่พักให้หายดีเสียก่อนค่อยกลับดีกว่า ถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณของฉันก็แล้วกัน" ศฤงคารจึงเอ่ยชวนให้พักที่กระท่อมปลายสวน

              
    "ว่าแต่คุณนี่หน้าคุ้นๆนะ คุณชื่ออะไร ส่วนผมชื่อประทักษ์ เรียกผมว่าทักษ์ก็ได้" ประทักษ์มองหน้าศฤงคารอย่างพิจารณา

             
     
    "ฉันชื่อศฤงคาร" ศฤงคารเอ่ยพร้อมกับมองหน้าประทักษ์ตอบ

             
     
    "เดี๋ยวคุณช่วยอยู่นิ่งๆสักพักหน่อยนะ" ประทักษ์ขอให้ศฤงคารยืนนิ่งๆ

           ประทักษ์กำลังจะหยิบรูปขึ้นมาแต่รูปนั้นได้หายไปเสียแล้ว เขาก็ไม่รู้จะทำไงจึงได้แต่เฉย

          
    ที่โรงแรม จ่านั่งรอโทรศัพท์พันเอกประทักษ์ อยู่นานจนหาวไปไม่รู้กี่ตลบในที่สุดประทักษ์ก็โทรมา

           
       
    "ฮัลโล สักครู่นะคะ เรียบร้อยแล้วค่ะ" พนักงานพูดเสียงหวาน

            
      
    "ฮัลโล ผู้พันหรือครับ" จ่ารับสายจากการต่อสายของพนักงานของโรมแรม

         
         
    "ใช่ผมเอง" ประทักษ์เอ่ยขึ้นพร้อมกับมองไปรอบๆบริเวณที่ตนยืนอยู่


              
    "มีเหตุร้ายหรือครับ" จ่าถามด้วยความเป็นห่วง

             
     
    "ก็นิดหน่อย ผมถูกยิงกะว่าจะพักรักษาตัวให้หายก่อนค่อยกลับ" ประทักษ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นๆนิดๆ

             
     
    "จะให้ผมไปรับมั้ยครับ" จ่าถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน

            
      
    "ไม่ต้องผมจะอยู่รักษาตัวที่นี่และอีกอย่างที่นี่มีอะไรบ้างอย่างที่น่าสงสัย" ประทักษ์รีบพูดห้ามอย่างเด็ดเดี่ยว

           
       
    "อะไรหรือครับที่น่าสงสัย" จ่ายังคงชักถามต่อไป

           ศฤงคารกำลังจะเดินเข้ามาภายในกระท่อมที่ประทักษ์อยู่

            
      
    "ก็...แค่นี้ก่อนนะ" ประทักษ์รีบวางสายก่อนที่ศฤงคารจะเข้ามาถึงในตัวกระท่อม

           
       
    "เดี๋ยวสิครับผู้พัน" จ่าพยายามร้องเรียกอยู่หลายคร่าแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ

           ประทักษ์รีบกดวางสาย

              
     
    "กระท่อมหลังนี้เป็นของคุณหรือครับ" ประทักษ์เริ่มชักถามแบบค่อยเป็นค่อยไป

              
    "เปล่าหรอกเป็นของ...คุณอย่ารู้เลยมันเป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน" ศฤงคารตอบอย่างรู้ทัน

             
     
    "เดี๋ยวสิคุณ" ประทักษ์พยายามเรียกศฤงคารไว้

             
     
    "คุณพักอยู่ที่นี่แหละ ไม่ต้องตามฉันมา" ศฤงคารพยายามบ่ายเบี่ยงหาทางหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้ประทักษ์มีโอกาสซักถามตนไปมากกว่านี้

           
       
    "แล้วคุณล่ะ" ประทักษ์พยายามชี้หวังให้ศฤงคารจนมุม

         
         
    "ฉันมีที่อยู่ก็แล้วกัน" พูดจบศฤงคารก็เดินจากไป

             
     
    "ผู้หญิงอะไรลึกลับซับซ้อนแข็งก้าวน่าสะพรึงกลัว" ประทักษ์พูดพร้อมกับมองตามศฤงคารไป

          
    ที่บ้านเศรษฐี โสภีกับพิมุขยังคงนั่งรอข่าวความเคลื่อนไหวความเป็นไปของลูกตน

             
     
    "ว่าไงค่ะเจอลูกฉันยัง" โสภีถามอย่างรีบร้อน

              
    "นี่พึ่งออกตามหาเองนะครับจะให้เจอทันใจคุณได้ไง" ตำรวจเอ่ยให้โสภีใจเย็นๆ

           
       
    "โทษทีค่ะ ฉันคิดว่าหลายวันแล้ว" โสภีจึงได้สติยั้งคิดขึ้นมาได้

           
       
    "ขอบคุณมากนะครับคุณตำรวจที่มาส่งข่าว" พิมุขเอ่ยขึ้นอย่างซึ้งใจ

            
      
    "เป็นอันว่าลูกเราปลอดภัย" โสภีเอ่ยอย่างมีความหวัง

      
            
    "ขอตัวกลับก่อนนะครับ" ตำรวจรีบเอ่ยขึ้น

       
           
    "ค่ะ" โสภีรีบตอบกลับ

          
        
    "ครับ" พิมุขเอ่ยตามมาอย่างช้าๆ

            
      
    "ไอ้ทิศส่งแขก" พิมุขเอ่ยอีกครั้งเพื่อเรียกคนสวนไปส่งตำรวจ

            
      
    "ครับ" ทิศรีบวิ่งเข้ามาในบ้านนำทางตำรวจออกไป

          
    วันรุ่งขึ้น ที่สนามบิน หญิงสาวคนหนึ่งก้าวเข้ามาสู่บริเวณจุดรับผู้โดยสารก่อนจะเดินเข้าไปหาผู้เป็นป้า

              
    "สวัสดีค่ะคุณป้า" หญิงสาวร่างบาง ปากแดง ในตายั่วยวน กล่าวเสียงใส

        
          
     "จ๊ะ" ผู้เป็นป้ายกมือขึ้นรับไหว้หลาน

            
      
    "แล้วนี่คิดยังไงถึงกลับมากรุงเทพฯ" ป้าถามอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่าหลานอยากกลับมาเที่ยวเมืองไทย

             
     
    "ก็พี่ทักษ์สิคะ อยู่ๆก็ย้ายมาประจำการที่กรุงเทพฯ" หญิงสาวเอ่ยอย่างไม่พอใจนิดๆ

          
        
    "ใครบอกล่ะหลาน" ผู้เป็นป้าถามขึ้น

             
     
    "ก็ท่านอธิบดีสิคะ" หญิงสาวเริ่มนำคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องกับตน

              
    "คงฟังผิดมั้งเพราะทักษ์ย้ายไประจำการที่อุดร" ผู้เป็นป้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริง

          
        
    "ที่ๆแห้งแล้งเนี่ยนะคะ" หญิงสาวเอ่ยเสียงสูงอย่างไม่อยากจะเชื่อ

           
       
    "ใช่" ผู้เป็นป้าเอ่ยสั้นๆด้วยแววตาที่บ่งบอกถึงความอารมณ์ดี

       
           
    "ตายๆพี่ทักษ์นะพี่ทักษ์" หญิงสาวร่างบาง ทำท่ากุ้มขมับอย่างกลุ้มใจ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×