เรื่องบังเอิญ...
มันเป็นเรื่องบังเอิญ...ที่เราได้มาพบกันปีละครั้ง... ( ได้รับแรงบันดาลใจมากเรื่องจริงส่วนหนึ่ง )
ผู้เข้าชมรวม
55
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
( อัพเดต 20 เปอร์เซ็นต์ )
คุณเรื่องในเรื่องความบังเอิญไหม ?
ความบังเอิญ...ที่ทำให้หัวใจคุณเต้นแรงทุกครั้ง...
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
2 กันยายน 2556
ฉันยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนในอาคารผู้โดยสารขาออกของสนามบินที่ได้ชื่อว่าใหญ่ติดอันดับในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้คนเดินผ่านฉันที่ยืนนิ่งอยู่กับที่มาหลายนาที เสียงของพี่เอิร์นยังดังก้องอยู่ในโสตประสาทหูของฉัน...
“…พี่ก็ไม่แน่ใจนะ เห็นเพื่อนพี่บอกว่าจะไปส่งเขา ตอนค่ำๆ ไม่รู้ไปตอนนี้จะยังทันไหมนะ”
ทันทีที่วางสายจากพี่เอิร์น พี่รหัสสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของฉัน ฉันก็รีบตรงดิ่งมาที่นี่เลย ตลอดทางที่นั่งรถแท็กซี่มาในใจฉันเอาแต่ภาวนาว่า ขอให้ฉันมาทันด้วยเถอะ ขอให้เขายังไม่ได้ขึ้นเครื่องไป...แต่หลังจากที่เท้าทั้งสองข้างของฉันสัมผัสพื้นฟุตบาทหน้าอาคารผู้โดยสารขาออกของสนามบิน และรถแท็กซี่คันสีฟ้าขับออกไปแล้ว ฉันเพิ่งจะตระหนักได้ว่า ฉันจะหาพี่เขาเจอได้ยังไง ฉันก้มมองตัวเองในชุดเสื้อยืดสีเทากับกางเกงยีนส์ขาสั้นสีเข้มและรองเท้าผ้าใบสีขาวที่เกือบจะเป็นสีเทา...และถึงจะเจอ ก็คงเป็นการเจอครั้งสุดท้ายที่สภาพย่ำแย่มากทีเดียว ฉันเงยหน้ามองไปรอบๆอย่างไม่รู้จะไปทางไหนดี
“ นี่ฉันเป็นบ้าหรือเปล่าเนี่ย ”
เสียงในหัวฉันดังขึ้นมาต่อว่าตัวเอง ... นั่นสินะ ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ สนามบินมันกว้างซะขนาดนี้ มันจะสามารถหาคนที่เราไม่มีเบอร์ติดต่อ ไม่รู้เที่ยวบิน ไม่รู้อะไรเลยเจอได้ยังไง ฉันรู้สึกเหมือนขอบตาของฉันจะร้อนๆขึ้นมาเสียอย่างนั้น ฉันจะไม่มีโอกาสได้เจอเขาอีกแล้วหรอ ...ฉันขอโอกาสอีกแค่ครั้งเดียว ครั้งเดียวเท่านั้น ขอให้ความบังเอิญมันเกิดขึ้นอีกสักครั้งเหอะ... ความบังเอิญที่เกิดขึ้นมาตลอด 6 ปี...
ธันวาคม 2550
ในร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังแห่งหนึ่งในห้างดังแถวสยาม ช่วงเที่ยงเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนต่างต่อคิวเข้าร้านกันมากที่สุด ฉันกับเพื่อนมากินข้าวเที่ยงกันหลังจากที่เราเรียนพิเศษกันเสร็จ โชคดีจริงๆที่ชื่อเราอยู่เป็นคิวแรกๆ
“ นี่ต้องกลับไปเรียนภาษาอังกฤษตอนบ่ายต่ออีกหรอวะ โคตรน่าเบื่อเลย” ป่านบ่นทันทีหลังจากที่พนักงานรับออร์เดอร์และเดินออกไปแล้ว
“เอาน่า...เดี๋ยวก็จบแล้วแก” น้ำตอบป่าน พลางดูดน้ำและมองไปรอบๆร้าน
“ ชีวิตมัธยมแม่งโคตรเหนื่อยเลย” ป่านยังคงบ่นต่อ “เออ! ว่าแต่ แพม ช่วงนี้แกได้คุยกับพี่น็อตบ้างปะวะ
ฉันส่ายหน้าอย่างท้อใจ
“ ตั้งแต่เขาเลิกจัดรายการที่คลื่น เขาก็ไม่เล่นเอ็ม (MSN) อีกเลย เราก็ไม่รู้จะไปติดต่อเขาทางไหนว่ะ” ฉันตอบพลางถอนหายใจ
“บอกแล้วใช่ไหม ว่าให้ขอเบอร์ไว้ๆ มัวแต่เกรงใจอยู่นั่นแหละ เป็นไงละ อดแดก!”
“แหม ป่าน แกก็รู้ว่าพี่น็อตเขาเป็นหวงโลกส่วนตัวแค่ไหน แกเคยเห็นใครรู้เรื่องส่วนตัวเขามั่งปะละ”
“ แต่วันนั้นเราเห็นพี่ปุ้ยเข้าไปหยิบกระเป๋าตังเขามาเปิดดู เล่นโน่นนี่ ก็ไม่เห็นเขาจะว่าอะไรเลยนี่หว่า” น้ำพูดถึงหัวหน้าแฟนคลับ ... อันที่จริงอาจจะต้องบอกว่าคนที่สถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นหัวหน้าแฟนคลับ
“แล้วแกเห็นหน้าพี่น็อตไหม หน้าหงิกจะตายชัก พี่น็อตเขาไม่ใช่พี่ชาร์ตจะเว้ย ที่จะได้เฟรนด์ลี่เที่ยวแจกเบอร์ให้แฟนคลับไปทั่วน่ะ แกก็เห็นไม่ใช่หรอว่าพี่น็อตเขาไม่เหมือนคนอื่น เขาไม่เอาใจแฟนคลับ ไม่ใช่คนที่จะพุ่งตัวเข้าไปหาแฟนคลับ พูดก็น้อยอีกต่างหาก...”
“เขาถึงไม่ค่อยดัง แฟนคลับก็น้อย...เอาจริง คนที่มาคอยเฝ้าเขาที่คลื่นก็เห็นมีแค่พี่ปุ้ยกับแกนี่แหละ” น้ำพูดพลางหัวเราะ
“ เอาจริงนะเว้ย ให้เราไปเป็นแฟนคลับพี่น็อต เราทนไม่ได้หรอก เดือนสองเดือนก็เลิกชอบแล้ว...ไปหาก็ไม่ค่อยชวนคุย ซื้อของไปให้ก็ขอบคุณแล้วก็ทิ้งบีทเงียบ อึดอัดตายชัก แกนี่ก็เก่งน่ะ ทนมาได้เกือบสามปี”
“แหม ป่าน แกก็เห็นไม่ใช่หรอ ว่าถ้าสนิทกันแล้วพี่น็อตเขาก็น่ารักออก”
“จ้า...คนมันชอบไปแล้วเนี่ย ทำอะไรน่ารักไปหมดแหละ ยืนเฉยๆหัวฟูๆยังน่ารักเลย”
ฉันหัวเราะอย่างเขินๆ ...จริงอย่างที่ป่านพูดคนเราเมื่อชอบใครไปแล้ว เขาจะทำอะไรมันก็ดูดีในสายตาเราไปเสียหมด
“ พูดไปแล้วนี่ก็คิดถึงนะ จำตอนที่น้ำมันไปเป็นลมข้างสนามฟุตบอลได้ปะ แล้วพวกดีเจต้องมาช่วยกันหามมันอะ โคตรน่าอายเลย”
ป่านพูดถึงเหตุการณ์สมัยที่พวกเราเคยไปดูพี่น็อตกับดีเจคนอื่นๆแข่งบอลกันระหว่างคลื่น และด้วยความที่อากาศมันร้อนอบอ้าวมาก น้ำผู้ซึ่งได้ฉายาว่า ขาเป็นลม จึงอดไม่ได้ที่จะต้องโชว์การเป็นลมอย่างมืออาชีพแก่บรรดาดีเจและเหล่าแฟนคลับในวันนั้น เหล่าดีเจต่างพากันมาดูแลน้ำด้วยความเป็นห่วง ในขณะที่ฉันและป่านกลับนั่งขำด้วยความเคยชิน ข้อดีของการเป็นลมในวันนั้นก็คือ เหล่าดีเจจำชื่อพวกเราได้แม่นแถมยังเอาใจใส่เป็นพิเศษ แต่ข้อเสียก็คือจากที่เป็นที่เกลียดชังของบรรดาแฟนคลับคนอื่นๆอยู่แล้ว คราวนี้ทุกคนต่างพากันเกลียดขี้หน้าเรามากกว่าเดิม
เราสามคนต่างพากันหัวเราะชอบใจ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น
“ จำได้ปะ ว่าอีกวันพอเปิดประตูเข้าไปในตึก แฟนคลับทุกคนแม่งมองเรากันเป็นตาเดียว จนเราต้องออกมานั่งที่บันได้หน้าตึกแทน” ป่านยังคงเล่าต่อ
“ จำได้ดิ แม่งโคตรร้อนเลย...” ฉันตอบพลางยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม พนักงานเดินเข้ามาเสิร์ฟอาหารพอดี ทำให้การสนทนาของเราชะงักไปชั่วครู่ ขณะที่ฉันกำลังรับจานอาหารจากพนักงาน ป่านสะกิดน้ำอย่างแรงพลางมองตามชายหญิงคู่หนึ่งที่เดินผ่านโต๊ะเราไปนั่งโต๊ะด้านหนังเรา ฉันรับอาหารจานสุดท้ายมาวาง รอจนพนักงานเดินออกไปแล้วจึงค่อยถามป่านด้วยความสงสัย
“มองอะไรกันวะ”
“แฟนพี่น็อตเนี่ย เขาเป็นดาราใช่ปะ” ป่านโน้มตัวข้ามโต๊ะมาถามฉันด้วยเสียงอันเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันพยักหน้ารับ
“แล้วแกเห็นหน้าเขาชัดๆปะ”
“ไม่เคยอะ เคยเห็นแต่ตอนที่เขานั่งอยู่ในรถตอนมารับพี่น็อต ทำไมหรอ”
“คราวนี้แกได้เห็นหน้าชัดๆแน่” ป่านพูดพลางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะลุกขึ้นเอาเข่าชันบนโซฟาที่นั่งแล้วหันหน้าไปทางโต๊ะข้างหลังที่นั่งติดกับโต๊ะเรา ฉันหันไปมองหน้าน้ำอย่างงุนงง น้ำเพียงแต่ยิ้มให้ฉันพลางหัวเราะออกมาเบาๆ
“พี่น็อต สวัสดีค่ะ”
ชื่อที่ป่านเพิ่งเอ่ยทัก ทำเอาดวงตาของฉันเบิกโพลงอย่างตกใจ ฉันหันไปมองหน้าน้ำอย่างทำตัวไม่ถูก ฉันกลืนน้ำลายที่จู่ๆก็มาฝืดอยู่ตรงคอลงไปก่อนจะค่อยๆชะโงกหน้าไปมองโต๊ะด้านหลัง... เขานั่งอยู่ตรงนั้น ในชุดนักศึกษาของมหาวิทยาลัยชื่อดังของสามย่าน ผมที่เคยยาวเกือบจะระบ่า ตอนนี้ถูกตัดให้สั้นเผยใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน รอยยิ้มที่ดูงุนงงของเขาทำให้ฉันยิ้มตามออกมาอย่างไม่รู้ตัว เขาหันมามองหน้าฉันพลางยิ้มให้เล็กน้อย
“อ่าว ... ว่าไง ไม่เจอกันนานเลย”
“หวัดดีค่ะ พี่น็อต” ฉันตอบไปอย่างงกๆเหงินๆ ให้ตายเหอะ ขนาดคุยกันมานับครั้งไม่ถ้วนทั้งต่อหน้าและในเอ็ม ฉันก็ยังคงเขินเขาเหมือนวันแรกที่เจอกันทุกทีสิน่า
“มากินข้าวกันหรอ”
“แหมพี่น็อต มาซักผ้ามั้งคะ มากินข้าวสิ” แน่นอนว่าคำตอบแบบนี้ไม่มีทางออกจากปากฉัน... พี่น็อตหัวเราะออกมาเล็กน้อยอย่างชอบใจในคำตอบยียวนของป่าน
“ มีเรียนต่อหรือเปล่า” พี่น็อตหันมามองหน้าฉันขณะถาม
“มีค่ะ...พี่น็อตมีเรียนหรอวันนี้ถึงใส่ชุดนักศึกษา”
“ค่ะ เรียนตัวเดียว”
ฉันพยักหน้ารับพลางยิ้มให้เล็กน้อย ฉันไม่รู้จะคุยอะไรต่อดี มันเหมือนมีเรื่องเป็นร้อยๆเป็นพันๆที่อยากจะพูดอัดแน่นอยู่ข้างใน แต่ว่าพอสบตากับเขา ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันควรจะพูดอะไรดี...และสุดท้าย แม้ว่าในใจจะหวังในบทสนทนามันยาวสักแค่ไหน มันก็จะจบลงอย่างรวดเร็วเสมอ...เหมือนอย่างตอนนี้ ... พี่น็อตยังคงมองหน้าฉันเหมือนรอให้ฉันพูดอะไรบางอย่าง
“เอ่อ...”
แฟนของพี่น็อตหันขวับมามองหน้าฉัน ฉันจำได้ว่าเธอเป็นนางร้ายของละครตอนเย็นของช่องมากสี สายตาที่เธอมองมาที่พวกเราไม่ต่างจากสายตาที่เธอใช้มองนางเอกในเรื่องเท่าไหร่นัก ทำเอาฉันหน้าร้อนขึ้นมาทันที แม้กระทั่งป่านที่ปกติไม่ค่อยกลัวใครเท่าไหร่ยังชะงักไปชั่วขณะ พี่น็อตคงจับรังสีอำมหิตจากแฟนตัวเองได้ หรือไม่ก็ สีหน้าของเราสามคนคงชัดไปหน่อย
“ปลา เลือกเมนูเสร็จแล้วหรอ”
เธอพยักหน้า พี่น็อตหันมองมาท่พวกเราอีกครั้ง
“ พี่น็อตกินข้าวเถอะค่ะ” ฉันบอกเขาพลางยิ้มให้
พี่น็อตยิ้มตอบ ก่อนจะหันไปยกมือเรียกพนักงาน ป่านหันกลับมานั่งในท่าปกติ ก่อนจะเอื้อมตัวเข้ามาใกล้ฉันและน้ำ พลางกระซิบ
“นางร้ายของจริงเลยว่ะ น่ากลัวชิบ”
“ ทำไมพี่น็อตคบผู้หญิงแบบนี้วะ” น้ำช่วยออกความเห็นอีกคน
ฉันยิ้มให้เจื่อนๆอย่างไม่รู้จะพูดอะไรตอบไปดี ป่านเบ้ปากอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“ถ้ามีแฟนพี่ชาร์ตทำแบบนี้นะ เราจะฟ้องพี่ชาร์ตให้จัดการเลย” ป่านยังคงโวยวายต่อด้วยเสียงอันเบา
“ เราเป็นแค่แฟนคลับนะเว้ย ไม่ใช่เจ้าชีวิตเขา เราเลือกเองที่จะชอบเขา เขาไม่ได้บังคับให้เรามาชอบสักหน่อย เพราะงั้นเขาจะทำอะไร จะทำกับเรายังไง มันก็เป็นสิทธิ์ของเขาปะวะ ทนได้ก็ทน ทนไม่ได้...ก็แค่เลิกชอบ” ฉันตอบไปอย่างปลงๆ
“เห้ย ของเรา พี่ชาร์ตเขานับเป็นน้องแล้วเว้ย เจอแม่แล้ว ไม่ได้เป็นแค่แฟนคลับแล้วเว้ย”
“แม่พระเหลือเกินนะแกเนี่ย” น้ำเอาตะเกียบมาเคาะหัวฉันเบาๆด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะหันไปสนใจอาหารตรงหน้า
ฉันแอบมองไปทางพี่น็อตที่นั่งกินข้าวอยู่กับแฟนเป็นระยะๆ เขายิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีพลางพูดคุยหยอกล้อกับแฟนสาวดีกรีนางร้ายของช่องมากสี พี่น็อตดูมีความสุขมากจริงๆ ตลอดเกือบสามปีที่ชอบพี่เขามา รอยยิ้มกว้างขนาดนี้เห็นนับครั้งได้ ...ตอนแรกที่รู้ว่าพี่น็อตมีแฟน ความรู้สึกอย่างกับหัวใจมันจะระเบิดออกมาอย่างไรอย่างนั้น ฉันอยากจะวิ่งไปเข้าขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำโรงเรียนร้องห่มร้องไห้ราวกับกำลังเล่นเอ็มวีเพลงอกหัก นึกย้อนกลับไปแล้วก็ตลกดี ดูตอนนี้สิ เห็นเขานั่งกินข้าวอยู่กับแฟนตำตา ไม่ยักอยากจะร้องไห้แฮะ...ก็แค่...กินอะไรไม่ค่อยลง...
ผลงานอื่นๆ ของ Xu Ke Xin ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Xu Ke Xin
ความคิดเห็น