ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจ้าชายไม่ได้ขี่ม้าขาวและมาจากดาวศุกร์

    ลำดับตอนที่ #2 : ( .....ให้รักบำบัดใจ )

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 191
      0
      30 ธ.ค. 50


     

    บทที่ 2 ( .....ให้รักบำบัดใจ )

                    หลังจากไปเดินเล่นและเข้าโรงยิมในสนามกีฬาให้เลือดสูบฉีดและหัวใจเต้นแรงมากขึ้นผมก็กลับมาที่ห้องพัก         

    แต่ต้องแปลกใจเมื่อไขกุญแจแล้วแต่ไม่สามารถเปิดเข้าไปได้    เพราะผมลืมไปว่าเพื่อนที่มาต่างจังหวัดมาอาศัยอยู่ด้วยเพื่อหางานได้ 2-3วันแล้ว    

    วันนี้ผมได้กลิ่นประหลาดบางอย่าง ผมเคาะประตูเป็นมารยาท 3 ก๊อกแล้วนานเป็นอึดใจก่อนจะเห็นหน้าเพื่อนยิ้มแหยเกาะขอบประตู

                    " พอดีน้องเค้า อยากมาเที่ยวด้วยนะ" เจ้าชู้ไม่เบาเหมือนกันนะเพื่อนผม  ผมมองเห็นน้องผู้หญิงหน้าหมวยๆ นั่งหวีผมอยู่บนเตียง เธอยกมือไหว้ผมแบบเด็กน่ารัก

                    "ตามสบายครับ" ผมทำหน้าที่อย่างนี้ได้ดีเสมอ             ผมขอตัวอาบน้ำและก็ทำอะไรเพลินๆไปซักพักก็ลืมการนัดกับใครบางคนไปเสียสนิท  

      ผมหยิบเศษเหรียญในลิ้นชักโต๊ะแล้ววิ่งเหยาะๆลงบันได ทำไงดีนะทบทวนในใจ

                     

    บรุษที่หนึ่ง   หรือว่า บุรุษที่สองดี

                    แน่หละผมมักทำอะไรอย่างไม่คาดฝันเสมอผมเลือกที่จะฟังเสียงแล้วหยั่งเชิงบุรุษอายุ29ปีก่อน ( บุรุษที่สอง)

                    ผม           .........สัญญาณติด.

                                     " พี่ยุทธเปล่าครับ .ผมคนที่คุยด้วยตอนบ่ายครับ"

                    พี่ยุทธ     " ครับ ว่าไงครับ…"  

                                     แน่ล่ะแค่เสียงแรกแม้จะฟังว่าเก๊กแล้วแต่ผมก็ให้คะแนนได้ในใจทันที

       ว้าไม่แมนเอาเสียเลย

                    ผม           "โทรมาตรวจสอบน่ะครับ      ไม่รู้เบอร์จริงหรือหลอก    กินข้าวยังครับนี่"

                    พี่ยุทธ     "ยังเลย          เรากินยังหละ มากินด้วยกันสิครับเดี๋ยวพี่เลี้ยง"

                        ผม       "ไม่เป็นไรครับวันนี้ผมไม่ค่อยว่างนะครับ  จะอ่านหนังสือ 

                                    ใกล้สอบแล้วกลัวไม่ผ่าน"ผมพยามแสดงว่าเป็นเด็กเรียนให้พี่เขาสนใจ

                    พี่ยุทธ     "ครับ....พรุ่งนี้ไปเที่ยวไหนเปล่า"

                    ผม           "พรุ่งนี้ต้องย้ายห้องครับ ไปอยู่กับญาติ    ที่นี้ผมคงอดเที่ยวนานแน่   

                                    เอ่อ....... ... พี่ครับ..........เหรียญหมดแล้วไงผมโทรมาใหม่นะครับ"

                                    ผมรีบตัดบทและวางสายไป    และให้คะแนนได้ทันที 6 เต็ม 10 ไม่ผ่าน       ทำไงได้ตอนนี้ผมไม่ได้อยากมีพี่สาวนี่น่า

                    ตัวเลือกสุดท้ายบุรุษ 33 ปี จะหมู่หรือจ่านะ        พ่อเงาะป่า ผมมองนาฬิกาที่ข้อมือขวา 20.15 นาที  ท้องร้องแล้วสิ แถมวันนี้เพื่อนพาแฟนมาด้วยน่าจะบอกกันให้เตรียมตัวก่อน  เล่นมัดมืออย่างงี้ผมไม่ชอบนอนรวมกับใครเยนอะๆด้วยสิ

                    ผม                           "..........ครับ พี่พงศ์เปล่าครับ"

                    บุรุษ33ปี (พงศ์)   " ครับ .......... ใครครับนี่"

                    ผม                           "ผม        คนที่นัดพี่ไว้ที่สะพานพุทธนะครับ"

                    บุรุษ33ปี (พงศ์)   "ครับ..ว่าไงครับ"

                    ผม                           "ผมไปไม่ได้นะครับ              วันนี้"

                    บุรุษ33ปี (พงศ์)   "อ้าว...........เหรอครับ..แต่พี่รอเราอยู่นะครับตอนนี้"

    ผม                           รู้สึกผิดนิดหน่อย    แต่มันก็แค่คนพึ่งรู้จักกันไม่ถึง5 ชม คงไม่เป็นอะไรมากนัก    ที่จะผิดนัดแต่อีกใจหนึ่งก็ ไม่อยากนอนกับคนเยอะๆไปเดินเล่นก็ดี

                                                    "งั้นรอหน่อยนะครับ อีก ชั่วโมงกว่าๆพี่รอไหวไหม"

                    บุรุษ33ปี (พงศ์)   "ครับ……….พี่นั่งรอที่........นะ"

                                    เป็นสถานที่คุ้นเคย         ผมหลับตาก็คิดภาพออกเดินจากปากคลองตลาดไปอีกอึดใจ  ก็เจอลานกว้างลานพระบรมรูป ผมคิดในใจทำไมเสียงเด็กจังเลยนะ       แถมผมรู้สึกเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนมันฟังคุ้นหูและอบอุ่นเป็นอย่างมาก

    (หรือผมคิดเข้าข้างตัวเองมากไปหรือเปล่า)

    .....................................................

    ผมนั่งอยู่เบาะเกือบสุดท้ายคนบนรถเมล์ปรับอากาศ         คนไม่เยอะมากเสียเท่าไหร่ ทำให้ผมได้นั่งสบายเพียงคนเดียวและปล่อยใจให้รู้สึกไปกับผู้คนและรถที่ผ่านสายตาไปมา   

    แสงไฟยามค่ำคืนดูน่าตื่นเต้นและเร้าใจผมทุกครั้งเวลาผ่านตา  อาจเพราะผมอยู่ต่างจังหวัดและเหมือนนักศึกษาบ้านไกลที่ไม่ค่อยเจอแสงสีของเมืองใหญ่     ถึงแม้ผมจะมาอยู่ที่เมืองหลวงเข้าปีที่4 แล้ว      แต่ผมพึ่งรู้สึกตัวเองว่ารู้จักแสงสีและเมืองใหญ่เมืองนี้แค่เสี้ยวเดียว  ยังมีหลายมุมมองที่ผมไม่เคยเห็นและไม่เคยสัมผัส

    ผมยืนยันว่าผมไม่ได้หลงแสงสีค่ำคืนแบบนักเที่ยวราตรีที่หลงของมึนเมาหรือจังหวะหนักๆของเพลงในผับหรือสถานที่ราตรีที่เหล่าผู้นิยมความล้ำสมัยเที่ยวกัน   แต่ในมุมมองของผม  ภาพผู้คนที่ทำมาหากินยามค่ำคืนต่างหาก ที่ทำให้ผมตื่นตาตื่นใจเสมอ

                      แอร์บนรถโดยสารชื้นน่าดู     จนผมรู้สึกหนาวขึ้นมา วันนี้ผมแต่งตัวสบายๆกางเกงยีนส์ตัดเป็นขาสั้น เสื้อยืดสีขาว กับรองเท้าแตะ      ทั้งที่ทุกครั้งการนัดบอดอย่างงี้ผมจะไม่ค่อยพลาดในการแต่งตัวให้ดูดี   อาจเพราะผมรู้สึกเซ็งกับนัดบอดที่ผ่านมาของผมที่นับเป็น 20 กว่าครั้งก็ได้

         ผิดหวังบ้าง        แอบขอตัวกลับก่อนบ้างหรือหนักๆเลยก็แอบเดินหายไปเลยทั้งที่ยังไม่ทัก แค่ไปแอบยืนดูหน้า    ผมก็ใจฝ่อเสียแล้วพฤติกรรมขี้ขลาดอย่างนี้        เกิดกับผมบ่อยเสียที่เดียวและก็หลายครั้งที่อกผมเดาะเนื่องจากก็มีคนหักหลังผมอย่างนี้เช่นกัน

     ทำไงได้เมื่อรูปลักษณ์และหน้าตาเป็นเหมือนด้านแรกของเราที่มองกัน ทั้งที่จริงแล้วในโลกปัจจุบันกว่าที่จะรู้จักใครสักคนต้องเรียนรู้และอาศัยเวลาทั้งนั้น              แต่ การที่เราต่างหันแต่ด้านเดียวคุยกันในพื้นที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ต่างคนก็เสนอด้านดีของตนให้คู่สนทนารับทราบเท่านั้น

     คนบ้านไกลเมืองอย่างผมบางครั้งก็ดูซื่อเซ่อและมอมแมมเกินกว่าใครบางคนจะรักได้หรือหน้าตาไทยแท้ บางครั้งมันก็ทำให้ใครต่อใครไม่ชอบก็มีเยอะ บางทีผมก็ยอมรับว่า มีการโม้และคุยโอ้อวดสรรพคุณตนเองมากเกินจริงไปก็แยะ

    สมควรแก่การถูก เอาคืนแล้วล่ะ

    …………………………………….

                    ผมขำให้ความคิดเพี้ยนๆของตนเองที่ชอบทำอะไรแปลกๆปนความพิลึก จำความขี้แยของตนเอง ตอนเด็กได้ดี

    ไม่ว่าการฝันร้ายเห็นจระเข้ยักษ์แล้วร้องงอแงขอนอนกับแม่หรือกระทั้งการร้องไห้หน้า เล้าหมูตอนที่แม่จะขาย และยืนกรานที่จะไม่ให้ขาย    จนต้องโดนพี่ชายหลอกว่าจะพาไปเที่ยวและซื้อของเล่นให้         ถึงยอมเดินออกหน้าเล้าหมูและไปเอาของเล่น      พอกลับมาอีกทีหมูก็โดนขายไปเสียแล้ว ทำให้ประชดแม่ด้วยการอดข้าวและไม่ยอมดูทีวี นั่งคิดอะไรต่างๆอีกมากมายจน

     "เฮ้ย คิดถึงบ้านจัง"     

     เรามาทำอะไรที่เมืองกรุงนะ อดมื้อกินมื้อ การเรียนก็ไต่ระดับคาบเส้นแดงขึ้นมาหน่อย            บางวิชาก็ซ่อมแล้วซ่อมอีก ทั้งที่อยู่บ้านก็เรียนดีมาตลอดแต่พอเจอสิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตทำให้ต้องเรียนรู้คู่ไปกับบทเรียนใจผมมันกับฝักใฝ่ที่จะเรียนรู้นอกตำรามากว่าบทเรียนในมหาวิทยาลัย           ชีวิตที่เคยมีกรอบของผมพอออกมาอยู่ด้วยตัวเองกรอบที่กว้างมากขึ้น มากที่จนตัวผมเองก็มองแทบไม่เห็น    

    บางครั้งก็เหนื่อยกับการกระทำของตน  พลอยให้ต้องมานั่งซึมและก็เสียใจกับสิ่งที่ทำไป 

    จากการคำนวณระยะทางและดูการจราจรบนถนนคืนนี้แล้วรถไม่ติดมากวิ่งได้คล่องตัว        ผมคงจะไปสายกว่านัดประมาณครึ่งชั่วโมง  คิดแล้วก็รู้สึกไม่ดีที่ต้องให้ใครสักคนมานั่งรอเรา              นักศึกษาที่มองไม่เห็นอนาคตเสียเท่าไหร่

     บางทีผมก็ไม่รู้ว่ามีค่าพอที่จะให้ใครมาสนใจมารักหรือไม่        แต่สำหรับผมเองแล้วกับต้องการใครสักคนเหลือเกินไม่รู้ว่ากลัวความเปลี่ยวเหงาหรือไง 

                    รถวิ่งผ่านมาได้สักระยะผู้คนบนรถเริ่มมากขึ้นและผมก็ได้กลิ่นน้ำหอมเข้าจมูกผสมกับกลิ่นครีมทาผิวหรือไม่ก็อะไรบางอย่างที่อยู่บนศีรษะชายคนที่ทิ้งตัวนั่งข้างผม     เขาดูอายุมากกว่าผมนิดหน่อยแต่ดูจากการแต่ตัวและท่าทางแล้วดูดีที่เทียว  

    เขาหันหน้าเข้ามาด้านกระจกไม่รู้ว่าดูทางหรือดูผม     แต่ที่แน่ๆผมมองหน้าเขาจากเงาของกระจกที่ผมนั่งชิดอยู่    ถึงไม่ชัดเสียเท่าไหร่แต่ก็รู้ได้ว่าเป็นคนน่าตาดีไม่หยอก    ผมนั่งตัวชิดกับกระจกให้มากเพราะไม่อยากให้ส่วนใดของร่างกายไปสัมผัสกับชายคนนั้น

     อาจเพราะผมคิดมากไปเองทั้งที่ผมก็จ้องมองออกไปที่ด้านนอกมองผ่านกระจกไปและยังคงทำตัวอย่างนั้นตลอดทาง     แต่กับรู้สึกว่ากลิ่นของร่างกายเขาเข้ามาใกล้ทุกทีพร้อมทั้งเข่าข้างขวาของเขาก็มาเสียดสีขาผมตลอดทาง 

    ใจผมเต้นและเหงื่อก็เริ่มออกนี่ถ้าผมใส่ขายาวมาก็จะดีกว่านี้ คิดผิดเสียแล้วเราผมใช้มือดึงกางเกงที่เลยขึ้นเหนือเข่าลงและหันหน้าไปมองเขา เขามองผมแวบหนึ่งก่อนที่จะหลบสายตาทำเหมือนไม่ได้เกิดอะไรขึ้น

    ผมหันไปมอง  ........... อืม.......หน้าตาเขาดีอย่างที่ผมคิดจริงๆ ผมรู้สึกแย่นิดหน่อย ยอมรับเหมือนกันว่าก็เคยทำอย่างนี้มาก่อนไอ้เรื่องหาทางจับนิดจับหน่อยใคร สมัยก่อนผมก็ทำบ่อยแต่พอมาถูกกับตัวเองกับรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเลย

      คิดขำๆในใจถ้าทำอีกครั้งผมจะแกล้งหอมเข้าให้ ผมอมยิ้มให้กับตัวเองและเกือบเผลอหัวเราะออกมา ดูท่าเข้าจะมองว่าเป็นไอ้ต๊องเสียแล้ว 

    ผมเอามือเคาะที่เข่าข้างซ้ายตนเองและยักคิ้วให้หนึ่งที่ก่อนจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หันหน้ามองไปดูผู้คนนอกรถเหมือนเคยแน่ล่ะเหมือนว่าเขาเริ่มจะกลัวผมเข้าให้แล้ว

    ..................................................

                    ผู้คนเริ่มลงจากรถเกือบหมด        ป้ายหน้าก็ป้ายสุดท้าย ก็ถึงเวลาที่ผมก็ต้องก้าวลงจากรถคันนี้เช่นกัน

                     "หมดระยะทางแล้วค่ะ"

     ผมดึงกางเกงที่ชอบรั้งขึ้นเหนือเข่าก่อนจะลุกขึ้นและก้าวลงไปจากรถ อากาศข้างนอกวันนี้ ดูท่าจะไม่เป็นมิตรกับผมเสียแล้วเพราะค่อนข้างจะอบอ้าวแต่โชคดีที่บริเวณนี้โล่งกว้างไม่ค่อยมีตึกสูงจึงพอจะมีลมผ่านปะทะร่างกายพอให้สบายตัวและไม่เหนียวตัวเสียเท่าไหร่

    ผู้คนแถวปากคลองตลาดน้อยคนนักที่จะปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ค่า แต่ละคนมีวิถีชีวิตและการดำรงชีวิตที่ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก เดิน-พูดคุย ต่อรองราคาแล้วก็ส่งของ       

    สีสันชีวิตที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน ผมเลือกที่จะเดินดูดอกไม้ที่วางอยู่ทางเท้าไปเรื่อย    ขาก็สั่งให้รีบเดินไปที่นัดกับใครคนหนึ่งไว้แต่พอมองตัวเองที่แต่งตัวมาอย่างนี้แล้วก็รู้สึกขาดความมั่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

                     เดินผ่านหมู่ดอกไม้ที่วางอยู่ริมทางได้สักพักก็เจอลานกว้างที่นัดเจอกับใครคนหนึ่ง กลุ่มเด็กวิ่งเล่นไปมา กลิ่นเหม็นของขยะที่วางไม่เป็นที่ตลอดจนกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆวิ่งเข้าชนจมูกผมจนต้องรีบสาวเท้ายาวๆให้ไปถึงจุดนัดพบเร็วที่สุด

    ผมมองไปที่นัดผม เบื้องหน้ากลุ่มเด็กวัยรุ่น กำลังเล่น สเกตบอร์ด อยู่ประมาณ4-5คน  ดูแต่ละคนมีความสุข คิดถึงวัยที่ผมเป็นวัยรุ่น 16-17 ปี ผมก็มีความสุขนะแต่มันช่างไม่เหมือนกับเด็กในเมืองหลวง

    .............เปล่าผมไม่ได้อิจฉาพวกเขาผมค้านในใจเพียงแต่ผม ไม่ค่อยมีความสนุกอย่างพวกเขามีมากกว่าการที่ได้ใช้ชีวิตช่วงหนึ่งของวัยรุ่นได้เต็มที่

                    ผมมองหาเป้าหมาย เขาเป็นใครสักคนที่ผมนัดไว้     แล้วเขาเป็นใคร   รูปถ่ายที่ส่งมาให้ในเมล์มันไม่ได้ทำให้หาใครสักคนได้ง่ายขนาดนั้น               โดยเฉพาะสถานที่ลานกว้างๆและตอนกลางคืนอย่างนี้    

    ผมมองเห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าพุ่มไม้  ห่างผมไปไม่ไกล  หรือจะเป็นเขาชายร่างสูงผมสั้นเกรียนเสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนส์ ในมือเขาถือดอกไม้คิดว่าน่าจะเป็นกุหลาบสีแดงเนื่องจากมองจากมุมนี้ไฟไม่สว่างมากพอ  

    ไม่ใช่มั้งดูสูงกว่าที่บอกมาและก็ อืมไม่รู้สิผมอธิบายยาก คล้ายๆกับเขารอใครสักคนที่รู้จักมากกว่า    ผมเดินห่างจากเขาไป และไปหยุดรอตรงกึ่งกลางลานกว้างนั้น หันซ้าย-ขวา และบิดขี้เกียจสองที แก้เก้อ    

       ..............แล้วผมก็เจอเขาคนที่คิดว่าใช่ ชายคนนั้น นั่งอยู่ข้างหน้าผมเป็นแน่ เขานั่งอยู่ชั้นบนสุดของบันไดทางขึ้น ระยะทางระหว่างเราห่างกันพอสมควร จากจุดที่ผมยืนมันไกลมากทีเดียวแต่ถ้าสังเกตให้ดีจากทุกสิ่งรอบตัวผม            ตอนนี้เขาเป็นคนเดียวที่หยุดนิ่งและรอใครสักคนอยู่ คนที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร  ------เขาคือเป้าหมายของผม

    ………………………………….

                                    แทนที่ผมจะเดินตรงไปหาเขา      ผมกับ เดินและทำเป็นเลี่ยงเขาไปทางด้านข้างและหายไปทางด้านหลังลงไปสะพาน เสียงผู้คนและร้านค้าที่ขายของ     ดังเข้ามาในหูอีกครั้ง 

         แค่เดินผ่านไปผมสัมผัสได้ถึงสายตาของเขาที่มองมาที่ผม   เป็นตัวผมเองที่ประหม่าไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้                ใจผมร้อนวูบวาบมันสั่นและตื่นเต้นและมีอีกหลายๆความรู้สึก ผมกลัวการเผชิญหน้า ผมรวบรวมความกล้าและหันหลังเดินกลับไปที่นั่นอีกครั้ง

                    ชายคนนั้นยังนั่งอยู่ที่เดิม ภาพที่ผมเห็นตรงหน้านั้น ก็คือชายหนุ่มหุ่นรูปร่างสูงเพรียวใส่เสื้อยืดสีฟ้าอ่อนเข้ารูปผมรองทรงสั้น ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ    ทั้งที่ความจริงอาจจะไม่ใช้เขา หรืออาจใช่     แต่หากผมเดินไปทักแล้วเขาทำเป็นไม่รู้ไม่สนใจล่ะ ผมจะเป็นยังไงทำไงได้

    แต่หากไม่กล้าก็ไม่รู้

                     " รอใครอยู่ หรือเปล่าครับ ..." ผมยิงคำถามออกไป         รู้สึกเสียงตัวเองมันสั่นๆเสียจนขาดความมั่นใจยังไงไม่รู้

                    " .............................."  เขาอมยิ้ม รอยยิ้มนั้นกว้างจนมองเห็นเขี้ยวด้านใน  ถึงแม้แสงไฟจะไม่สว่างมากนัก แต่ผมยืนยันได้ว่าเขาคือชายที่ส่งรูปมาให้ผมดูแต่ดู        

         เหมือนรูปนั้นจะแตกต่างจากตัวจริงที่ผมเห็นเบื้องหน้านี้ ตัวผมเองต่างหากที่รู้สึกว่าด้อยค่าไปเหมือนเด็กที่ยังไม่โต วางตัวไม่ถูก ผมมองเล็บเท้าดำๆของตัวเองแล้วรู้สึกอยากวิ่งกลับห้องไปนั่งทำความสะอาดเสียใหม่และอาบน้ำโกนหนวดเคราให้ดูสะอาดมากกว่าที่เป็นอยู่

                    " พี่รอตั้งนานครับ .........ทำไมเดินหนีไป....................เมื้อกี้"

                    รู้ทันผมอย่างนี้ ก็เขินสิครับ ผมแก้เก้อด้วยการเกาหัว ยิ่งทำให้ดูเหมือนไอ้หนุ่มตัวเหม็น  ไม่สระผมหรือไม่ก็เป็นรังแคมากว่าอาการดูเท่

                     " เขิน นะครับ ........."

                    ผมนั่งห่างจากพี่เขาประมาณ 1 ไม้บรรทัดได้ กลิ่นน้ำหอมอ่อนที่โชยมาตามลมทำให้ผมรู้สึกดีเป็นพิเศษ

    ผมยอมรับว่ามันไม่กี่ครั้งนักหรอกที่ผมจะรู้สึกดีๆกับใครมันเหมือนผมอ่านหนังสือสักเรื่องหนึ่งแล้วจินตนาการไปตามที่ใจตัวเองคิด  อาจไม่ตรงตามที่ผู้เขียนพรรณนาไว้

    แต่ผมเชื่อว่าฝันของผมที่สร้างขึ้นมานั้นได้ตอบสนองความรู้สึกของผมได้ดีแล้ว     ข้อความที่ผมสื่อไปก่อนหน้านี้ทางอินเตอร์เนทกับชายคนนี้ เป็นสิ่งดีๆที่ผมคิดไว้ถูกเปลี่ยนเป็นด้วยภาพจริงที่ผมสัมผัสได้อยู่ตรงนี้

                                   

    ผมจะทำยังไงที่จะทำให้คู่สนทนามองไม่ออกว่าผมเริ่มที่จะมีใจให้เขา          ลมพัดมาที่ตัวผมยิ่งทำให้รู้สึกสดชื่นมากขึ้น          อาการประหม่าเริ่มหายไปทีละน้อย     กล้าพูดและมองหน้าเขามากกว่าเดิม

    แล้วมันจะเป็นยังไงต่อไป ผมถามตัวเองแล้วก็ครุ่นคิดในใจถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป               

                    จินตนาการเป็นภาพจากความรู้สึกข้างใน ผมคงไม่อยากนั่งคิดฝันหวานเพียงคนเดียว ถ้ามีเขาคนที่นั่งข้างผมมาช่วยต่อเติมความคิดนั้นมันคงสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

    หากผมกล้าหาญมากกว่านี้คงจะกล้าพอที่จะถามคู่สนทนาว่า รู้สึกยังไงกับผม อยากจะเดินหนีไป หรือชอบผมหรือไม่ มันออกจะตั้งความหวังไว้สูงทีเดียวเพราะหลายครั้งที่ผมนัดเจอใครสักคนหลังจากทานข้าวดูหนัง เดินพูดเรื่องต่างๆสักพัก แล้วก็จากกันไป ไม่แม้มีเสียงโทรศัพท์หรือข้อความติดต่อกลับมาทั้งที่ก่อนเจอกัน ทั้งที่เคยเพียรส่งเมล์ โทรศัพท์หาเป็นอาทิตย์ พูดโทรศัพท์เป็นชั่วโมงแต่เมื่อตัวจริงปรากฏ ไม่ผมหรือก็คู่เดทต่างหายจากกันไป 

                     อาจเพราะก่อนหน้านี้ต่างคนค่างรำพันถึงแต่ความดี ของตัวเองให้คู่สนทนาฟัง     แต่เมื่อเจอความจริงของข้อด้อยที่ไม่เคยคิดมาก่อน  วิมานบนฟ้าก็พังลงมาไม่เป็นท่า        

      เจ้าหญิงผู้รอคอยอยู่บนปราสาทจำเป็นต้องหลบหนีเจ้าชายผู้มาจากแดนไกลไปเอง ส่วนเจ้าชายหากไม่หนีไปตามแม่มด ก็คงควบม้าคู่ใจหายไปกับใครสักคนซึ่งอาจจะเป็นยามที่เฝ้าหน้าประตูวังก็เป็นได้        

     ผมเองที่เป็นเจ้าชายขี้ขลาดที่แค่มองเห็นประตูวัง    ซึ่งมีเหล่าสมุนของแม่มดที่ล้อมวังอยู่ใจก็ปอดๆแอบวิ่งหนีไป              

    เจ้าหญิงหลายต่อหลายองค์รอผมเก้อมาก็เยอะแล้ว จะเป็นอะไรอีกครั้งถ้าเจ้าหญิงและแม่มดจะร่วมมือกันสาบเจ้าชายอย่างผมให้ไม่เจอรักแท้กับเขาเลย       

                    ความกลัวของผมไม่ใช่แค่การมองไม่เห็นในความมืดเท่านั้นแต่มันรวมไปถึงการที่เรามองหน้าใครสักคนแล้วไม่อาจกระจ่างใจในความรู้สึกใดๆในใจเขาได้

                    บางทีหากผมเจอความจริงตั้งแต่แรกในการพูดคุยว่าชอบไม่ชอบแบบไหนผมอาจจะทำใจไม่ได้      จึงเป็นเหตุผลให้คู่สนทนาผ่านหน้าจอคอมต่างอ้างถึงข้อดีของตนเองเพื่อจะให้เป็นที่พอใจของอีกฝ่าย  ถึงคนไม่ใช้สินค้าที่ต้องอ้างสรรพคุณมากมายก็ตาม

    แต่ผมก็ยอมรับว่าผมทำอย่างนั้นเกือบทุกครั้งจนตัวผมเองก็เจ็บกับไปกับคำล่อลวงจอมปลอมของตัวเอง

                    หลายคืนที่ต้องนอนไม่หลับ    เพราะใครสักคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนเดินหนีและมองด้วยสายตาเหยียดหยาม   ไม่ให้เกรียติหรือแม้กระทั้งถูกตีค่าเรียกเข้าม่านรูดข้างทาง ที่หนักไปกว่านั้นก็ถูกละเมิดในโรงหนังก็มี จนบางครั้งรู้สึกว่าความใคร่มันอยู่เหนือความรักหรือตัวตนที่แท้จริงของตน

                    "พี่รู้สึกยังไงกับผมครับ"

    ผมเสี่ยงที่จะถามออกไป ดีกว่าที่จะเก็บความรู้สึกเป็นทุกข์ไปนอนก่ายหน้าผากที่ห้อง    เขานิ่งเงียบและดูครุ่นคิดนานกว่าปกติจนผมรู้สึกว่าใจที่มันเต้นอยู่ข้างในแทบจะกระโจนออกมา

                    "เมื่อไหร่จะตอบสักที"

    ผมเผลอบ่นออกมาจนพี่เขาอาจรับรู้ถึงความรู้สึกผมได้

                    "น่ารัก ..........ดีครับ"

                    ได้ยินเขาเต็มสองหูอย่างนี้ ผมก็เขินขึ้นมา   ใจที่มันพองโตและเต้นแรงอยู่แล้วยิ่งหึกเหิมใหญ่

                    ผมสบตาเขาและแอบสังเกตเห็นว่า เขามีดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ........ตาสวยจังผมรู้สึกว่าตัวเองจะละเมิดความเป็นส่วนตัวเขามากไปแล้ว

                    "มองจนจะละลายแล้วนะครับ"

                    ผมผิวปากแก้เขิน   ไม่รู้แก้เขินได้หรือไม่แต่ก็พอที่จะทำให้บรรยากาศรอบข้างไม่มีแค่การมองหน้าและสบตาส่งภาษารักกัน

                    คุณเคยตกหลุมรักใครเมื่อแรกพบไหมครับ          ตอนนี้ผมเจอกับตัวเองเข้าแล้ว แค่มองหน้าและเก็บความรู้สึกรอบตัวที่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่นาทีผมก็เข้าข้างตัวเองไปแล้วว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้มันเคยเกิดมาขึ้นกับผมมานานแล้ว    

    เหมือนว่าเราเคยรู้จักกันมาก่อนและเขาคือคนรักผมที่ตามหามานาน ความรู้สึกดีๆมันพรั่งพรูออกมา ในใจก็ไม่หวั่นว่าเขาจะเดินหายไปหรือไม่     เพราะถึงอย่างไรผมก็ตั้งใจว่า คนนี้จะต้องเป็นคู่ผมและจะทำให้โลกที่เคยเงียบเหงาของผมสว่างขึ้น       เพราะแค่มองหน้าผมก็รู้สึกว่ามีกำลังใจ อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก         

     ยิ่งได้ยินเสียงมันรู้สึกเหมือนเคยได้ฟังจากที่ใดที่หนึ่งมานานแสนนานเป็นเสียงที่คุ้นหูและให้พลังกับผมมากมาย หากผมไม่เข้าหากตัวเองและงมงายกับความรู้สึกตัวเองฝ่ายเดียว

                     ผมคิดว่าเขาก็มองผมด้วยความรู้สึกเดียวกันการเป็นที่รักของกันและกัน ตอนนี้ผมอยากเก็บความรู้สึกที่มีตอนนี้ไว้ให้มากที่สุดและหากคืนนี้จะยาวนานมากขึ้นผมก็ยอมที่อยู่กับเขาและเก็บเกี่ยวทุกความรู้สึกไว้ให้มากที่สุด

    ในความรู้สึกของผมตอนนี้มีเรื่องที่จะเล่าให้เขาฟังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว ความชอบ ทัศนะคติหรือแม้กระทั่งความชอบในการกินอาหารไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงอยากเร่งที่จะให้เขารู้จักตัวตนของผมผ่านคำพูดแทนที่จะค่อยๆให้เวลาได้เรียนรู้กันไป    ถึงจะเป็นสิ่งที่ยืนยันตัวตนได้ดีกว่า

    หรืออาจเป็นเพราะว่าผมกลัวว่าผมเองว่ามันจะต้องใช้เวลานานมากไป   ทั้งที่การที่เราจะตัดสินใจเลือกใครสักคนเป็นคู่ชีวิตมันคงต้องใช้เวลายาวนานแค่ไหนในการร่วมทั้งทุกข์และสุขไปด้วยกัน ดังนั้นภาวะที่ผมกำลังกดดันตัวเองอยู่นี้ไม่ใช่ทางออกที่ดี   

    แต่ตัวผมเองกับไม่คิดลดละเลิกที่จะทำมัน ในสายตาและความรู้สึกของผมแล้วเขาช่างดูอ่อนโยนและอบอุ่นในที     ผิดกับผมคนที่ดูมีความมั่นใจสูงแต่แอบแผงไปด้วยความหวาดกลัวและหวั่นไหว เราทั้งสองนั่งสนทนากันไปเรื่อยๆ แต่ส่วนมากจะเป็นการเล่าของผมเสียมากกว่า 

     เขาก็เป็นผู้ฟังที่ดีเรื่องราวต่างๆผมถ่ายถอดออกมาจากความรู้สึกข้างใน ไม่ได้เสริมเติมแต่งเหมือนข้อความที่เคยเคยพิมพ์ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์    เป็น ภาษาง่ายๆไม่ไม่มีการปั้นแต่งให้สวยงาม

                    "เขาบอกว่า อาทิตย์เป็นมิตรกับครู .........จริงไหมครับ" ผมหยิบยกคำพูดของคนโบราณมา        เพื่ออ้างเหตุผลให้ฟังขึ้นมากว่าเดิม สาเหตุมาจากผมเกิดวันพฤหัสบดีส่วนพี่เขาเกิดวันอาทิตย์

                    "พี่คงจะเจอเนื้อคู่.........แล้วมั้ง"เขาตอบแล้วก็อมยิ้มจนเห็นว่ามีลักยิ้มที่แก้มขวาแล้วพูดต่อ

                    "เนื้อคู่หาเจอได้ไง .........บอกวิธีบ้างสิพี่ก็อยากเจอเหมือนกัน" เขายิ้มที่มุมปากภาพนั้นเหมือนใครสักคนที่ผมไม่ได้เห็นมานาน

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×