คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ประตูที่ถูกเปิดออกทั้ง 8 บาน
บทที่ 9 ประตูที่ถูกเปิดออกทั้งแปดบาน
เจ้าวัตถุที่ตั้งตระหง่านห่างออกไปไม่ไกลจากกลุ่มเด็กทั้งสี่คนมากนัก ยิ่งเข้าไปใกล้ภาพที่เคยคิดไว้เทียบไม่ได้เลยกับความรู้สึกที่ได้สัมผัสเวลานี้ ทำให้เราตอบคำถามได้ว่า มนุษย์นั้นยิ่งใหญ่เพียงใดถึงได้สามารถคิดค้นและสร้างสิ่งต่างๆขึ้นมาได้แม้บางอย่างจะมองดูแล้วเป็นไปไม่ได้ ก็ตาม
“แล้วมันจะเป็นยังไงต่อไปล่ะ” เจ้าหญิงได้แต่ตั้งคำถามใจดวงน้อยท้อแท้อ่อนแรงและสิ้นหวังพยายามที่จะกลั้นน้ำตาเพื่อต่อสู้กับความจริงที่เกิดขึ้น ทั้งที่อยากให้เรื่องนี้เป็นฝันร้ายแต่เวลาก็ผ่านมานานแล้ว คิดปลอบตนเองเสียว่าความฝันในคืนนี้ภาพมันช่างชัดเจนและยาวนานเหลือเกิน
ดวงอาทิตย์เริ่มส่องแสงอ่อนๆพ้นขอบฟ้า เด็กทั้งสี่คนรู้สึกหิวแต่ก็ไม่มีใครกล้าพอที่จะงอแงขึ้นมา
เจ้าชายเดินสะอึกตลอดทางเขาจึงทำเป็นไอกลบเกลื่อน.........
“เดินไปถึงทางข้างหน้า ก็ผ่านตลาดน่าจะมีของกินอยู่บ้างนะ” พลอยชมพู ชี้มือให้เพื่อนในกลุ่มดู
ตลาดและแหล่งชุมชนในหมู่บ้านซึ่งยามนี้ไม่มีผู้คนอยู่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา สภาพข้าวของถูกรื้อค้นไม่เหลือภาพเดิมอย่างเคยเห็น แล้วทุกคนก็มาหยุดอยู่หน้าร้านขายของชำแห่งหนึ่ง
“เรามาช้า.......ไปอีกแล้วเหรอ” ครองสุข เอ่ยขึ้น
“ไม่นะ ............. มันน่าจะมีอะไรแก้หิวได้บ้าง” เจ้ายักษ์วิ่งไปในร้านขายของชำ ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจว่าจะมีเจ้าของอยู่หรือเปล่า ข้าวของที่ถูกวางระเกะระกะ เขาใช้มือปาดเหงื่อและก็ยิ้มที่มุมปากขึ้นมาก่อนที่จะวิ่งกลับไปที่กลุ่ม
“แน่ใจนะ ว่านี่ไม่ใช่การขโมย” เจ้าชายถามขึ้น
“เออน่า....... เอ้า.......นี่น้ำ .........และขนมแก้หิว”เขายื่นของให้เพื่อนร่วมทางทุกคน
ยังไม่ทันที่เจ้าชายครองสุขจะดื่มน้ำอึกแรกลงท้อง ร่างเจ้ายักษ์ก็เบี่ยงหลบมาชนตัวเขา ล้มไปกองที่พื้นทั้งคู่ เจ้าชายผลักร่างยักษ์ให้ลุกขึ้น เขารู้สึกแสบแปลบที่ข้อศอก
“ได้เลือดแล้วซิ”
“ระวังหน่อยพี่เบิ้ม” เจ้ายักษ์ไม่ทันระวังตัว ทำให้ออกแรงปะทะเพื่อนตัวเล็กไปทั้งตัว
“กรี๊ด.ดดดดดดด ระวัง ข้างหลัง” พลอยชมพู อุ้มเจ้าหญิงขึ้น และมองหาทางหนี แต่หากวิ่งตอนนี้เธออาจจะเป็นเป้าและโดดเจ้าสี่ขาเล่นงานเอาได้ง่ายๆ
“ แฮ่ๆๆๆๆๆๆๆๆ โฮ่งๆๆๆๆ” ทั้งเห่าและยิ้มอวดเขี้ยวยาว สุนัขตัวโตยืนประจันหน้ากับพวกเขา ซึ่งตอนนี้ไม่มีใครกล้าพอที่จะขยับร่าง
“เราว่า ............มันแค่อย่างแบ่งอาหารนะ”เจ้าชายยิ้มแหยๆ
“เงียบน่า.......... ดูเขี้ยวมันสิ แค่ครั้งเดียวเราก็ไม่รอดแล้ว”เจ้ายักษ์ประเมินสถานการณ์ชวนให้ขนลุก
“เล่นมาเงียบๆอย่างนี้ ............ตั้งตัวไม่ทันเลย”เจ้าชายจับขวดน้ำในมือไว้แน่น ประมาณน้ำหนัก
“อืม .......พอใช้”เขาหมุนฝามันให้แน่ แล้วมองไปที่เจ้าพันธุ์ดุนั่น เมื่อตาต่อตาประสานกัน
“อยากได้นักใช้ไหม”
ขวดน้ำพลาสติกลอยไปในอากาศ ในทิศทางตรงข้ามกับเจ้าสี่ขา ...........เวลานี้ทุกคนเข้ามารวมกลุ่มกัน และมองเจ้าสี่ขาซึ่งกระโจนตัวตามขวดน้ำนั้นไปด้วยความเร็ว
“ถ้ามันเล่นกับเราก็แสดงว่ามันเป็นมิตรในระดับหนึ่ง” เจ้าชายเดินไปจุดที่ขว้างขวดน้ำไป เจ้าสี่ขาดูท่าจะชอบใจกับการเล่นแบบนี้ มันส่ายห่างและคาบขวดน้ำซึ่งเวลานี้บู้บี้และมีคราบน้ำลายเต็มไปหมด เขาก้าวเข้าไปอย่างช้า ยกสองมือขึ้นเหนือหัวและเปลี่ยนมาเป็นท่าแบมือขอขวดน้ำคืน และตามด้วยการเป่าปากเรียกมันให้เล่นเป็นเพื่อน
ดูเหมือนทั้งคนและสุนัขยังไม่ไว้ใจซึ่งกันและกันดี ทั้งคู่เลยมีช่องห่างกันพอสมควร
“ใจดีไว้ไอ้เสือ” เขาบอกตัวเองและสูดหายใจเข้าเต็มปอด
“ไม่เข้าถ้ำเสือก็--ไม่ได้ลูกเสือ”........สงบและเยือกเย็นเข้าไว้อย่างที่เสด็จพ่อเคยสอนในเวลาเขาไม่มีสมาธิพอ
..............................................
ดูเหมือนขนมปังที่ทุกคนกินเป็นอาหารเช้านั้นจะน้อยเกินไปสำหรับ เด็กทั้งสี่คน เพราะเจ้าชายครองสุข แบ่งให้เพื่อนใหม่ไปส่วนหนึ่ง การกระทำครั้งนี้ทำให้พวกเขาก็มีผู้นำทัพคนใหม่เป็นปุกปุย( เรียกว่าตัวใหม่จึงจะถูก) แล้วเจ้าสี่ขาขนสีน้ำตาลอ่อนก็ออกเดินเป็นหัวขบวนด้วยความชำนาญทางและระแวดระวังภัยเป็นอย่างดี
“แล้วทำไมต้องเดินตามมันด้วยล่ะ”
เจ้าหญิงครุ่นคิดในใจดวงน้อย พวกพี่เขาคิดอะไรกันนะถึงได้มาเดินตามเจ้าสี่ขานี่ เธอไม่เข้าใจและก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าเบื่อเอามากๆ
“จาไปหนายกาน นี่” เสียงใสถามพี่ชายขึ้น
“............ไม่รู้สิ”เจ้าชายไม่ได้กวนแต่เขายังไม่แน่ใจในสิ่งที่จะเกิดขึ้น ได้แต่หวังลึกๆว่าคงจะได้เจอกับสิ่งที่ดีบางในเวลาเช่นนี้
“หนู........ยา อยาก กะ กลับบ้าน”เจ้าหญิงไม่ได้งอแง แต่เพราะความล้าและไม่เคยออกจากบ้านเป็นเวลานานเช่นนี้ทำให้เธอรู้สึกไม่อุ่นใจ ทั้งที่ภาพเมื่อคืนก็แจ่มชัด แต่เธอก็คิดว่าหากเดินกลับไปที่บ้านเวลานี้ทุกอย่างก็คงเหมือนทุกวันที่ผ่านมา
“นี่ไง.....จะพากลับบ้าน แต่ไปทางลัดนะ”พี่ชายอุ้มน้องสาวขึ้นมาหอมแก้ม
“หวังว่า........ทุกอย่างจะลงเอยด้วยดีนะ เจ้าเปี๊ยก” ร่างยักษ์เดินมาแตะบ่าเพื่อน
“โฮ่ง.......”สี่ขาขานรับแทนและเริ่มออกวิ่งทำให้ทุกคนต้องสาวเท้าเร็วขึ้นกว่าเดิม
........................................
สี่สหายหยุดอยู่หน้าต้นไม้ใหญ่ ส่วนเจ้าสี่ขานั้นหายตัวลึกลับเข้าไปในโพรงไม้ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา มองดูแล้วเหมือนเป็นช่องประตูมากกว่าแค่โพรงไม้ธรรมดา
“คงรู้นะว่าใครควรจะเข้าไป”เจ้ายักษ์เดินมาข้างเพื่อนร่างเล็ก
“ระวังตัวนะ” พลอยชมพูยืนอยู่ไม่ห่างนัก ส่วนเจ้าหญิงเอามือทั้งสองข้างปิดหน้าเธอบอกตัวเองว่าไม่ได้กลัวแค่ตื่นเต้น
ไม่รู้ว่าเป็นความคิดที่ดีหรือไม่ ที่จะก้าวเข้าไปในประตูบานนั้น ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในโพรงต้นไม้ขนาดใหญ่ มันออกจะแปลกเสียหน่อยที่จะมีประตูลึกลับอยู่แถวนี้
“มันคงเป็นแค่บ้านคนเท่านั้นหรอก” คิดได้อย่างนั้นเจ้าชายก็หมุนล็อคประตูเข้าไป เขามองด้านล่างประตูที่เจ้าสี่ขาใช้เป็นทางเข้า หรือจะใช้ทางพิเศษดีนะ
ข้างในนั้นเหมือนห้องนั่งเล่นทั่วไป ใหญ่กว่าห้องนอนเขาเล็กน้อย บรรยากาศอบอุ่นและน่าจะมีคนอาศัย เพราะมีกลิ่นบางอย่างทำให้รู้สึกเช่นนั้น เมื่อกวาดสายตาไปทั่วห้องกับไม่เห็นจะมีใครแม้แต่เจ้าสี่ขาก็ไม่อยู่ พอหันมองทั้งห้องอีกครั้ง ทำให้รู้ว่าภายในห้องนอกจากประตูทางเข้าที่ผ่านเข้ามาแล้ว ยังมีประตูบานอื่นอีก เขาหมุนตัวรอบแล้วเริ่มนับในใจ
“แปดบาน”
เปล่าเจ้าชายไม่ได้เปล่งเสียง แต่เป็นเสียงของผู้หญิงที่วัยชราคนหนึ่ง ซึ่งเจ้าสี่ขาก็อยู่ร่วมด้วยในตอนนี้
“สวัสดีครับ” เด็กชายยกมือไหว้ “ผม มะมา หลงมาครับ”
“แน่ใจ ว่าหลงเหรอ.........”เสียงเข้มแฝงด้วยพลังดังขึ้น
“คือ .........ก็....เจ้าตัวนั้นนำทางมาครับ”เขาชี้มือไปที่สี่ขาที่นั่งหมอบอยู่กับพื้น
“ฉันให้เขาไปเอง........ว่าแต่มากันกี่คน”
“สี่คนครับ”
“นอกจากพวกเธอ แล้วในหมู่บ้านเหลือใครอีกไหม” เสียงนั้นดูเศร้าลง
“เหลือครับ ส่วนมากเป็นเด็ก ........”
“แล้วพ่อแม่เธอ”
“เด็กชายนิ่ง .........ผมไม่รู้”
“ก็คงหายไปหมดสินะ .................”
“เรื่องมันเป็นยังไงครับ”
“ไม่ใช่หน้าที่ฉันต้องบอกเธอ”
“แล้วพวกผมจะทำยังไงต่อไป”
“......................................................................”
กลุ่มเด็กทั้งหมดนั่งจับกลุ่มภายในห้องนั้น ทุกคนทานขนมคุกกี้น่าตาแปลกแต่ก็อร่อยที่วางอยู่ตรงหน้าเจ้ายักษ์และพลอยชมพูสนุกกับการเลือกคุกกี้ที่มีคำทำนายซ่อนอยู่ จนทำให้เจ้าชายเริ่มมองด้วยความไม่พอใจ
เจ้าหญิงสนใจหญิงชราที่นั่งดื่มกาแฟอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง เธอไม่คุ้นกับผู้หญิงผมขาวมาก่อนแถมมีกลิ่นไม่สะอาดติดตัวจนไม่อยากจะเข้าใกล้
“หนู มานี่มา”เธอเรียกเจ้าหญิงเข้าไปหา นานหลายอึดใจก่อนที่เธอจะก้าวเท้าไปใกล้และภายในห้องก็เงียบลง
“เป็นไง เคยกินขนมแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า.....ชอบไหม”
“...................................”ยิ้มหวานเห็นฟันหลอ ไม่ตอบ
“อร่อยมากครับ” เจ้ายักษ์ร้องตอบแทนทั้งที่เคี้ยวยังไม่หมดปาก
“เดี๋ยวฉันทำ อย่างอื่นให้ใหม่เอาไหม”
“อะอิ่มแล้ว” เด็กน้อยยืนหมุนตัวไม่สบตาเธอหันไปมองพี่ชายเป็นระยะ
“รู้ไหมว่าหนูหน้าเหมือนคนที่ฉันรู้จักมาก”
“...........................................”เจ้าหญิงส่ายหน้าและครุ่นคิดในใจ
“แต่เรื่องมันก็ผ่านมานแล้ว ............ เวลานี้ก็ไม่เหลือใครมีฉันนี่ล่ะที่ต้องทนอยู่บนโลกนี้ต่อไป”
“จะ หามะ แม่” เจ้าหญิงพูดด้วยความซื่อ
“เด็กน้อย........ว่าแต่พวกเจ้ากล้าหาญพอหรือไม่”
“ไม่ลองก็ไม่รู้นี่ครับ ว่าแต่พวกผมต้องทำยังไง”เจ้าชายครองสุขเดินมาหยุดอยู่ด้านข้างของน้องสาว
“ตอนฉันเป็นเด็กเรื่องแบบนี้มันก็เคยเกิดขึ้นกับฉัน แต่ฉันมันเด็กขี้ขลาด”หญิงชราก้มหน้าต่ำ
“ไม่เข้าใจ ครับ” เด็กชายจับต้นชนปลายไม่ถูก
“เธอไม่ต้องเข้าใจอะไรหรอก เอาเป็นว่าถ้าอยากให้พ่อแม่ และทุกอย่างกลับมาเหมือนฉันนี่แหละช่วยพวกเธอได้” ...........................................
เด็กทั้งสี่ยืนอยู่หน้าประตูทั้งแปดบานนั้น ตามคำบอกของหญิงชราทุกคนรับรู้ว่า
“ประตู ทั้งแปดบานนี้เชื่อมโยงหากันหมด แต่มีแค่หนึ่งบานจะพาพวกเขาไปสู่ดินแดนที่แตกต่าง”
เจ้าชายยืนนิ่งและใช่ความคิด
“แล้วจะเข้าประตูไหนก่อนดี” เจ้ายักษ์ ยืนและหมุนตัวนับประตูทีละบาน
“เข้ามาทางไหน เราก็ออกทางนั้นแล้วกัน”เจ้าชายนำทัพและกำลังจะหมุนลูกบิดทองคำขาว ซึ่งเป็นแรกที่เขาเข้ามา แต่ช้าไปเสียแล้วเพราะน้องคนเล็กสุดชิงเปิดประตูบานที่อยู่ใกล้กันนั้นเขาไปเสียก่อน
“นี่เขาเรียก อะไรรู้ไหม”เจ้ายักษ์เอ่ยยังไม่จบประโยค หญิงชราก็รีบออกคำสั่ง
“ไปเร็วสิ ประตูแห่งกาลเวลากำลังจะเปิด”
เด็กทั้งสามคนตามเจ้าหญิงเข้าไปในประตูบานนั้นที่มีลูกบิดสีเขียวมรกต
บานที่สองจนถึงบานที่เจ็ดเปิดเข้าไป เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างทั้งร้อนและหนาวแต่พอจะเปิดไปอีกบานก็กลับมาห้องเดิม แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตะลึงคือหญิงชราที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนั้น เวลานี้เธอคือเด็กหญิงตัวเล็กมองดูแล้วคงประมาณห้าขวบได้
“ฉันอยากไปกับพวกเธอนะ .............” พวกเขาออกจะแปลกใจมากกว่าดีใจที่จะได้เพื่อนร่วมทางใหม่
“แปลงร่างได้ด้วยเหรอ”เจ้ายักษ์ถามขึ้น
“เปล่าหรอก พวกเธอผ่านมิติเวลาเข้ามาต่างหาก”เธอตอบเสียงสั่น
“ฮ่าๆๆ ฉันว่ามันจะไปกันใหญ่แล้วแล้วพวก”เจ้ายักษ์ไม่รอช้าก้าวขาเปลี่ยนเป็นคนนับทัพ จากนั้นสี่สหายก็หายตัวไปในประตูบานแรกที่เปิดเข้ามาในบ้านโพรงไม้นี้
..
..................................................
“ครืด....ครืด........” เสียงนั่นดังเข้ามาใกล้ทุกทีและใจก็สั่งให้เร่งฝีเท้าเข้าไปหา ณ ที่พวกเขายืนอยู่ตอนนี้ มีความแตกต่างกับภาพที่นึกที่คิดไว้ว่าจะได้เจอ มันไม่ใช้ภาพเหมือนของเทพนิยาย แต่พวกเขากับรู้สึกคุ้นเคยและผูกผัน บางทีแค่หลับตาพวกเขาก็รับรู้ได้ว่าจะก้าวเดินไปที่ใด
เหมือนออกเดินในท้องทุกกว้างที่ไกลจนสุดตา แสงแดดอ่อนทำให้รู้สึกเป็นมิตรกับสถานที่มากขึ้น ไม่มีเสียงพูดคุยกัน หากแต่ความรู้สึกในใจทั้งสี่ดวงตอนนี้คือการค้นหาคำตอบที่จะทำให้ทุกอย่างกลับคืนมาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทุกคนหยุดอยู่ที่ “สื่อ” แท่งเหล็กสีฟ้าขนาดใหญ่ ดูเหมือนว่าแรงสั่นเมื่อเข้าใกล้ทำให้พวกเขาใจเต้นแรงและหูอื้อ
“จะมีอะไรเกิดขึ้นอีกนะ” มือของเจ้าชายสัมผัสไปที่แท่งเหล็กสีฟ้า เขาใช้ความคิดและมองออกไปสุดสายตา ที่แห่งนี้เป็นที่โล่งกว้างและมีเจ้าสื่อนับร้อยทีเดียว วัตถุนั้นเป็นรูปทรงกระบอก เมื่อมองไปด้านบนสุดมีเสาแหลมด้านบนเป็นตัวส่งคลื่นบางอย่างออกมา
เด็กชายร่างยักษ์ เดินอยู่ในแนวระดับเดียวกันกับเพื่อนทั้งสองมองหน้ากัน แล้วตัดสินใจ เดินเข้าไปในจุดศูนย์กลางของเจ้าสื่อ เด็กหญิงทั้งสองเดินตามไปทิ้งระยะห่างพอสมควร
จุดที่พวกเขายืนอยู่ คือจุดศูนย์กลางของพื้นที่โดยมีวงล้อมขนาดใหญ่จากสิ่งก่อสร้างนั้น ซึ่งรัศมีไม่น้อยกว่าสามร้อยก้าว และจุดนี้ทำให้มองเห็นว่ามีแสงเกิดจากปลายบนสุดของแท่งเหล็กทุกต้น ที่สำคัญจุดรวมแสงทั้งหมดตกลงมาที่เจ้าหญิงองค์น้อยยืนยิ้มอยู่เวลานี้
“แสงง สะสีรุ้ง” เจ้าหญิงเอ่ยขึ้น
“ตรงนี้ล่ะ หัวใจของมิติกาลเวลา ” เจ้าชายมองไปที่เท้าน้องสาว
“........เจ้ายักษ์ถึงเวลานายแล้ว” มือใหญ่ หยิบกล่องไม้สีแดงออกจากเป้ที่สะพายอยู่ด้านหลัง
“.......นี่ล่ะ ที่เรียกว่า .......ให้รองเท้าแก้วนำทาง”เจ้ายักษ์พูด
“ฟังดู ยังไงๆอยู่นะ”เจ้าชายหัวเราะตาม
“หวังว่ามันคงจะไม่มีอะไรระเบิดนะ”พลอยชมพูด ทำให้ทั้งเจ้ายักษ์และเจ้าชายหันไปมองต้นเสียงด้วยสีหน้าเคือง
“แหม พวกเธอ พลอยก็แค่เตือนเท่านั้นเอง”
เจ้ายักษ์ยิ้ม และทำหน้าตื่นเต้น ทั้งที่ในมือถือรองเท้าแก้ว แล้วอยู่ๆก็ทำหน้าแปลก และร้องเสียงดังขึ้น
“ตูม” .........ทั้งพลอยชมพูและเจ้าหญิง กระโดดกอดกันกลม
“ฮ่า ๆ ...........” ทั้งเจ้าชายและเจ้ายักษ์ หัวเราะท้องแข็ง เป็นความสนุกตามประสาเด็กผู้ชาย
..................................
เจ้าหญิงมองความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นกับรองเท้าแก้วคู่งาม ทั้งที่ตอนนี้มีแรงสั่นสะเทือนเกิดขึ้น และตัวเธอเองก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่ด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ได้ละสายตาจากรองเท้าแก้ววิเศษ
“เอาอีกแล้วเหรอนี่ ...........หวังว่านายคงไม่อ้วกใส่ฉันเหมือนเมื่อคืนอีกนะ” ร่างใหญ่พยายามพยุงตัวไม่ให้ล้ม เวลานี้ตัวใหญ่อย่างเขา ออกจะเป็นปัญหาเสียแล้ว
“น้อยๆหน่อยพี่เบิ้ม...........เอาตัวไม่ให้ล้มทับใครให้ได้เสียก่อนเถอะ”เจ้าชายยิ้มเย้ย
เมื่อมองไปบนท้องฟ้า กลุ่มเมฆก่อตัวขึ้นปกคลุมพื้นที่บริเวณนี้เสียแล้ว ลำแสงหลากสีพวกนั้น เวลานี้ดูเหมือนคลื่นไฟฟ้าเสียงมากกว่าความสวยงาม ทุกคนนิ่งและดูเหมือนตัวของพวกเขาจะบังคับร่างกายตัวเองไม่ได้ ในไม่ช้าสภาพไร้น้ำหนักก็ตามมา
ความมืดเข้ามาแทนทุกอย่าง ประสาทสัมผัสได้เพียงเสียงที่ดังก้อง จากการรับรู้สิ่งรอบกายอย่างชัดเจน ไม่นานเสียงที่อยู่รอบกายก็ห่างไกลออกไปจนความสงัดเข้ามาแทนที่
..
“พะ พะ พี่” เจ้าหญิงรู้สึกตัวในห้วงเวลาที่ไร้เสียงใด และเหมือนจะมีหมอกปกคลุมไปทั่ว ได้แต่คลำไปบนพื้น ที่มีความชื้น ในขณะที่มือไล่ระดับอยู่ในม่านหมอกนั่นเธอก็ดีใจขึ้นมา เมื่อความอุ่นที่เธอสัมผัสได้นั่นคือใบหน้าของใครคนหนึ่ง
“หยุดนะ” เสียงใครดังขึ้น
“ใคร” แก้มใสและตาสวยของใครคนหนึ่งค่อยๆชัดขึ้น และภาพนั้นเข้ามาใกล้เจ้าหญิงและเมื่อทั้งสองมองเห็นหน้าของกันและกัน จากความสงสัยชั่วครู่เปลี่ยนเป็นความกลัวขึ้นมาแทน
“ กะ กรี๊ดๆๆ” เป็นพลังเสียงที่ทั้งคู่ปล่อยแข่งกันสุดฤทธิ์
เป็นคนเล็กๆในจักรวาล
แค่หนึ่งคนในหลายพันล้านบนโลกใบนี้
กับชีวิตที่ทั้งสุขและเศร้า บางครั้งแอบเหงาก็มี
แต่ไม่เคยยอมแพ้กับสิ่งเหล่านี้
เพราะมองโลกในแง่ดี ......เข้าไว้
ฉันเป็นใครในโลกกว้าง
เกิดมาเพื่อสร้างสิ่งต่างๆบนโลกนี้ใช่ไหม
เติมเต็มความดีงามให้คงอยู่ตลอดไป
ถึงจะดูไม่ยิ่งใหญ่ ก็พร้อมใจลงมือทำ
ความคิดเห็น