ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจ้าชายไม่ได้ขี่ม้าขาวและมาจากดาวศุกร์

    ลำดับตอนที่ #3 : ศุกร์ที่ 13

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 181
      0
      30 ธ.ค. 50

    บทที่ 3 ศุกร์ที่ 13

                    ศุกร์ที่13 ของเดือนอย่างนี้ไม่มีอิทธิพลพอที่จะหยุดผู้คนไม่ให้มาเดินจับจ่ายที่ปากคลองตลาดลดน้อยลงไปได้และ ดูเหมือนว่าตำนานเจสันจะไร้มนต์คลังสำหรับดินแดนแห่งนี้เสียแล้ว

    ผมลุกขึ้นยืนสูดอากาศหายใจ ทั้งเขาและผมต่างมองดูกันและกัน เขาดูสูงและเพรียวกว่าผมมาก เมื่อยืนขึ้นเสื้อที่พี่เขาสวมอยู่นั้นมันดูเล็กออกจะพอดีตัวเกินไปแต่ก็ไม่ฟิตมากจนดูเหมือนคนเพศที่สามชอบสวมใส่  เพราะสำหรับผมแล้ว เสื้อยืดมันรัดรูป   ผมไม่ชอบที่จะใส่เสียเท่าไหร่

    ไม่ใช่เพราะขาดความมั่นใจในหุ่นและแผงหน้าอกของตัวเอง  แต่ผมเกรงว่ามันจะส่อแววบ่งบอกสถานะมากจนเกินไป        และผมก็ไม่อยากจะเป็นเป้าสายตาของใครต่อใคร อีกทั้งผมก็ไม่ใช่พวกบ้าพลังที่ชอบอวดกล้ามปูอย่างที่ใครหลายคนชอบทำ

                     แปลกที่พี่เข้าอายุก็ไม่ใช่น้อยแต่ยังดูเหมือนเด็กกว่าผมหากเดินไปด้วยกันบางคนอาจจะทักว่าผมเป็นพี่ก็คงไม่แปลก   คนหน้าแก่อย่างผมนี่เสียเปรียบก็อย่างนี้

                    ผมปรับระดับการเดินให้ทันพี่เขามาก  ผมเป็นคนเดินเร็วหากปล่อยให้เดินข้างหลังพี่เขาก็ได้แต่เหยียบส้นรองเท้าพี่เขาไปเป็นระยะ

     แต่พอเดินข้างกันได้ระดับเสมอแล้ว     กับมีเสียงกระทบกันของนาฬิกาแทน    เนื่องจากผมใส่ไว้ที่ข้อมือขวาส่วนของพี่เขาใส่ไว้ที่ข้อมือซ้ายและนั่นก็เป็นสัญญาณบอกว่าทั้งผมและพี่เขาเดินเป็นระดับเดียวกันและอาจจะมองได้อีกแง่หนึ่งว่าเราเดินใกล้กันจนตัวติดกันมากไปแล้วก็ได้

                    คงมีสายตาหลายคู่ที่อิจฉาเราสองคนเป็นแน่ในส่วนตัวแล้วผมก็ไมอยากให้เป็นอย่างนั้น     ไม่ได้อยากให้สังคมมองเราด้วยความรู้สึกพิเศษ อยากให้เขาเข้าใจมากกว่า   

     เพราะผมก็ไม่ได้ทำอะไรเกินเลยและในส่วนลึกแล้วผมก็ยอมรับกฎกติกาของสังคมว่าสิ่งไหนควรทำหรือไม่ควรทำ            

                    แต่คืนนี้ผมมีความสุขจริงๆจนมันล้นออกมาจากความรู้สึกที่อยู่ข้างใน ผ่านออกมาทางสีหน้าท่าทางและการแสดงออก

     โลกสีชมพูวันนี้ผมเข้าใจในความรู้สึกนี้แล้ว  ความรักย่อมมีสองด้านเสมอ      แต่วันนี้เวลานี้ผมได้รับความรู้สึกที่ดีกับความรักความอิ่มเอมใจถึงแม้มันพึ่งจะเริ่มก่อร้างสร้างตัวขึ้น  

    แต่ต้นรักต้นนี้ผมจะบำรุงรักษาให้เติบโตและให้ยืนต้นด้วยรากที่แข็งแรงพอที่จะปกคลุมให้ร่มเงาบังแดดฝนเมื่อเวลาที่ผมเหนื่อยล้าและอยากเอนกายผักผ่อนใต้กิ่งก้านของมัน

    ถึงการรักใครสักคนเพื่อทำให้ตัวเองมีกำลังใจและกล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับโลกใบนี้ต่อไปจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ผมก็ยอมรับว่าคนที่ผมจะเลือกรักนี้เป็นเพศเดียวกันอาจทำให้สังคมไม่ยอมรับได้   ถึงแม้ความรักของผมไม่ได้มองแค่เรื่องแค่เรื่องบนเตียงเป็นหลักก็ตาม หากจะให้ผมอธิบายก็เหตุผลง่ายๆว่าเมื่อผมพบกับผู้ชายน่ารักสักคนผมรู้สึกอยากดูแลเขามากกว่าผู้หญิงเสียอีก    

    อาจเพราะสมัยเด็กที่บ้านถูกเลี้ยงด้วยผู้หญิง และก็มีแต่เพื่อนผู้หญิง พี่สาว ซึ่งผู้หญิงแต่ละคนที่อยู่รอบตัวผมล้วนเป็นคนเก่งและยืนด้วยลำแข้งตัวเองทั้งนั้น

    ....................................................

                   

    ความรักอยู่ที่ใด ผมเคยถามตัวเองเวลาที่ซุกตัวใต้ผ้าห่มตัวเองในห้องเช่าแคบๆของชั้นที่สูงสุดในอาคารที่เงียบเหงายามค่ำคืน 

    ผมปล่อยให้ห้องนั้นไร้แสง ไร้เสียงแล้วก็นอนรอคอยอะไรสักอย่าง  ในความคิด ทำไม ? เราต้องรอคอยหรือเฝ้าคอยความรักแน่ล่ะ 

     มีหลายคนบอกและผมก็เคยได้ยินมาว่าความรักอยู่รอบตัวเรา    ซึ่งถ่ายทอดมาจากคน สิ่งของ จนไปถึงบางสิ่งที่ไม่อาจสัมผัสได้ แต่ผมก็ค้านในใจว่า ความรักก็คงไม่ได้อยู่รอบตัวผมในห้องเช่าห้องนี้ และเมืองใหญ่เมืองนี้แน่ หาใช่ว่าผมเป็นคนอ่อนแอในจิตใจ  หรือผมเป็นคนไม่มีความอดทน   แต่เป็นเพราะผมอาจขายตัว       ขายวิญญาณไปให้กับเมืองหลวงแล้วก็ได้ ผมหมายถึงว่า ความมีชีวิตชีวาความสดใสมันหายไปกับความสับสนวุ่นวายของเมืองหลวง  

     ผมคงต้องบังอาจโทษเมืองหลวงในแง่ที่ทำให้วิถีชีวิตและค่านิยมของตนเองเปลี่ยนไปหรืออาจจะมองอีกแง่หนึ่ง   ความนำสมัยความเจริญทางวัตถุนิยมได้ครอบงำผมไปแล้วและผมก็พ่ายแพ้ให้กับสิ่งเหล่านั้นอย่างราบคาบ       

    ................................................................

                    ผู้ชายที่เดินเคียงข้างไปด้วยกัน  มีรอยยิ้มและเสียงที่พูดคุยออกมาเป็นระยะทำให้ผมประทับใจตลอดเวลา  เราโหยหาความรักขนาดนั้นหรือ  จำเป็นต้องทำใจให้ชอบสิ่งที่เป็นตัวตนของเขาหรือไม่

     เปล่าเลยผมรู้สึกและหลงใหลเขาต่างหาก เป็นความรักหรือไม่หรือแค่อาการโหยหาใครสักคน แล้วเขาล่ะคิดกับผมอย่างไรถึงได้ดูยิ้มแย้มและมีความสุขขนาดนั้น เป็นการแสร้งอย่างไรหากแค่เจ้าชู้ไก่แจ้ไปเรื่อย  แต่พอสบตามองหน้าชัดๆหัวใจผมกับหวั่นไหว   

         เขาดูอ่อนเยาว์และหล่อเหลาจนใจผมแทบละลายคงไม่เป็นการดีแน่ถ้าผมจะมองคนแค่ภายนอก ความน่าตาดีกินได้เหรอ รูปกายภายนอกปรุงแต่งกันได้    แต่จิตใจน่ะสิอยากแท้หยั่งถึง

     แต่ผมก็ยืนยันว่าหน้าตาเขาก็เป็นสิ่งแรกที่ผมเลือกจะมองก่อนที่พิจารณานิสัยเขาจะให้ทำอย่างไรได้ในเมื่อเราพึ่งรู้จักกันและเราก็เลือกที่จะชอบและไม่ชอบแค่รูปร่างหน้าตา ก่อนที่จะผูกผันเรียนรู้กัน

    ...................................................

                   

    ท้องผมเริ่มหิวและกลิ่นอาหารโต้รุ่งแถวทางเดินทำให้ผมปั่นป่วนเอาการ   การเดินและความรีบเร่งมาให้ทันนัด   ทำให้ผมงดอาหารเย็นแบบเต็มอิ่มไป    เงินในกระเป๋าก็น้อยนิดอยากหายตัวไปร้านสะดวกซื้อสักประเดี๋ยวขนมปังสักก้อนคงทำให้ผมอุ่นท้องได้

      ผมบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนจะก้าวเท้าเดินทางต่อ  ดอกไม้ที่วางขายริมฟุตบาทเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้ผมหายหิวได้ ถึงความสดใสและหลากสีจะทำให้สบายใจก็จริง

                    "กินข้าวกันนะ ..........."

     เหมือนเขารู้ทันเรียกผมนั่งที่ร้านอาหารตามสั่งที่อยู่หัวมุมปากคลองตลาด 

    ผมไม่ได้ขัดขืนและเขาก็เลือกมุมที่ดีในการนั่ง         เขาดูมีรสนิยมทีเดียว เราไม่ได้นั่งด้านเดียวกันแต่นั่งเผชิญหน้า กันแสงของเสาไฟและร้านค้าในแถวนี้สว่างกว่าทุกทีที่เดินผ่านมา

     ผมคิดว่าหน้าผมคงจะมีสิ่งแปลกปลอมเกิดขึ้น   หรือไม่เขาคงเดาใจผมออกแล้ว   ผมเก็บความรู้สึกไม่เก่งด้วยท่าทางคงฟ้องแล้วสิ

     ผมยื่นขาออกไปทำให้ปลายเท้าไปชนเอาเท้าพี่เขายิ่งทำให้รู้สึกแปลกชอบกลหวังว่าคงไม่คิดไปไกลว่าให้ท่านะ    คิดได้อย่างนั้นก็รีบเก็บเข้าที

                    "ต้มยำทะเลนะ เอาเฉพาะกุ้ง ปลาหมึก รสจัดหน่อย"

     เขาสั่งแล้วหันมามองผมเป็นเชิงบอกว่าสั่งบาง

                    "ไข่เจียวหมูสับ ใส่ผักด้วย......" สายตาผมหันไปมองคนทำอาหารหญิงวัยกลางคนเป็นแม่ครัว   กลิ่นอาหารโชยมา อืม คิดว่าน่าจะเป็นผัดพริกแกงไก่ไม่น่าจะผิดจากนั้นผม 

          คุ้นเคยกับกลิ่นอาหารและวิธีการทำเหล่านี้ได้ดี   คิดได้อย่างนี้ก็อมยิ้มในใจ   ไม่ได้กินข้าวกับคนอื่นนานมาแค่ไหนแล้วนะตั้งแต่เพื่อนรักผมจากไป  

    ...........................................

                   

    พอคิดได้ภาพเหล่านั้นก็วนเวียนกับมา เพื่อนสนิท  ผู้ชายที่ผมไม่เคยคิดว่าจะตกหลุมรักไปได้ คนตัวสูงรูปร่างบึกบึน ผมยาวขัดกับบุคลิกที่เหมือนเด็ก   ผมยาวนั้นมีกลิ่นหอมของยาสระผมเมื่ออยู่ใกล้

      ตลอดระยะ4ปีตั้งแต่รู้จักกันเราก็กินข้าวด้วยกันมาเกือบตลอดกลุ่มเล็กบ้าง กลุ่มใหญ่บ้างหรือแม้กระทั่ง2ต่อ2 

                      หลายวันที่ผ่านมาไม่มีเขากินด้วย          ผมก็ไม่ได้แย่มากนักแต่ก็อดที่จะโหยหาไม่ได้     เขาจะรู้สึกเหมือนกันไหม

    หลายครั้งเพราะความเป็นคนสนุกและชอบมีเพื่อนเยอะจนทำให้ผมผิดนัดเพื่อนสนิทร่างโย่งของผมบ่อย 

      ถึงแม้เขาจะเป็นคนโทรมานัดก่อนเสมอหรือไม่ผมก็ไปยืนรอหน้าห้องก่อนที่จะเดินออกมาจากหอไปกินข้าวกัน    เหมือนแฟนก็ไม่ใช่เพราะเราเป็นเพื่อนกันต่างหาก     อาจเพราะต่างบ้านที่มาและความเปล่าเปลี่ยว และทัศนะคติตรงกันทำให้เราเข้าใจตัวตนกันมากใกล้ชิดกันหากถ้าใครสักคนเปลี่ยนเพศเป็นเพศตรงข้ามได้   คงมีใครต่อใครหลายคนแอบจับคู่ให้เรา   สำหรับผมก็ไม่เคยรู้สึกอย่างนั้นกับใครมาก่อน   ผมหมายถึงความรักที่เกินเพื่อนนะครับ

                     ผมแค่รู้สึกดีๆที่อยู่ใกล้  คอยเอาใจใส่เหมือนเป็นพี่เป็นน้องแต่ก็อบอุ่นในความรู้สึกที่ถูกถ่ายทอดมา เหมือนอยู่กับครอบครัวหลายครั้งก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเราอาจเป็นคนพิเศษมากกว่าเพื่อนสนิทของเขาก็ได้  

                     ตลกดีที่วันนั้น--วันที่ผมหนุ่มเจ้าสำราญอย่างผม ........   เช้าไปกินข้าวกับรุ่นน้องต่างคณะ

     ตกบ่ายก็ไปดูหนังกับเพื่อนหญิงต่างมหาลัย พอเย็นหน่อยไปกินข้าวเย็นกับเพื่อนร่วมคณะ   เพราะเพื่อนหญิงผมคนนี้กำลังกลุ้มใจกับคนรัก

    อาจเพราะลืมนัดหรือคุยออกรสไปหน่อยทำให้ลืมนัดอีกแล้ว .............. ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมได้รู้จักความคิดของเพื่อนสนิทของผมคนนั้นมากขึ้น

       ร้านนมหน้ามหาวิทยาลัย   ผมสั่งสลัดและก็นมเย็นนั่งกินเล่น ด้วยภาษาท้องถิ่นคนบ้านเดียวกัน  ยิ่งคุยยิ่งออกรสเสียงดังขึ้นเรื่อยๆจนลืมไปว่ามีสายตาใครจ้องอยู่ข้างหลัง

                    " ปัง......."

    เสียงตบโต๊ะอาหารจากมือใหญ่ของชายหนุ่มคนนั้นวางที่โต๊ะอาหาร  ผมถึงกับตกใจและเพื่อนๆที่นั่งทานข้าวแถวนั้นก็มองมาที่ต้นเสียงทันที      

      ผมหน้าเสียเหมือนเด็กโดนครูดุและคาดโทษโดยไม้เรียว

                    "สบายใจจังเลยนะ.. หาตั้งนาน..ไม่กินก็น่าจะบอกเสียเวลาอ่านหนังสือ"  

        

    ถึงเสียงจะดังฟังชัดแต่กับสั่นๆและแฝงไปด้วยความน้อยใจ ผมได้แต่ยิ้มแหยเป็นเชิงขอโทษ ห้องอาหารเงียบได้ไม่เกินอึดใจ   แล้วก็กับมามีเสียงซุบซิบกันเช่นเดิม

      ผมมองหน้าเขาชัดผมยาวสีดำกับที่คาดผมพลาสติกสีฟ้าเล็กๆ เสื้อกล้ามนักบาสอย่างที่เขาชอบ และกางเกงขาสั้นสีดำตัดกับผิวขาวๆของเขายิ่งขับให้เห็นคนอ่อนที่ขึ้นตามต้นขาและแขน    ไอ้เบิ้ม .......ผมขำในใจวันนี้น่ารักจังนะ    บวกกับหน้าเง้างอนแล้วถ้าผมเป็นอีกเพศคงจะดีไม่น้อยมีชายหนุ่มน่ารักอย่างนี้มาตามกินข้าวแล้วหูผมก็ได้ยินเสียงโต๊ะข้างๆ................

                    "แฟนมึงมาตามกินข้าวเย็นแล้วว่ะ.."จากบรรยากาศธรรมดาผมเริ่มนึกถึงเรื่องผิดปกติ แล้วเพื่อนสนิทผมก็ทำกิริยาที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีก เขาแตะเก้าอี้พลาสติกที่วางขวางทาง     แล้วก็หุนหันออกจากร้านไป ผมถึงกับงงและปะติดปะต่อเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามา ไม่ถูกเราเป็นแค่เพื่อนกัน ผมยืนยันกับต้นเองอย่างนั้น

    จากวันนั้นเราเริ่มห่างกันและห่างกันมากยิ่งขึ้น        เมื่อมีสายตาหลายๆคู่จ้องมองเราอยู่ ผิดหรือที่เราเป็นเด็กหนุ่มแล้วจะรู้สึกดีๆต่อกัน เขาก็คงเข้าใจสถานการณ์ดี         ถึงได้สร้างกำแพงสูงและเลี่ยงที่จะไม่เจอผมจนวันที่ผมป่วยก่อนที่เขาจะเก็บของไปนั้น       คืนวันสุดท้ายที่เราได้มองหน้ากันและรอยยิ้มนั้นที่ทำให้ผมเก็บไว้ยามฝันตลอดมา   ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยได้คิดว่าผมจะชอบเขาเกินเพื่อน

                   

    "เอาไรอีกไหม..."เสียงนุ่มๆถามผม

                    "คิดไรอยู่นะ ......ความหลังเยอะนะเรา งั้นเอานี้แล้วกัน ผัดเผ็ดเม็ดมะม่วงแล้วกัน รสจัดๆจะได้ลืมความหลัง"

                    "ไม่เห็นเกี่ยวกันเลย"ผมแย้ง

                    "ยำรวมมิตรแล้วกัน"

                    "พอไหว ......ไม่ใส่ชิ้นส่วนไก่   นะครับโดยเฉพาะฝาเท้า"ผมหันไปบอกคนจดรายการอาหาร

                    "ผัดผักรวมมิตร ข้าวผัดกุ้งนะแล้วก็น้ำเปล่า ...แค่นี้"ชายที่นั่งตรงข้ามสั่งต่อ

                    "เยอะไปไหมพี่"

                    "หมดก็แล้วกันนานๆจะได้กินที"

                    อาหารทยอยมาตามที่ได้สั่งไป    รสชาติอร่อยดีที่เดียว       คงไม่ใช่เพราะหิวแค่นั้นเพราะผู้คนแถวนั้นก็เยอะและทยอยเข้าออกร้านพอสมควร    

      มีร้านเล็กๆ และได้ทำอาหารอร่อยรสชาดถูกปากให้ลูกค้าทานแค่นี้ก็เป็นความสุขของคนทำอาหารแล้ว

     พี่เขาตักกุ้งตัวโตจากถ้วยต้มยำให้ผม ผมรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยเพราะไม่มีใครทำให้อย่างนี้เลย โดยเฉพาะผู้ชายแต่ถ้าเป็นเวลานั่งกับเพื่อนสนิทผมคนนั้นผม     ก็ไม่เคยตักให้หรอกมีแต่ขโมยตักอาหารออกจากจานคนอื่นเสียมากกว่า

     เขาคิดอะไรอยู่นะ    ผมก็ไม่ใช่เด็กเล็กที่เอื้อมไม่ถึงเสียหน่อยแถมแถวนี้คนก็เดินขวักไขว่กันไปมา คนแถวนี้ไม่รู้จะเอาไปนินทาหรือเปล่า 

    คิดไปก็ตลกตัวเองในใจก็อยากให้เขาตักป้อนเข้าปากก็จะดีแต่ทำเป็นกลัวสายตาคนอื่นคนเราปากกับใจไม่ตรงกัน หรือจะใช้คำนี้แทนถึงจะเหมาะการแสดงออกไม่ตรงกับความรู้สึกข้างใน 

    แล้วพี่เขาอยากให้ผมป้อนหรือเปล่าหนอ    ..........ไม่มีวันล่ะคนเยอะอย่างนี้ผมไม่ทำ...แค่ตักอาหารใส่จานให้ก็พอไหว            ว่าแล้วผมก็ตักไข่เจียวหมูสับใส่จานให้บ้าง ดูเหมือนเราสองคนจะอิ่มใจมากว่าอาหารตรงหน้าเสียแล้ว

                    หลังจากอิ่มใจกับอาหารมื้อพิเศษของผม  เราทั้งคู่ต่างก็ไม่มีแผนการใดๆยืนมองหน้ากันนิ่ง และก็ออกเดินไปเรื่อยๆ ผมเดินผ่านสถานที่ที่เคยมาจับจองพื้นที่บริเวณนั้น ต้นไม้หลายต้นเสาไฟที่เรียงทอดตัวตามริมถนนเคยเป็นที่พักผ่อนใจของผมมาก่อน

                    วันศุกร์อย่างนี้ผมรู้สึกว่าผู้คนแถวนี้จะคึกคักมากยิ่งขึ้น ผมมองเห็นหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่    ยืนใส่เสื้อรัดรูปกันเป็นแถวยาว        บ้างก็มีจับกลุ่มคุยหรือไม่ก็นั่งรอที่พักผู้โดยสารรถประจำทาง    มองด้วยความอยากรู้เช่นเคยหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่เหล่านี้เปลี่ยวใจกันมากหรือไรถึงได้ออกมาตามหาคู่ใจกันยามนี้           

     หรือว่าไม่ใช่เพียงความเหงาอย่างเดียวผมว่าคงมีหลายสิ่งที่มากกว่านั้นแน่   หากเป็นผลตอบแทนสิ่งของพวกเขาคงคิดถึงความใคร่มากกว่าความรัก   สิ่งนี้อาจทำให้ผมแตกต่างจากชายเหล่านี้ อย่างน้อยผมก็อยากสัมผัสความรักมากกว่าความใคร่

                    "พี่รู้ตัวตอนไหนว่าพี่แตกต่างครับ"ผมทำลายความเงียบขึ้นมา

    ด้วยความอยากรู้ทำให้ผมอดที่จะถามไม่ได้

                    "อืม.... ก็ยังไงดีหละ 10ปีแล้วมั้งตอบยาก    ไม่ตอบได้ไหม.ถามเราดีกว่าแล้วเรารู้ได้ไง"

                    "ไม่ยากเล่าเลยเรื่องมันยาว….แล้วไม่มีแฟนเหรอ"

                    "ทำไม สนใจเหรอ................. ตอนนี้คิดว่าโสดนะ"

                    "เปล่า-----      ก็พี่น่ารัก เลยอยากรู้.......มีแฟนเยอะไหม"

                    "ใครจะสนใจผม การศึกษาน้อย.........ไม่มีงานดีๆทำ"

                    "ผมคงมองโลกแคบไปมั้ง   .........  คิดแต่เรื่องโรมิโอจูเลียต"

                    "ก็คงมีนะ........... แต่พี่ว่าการกัดก้อนเกลือกินคงไส้แห้งน่าดู"

                    "แล้วพี่เคยมีคนรักจริงๆหรือที่เรียกว่าแฟนบ้างไหม"

                    "มีนะ.............แต่ก็ถูกทิ้งไปแล้ว"

                    "เศร้าจัง ...."

                    "ไม่หรอก...เค้าออกไปตามหาความฝัน คงโชคดี"

                    "ผมไม่เคยรักใครจริงๆ ...........ไม่ใช่สิ ไม่เคยมีความรักมั้ง

    ไม่เคยอยู่กับใครแบบแฟนมาก่อนเลยยังตอบ

                    ไม่ได้ว่าจะเสียใจแค่ไหนถ้าสูญเสียคนรักไป"

                    "อืม"

                    "ผู้ชายรักกันได้จริงเหรอ ........มีรักแท้แบบชีวิตคู่ไหม"

                    "ยังไม่เคยเจอเลยมีแต่เรื่องบนเตียง"

                    "จริงเหรอ..... จะบอกว่าไม่เคยก็กลัวไม่เชื่อ"

    ผมหัวเราะกลบเกลื่อนตบท้ายประโยค

                    "แล้วไม่เคยมีแฟนเหรอ"

                    "ไม่รู้ว่าเรียกแฟนไหม รู้จักใครไม่เคยเกินเดือนก็หาย"

                    "มีเซกส์ด้วยเหรอ..........."

                    "แล้วแต่ความสมัครใจครับ"

                    "แสดงว่าบ่อย........"

                    "พูดซะ                  เหมือนผม....คิดแต่เรื่องอย่างว่า"

                    "ก็ดูท่าทางแล้ว     พี่ว่าคงไม่ใช่ย่อยแน่"

                    "ก็นะ ...แต่ผมก็ยังคงเดินทางตามหารักอยู่"

                    "อ้าว........ยังจะตามหาอีกเหรอพี่นึกว่าเจอแล้ว"

                    "ก็...คือ"

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×