เรื่องสั้นจริงๆนะ
-
ผู้เข้าชมรวม
223
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
“ยังคงก่อความวุ่นวายอย่างต่อเนื่อง....”
“กี้ดูข่าวสิลูก คนพวกนี้นี่ใช้ไม่ได้เลย จะให้แต่ตัวเองพรรคพวกตัวเองไม่กี่คนสบายแล้วให้คนอื่นทั้งประเทศต้องเสียหายรึไง” เสียงของนางดังขึ้นหลังจากดูรายการเล่าข่าวที่มีนักข่าวที่ดังที่สุดกล่าวถึงการกระทำของผู้ประท้วงที่ค่อยๆเพิ่มความรุนแรง
หญิงสาวเดินลงมาจากบ้านช้าๆพยักหน้าอย่างขอไปที เธอไม่ใช่คนที่สนใจข่าวสารนัก ก็มันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอเลยนี่ เธอลงไปนั่งที่เก้าอี้แล้วเริ่มลงมือทานข้าวเช้าอย่างเชื่องช้า เม็ดข้าวแต่ละเม็ดถูกเธอเคี้ยวจนแหลกแบบที่กระเพาะเธอไม่ต้องทำงานให้หนัก เนื้อสัตว์ในแกงจืดตำลึงนั้นก็ถูกเคี้ยวอย่างละเอียดไม่ต่างกัน กี้ชอบแกงจืดตำลึงที่แม่ทำให้มากที่สุดเพราะอย่างนั้นเธอจึงได้ใช้เวลากับอาหารเช้านี้อย่างเชื่องช้าจนผิดปกติ คุณอาจจะคิดอย่างนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วเธอเป็นแบบนี้กับอาหารทุกมื้อจนคนรอบข้างนั้นคุ้นชินไปเสียแล้ว
“เออนี่ แล้วเขามีประท้วงกันแถวที่ทำงานรึเปล่า ระวังด้วยนะ” นางละสายตาจากทีวีมามองลูกสาวอีกครั้ง และดูเหมือนกี้จะจัดการอาหารตรงหน้าเสร็จพอดี กี้ค่อยๆรวบช้อนส้อมคว่ำไว้ตรงกลางจานอย่างมีมารยาท ดื่มน้ำเปล่าตามไปแล้วตอบกลับแม่ของเธอโดยการส่ายหัวน้อยๆ
แม่ของกี้ถอนหายใจเบาๆกับอาการของลูกสาวที่ทำตัวเชื่องช้าและไม่ค่อยพูดจา บุคลิกแบบนี้ดูไม่เหมือนกับสาวทำงานที่ไต่ระดับได้อย่างรวดเร็วเลยแม้แต่น้อย แต่ลักษณะภายนอกตัดสินฝีมือการทำงานกันไม่ได้ ดังนั้นเจ้านายจึงยังไม่ไล่เธอออกและเพื่อนร่วมงานก็ยังคงทำตัวดีกับเธออยู่เสมอๆ
กี้ไหว้แม่ของเธอแล้วหยิบแฟ้มเอกสารขึ้นมาจากโต๊ะก่อนจะเดินไปยังประตูบ้านที่เป็นมุ้งลวดเหล็กเหมือนบ้านทั่วๆไป มันส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดเล็กน้อยก่อนจะเงียบลงเมื่อถูกปิด
กี้เดินอย่างช้าๆและดูไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่ไปยังป้ายรถเมล์ที่เวลานี้ผู้คนเริ่มหนาตามากขึ้น ทั้งคนทำงานอย่างเธอ และเหล่าเด็กนักเรียนที่เพิ่งเปิดเทอม กี้ถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อรู้เช่นนั้น ปกติรถเมล์สายที่เธอขึ้นก็มีคนเยอะจนแม้แต่ที่ยืนก็แทบจะไม่มีอยู่แล้ว เมื่อเวลาเปิดเทอมมาถึงนั่นหมายถึงความแออัดบนรถเมล์จะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัวจนแค่นึกภาพก็อยากจะเดินกลับบ้านไปเอารถเก๋งมาขับเสียแล้ว แต่เธอไม่อยากใช้เงินให้สิ้นเปลืองกับค่าน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นทุกวันและหงุดหงิดรำคาญใจกับรถที่ติดจนแทบไม่ขยับอยู่เพียงลำพัง เธอรู้สึกว่าอย่างน้อยถ้าขึ้นรถเมล์ก็จะมีคนหงุดหงิดแทนเธอ ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย
เธอตัดสินใจยืนรอรถเมล์คันที่สองแทน เพราะคนจะบางตาลงเล็กน้อยและไม่อัดกันแน่นจนแทบไม่มีอากาศให้หายใจ เธอไม่มีปัญหาเรื่องการไปทำงานสายอยู่แล้วเพราะปกติเธอมักจะไปถึงที่ทำงานเร็วกว่าเวลาที่กำหนดไว้ถึงครึ่งชั่วโมง แต่ครั้งนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น
นอกจากเพราะว่าเธอรอรถเมล์คันที่สองแล้ว ยังมีรถที่ติดยาวนานมากขึ้นกว่าเดิม เธอได้ยินเสียงคนในรถเมล์คุยกันบอกว่าเป็นเพราะการประท้วง กี้ไม่ได้สนใจมากนัก เธอก้มมองนาฬิกาและพบว่าอีกเพียงสิบนาทีจะถึงเวลาทำงานแล้ว ตอนนั้นเองที่เธอเริ่มตื่นตัวและเหมือนจะทำอะไรได้เร็วขึ้นเล็กน้อย เธอมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อดูว่าเธออยู่ตรงส่วนไหนแล้ว และภาพที่เธอเห็นบอกเธอว่าหากเดินไปอีกเพียงไม่กี่นาทีก็จะถึงตึกสำนักงานของเธอ กี้ตัดสินใจลงจากรถเมล์ที่ยังไม่สามารถขยับเขยื้อนไปได้แม้แต่เพียงไม้บรรทัดเดียว และหลายๆคนในรถเมล์ที่ทำงานละแวกนั้นก็ตัดสินใจลงเดินเช่นกัน
กี้กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังที่ทำงาน เธอไม่เคยมาสายและไม่อยากมีประวัติมาสาย นั่นเพราะปลายปีนี้จะมีการให้รางวัลพนักงานดีเด่นประจำปีและเธอไม่อยากพลาดมัน
แปดโมงโมงยี่สิบแปดนาที ยังไงก็ยังไม่สายอยู่ดีแหละน่า กี้คิดแล้วยักไหล่เบาๆ เธอกวาดตามองไปรอบๆและเห็นว่าคนยังมาทำงานบางตาเหมือนกับเวลาที่เธอมาก่อนเวลาทำงานครึ่งชั่วโมงไม่มีผิด เธอก้มลงมองนาฬิกาอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจว่านี่ใกล้เวลาทำงานแล้วจริงหรือไม่ และมันก็ได้พิสูจน์ว่าเธอยังสายตาดีและยังแปรผลเข็มนาฬิกาสองเข็มนั้นไม่พลาด แม้เธอจะแปลกใจเล็กน้อยที่คนมาทำงานสายมากขนาดนี้แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก
เวลาผ่านไปจนถึงช่วงเลิกงาน เธอไม่ใช่พวกที่ถึงเวลาเลิกงานปุ๊ปแล้วจะออกจากที่ทำงานปั๊ปเหมือนกับพนักงานหญิงหลายคนในแผนกเธอทำ กี้เก็บของอย่างไม่รีบร้อนก่อนจะเดินออกจากที่ทำงานไปรอรถเมล์ เธอยังสังเกตเห็นว่ารถยังคงติดเหมือนช่วงเช้าไม่มีผิด เพียงแค่ย้ายฝั่งเท่านั้น กี้ถอนหายใจช้าๆก่อนจะตัดสินใจเดินเล่นในย่านนั้นซึ่งมีห้างสรรพสินค้าไว้ให้เธอเดินฆ่าเวลาเมื่อรถยังไม่มีที่ท่าจะขยับเขยื้อนแบบนี้
เพียงไม่นานเธอก็พาตัวเองมาถึงหน้าห้างและพบเห็นกลุ่มคนที่แต่งกายคล้ายกับเธอ ดูออกไม่ยากว่าเป็นพนักงานเงินเดือนเหมือนกัน กลุ่มคนเหล่านั้นมีราวๆสิบคน ทุกคนยืนถือกระดาษที่เขียนไว้ใจความว่า “หยุดการประท้วง”
หลายคนทำพฤติกรรมเหมือนกี้คือมองแล้วเดินผ่านไป แทบไม่มีคนสนใจกับการกระทำนั้นเลย
กี้เดินเข้าร้านนู้นออกร้านนี้และฝังตัวเองไว้กับร้านหนังสือก่อนที่เธอจะก้มมองนาฬิกาแล้วก็ต้องสะดุ้งน้อยๆที่ปล่อยเวลาไหลผ่านไปถึงสองชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว
เธอเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงและชอบอ่านหนังสือมากเสียเหลือเกิน เธอไม่ค่อยมีเพื่อนสนิท อันที่จริงแม้แต่คนที่จะเรียกว่าเพื่อนก็แทบจะไม่มีเสียด้วยซ้ำ คงไม่มีใครอยากจะเป็นเพื่อนกับคนที่วันๆเอาแต่เงียบอ่านหนังสือ ตารางชีวิตในแต่ละวันเหมือนกันไปหมดจนเคยโดนล้อว่าเป็นหุ่นยนต์เสียด้วยซ้ำ ที่เป็นแบบนี้อาจเพราะเธอโดนคนที่ไว้ใจหักหลักอยู่บ่อยๆจนเลือกจะไม่เชื่อใจกับคนรอบตัวไปเสียแล้ว
กี้เดินออกจากห้างสรรพสินค้าอย่างเร่งรีบ เมื่อมาถึงประตูทางออกก็ต้องพบกับกลุ่มคนจำนวนหนึ่งยืนบังทางเข้าออกห้างไว้
เป็นเหล่าพนักงานที่มารวมกันชุมนุมไม่ผิดแน่ แต่จำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแต่ไม่มีบรรยากาศคุกคามหรือทำให้น่าหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย
กี้แค่เดินเลี่ยงออกจากบริเวณชุมนุมนั้น แล้วตรงดิ่งไปยังป้ายรถเมล์ซึ่งก็อยู่ไม่ไกล รถเหมือนจะเคลื่อนตัวได้บ้างแต่ก็ยังคงติดขัดอยู่ดี ไม่น่าไปเดินเล่นรอเลย กี้คิด ไม่อย่างนั้นเวลานี้เธอคงได้ทานข้าวเย็นกับแม่ไปแล้ว
- - -
มันยังคงเหมือนทุกเช้าที่กี้ตื่นมาทานอาหารฝีมือแม่พูดคุยกับแม่เพียงเล็กน้อยก่อนจะไหว้นางแล้วออกจากบ้านไปขึ้นรถเมล์เพื่อไปทำงาน
วันนี้ก็ยังคงเหมือนเคย เพียงแต่เธอตื่นเช้าขึ้นกว่าเดิมอีกเล็กน้อย ออกจากบ้านเร็วกว่าเดิมเกือบครึ่งชั่วโมง เธอไม่อยากไปทำงานสาย
ถึงแม้บุคลิกภายนอกเธอจะดูเอื่อยสักแค่ไหน หรือดูไม่มีสัมพันธไมตรีอย่างไร แต่ฝีมือในการทำงานของเธอก็ไม่เป็นรองใครเช่นกัน เธอขยันและไม่บ่ายเบี่ยงงานใดๆ มีความคิดที่สร้างสรรค์อย่างไม่น่าเชื่อว่าจะคิดอะไรนอกกรอบได้ในเมื่อเธอเป็นคนอยู่ในกรอบกฎระเบียบ นั่นอาจเพราะเธออ่านหนังสือเยอะทำให้มีความรู้หลากหลายมากพอจะประยุกต์ทุกๆอย่างเข้าหากัน
อาจเพราะเหตุผลนี้ทำให้เพื่อนที่ทำงานไม่ทำท่ารังเกียจเธอมากนัก ก็เธอเป็นตัวเลือกที่ดีในการขอให้ช่วยทำงาน และเจ้านายก็ชอบเธอมากเช่นกันเมื่อโยนงานใดมาเธอก็ไม่เคยบ่น ผลงานของเธอจึงเยอะมากกว่าคนอื่นเป็นพิเศษส่งผลให้เงินเดือนของเธอขยับขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่อง ไม่มีใครตะขิดตะขวงใจหรือคิดจะเรียกร้องให้ตรวจสอบแต่อย่างใด ทุกคนรู้ดีว่ามันมากจากความขยันและไม่เคยปริปากบ่นของเธอเองที่ทำให้เธอก้าวหน้าได้ถึงปัจจุบันนี้
เรียกได้ว่าเธอเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีแต่... อย่างที่คุณรู้ ไม่มีใครอยากจะเป็นเพื่อน ‘จริงๆ’ กับเธอ
เวลาล่วงเลยจนอุณหภูมิแดดที่ลอดผ่านช่องหน้าต่างนั้นเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆและดูเหมือนรถเมล์จะไม่ขยับไปไหนมานานเกือบสามนาทีแล้ว กี้ถอนหายใจแรงๆระบายความฉุนเฉียวเล็กๆที่เกิดขึ้น ใครหลายๆคนบนรถเมล์ก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างอยากรู้อยากเห็นว่ามีการชนกันข้างหน้านั่นหรืออย่างไรกันแน่
แต่แล้วก็มีคนรู้คำตอบ
เด็กนักเรียนชายที่ผมไม่สั้นเกรียนเหมือนที่กี้เคยเห็นเพื่อนชายสมัยมัธยมมักจะตัดกันคุยโทรศัพท์ส่งเสียงดังมากพอจนคนทั้งรถได้ยิน
“ปิดตั้งแต่เมื่อไหร่วะมึง เออๆ กุลงเดินไปเรียนเลยดีกว่า เออๆบาย” เด็กคนนั้นวางสายและผู้หญิงที่ยืนโหนรถเมล์ข้างเขาก็เอ่ยถามขึ้นมาว่าเกิดอะไรขึ้น
“เพื่อนผมโทรมาบอกว่าพวกที่เขาประท้วงกันอะครับปิดถนนไว้ ติดยาวหลายกิโลฯแล้ว ผมเลยว่าจะลงเดินเลยเพราะรถคงขยับไม่ได้อีกเป็นชั่วโมง” เมื่อพูดจบเขาก็แหวกทางเดินลงจากรถไปพร้อมกับนักเรียนหลายคนที่เหมือนจะเรียนละแวกเดียวกันนั้นก็เดินลงตาม
กี้มองเหตุการณ์นั้นแล้วเริ่มชั่งใจว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี หลายคนบนรถเองก็เช่นกัน หลายคนยังคงยืนมองนาฬิกา หันซ้ายแลขวามองไปภายนอกรถที่เริ่มมีหลายคนลงเดินแล้ว ไม่นานคนบนรถเมล์ที่กี้โดยสารอยู่นั้นก็เหลือเพียงแค่กี้ คนขับ กระเป๋ารถเมล์ และผู้หญิงวัยทำงานอีกสองสามคนเท่านั้น
กี้ไม่อยากลงจากรถเป็นคนสุดท้าย เธอไม่ชอบทำตัวเป็นจุดเด่นนักเลยตัดสินใจลงเดิน จากระยะทางที่ลงตอนนี้ก็อีกไกลกว่าเธอจะถึงที่ทำงาน แต่ก็ยังดีกว่าอยู่บนรถเมล์ที่ไม่รู้จะได้เคลื่อนตัวเมื่อไหร่แหละนะ และหากว่ารถเริ่มเคลื่อนตัวแล้วเธอจะกลับไปขึ้นรถเมล์ก็ทำได้ กี้คิดทางเผื่อเลือกเอาไว้แล้วกางร่มออกเดินไปข้างหน้า หากเดินเร็วๆหน่อยอีกไม่น่าเกินยี่สิบนาทีเธอก็คงถึงที่ทำงาน
กี้ก้มมองดูนาฬิกาและเห็นว่าเหลือเวลาอีกเพียงสิบนาทีจะถึงเวลาทำงานแล้ว เธอตกใจอ้าปากน้อยๆ ไม่คิดว่าระยะเวลาที่เธอยืนตัดสินใจนั้นจะนานขนาดนี้
กี้เร่งเดินจนแทบจะเป็นวิ่งและนั่นเกือบทำให้เธอชนกับประตูรถที่เพิ่งเปิดออกพอดี
“ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ พี่ล่ะตกใจเลยไม่นึกว่าจะมีคนวิ่งมา” หญิงสาวรูปร่างเล็กผมซอยสั้นจับแขนกี้ไว้แล้วก้มมองกี้อย่างเป็นห่วงเป็นใย กี้เพียงแค่ส่ายหน้าและยิ้มให้เบาๆเพื่อจะบอกว่าเธอไม่ได้เป็นอะไร
“ไม่ต้องรีบวิ่งไปทำงานหรอก ยังไงก็สายอยู่แล้วน่ะ เจ้านายเขาก็ต้องเข้าใจสิว่าเรามาสายเพราะอะไร แล้วยังไงก็คงสายกันหมดแหละ จู่ๆมาปิดถนนกันแบบนี้ใครจะไปทำงานได้ตรงเวลากันจริงไหม แม้แต่เจ้านายของน้องเองก็เถอะนะ” หญิงคนนั้นพูดรัวออกมาเป็นชุดและยิ้มให้กี้ กี้คิดว่าจริงตามที่เธอพูดจึงได้เดินไปอย่างไม่เร่งรีบนักโดยข้างกายก็มีผู้หญิงที่ยังดูดีคนนั้นเคียงข้าง
“พี่ชื่อปุ๊ น้องล่ะ” กี้เอ่ยตอบชื่อเธอไปอย่างแผ่วเบาและดูนอบน้อม เธอเป็นแบบนี้เสมอกับคนไม่เคยรู้จัก จริงๆแล้วเธอเป็นแบบนี้กับทุกคนนั่นแหละ
“พี่นะไม่เข้าใจเลยว่าจะมาปิดถนนประท้วงกันทำไม รถก็ติด......” เธอยังคงพูดถึงรถติดและสาเหตุที่ทำให้หลายคนต้องลงเดินเท้าบนถนนที่มีแต่รถเรียงรายจนสุดตา ดูเหมือนคุณปุ๊จะรู้เรื่องราวความเป็นไปของการประท้วงมากเหลือเกินไม่เหมือนกับคนทั่วไป ที่จริงแล้วเธอก็ไม่แน่ใจว่าทุกคนก็รู้เรื่องราวแบบนี้รึเปล่า เพราะเธอไม่เคยสนใจข่าวสารและไม่มีใครจะพูดคุยกับเธอในเรื่องนี้
เพราะกี้ไม่ค่อยรู้เรื่องการชุมนุมประท้วงครั้งนี้เท่าไหร่เธอจึงทำได้เพียงแค่พยักหน้า หรือโต้ตอบไปบ้างตามมารยาท นอกจากนั้นเธอก็สังเกตว่าคุณปุ๊คงไม่ใช่แค่คนทำงานทั่วไปที่ชอบอ่านข่าวสาร สังเกตจากที่เธอลงมาจากรถครอบครัวราคาหลักล้าน นั่นหมายถึงมีคนขับรถมาส่งเธอทำงานซึ่งหากกี้สังเกตคงเห็นนายทหารซึ่งเป็นพลขับ ขับรถมาส่งภรรยาเจ้านายมาทำงาน และการแต่งตัวการพูดจาที่ดูดีมีหลักการและเหตุผล ผิวพรรณก็ดูเหมือนกับคุณนายในบ้านหลังใหญ่ที่กี้เคยเห็นเวลาเดินผ่านหน้าบ้านของเธอไปทำงาน
เดินไปหลายเมตร จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นทางด้านหลังจนทำให้สองสาวต้องหันไปมอง เพราะหนึ่งในนั้นถูกเรียกชื่อ แน่นอนว่าไม่ใช่กี้
“โอ๊ย พี่ปุ๊จริงๆด้วย หนูก็ว่าแล้วเชียวว่าต้องพี่แน่ๆ...” การสนทนายังคงยืดยาวต่อไป สาวร่างอวบคนนี้ดูเหมือนจะรู้จักและสนิทสนมกับคุณปุ๊มาก พวกเธอเดินคุยกันไปพร้อมๆกับกี้ ไม่นานคุณปุ๊ก็แนะนำกี้ให้กับหญิงคนนั้น เธอชื่อว่าตา เป็นอดีตลูกน้องของคุณปุ๊ อายุน่าจะรุ่นพี่กี้ไม่กี่ปี แต่ที่กี้แน่ใจคือทั้งสองมีอุดมการณ์เดียวกันแน่ๆ ทั้งคู่ตัดสินใจจะไปร่วมชุมนุมของเหล่าพนักงานที่หน้าห้างสรรถสินค้า และเมื่อการพูดคุยของทั้งสองดังถึงหูของคนที่มีอุดมการณ์คล้ายกันก็เหมือนเป็นแรงดึงดูดให้คนเหล่านี้เดินเข้ามาพูดคุยกันมากขึ้น
เป็นภาพแปลกตาที่กี้คงไม่มีวันได้เห็นอีกแล้วในชีวิต หญิงสาววัยทำงานทั้งหลายรวมถึงเพศชายบางคนเองก็เดินมาเข้าร่วมกลุ่มการพูดคุยนี้ บนถนนที่เต็มไปด้วยรถ
น่าแปลกที่เวลาผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำคนที่เข้ามาร่วมพูดคุยก็เยอะขึ้นจนแทบจะเต็มถนน
คุณปุ๊คนนั้นดูท่าทางมีพลังบางอย่างที่เมื่อพูดอะไรคนที่เดินเท้าด้วยกันนั้นก็หยุดฟังและพยักหน้าเห็นด้วยจนหลายคนตัดสินใจจะไปรวมตัวกันที่หน้าห้างสรรถสินค้าที่กี้ไปเดินเล่นฆ่าเวลานั้น ทุกคนมีแนวคิดเดียวกันคือแค่ต้องการให้เปิดเส้นทางการจราจรให้เหล่าคนทำงานสามารถไปทำงานได้อย่างปกติ
คล้ายกับดูละครที่น่าตื่นเต้น กี้นั่งทำงานอย่างกระสับกระส่ายรอให้ถึงเวลาเลิกงาน เธออยากเห็นผู้คนมารวมตัวกันเพื่อเรียกร้องความสงบสุขที่เคยมี
เมื่อเช้าเธอมาทำงานสายจริงๆ และเจ้านายเธอมาทำงานหลังเธอเกือบชั่วโมงเหตุผลเดียวกับคนทั้งแผนก จึงถือว่าเป็นเหตุสุดวิสัยทำให้วันนี้กี้ถือว่าไม่ได้มาทำงานสาย อันที่จริงแล้วถ้าดูตามเวลาเธอมาสายเกือบสามสิบนาที แต่บรรยากาศนั้นเหมือนกับตอนที่เธอมาทำงานเร็วกว่าปกติครึ่งชั่วโมงไม่มีผิด
ดูเหมือนว่าไม่ว่ากี้จะมาสายอย่างไรเธอก็มักจะมาเร็วกว่าคนอื่นอยู่เสมอๆ นั่นเพราะทุกครั้งที่เธอสาย คนอื่นก็ต้องบวกเวลานั้นเพิ่มเข้าไปเหมือนกัน
เมื่อเช้าเธอต้องเดินระยะทางยาวกว่าสี่กิโลเมตร แต่เมื่อเดินไปคุยไป(แน่นอนว่าเธอ’คุย’นับคำได้) เป็นกลุ่มใหญ่ๆก็เลยทำให้ดูเหมือนระยะทางจะหดสั้นลงเล็กน้อยในความรู้สึก แต่ร่างกายเธอก็ยังคงฟ้องว่าเธอเดินมาไกลจริงๆ เพราะเมื่อถึงเวลาเลิกงานเธอก็รู้สึกปวดเมื่อขาไปหมดและอยากจะหลับที่โต๊ะทำงานเสียให้ได้ ติดแค่ว่าใจเธอมันเต้นเร็วและแรงเสียเหลือเกินเมื่อรู้ว่าเย็นนี้ที่หน้าห้างสรรถสินค้าจะเกิดอะไรขึ้น
เธอรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวทันทีที่มาถึงการชุมนุมของเหล่าพนักงาน หลายคนจำเธอได้ (แม้เธอจะดูธรรมดาจนไม่น่าจดจำก็ตาม) และร้องเรียกเธอ กี้ยิ้มอย่างดีใจทันที นานแล้วที่เธอไม่ได้รู้สึกมีความสุขจนหัวใจเต้นแรงขนาดนี้ นี่ไม่ใช่แค่เพื่อนแต่เหมือนครอบครัวเสียจริงๆ
คุณปุ๊เป็นบุคคลแรกๆที่เธอมองเห็น เพราะคุณปุ๊นั้นอยู่แถวหน้าของการชุมนุม เธอไม่ได้ทำตัวเป็นหัวหน้ากลุ่มแต่อย่างใด คล้ายกับเธอเป็นเหมือนคนสนับสนุนเสียมากกว่า และดูเหมือนไม่มีหัวหน้าในกลุ่มคนเหล่านี้เพราะพวกเขาต่างก็มารวมกันเพราะจุดประสงค์เดียวกัน
บรรยากาศการชุมนุมเป็นไปอย่างครึกครื้นสนุกสนาน ไม่ตึงเครียดอย่างการชุมนุมทั่วไป แม้เวลาจะล่วงเลยมาถึงเวลาสองทุ่มแล้วก็ยังมีคนหนาแน่นและบรรยากาศยังคงไม่เปลี่ยนไป แสงแฟลชจากกล้องของสื่อมวลชนยังคงสาดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง กล้องหลายตัวจับจ้องไปยังกลุ่มการชุมนุมนี้ หลายคนถูกนักข่าวสัมภาษณ์ และแม้จะไม่ได้นัดหมายกันมาแต่ทุกคนก็ตอบได้เหมือนกันว่าจุดประสงค์ของการชุมนุมนี้คือต้องการให้กลุ่มประท้วงนั้นเปิดถนนให้เหล่าพนักงานสามารถไปทำงานได้ตามเดิมเท่านั้น
วันนั้นกี้กลับบ้านไปเมื่อเวลาสามทุ่มเศษ เธอรู้สึกสนุกและสุขใจเมื่ออยู่ในกลุ่มการชุมนุมนั้น ทุกคนให้เธอรู้สึกดียิ่งกว่ามีเพื่อนเสียด้วยซ้ำ เธอถูกยอมรับ และเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม หลังจากนั้นมาอีกเกือบหนึ่งสัปดาห์ กี้มักจะไปร่วมชุมนุมหลังเลิกงานทุกครั้ง และแน่นอนว่าตอนเช้ารถยังคงติดอยู่เช่นเคยแต่เธอรู้จักหลบหลีกเส้นทางได้แล้ว
วันนี้เป็นวันเสาร์และไม่ใช่วันทำงานของกี้ เธอเคลียร์เอกสารที่หอบมาจากที่ทำงานเมื่อคืนแล้วนั่งทำงานไปจนกระทั่งเย็น แม่ของเธอเปิดทีวีดูข่าวสารอย่างที่ทุกบ้านทำ
กี้ไม่ได้ใส่ใจนัก เธอเก็บงานที่เพิ่งจะทำเสร็จใส่แฟ้มเรียงตามลำดับอย่างถูกต้อง เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นหูของเธอก็ได้ยินเสียงจากโทรทัศน์
“มีการปิดเส้นทางเพิ่มขึ้น...” กี้เงยหน้ามองดูนักข่าวหญิงกำลังรายงานข่าวว่ากลุ่มประท้วงได้ปิดถนนอีกเส้นเสียแล้ว การชุมนุมเรียกร้องให้เปิดถนนของเธอไม่เป็นผลอย่างนั้นหรือ!
กี้ชักสีหน้าและรู้สึกหงุดหงิดใจ หัวใจเธอเต้นรัวเร็วเพราะความโกธร
เธอไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแล้ว อันที่จริงเธอแทบจะไม่รู้สึกใดๆด้วยซ้ำไป แต่ช่วงอาทิตย์หลังมานี้เธอมีความรู้สึกหลากหลายเสียเหลือเกิน และต้นเหตุของความรู้สึกทั้งหลายก็มาจากการชุมนุมประท้วงทั้งนั้น
วันจันทร์กี้ก็ยังคงต้องไปทำงานเพราะไม่มีประกาศหยุดจากทางรัฐบาลหรือทางบริษัท เธอตื่นเช้ากว่าปกติเกือบสองชั่วโมงและมันช่วยให้เธอไปทำงานไม่สายมากนัก
และมันเป็นแบบนี้ไปจนหมดอาทิตย์
กี้เหนื่อยและอ่อนเพลียเกินกว่าจะทนไหว วันหยุดทั้งวันของเธอหมดไปกับการนอนหลับพักเอาแรง ตอนนี้เธอใช้เวลาเดินทางไปกลับยาวนานกว่าสี่ชั่วโมง ทั้งๆที่ปกติต่อให้รถติดหนักแค่ไหนก็ไม่เคยเกินหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
ต้นเหตุมาจากที่ไหนเธอรู้ดี และรู้ดีว่ามันกำลังหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ เธอรู้สึกทนไม่ไหวและไม่อยากทนกับการกระทำที่ไม่เกิดผลประโยชน์ใดๆเช่นการปิดถนนแบบนี้อีกแล้ว
วันจันทร์กี้ไปทำงานได้เพียงครึ่งวันก็ได้ยินข่าวจากเพื่อนในแผนกที่คุยกันระหว่างพักทานอาหารว่ากลุ่มประท้วงได้ปิดถนนอีกสายแล้ว และเริ่มสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนละแวกนั้น
บริษัทเธอสั่งเลิกงานทันทีเพราะกลัวว่าพนักงานอาจจะไม่สามารถออกจากตึกได้เมื่อมีข่าวลือว่ากลุ่มประท้วงอาจจะปิดถนนหน้าบริษัท
กี้หงุดหงิดและโกธรแค้นกับกลุ่มประท้วงที่ทำลายความสงบสุขที่เธอเคยมีไปจนหมด
เธอเก็บข้าวของออกจากสำนักงานทันที ตรงดิ่งไปยังหน้าห้างสรรพสินค้า ที่เมื่ออาทิตย์ก่อนเธอไม่ได้แวะมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะขืนเธออยู่ร่วมชุมนุมเกรงว่าเธอจะถึงบ้านมืดจนเกินไป และเพราะเธอเพลียมากนั่นเอง
พนักงานในบริษัทเดียวกันกับกี้หลายคนก็เดินไปยังจุดมุ่งหมายเดียวกันกับกี้ กี้ไม่รู้เลยว่าหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมานี้พนักงานในละแวกเดียวกันเกือบจะทุกคนได้ไปรวมตัวกันและต่อต้านการปิดถนน กลุ่มชุมนุมที่กี้เห็นครั้งแรกกับในวันนี้มีจำนวนต่างกันจนไม่น่าเชื่อ
คนหลายร้อยคนจนเธอคิดว่าคงจะถึงพันคนในไม่กี่นาทียืนจนเต็มบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้า จนเกือบจะล้นออกมาบริเวณถนน ทุกคนสวมชุดทำงาน ยืนตะโกนขับไล่กลุ่มประท้วงเป็นเสียงเดียวกัน
อารมณ์จากกลุ่มชุมนุมนี้ดูรุนแรงและเข้มข้นกว่าครั้งล่าสุดที่กี้จำได้มาก บนใบหน้าไม่มีรอยยิ้มอีกแล้ว ไม่มีความรู้สึกคุ้นเคยอบอุ่นเหมือนครอบครัว แต่ดูร้อนระอุคล้ายกับจะเผาไหม้ทุกสิ่งที่ขวางทาง
แม้กี้จะรู้สึกหวั่นใจและหวาดกลัวเล็กน้อย แต่โทสะที่เธอมีก็ผลักดันเธอให้เดินหน้าเข้าหากลุ่มการชุมนุมนี้ เธอไม่ได้ยืนอยู่แถวหน้าที่กล้องและคนทั่วไปสามารถจับจ้องมองเห็นได้ กี้แทรกตัวไปทางด้านในใกล้กับพนักงานในแผนกเดียวกันกับเธอ ทั้งคู่ยิ้มให้กันเล็กน้อยตามประสาคนรู้จักที่ไม่คิดจะสร้างสัมพันธ์ไปมากกว่าเพื่อนร่วมงาน
เวลาผ่านไปจนถึงช่วงบ่ายแก่ๆ กี้รู้สึกหิวอย่างที่ควรจะเป็นเพราะเมื่อตอนพักเที่ยงเธอแทบจะกินอะไรไม่ลง และเมื่อมายืนร่วมชุมนุมเช่นนี้มันทำให้เธอเสียพลังงานมากขึ้นไปอีก เธอตัดสินใจเดินแทรกเข้าไปด้านในตัวห้างสรรพสินค้า ผู้คนในห้างไม่ได้แตกตื่นอะไรกับการชุมนุมนี้ แม้การชุมนุมจะเริ่มก่อนเวลาปกติ และทางห้างก็ยังคงไม่ได้จัดการอะไรเพราะไม่ได้ก่อความเดือดร้อนเสียหายให้มากนัก แถมยังเพิ่มลูกค้าให้กับทางห้างอีกด้วยเพราะการชุมนุมนี้ออกข่าวทุกช่องทั่วประเทศและหลายคนแวะเวียนมาดู หรืออาจเข้าร่วมชุมนุมเมื่อรู้สึกเบื่อก็เดินเข้าห้างเพื่อผ่อนคลายจากการชุมนุม
กี้เลือกทานข้าวที่ฟู้ดคอร์ด เธอเป็นพนักงานที่มีเงินเดือนเกือบครึ่งแสนก็จริงแต่ก็ยังใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ประหยัดอดออม อาจเพราะเธอกำลังวางแผนสร้างบ้านพักตากอากาศไว้สำหรับเธอและแม่ และอาจเปิดเป็นที่พักแบบโฮมสเตย์ไปด้วยเป็นการเพิ่มรายได้
กี้นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยและตักข้าวกินอย่างช้าๆสายตาจ้องมองไปยังผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาอย่างไม่ได้สนใจจะพินิจพิเคราะห์ใครเป็นหลัก
เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงกว่ากี้จะจัดการอาหารเสร็จ เธอเดินเอื่อยๆไปยังหน้าทางเข้าห้างสรรพสินค้าที่การชุมนุมยังคงดำเนินต่อเนื่อง
หลังจากเธอออกมาจากการชุมนุมเกือบชั่วโมงความรู้สึกโกธรแค้นในใจเธอตอนแรกจางเบาบางลงไปมาก เธอได้พักร่างกายและจิตใจจนหายจากภาวะตึงเครียดและคิดว่าเธอคงไม่เข้าร่วมชุมนุมแล้วและเลือกจะกลับบ้าน แต่เมื่อเธอก้าวแทรกผ่านผู้ชุมนุมเพื่อจะออกไปยังป้ายรถเมล์นั้นเอง สายตาที่ไม่สังเกตจ้องมองสิ่งรอบข้างของกี้ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งที่อีกฝากฝั่งถนน สายตาเธอไม่ผิดเพี้ยน และสมองเธอก็ไม่ได้แปลความผิดพลาดแต่อย่างใด หลายคนที่อยู่ข้างตัวเธอก็ยืนยันได้เป็นอย่างดีเมื่อพวกเขาตะโกนออกมา
“พวกกลุ่มประท้วงมาแล้ว!”
สิ้นเสียงตะโกนนั้น สายตาทุกคู่ของเหล่าพนักงานผู้ชุมนุมและคนโดยรอบก็หันไปยังจุดเดียวกับที่กี้ยังคงจ้องมองอยู่
ผู้ประท้วงหลายคนกรูกันออกมาจากทั้งหัวมุมถนนและซอยฝั่งตรงข้าม จำนวนนั้นเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนทางเท้าฝั่งตรงข้ามถูกจับจองไปจนหมด จำนวนของผู้ประท้วงมากกว่ากลุ่มพนักงานเกือบเท่าตัวเลยทีเดียว
เหมือนข่าวลือนั้นจะเป็นจริง
กลุ่มผู้ประท้วงเข้ายึดพื้นที่ฝั่งตรงข้ามไปจนหมด และกลุ่มพนักงานก็เหมือนมีคลื่นพลังบางอย่างที่กี้รู้สึกได้ว่าทุกคนตื่นตัวอย่างเต็มที่และอาจพร้อมปะทะได้ทุกเมื่อ แต่อาจเพราะว่านี่ไม่ใช่การทะเลาะกับแบบเด็กมัธยมที่ไม่เจรจาก่อนจะลงมือ ทั้งพนักงานและผู้ประท้วงได้มีการพูดคุยเจรจากันแบบที่กี้ไม่ได้ยินแม้เธอจะจับจ้องอยู่ก็ตาม เพราะระยะทางที่ไกลเกินไปและเสียงของรถที่ไม่เคยขาดสายของถนนสี่เลนนี้ดังเกินกว่าเธอจะได้ยินเสียงการพูดคุย แต่เธอสังเกตเห็นสีหน้าและท่าทางของทั้งคู่ที่เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ
ที่เกาะกลางถนนอันเป็นสถานที่เจรจาของทั้งสองฝ่ายนั้น ความรุนแรงเริ่มเมื่อหัวหน้าผู้ชุมนุมประท้วง อย่างน้อยกี้ก็คิดว่าควรจะเป็นหัวหน้า ผลักพนักงานที่เสนอตัวไปเจรจาจนเขาเซถลาไปชนคนด้านหลัง
และโชคดีไม่น้อยที่ผู้ประท้วงผลักไม่แรงพอที่จะทำให้พนักงานชายคนนั้นเซไปยังถนน ไม่เช่นนั้นคงได้เตรียมไปงานศพกันแน่ๆ
กี้เริ่มได้ยินเสียงตะโกนด่าทอกันของตัวแทนจากทั้งสองฝั่ง แต่ก็ยังจับใจความไม่ได้ จนเวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งนาทีก็เกิดการชกต่อยกันขึ้นและผู้ที่เฝ้าดูเหตุการณ์ทั้งสองริมฝากฝั่งถนนซึ่งต่างก็เป็นผู้ชุมนุมและผู้ประท้วงก็เริ่มกรูกันเข้าไปที่เกาะกลางถนนทันที
รถที่ขับผ่านไปมานั้นชะลอความเร็วลงและหยุดการเคลื่อนไหวในที่สุดเมื่อถนนนั้นถูกจับจองไปด้วยผู้คนที่มีอารมณ์โกธรแค้น รถหลายคันพยายามจะถอยหลังกลับหรือเดินหน้าเพื่อให้หลุดจากพื้นที่ตรงนั้นให้ได้ เพราะแม้จะอยู่ในรถก็ยังรับรู้ได้ถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้น
กี้ที่อยู่แถวบริเวณหน้าประตูห้างถูกคนเบียดเสียดจนเธอหลุดมาบริเวณป้ายรถเมล์ ผู้คนในห้างหลั่งไหลกันออกมาดูสถานการณ์ที่ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายชุลมุนจนกี้แทบแยกไม่ออกหากว่าผู้ประท้วงไม่ได้ใส่เสื้อที่เป็นสัญลักษณ์ไว้ และทางฝั่งผู้ประท้วงส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ใหญ่วัย40ขึ้นไปทั้งนั้น
หลังจากหลุดจากการเบียดของคลื่นฝูงชนได้ไม่ถึงนาทีกี้เห็นซากไม้ อิฐหนอน ท่อนเหล็ก ขวดน้ำลอยว่อนไปทั่ว และอย่างที่เธอไม่เคยคาดหวัง มีขวดแก้วลอยละลิ่วตกกระทบกับคนที่ยืนอยู่ข้างๆเธอ เขาคนนั้นล้มลงทันที เธอเห็นว่าหัวเขาแตกและมีเลือดค่อยๆซึมออกมาทีละน้อย คนรอบข้างต่างแตกฮือ แต่กี้วิ่งเข้าไปช่วยพยุงเขาขึ้นมา โชคดีที่เขาตัวหนักเธอยกเขาขึ้นมาได้อย่างยากลำบากไม่เช่นนั้นหัวของกี้คงกระทบกับอิฐหนอนที่ลอยไปกระแทกเข้าที่ขาของคนตรงหน้ากี้แทน
กี้ยืนช็อคอย่างตกใจ เสียงร้องของคนดังขึ้นจากทุกทิศทาง มือของกี้ที่กำลังช่วยพยุงชายตรงหน้าสั่นอย่างหยุดไม่ได้ มันซีดขาวและเย็นลงอย่างรวดเร็ว
ความรู้สึกโกลาหล ความรุนแรง เลือด และเสียงร้องเมื่อครั้งอดีตหวนกลับมาในความทรงจำกี้อีกครั้ง
- - -
- - -
“หลังจากที่ทหารเข้าสลายการชุมนุม...” หลังจากเปิดโทรทัศน์ดูได้ไม่นาน มารดาของกี้ก็เดินไปยังราวบันไดแล้วเงยหน้าเรียกลูกสาวของตนที่ยังคงอยู่ในห้อง
“วันนี้มีแกงจืดตำลึกที่กี้ชอบด้วยนะ” นางพูดขณะที่ยกอาหารมาวางไว้ที่โต๊ะทานข้าว กี้ยิ้มให้แม่แล้วเริ่มลงมือจัดการอาหารตรงหน้าทันที ผ่านไปไม่ถึงห้านาทีกี้ก็ทานข้าวหมดแล้วจัดการล้างจานก่อนจะมานั่งที่โต๊ะอาหารดูทีวีกับแม่ไปเรื่อยๆ
“กี้ไปหยิบหนังสือพิมพ์หน้าบ้านให้หน่อยสิ” แม่ของกี้เอ่ยขอลูกสาวก่อนตนจะเดินไปยังส่วนของห้องครัวเพื่อจัดการทำอาหารในช่วงกลางวัน
กี้แข็งนิ่งอยู่กับเก้าอี้ไม่ขยับเขยื้อน เหงื่อเม็ดเล็กๆผุดพราย เธอฝืนตัวลุกขึ้นอย่างช้าๆ ร่างกายของเธอก็สั่นน้อยๆ แต่ละก้าวช่างยากลำบาก มันไม่ใช่การเดินแบบเชื่องช้าเหมือนคนขี้เกียจหรือมีปัญหากับการเดิน แต่เป็นการก้าวย่างอย่างช้าๆเพราะต้องฝืนบังคับร่างกายให้ก้าวไป
กี้หยุดอยู่ตรงประตูบ้านเธอหอบหายใจถี่หนักมือสั่นๆของเธอค่อยๆเลื่อนออกจากลำตัวพยายามยกขึ้นไปยังลูกบิดประตู เหงื่อเม็ดเล็กๆรวมตัวกันจนหยดลงมากับพื้น ปากเธอซีดจนเกือบเขียว เธอขบเม้มริมฝีปากเน้น นานหลายนาทีแต่มือที่สั่นของเธอนั้นก็ยังไม่สามารถสัมผัสลูกบิดประตูได้ อาการหอบหายใจรุนแรงหนักขึ้นทุกทีจนกี้ต้องใช้ปากในการหายใจ มือข้างซ้ายที่ทิ้งไว้ข้างลำตัวบีบแน่นจนเล็บที่เธอปล่อยให้ยาวเล็กน้อยฝังเข้าไปในเนื้อ นิ้วเท้าเธอเกร็งจิกพื้นไว้อย่างแน่นหนาราวกับว่าเธอจะไม่มีทางขยับอีกต่อไปแล้ว
อีกเพียงแค่ไม่กี่เซนติเมตรมือของเธอจะสัมผัสกับลูกบิดประตู กี้หลับตาแน่นและรู้สึกได้ถึงสัมผัสเย็นๆของตัวลูกบิด แต่เหมือนกับว่ามันร้อนจัด มือของกี้เด้งออกจากลูกบิดประตูทันทีที่สัมผัส เธอก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็วจนชนเข้ากับโต๊ะท่านข้าว เธอค่อยๆกลับไปเป็นปกติ หายใจช้าลงและมือค่อยๆหยุดสั่น เธอใช้มือขวาเช็ดเหงื่อบนใบหน้า และคลายมือซ้ายช้าๆแล้วยกมันขึ้นมาดู รอยจิกปรากฏบนอุ้งมือและมันลึกมากเสียจนผ่านไปหนึ่งชั่วโมงก็ยังคงเห็นรอยจางๆ
แม่ของกี้ที่ยืนอยู่ในห้องครัวมองปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นแล้วถอนหายใจกับตัวเอง
กี้ไม่กล้าออกจากบ้านอีกเลยนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ในวันนั้น แม้เวลาจะผ่านมาเกือบหนึ่งเดือนแล้วก็ตาม
ผลงานอื่นๆ ของ Zoner ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Zoner
ความคิดเห็น