คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ( .....ให้รักบำบัดใจ )
บทที่ 2 ( .....ให้รักบำบัดใจ )
หลังจากไปเดินเล่นและเข้าโรงยิมในสนามกีฬาให้เลือดสูบฉีดและหัวใจเต้นแรงมากขึ้นผมก็กลับมาที่ห้องพัก
แต่ต้องแปลกใจเมื่อไขกุญแจแล้วแต่ไม่สามารถเปิดเข้าไปได้ เพราะผมลืมไปว่าเพื่อนที่มาต่างจังหวัดมาอาศัยอยู่ด้วยเพื่อหางานได้ 2-3วันแล้ว
วันนี้ผมได้กลิ่นประหลาดบางอย่าง ผมเคาะประตูเป็นมารยาท 3 ก๊อกแล้วนานเป็นอึดใจก่อนจะเห็นหน้าเพื่อนยิ้มแหยเกาะขอบประตู
" พอดีน้องเค้า อยากมาเที่ยวด้วยนะ" เจ้าชู้ไม่เบาเหมือนกันนะเพื่อนผม ผมมองเห็นน้องผู้หญิงหน้าหมวยๆ นั่งหวีผมอยู่บนเตียง เธอยกมือไหว้ผมแบบเด็กน่ารัก
"ตามสบายครับ" ผมทำหน้าที่อย่างนี้ได้ดีเสมอ ผมขอตัวอาบน้ำและก็ทำอะไรเพลินๆไปซักพักก็ลืมการนัดกับใครบางคนไปเสียสนิท
ผมหยิบเศษเหรียญในลิ้นชักโต๊ะแล้ววิ่งเหยาะๆลงบันได ทำไงดีนะทบทวนในใจ
บรุษที่หนึ่ง หรือว่า บุรุษที่สองดี
แน่หละผมมักทำอะไรอย่างไม่คาดฝันเสมอผมเลือกที่จะฟังเสียงแล้วหยั่งเชิงบุรุษอายุ29ปีก่อน ( บุรุษที่สอง)
ผม .........สัญญาณติด.
" พี่ยุทธเปล่าครับ .ผมคนที่คุยด้วยตอนบ่ายครับ"
พี่ยุทธ " ครับ ว่าไงครับ
"
แน่ล่ะแค่เสียงแรกแม้จะฟังว่าเก๊กแล้วแต่ผมก็ให้คะแนนได้ในใจทันที
ว้าไม่แมนเอาเสียเลย
ผม "โทรมาตรวจสอบน่ะครับ ไม่รู้เบอร์จริงหรือหลอก กินข้าวยังครับนี่"
พี่ยุทธ "ยังเลย เรากินยังหละ มากินด้วยกันสิครับเดี๋ยวพี่เลี้ยง"
ผม "ไม่เป็นไรครับวันนี้ผมไม่ค่อยว่างนะครับ จะอ่านหนังสือ
ใกล้สอบแล้วกลัวไม่ผ่าน"ผมพยามแสดงว่าเป็นเด็กเรียนให้พี่เขาสนใจ
พี่ยุทธ "ครับ....พรุ่งนี้ไปเที่ยวไหนเปล่า"
ผม "พรุ่งนี้ต้องย้ายห้องครับ ไปอยู่กับญาติ ที่นี้ผมคงอดเที่ยวนานแน่
เอ่อ....... ... พี่ครับ..........เหรียญหมดแล้วไงผมโทรมาใหม่นะครับ"
ผมรีบตัดบทและวางสายไป และให้คะแนนได้ทันที 6 เต็ม 10 ไม่ผ่าน ทำไงได้ตอนนี้ผมไม่ได้อยากมีพี่สาวนี่น่า
ตัวเลือกสุดท้ายบุรุษ 33 ปี จะหมู่หรือจ่านะ พ่อเงาะป่า ผมมองนาฬิกาที่ข้อมือขวา 20.15 นาที ท้องร้องแล้วสิ แถมวันนี้เพื่อนพาแฟนมาด้วยน่าจะบอกกันให้เตรียมตัวก่อน เล่นมัดมืออย่างงี้ผมไม่ชอบนอนรวมกับใครเยนอะๆด้วยสิ
ผม "..........ครับ พี่พงศ์เปล่าครับ"
บุรุษ33ปี (พงศ์) " ครับ .......... ใครครับนี่"
ผม "ผม คนที่นัดพี่ไว้ที่สะพานพุทธนะครับ"
บุรุษ33ปี (พงศ์) "ครับ..ว่าไงครับ"
ผม "ผมไปไม่ได้นะครับ วันนี้"
บุรุษ33ปี (พงศ์) "อ้าว...........เหรอครับ..แต่พี่รอเราอยู่นะครับตอนนี้"
ผม รู้สึกผิดนิดหน่อย แต่มันก็แค่คนพึ่งรู้จักกันไม่ถึง5 ชม คงไม่เป็นอะไรมากนัก ที่จะผิดนัดแต่อีกใจหนึ่งก็ ไม่อยากนอนกับคนเยอะๆไปเดินเล่นก็ดี
"งั้นรอหน่อยนะครับ อีก ชั่วโมงกว่าๆพี่รอไหวไหม"
บุรุษ33ปี (พงศ์) "ครับ
.พี่นั่งรอที่........นะ"
เป็นสถานที่คุ้นเคย ผมหลับตาก็คิดภาพออกเดินจากปากคลองตลาดไปอีกอึดใจ ก็เจอลานกว้างลานพระบรมรูป ผมคิดในใจทำไมเสียงเด็กจังเลยนะ แถมผมรู้สึกเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนมันฟังคุ้นหูและอบอุ่นเป็นอย่างมาก
(หรือผมคิดเข้าข้างตัวเองมากไปหรือเปล่า)
.....................................................
ผมนั่งอยู่เบาะเกือบสุดท้ายคนบนรถเมล์ปรับอากาศ คนไม่เยอะมากเสียเท่าไหร่ ทำให้ผมได้นั่งสบายเพียงคนเดียวและปล่อยใจให้รู้สึกไปกับผู้คนและรถที่ผ่านสายตาไปมา
แสงไฟยามค่ำคืนดูน่าตื่นเต้นและเร้าใจผมทุกครั้งเวลาผ่านตา อาจเพราะผมอยู่ต่างจังหวัดและเหมือนนักศึกษาบ้านไกลที่ไม่ค่อยเจอแสงสีของเมืองใหญ่ ถึงแม้ผมจะมาอยู่ที่เมืองหลวงเข้าปีที่4 แล้ว แต่ผมพึ่งรู้สึกตัวเองว่ารู้จักแสงสีและเมืองใหญ่เมืองนี้แค่เสี้ยวเดียว ยังมีหลายมุมมองที่ผมไม่เคยเห็นและไม่เคยสัมผัส
ผมยืนยันว่าผมไม่ได้หลงแสงสีค่ำคืนแบบนักเที่ยวราตรีที่หลงของมึนเมาหรือจังหวะหนักๆของเพลงในผับหรือสถานที่ราตรีที่เหล่าผู้นิยมความล้ำสมัยเที่ยวกัน แต่ในมุมมองของผม ภาพผู้คนที่ทำมาหากินยามค่ำคืนต่างหาก ที่ทำให้ผมตื่นตาตื่นใจเสมอ
แอร์บนรถโดยสารชื้นน่าดู จนผมรู้สึกหนาวขึ้นมา วันนี้ผมแต่งตัวสบายๆกางเกงยีนส์ตัดเป็นขาสั้น เสื้อยืดสีขาว กับรองเท้าแตะ ทั้งที่ทุกครั้งการนัดบอดอย่างงี้ผมจะไม่ค่อยพลาดในการแต่งตัวให้ดูดี อาจเพราะผมรู้สึกเซ็งกับนัดบอดที่ผ่านมาของผมที่นับเป็น 20 กว่าครั้งก็ได้
ผิดหวังบ้าง แอบขอตัวกลับก่อนบ้างหรือหนักๆเลยก็แอบเดินหายไปเลยทั้งที่ยังไม่ทัก แค่ไปแอบยืนดูหน้า ผมก็ใจฝ่อเสียแล้วพฤติกรรมขี้ขลาดอย่างนี้ เกิดกับผมบ่อยเสียที่เดียวและก็หลายครั้งที่อกผมเดาะเนื่องจากก็มีคนหักหลังผมอย่างนี้เช่นกัน
ทำไงได้เมื่อรูปลักษณ์และหน้าตาเป็นเหมือนด้านแรกของเราที่มองกัน ทั้งที่จริงแล้วในโลกปัจจุบันกว่าที่จะรู้จักใครสักคนต้องเรียนรู้และอาศัยเวลาทั้งนั้น แต่ การที่เราต่างหันแต่ด้านเดียวคุยกันในพื้นที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ต่างคนก็เสนอด้านดีของตนให้คู่สนทนารับทราบเท่านั้น
คนบ้านไกลเมืองอย่างผมบางครั้งก็ดูซื่อเซ่อและมอมแมมเกินกว่าใครบางคนจะรักได้หรือหน้าตาไทยแท้ บางครั้งมันก็ทำให้ใครต่อใครไม่ชอบก็มีเยอะ บางทีผมก็ยอมรับว่า มีการโม้และคุยโอ้อวดสรรพคุณตนเองมากเกินจริงไปก็แยะ
สมควรแก่การถูก เอาคืนแล้วล่ะ
.
ผมขำให้ความคิดเพี้ยนๆของตนเองที่ชอบทำอะไรแปลกๆปนความพิลึก จำความขี้แยของตนเอง ตอนเด็กได้ดี
ไม่ว่าการฝันร้ายเห็นจระเข้ยักษ์แล้วร้องงอแงขอนอนกับแม่หรือกระทั้งการร้องไห้หน้า เล้าหมูตอนที่แม่จะขาย และยืนกรานที่จะไม่ให้ขาย จนต้องโดนพี่ชายหลอกว่าจะพาไปเที่ยวและซื้อของเล่นให้ ถึงยอมเดินออกหน้าเล้าหมูและไปเอาของเล่น พอกลับมาอีกทีหมูก็โดนขายไปเสียแล้ว ทำให้ประชดแม่ด้วยการอดข้าวและไม่ยอมดูทีวี นั่งคิดอะไรต่างๆอีกมากมายจน
"เฮ้ย คิดถึงบ้านจัง"
เรามาทำอะไรที่เมืองกรุงนะ อดมื้อกินมื้อ การเรียนก็ไต่ระดับคาบเส้นแดงขึ้นมาหน่อย บางวิชาก็ซ่อมแล้วซ่อมอีก ทั้งที่อยู่บ้านก็เรียนดีมาตลอดแต่พอเจอสิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตทำให้ต้องเรียนรู้คู่ไปกับบทเรียนใจผมมันกับฝักใฝ่ที่จะเรียนรู้นอกตำรามากว่าบทเรียนในมหาวิทยาลัย ชีวิตที่เคยมีกรอบของผมพอออกมาอยู่ด้วยตัวเองกรอบที่กว้างมากขึ้น มากที่จนตัวผมเองก็มองแทบไม่เห็น
บางครั้งก็เหนื่อยกับการกระทำของตน พลอยให้ต้องมานั่งซึมและก็เสียใจกับสิ่งที่ทำไป
จากการคำนวณระยะทางและดูการจราจรบนถนนคืนนี้แล้วรถไม่ติดมากวิ่งได้คล่องตัว ผมคงจะไปสายกว่านัดประมาณครึ่งชั่วโมง คิดแล้วก็รู้สึกไม่ดีที่ต้องให้ใครสักคนมานั่งรอเรา นักศึกษาที่มองไม่เห็นอนาคตเสียเท่าไหร่
บางทีผมก็ไม่รู้ว่ามีค่าพอที่จะให้ใครมาสนใจมารักหรือไม่ แต่สำหรับผมเองแล้วกับต้องการใครสักคนเหลือเกินไม่รู้ว่ากลัวความเปลี่ยวเหงาหรือไง
รถวิ่งผ่านมาได้สักระยะผู้คนบนรถเริ่มมากขึ้นและผมก็ได้กลิ่นน้ำหอมเข้าจมูกผสมกับกลิ่นครีมทาผิวหรือไม่ก็อะไรบางอย่างที่อยู่บนศีรษะชายคนที่ทิ้งตัวนั่งข้างผม เขาดูอายุมากกว่าผมนิดหน่อยแต่ดูจากการแต่ตัวและท่าทางแล้วดูดีที่เทียว
เขาหันหน้าเข้ามาด้านกระจกไม่รู้ว่าดูทางหรือดูผม แต่ที่แน่ๆผมมองหน้าเขาจากเงาของกระจกที่ผมนั่งชิดอยู่ ถึงไม่ชัดเสียเท่าไหร่แต่ก็รู้ได้ว่าเป็นคนน่าตาดีไม่หยอก ผมนั่งตัวชิดกับกระจกให้มากเพราะไม่อยากให้ส่วนใดของร่างกายไปสัมผัสกับชายคนนั้น
อาจเพราะผมคิดมากไปเองทั้งที่ผมก็จ้องมองออกไปที่ด้านนอกมองผ่านกระจกไปและยังคงทำตัวอย่างนั้นตลอดทาง แต่กับรู้สึกว่ากลิ่นของร่างกายเขาเข้ามาใกล้ทุกทีพร้อมทั้งเข่าข้างขวาของเขาก็มาเสียดสีขาผมตลอดทาง
ใจผมเต้นและเหงื่อก็เริ่มออกนี่ถ้าผมใส่ขายาวมาก็จะดีกว่านี้ คิดผิดเสียแล้วเราผมใช้มือดึงกางเกงที่เลยขึ้นเหนือเข่าลงและหันหน้าไปมองเขา เขามองผมแวบหนึ่งก่อนที่จะหลบสายตาทำเหมือนไม่ได้เกิดอะไรขึ้น
ผมหันไปมอง ........... อืม.......หน้าตาเขาดีอย่างที่ผมคิดจริงๆ ผมรู้สึกแย่นิดหน่อย ยอมรับเหมือนกันว่าก็เคยทำอย่างนี้มาก่อนไอ้เรื่องหาทางจับนิดจับหน่อยใคร สมัยก่อนผมก็ทำบ่อยแต่พอมาถูกกับตัวเองกับรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเลย
คิดขำๆในใจถ้าทำอีกครั้งผมจะแกล้งหอมเข้าให้ ผมอมยิ้มให้กับตัวเองและเกือบเผลอหัวเราะออกมา ดูท่าเข้าจะมองว่าเป็นไอ้ต๊องเสียแล้ว
ผมเอามือเคาะที่เข่าข้างซ้ายตนเองและยักคิ้วให้หนึ่งที่ก่อนจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หันหน้ามองไปดูผู้คนนอกรถเหมือนเคยแน่ล่ะเหมือนว่าเขาเริ่มจะกลัวผมเข้าให้แล้ว
..................................................
ผู้คนเริ่มลงจากรถเกือบหมด ป้ายหน้าก็ป้ายสุดท้าย ก็ถึงเวลาที่ผมก็ต้องก้าวลงจากรถคันนี้เช่นกัน
"หมดระยะทางแล้วค่ะ"
ผมดึงกางเกงที่ชอบรั้งขึ้นเหนือเข่าก่อนจะลุกขึ้นและก้าวลงไปจากรถ อากาศข้างนอกวันนี้ ดูท่าจะไม่เป็นมิตรกับผมเสียแล้วเพราะค่อนข้างจะอบอ้าวแต่โชคดีที่บริเวณนี้โล่งกว้างไม่ค่อยมีตึกสูงจึงพอจะมีลมผ่านปะทะร่างกายพอให้สบายตัวและไม่เหนียวตัวเสียเท่าไหร่
ผู้คนแถวปากคลองตลาดน้อยคนนักที่จะปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ค่า แต่ละคนมีวิถีชีวิตและการดำรงชีวิตที่ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก เดิน-พูดคุย ต่อรองราคาแล้วก็ส่งของ
สีสันชีวิตที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน ผมเลือกที่จะเดินดูดอกไม้ที่วางอยู่ทางเท้าไปเรื่อย ขาก็สั่งให้รีบเดินไปที่นัดกับใครคนหนึ่งไว้แต่พอมองตัวเองที่แต่งตัวมาอย่างนี้แล้วก็รู้สึกขาดความมั่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เดินผ่านหมู่ดอกไม้ที่วางอยู่ริมทางได้สักพักก็เจอลานกว้างที่นัดเจอกับใครคนหนึ่ง กลุ่มเด็กวิ่งเล่นไปมา กลิ่นเหม็นของขยะที่วางไม่เป็นที่ตลอดจนกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆวิ่งเข้าชนจมูกผมจนต้องรีบสาวเท้ายาวๆให้ไปถึงจุดนัดพบเร็วที่สุด
ผมมองไปที่นัดผม เบื้องหน้ากลุ่มเด็กวัยรุ่น กำลังเล่น สเกตบอร์ด อยู่ประมาณ4-5คน ดูแต่ละคนมีความสุข คิดถึงวัยที่ผมเป็นวัยรุ่น 16-17 ปี ผมก็มีความสุขนะแต่มันช่างไม่เหมือนกับเด็กในเมืองหลวง
.............เปล่าผมไม่ได้อิจฉาพวกเขาผมค้านในใจเพียงแต่ผม ไม่ค่อยมีความสนุกอย่างพวกเขามีมากกว่าการที่ได้ใช้ชีวิตช่วงหนึ่งของวัยรุ่นได้เต็มที่
ผมมองหาเป้าหมาย เขาเป็นใครสักคนที่ผมนัดไว้ แล้วเขาเป็นใคร รูปถ่ายที่ส่งมาให้ในเมล์มันไม่ได้ทำให้หาใครสักคนได้ง่ายขนาดนั้น โดยเฉพาะสถานที่ลานกว้างๆและตอนกลางคืนอย่างนี้
ผมมองเห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าพุ่มไม้ ห่างผมไปไม่ไกล หรือจะเป็นเขาชายร่างสูงผมสั้นเกรียนเสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนส์ ในมือเขาถือดอกไม้คิดว่าน่าจะเป็นกุหลาบสีแดงเนื่องจากมองจากมุมนี้ไฟไม่สว่างมากพอ
ไม่ใช่มั้งดูสูงกว่าที่บอกมาและก็ อืมไม่รู้สิผมอธิบายยาก คล้ายๆกับเขารอใครสักคนที่รู้จักมากกว่า ผมเดินห่างจากเขาไป และไปหยุดรอตรงกึ่งกลางลานกว้างนั้น หันซ้าย-ขวา และบิดขี้เกียจสองที แก้เก้อ
..............แล้วผมก็เจอเขาคนที่คิดว่าใช่ ชายคนนั้น นั่งอยู่ข้างหน้าผมเป็นแน่ เขานั่งอยู่ชั้นบนสุดของบันไดทางขึ้น ระยะทางระหว่างเราห่างกันพอสมควร จากจุดที่ผมยืนมันไกลมากทีเดียวแต่ถ้าสังเกตให้ดีจากทุกสิ่งรอบตัวผม ตอนนี้เขาเป็นคนเดียวที่หยุดนิ่งและรอใครสักคนอยู่ คนที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ------เขาคือเป้าหมายของผม
.
แทนที่ผมจะเดินตรงไปหาเขา ผมกับ เดินและทำเป็นเลี่ยงเขาไปทางด้านข้างและหายไปทางด้านหลังลงไปสะพาน เสียงผู้คนและร้านค้าที่ขายของ ดังเข้ามาในหูอีกครั้ง
แค่เดินผ่านไปผมสัมผัสได้ถึงสายตาของเขาที่มองมาที่ผม เป็นตัวผมเองที่ประหม่าไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ ใจผมร้อนวูบวาบมันสั่นและตื่นเต้นและมีอีกหลายๆความรู้สึก ผมกลัวการเผชิญหน้า ผมรวบรวมความกล้าและหันหลังเดินกลับไปที่นั่นอีกครั้ง
ชายคนนั้นยังนั่งอยู่ที่เดิม ภาพที่ผมเห็นตรงหน้านั้น ก็คือชายหนุ่มหุ่นรูปร่างสูงเพรียวใส่เสื้อยืดสีฟ้าอ่อนเข้ารูปผมรองทรงสั้น ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ ทั้งที่ความจริงอาจจะไม่ใช้เขา หรืออาจใช่ แต่หากผมเดินไปทักแล้วเขาทำเป็นไม่รู้ไม่สนใจล่ะ ผมจะเป็นยังไงทำไงได้
แต่หากไม่กล้าก็ไม่รู้
" รอใครอยู่ หรือเปล่าครับ ..." ผมยิงคำถามออกไป รู้สึกเสียงตัวเองมันสั่นๆเสียจนขาดความมั่นใจยังไงไม่รู้
" .............................." เขาอมยิ้ม รอยยิ้มนั้นกว้างจนมองเห็นเขี้ยวด้านใน ถึงแม้แสงไฟจะไม่สว่างมากนัก แต่ผมยืนยันได้ว่าเขาคือชายที่ส่งรูปมาให้ผมดูแต่ดู
เหมือนรูปนั้นจะแตกต่างจากตัวจริงที่ผมเห็นเบื้องหน้านี้ ตัวผมเองต่างหากที่รู้สึกว่าด้อยค่าไปเหมือนเด็กที่ยังไม่โต วางตัวไม่ถูก ผมมองเล็บเท้าดำๆของตัวเองแล้วรู้สึกอยากวิ่งกลับห้องไปนั่งทำความสะอาดเสียใหม่และอาบน้ำโกนหนวดเคราให้ดูสะอาดมากกว่าที่เป็นอยู่
" พี่รอตั้งนานครับ .........ทำไมเดินหนีไป....................เมื้อกี้"
รู้ทันผมอย่างนี้ ก็เขินสิครับ ผมแก้เก้อด้วยการเกาหัว ยิ่งทำให้ดูเหมือนไอ้หนุ่มตัวเหม็น ไม่สระผมหรือไม่ก็เป็นรังแคมากว่าอาการดูเท่
" เขิน นะครับ ........."
ผมนั่งห่างจากพี่เขาประมาณ 1 ไม้บรรทัดได้ กลิ่นน้ำหอมอ่อนที่โชยมาตามลมทำให้ผมรู้สึกดีเป็นพิเศษ
ผมยอมรับว่ามันไม่กี่ครั้งนักหรอกที่ผมจะรู้สึกดีๆกับใครมันเหมือนผมอ่านหนังสือสักเรื่องหนึ่งแล้วจินตนาการไปตามที่ใจตัวเองคิด อาจไม่ตรงตามที่ผู้เขียนพรรณนาไว้
แต่ผมเชื่อว่าฝันของผมที่สร้างขึ้นมานั้นได้ตอบสนองความรู้สึกของผมได้ดีแล้ว ข้อความที่ผมสื่อไปก่อนหน้านี้ทางอินเตอร์เนทกับชายคนนี้ เป็นสิ่งดีๆที่ผมคิดไว้ถูกเปลี่ยนเป็นด้วยภาพจริงที่ผมสัมผัสได้อยู่ตรงนี้
ผมจะทำยังไงที่จะทำให้คู่สนทนามองไม่ออกว่าผมเริ่มที่จะมีใจให้เขา ลมพัดมาที่ตัวผมยิ่งทำให้รู้สึกสดชื่นมากขึ้น อาการประหม่าเริ่มหายไปทีละน้อย กล้าพูดและมองหน้าเขามากกว่าเดิม
แล้วมันจะเป็นยังไงต่อไป ผมถามตัวเองแล้วก็ครุ่นคิดในใจถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป
จินตนาการเป็นภาพจากความรู้สึกข้างใน ผมคงไม่อยากนั่งคิดฝันหวานเพียงคนเดียว ถ้ามีเขาคนที่นั่งข้างผมมาช่วยต่อเติมความคิดนั้นมันคงสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
หากผมกล้าหาญมากกว่านี้คงจะกล้าพอที่จะถามคู่สนทนาว่า รู้สึกยังไงกับผม อยากจะเดินหนีไป หรือชอบผมหรือไม่ มันออกจะตั้งความหวังไว้สูงทีเดียวเพราะหลายครั้งที่ผมนัดเจอใครสักคนหลังจากทานข้าวดูหนัง เดินพูดเรื่องต่างๆสักพัก แล้วก็จากกันไป ไม่แม้มีเสียงโทรศัพท์หรือข้อความติดต่อกลับมาทั้งที่ก่อนเจอกัน ทั้งที่เคยเพียรส่งเมล์ โทรศัพท์หาเป็นอาทิตย์ พูดโทรศัพท์เป็นชั่วโมงแต่เมื่อตัวจริงปรากฏ ไม่ผมหรือก็คู่เดทต่างหายจากกันไป
อาจเพราะก่อนหน้านี้ต่างคนค่างรำพันถึงแต่ความดี ของตัวเองให้คู่สนทนาฟัง แต่เมื่อเจอความจริงของข้อด้อยที่ไม่เคยคิดมาก่อน วิมานบนฟ้าก็พังลงมาไม่เป็นท่า
เจ้าหญิงผู้รอคอยอยู่บนปราสาทจำเป็นต้องหลบหนีเจ้าชายผู้มาจากแดนไกลไปเอง ส่วนเจ้าชายหากไม่หนีไปตามแม่มด ก็คงควบม้าคู่ใจหายไปกับใครสักคนซึ่งอาจจะเป็นยามที่เฝ้าหน้าประตูวังก็เป็นได้
ผมเองที่เป็นเจ้าชายขี้ขลาดที่แค่มองเห็นประตูวัง ซึ่งมีเหล่าสมุนของแม่มดที่ล้อมวังอยู่ใจก็ปอดๆแอบวิ่งหนีไป
เจ้าหญิงหลายต่อหลายองค์รอผมเก้อมาก็เยอะแล้ว จะเป็นอะไรอีกครั้งถ้าเจ้าหญิงและแม่มดจะร่วมมือกันสาบเจ้าชายอย่างผมให้ไม่เจอรักแท้กับเขาเลย
ความกลัวของผมไม่ใช่แค่การมองไม่เห็นในความมืดเท่านั้นแต่มันรวมไปถึงการที่เรามองหน้าใครสักคนแล้วไม่อาจกระจ่างใจในความรู้สึกใดๆในใจเขาได้
บางทีหากผมเจอความจริงตั้งแต่แรกในการพูดคุยว่าชอบไม่ชอบแบบไหนผมอาจจะทำใจไม่ได้ จึงเป็นเหตุผลให้คู่สนทนาผ่านหน้าจอคอมต่างอ้างถึงข้อดีของตนเองเพื่อจะให้เป็นที่พอใจของอีกฝ่าย ถึงคนไม่ใช้สินค้าที่ต้องอ้างสรรพคุณมากมายก็ตาม
แต่ผมก็ยอมรับว่าผมทำอย่างนั้นเกือบทุกครั้งจนตัวผมเองก็เจ็บกับไปกับคำล่อลวงจอมปลอมของตัวเอง
หลายคืนที่ต้องนอนไม่หลับ เพราะใครสักคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนเดินหนีและมองด้วยสายตาเหยียดหยาม ไม่ให้เกรียติหรือแม้กระทั้งถูกตีค่าเรียกเข้าม่านรูดข้างทาง ที่หนักไปกว่านั้นก็ถูกละเมิดในโรงหนังก็มี จนบางครั้งรู้สึกว่าความใคร่มันอยู่เหนือความรักหรือตัวตนที่แท้จริงของตน
"พี่รู้สึกยังไงกับผมครับ"
ผมเสี่ยงที่จะถามออกไป ดีกว่าที่จะเก็บความรู้สึกเป็นทุกข์ไปนอนก่ายหน้าผากที่ห้อง เขานิ่งเงียบและดูครุ่นคิดนานกว่าปกติจนผมรู้สึกว่าใจที่มันเต้นอยู่ข้างในแทบจะกระโจนออกมา
"เมื่อไหร่จะตอบสักที"
ผมเผลอบ่นออกมาจนพี่เขาอาจรับรู้ถึงความรู้สึกผมได้
"น่ารัก ..........ดีครับ"
ได้ยินเขาเต็มสองหูอย่างนี้ ผมก็เขินขึ้นมา ใจที่มันพองโตและเต้นแรงอยู่แล้วยิ่งหึกเหิมใหญ่
ผมสบตาเขาและแอบสังเกตเห็นว่า เขามีดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ........ตาสวยจังผมรู้สึกว่าตัวเองจะละเมิดความเป็นส่วนตัวเขามากไปแล้ว
"มองจนจะละลายแล้วนะครับ"
ผมผิวปากแก้เขิน ไม่รู้แก้เขินได้หรือไม่แต่ก็พอที่จะทำให้บรรยากาศรอบข้างไม่มีแค่การมองหน้าและสบตาส่งภาษารักกัน
คุณเคยตกหลุมรักใครเมื่อแรกพบไหมครับ ตอนนี้ผมเจอกับตัวเองเข้าแล้ว แค่มองหน้าและเก็บความรู้สึกรอบตัวที่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่นาทีผมก็เข้าข้างตัวเองไปแล้วว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้มันเคยเกิดมาขึ้นกับผมมานานแล้ว
เหมือนว่าเราเคยรู้จักกันมาก่อนและเขาคือคนรักผมที่ตามหามานาน ความรู้สึกดีๆมันพรั่งพรูออกมา ในใจก็ไม่หวั่นว่าเขาจะเดินหายไปหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรผมก็ตั้งใจว่า คนนี้จะต้องเป็นคู่ผมและจะทำให้โลกที่เคยเงียบเหงาของผมสว่างขึ้น เพราะแค่มองหน้าผมก็รู้สึกว่ามีกำลังใจ อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
ยิ่งได้ยินเสียงมันรู้สึกเหมือนเคยได้ฟังจากที่ใดที่หนึ่งมานานแสนนานเป็นเสียงที่คุ้นหูและให้พลังกับผมมากมาย หากผมไม่เข้าหากตัวเองและงมงายกับความรู้สึกตัวเองฝ่ายเดียว
ผมคิดว่าเขาก็มองผมด้วยความรู้สึกเดียวกันการเป็นที่รักของกันและกัน ตอนนี้ผมอยากเก็บความรู้สึกที่มีตอนนี้ไว้ให้มากที่สุดและหากคืนนี้จะยาวนานมากขึ้นผมก็ยอมที่อยู่กับเขาและเก็บเกี่ยวทุกความรู้สึกไว้ให้มากที่สุด
ในความรู้สึกของผมตอนนี้มีเรื่องที่จะเล่าให้เขาฟังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว ความชอบ ทัศนะคติหรือแม้กระทั่งความชอบในการกินอาหารไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงอยากเร่งที่จะให้เขารู้จักตัวตนของผมผ่านคำพูดแทนที่จะค่อยๆให้เวลาได้เรียนรู้กันไป ถึงจะเป็นสิ่งที่ยืนยันตัวตนได้ดีกว่า
หรืออาจเป็นเพราะว่าผมกลัวว่าผมเองว่ามันจะต้องใช้เวลานานมากไป ทั้งที่การที่เราจะตัดสินใจเลือกใครสักคนเป็นคู่ชีวิตมันคงต้องใช้เวลายาวนานแค่ไหนในการร่วมทั้งทุกข์และสุขไปด้วยกัน ดังนั้นภาวะที่ผมกำลังกดดันตัวเองอยู่นี้ไม่ใช่ทางออกที่ดี
แต่ตัวผมเองกับไม่คิดลดละเลิกที่จะทำมัน ในสายตาและความรู้สึกของผมแล้วเขาช่างดูอ่อนโยนและอบอุ่นในที ผิดกับผมคนที่ดูมีความมั่นใจสูงแต่แอบแผงไปด้วยความหวาดกลัวและหวั่นไหว เราทั้งสองนั่งสนทนากันไปเรื่อยๆ แต่ส่วนมากจะเป็นการเล่าของผมเสียมากกว่า
เขาก็เป็นผู้ฟังที่ดีเรื่องราวต่างๆผมถ่ายถอดออกมาจากความรู้สึกข้างใน ไม่ได้เสริมเติมแต่งเหมือนข้อความที่เคยเคยพิมพ์ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็น ภาษาง่ายๆไม่ไม่มีการปั้นแต่งให้สวยงาม
"เขาบอกว่า อาทิตย์เป็นมิตรกับครู .........จริงไหมครับ" ผมหยิบยกคำพูดของคนโบราณมา เพื่ออ้างเหตุผลให้ฟังขึ้นมากว่าเดิม สาเหตุมาจากผมเกิดวันพฤหัสบดีส่วนพี่เขาเกิดวันอาทิตย์
"พี่คงจะเจอเนื้อคู่.........แล้วมั้ง"เขาตอบแล้วก็อมยิ้มจนเห็นว่ามีลักยิ้มที่แก้มขวาแล้วพูดต่อ
"เนื้อคู่หาเจอได้ไง .........บอกวิธีบ้างสิพี่ก็อยากเจอเหมือนกัน" เขายิ้มที่มุมปากภาพนั้นเหมือนใครสักคนที่ผมไม่ได้เห็นมานาน
ความคิดเห็น