คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : บทส่งท้าย
บทส่งท้าย
“ฟู่~” ฉันถอนหายใจเมื่อสุดท้ายก็ถึงที่หมายสักที การอยู่บนรถนานๆทำเอาหัวหมุนสุดๆ อาการนี่ไม่ได้เกิดจากถนนที่คดเคี้ยวแต่อย่างใด มันเกิดจากคนข้างๆที่ขับรถเหมือนกำลังอยู่ในกาแล็กซี่ทางช้างเผือกไม่มีสิ่งใดกีดขวาง =_=;
“เฮ้! เธอโอเคใช่ไหม” อัลฟองเซ่ถอดแว่นตาสีชาออกจากสันจมูกสุดเท่ห์แล้วขยับเข้ามาใกล้
“ฉันคิดว่าไม่นะ =_=;” ฉันส่ายหัวนิดๆพลางกระพริบตาบ่อยๆ เพื่อเรียกสติกลับคืนมา
“แต่หน้าเธอดูซีดมาก”
“รู้ก็ดี ถ้าครั้งหน้านายจะช่วยลดความเร็วลงบ้างจะขอบคุณมาก! =O=” ฉันเหวใส่อัลฟองเซ่ด้วยท่าทางที่ยังมึนๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ฉันและเขาต้องทะเลาะกันเพราะการขับรถของเขา จนเบื่อที่จะต่อว่าเขาอีก
“ฉันลดลงไปมากแล้วนะ -*-” เขาทำหน้าหงุดหงิดก่อนเปิดประตูรถออกไป และเดินอ้อมมาเปิดประตูรถอีกด้านให้กับฉัน
ลมร้อนกับแดดแรงๆไม่ได้ช่วยให้ฉันดีขึ้นเลย ซ้ำยังทำให้ฉันหงุดหงิดเพิ่มขึ้นไปอีก กลิ่นเค็มๆของน้ำทะเลปะทะกับจมูกจนแสบไปหมด ฉันผลักอัลฟองเซ่ให้ถอยไปก่อนเดินโซเซเพื่อเข้าไปบ้านพัก อัลฟองเซ่ปิดประตูรถเสียงดังก่อนถือวิสาสะอุ้มฉันขึ้นแล้วพาเข้าไปที่บ้านพักเอง ฉันไม่ได้ต่อว่าเพราะเวียนหัวจะแย่ อาการมึนๆที่ศีรษะเริ่มแผ่ขยายพื้นที่เรื่อยๆทำให้ฉันรู้สึกมวนๆที่หน้าท้อง จากนั้นเหมือนกับมีบางอย่างกำลังเคลื่อนที่ขึ้นมากระจุกอยู่ที่คอของฉัน
“อัล ปล่อยฉันลง” ฉันกลั้นหายใจพลางกลืนมันกลับลงไปในลำคอ
“อะไรของเธอ” อัลฟองเซ่ทำสีหน้างงๆ ขยับหัวคิ้วให้ขมวดเข้าหากัน แต่นี่ไม่ใช่เวลามาวิเคราะห์ท่าทางของเขา เพราะฉันอยากอ้วก
“บอกให้ปล่อยไง”
อัลฟองเซ่เบิกตาโพลงอย่างกับเริ่มเข้าใจ เพราะใบหน้าพะอืดพะอมของฉันคงอธิบายได้เป็นอย่างดี เขารีบอุ้มฉันวิ่งเข้าไปในบ้านโดยไม่ใช้กุญแจ ลูกถีบรุนแรงปะทะกับประตูแค่ครั้งเดียวก็สามารถพาร่างของฉันเข้าไปในบ้านและถึงห้องน้ำได้อย่างรวดเร็ว
ฉันลงนั่งบนพื้นอย่างมึนๆ พร้อมกับปลดปล่อยสิ่งที่อยู่ในท้องลงในโถชักโครกจนหมดสิ้น อัลฟองเซ่ลูบหลังฉันเบาๆ ฉันอยากบอกให้เขาออกไปแต่มันไม่มีเวลาขนาดนั้นเมื่ออาหารเช้ามันกระจุกอยุ่ตรงลำคออีกครั้ง น่าอายจริงๆที่เขาต้องมาเห็นสภาพอย่างนี้
หมดกันภาพพจน์ของฉัน... มันไม่อลังการสักนิด
คร้ากๆๆ
เสียงกดชักโครกยังคงก้องอยู่ในหัว ฉันลุกขึ้นโดยมีอัลฟองเซ่คอยพยุงอยู่ เดินไปที่อ่างล้างหน้า บ้วนปากแล้วล้างหน้าเพื่อให้รู้สึกดีขึ้น
“ไหวรึเปล่า” อัลฟองเซ่ถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย
“...” ฉันส่ายหน้าไปมาแทนคำตอบ
อัลฟองเซ่พาฉันไปนอนพักที่โซฟา จากนั้นเขาเดินหายไปในห้องครัว สักพักก็ปรากฏตัวพร้อมกับผ้าเย็นและน้ำเย็น ฉันลุกขึ้นด้วยความช่วยเหลือจากเขา น้ำเย็นถูกกระดกดื่มจนหมดแก้วในไม่กี่อึดใจแล้วฉันทิ้งตัวลงบนโซฟาอีกครั้ง โดยที่มีผ้าเย็นตามลงมาทาบที่บริเวณหน้าผาก
“ดีขึ้นรึยัง” อัลฟองเซ่ถาม เขานั่งลงข้างๆแล้วหยิบผ้าเย็นมาเช็ดตามใบหน้าให้ฉัน
“อืม” ฉันตอบเสียงเบาขณะที่เปลือกตายังปิดอยู่
“เฮ้อ เธอนี่ชอบทำให้ฉันยุ่งยากซะจริง” อัลฟองเซ่บ่นพึมพำคำพูดที่ทำให้ฉันโมโหอย่างมาก
“ฉันต่างหากที่ต้องพูดคำนี้” ฉันกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมกับสวนกลับไปทันทีแม้จะไม่ค่อยมีแรงก็ตาม “ตกลงมันเป็นความผิดฉันรึไงที่ทนกับการขับรถปานจะรีบไปเกิดใหม่โดยไม่สนใจรถคันอื่นบนถนนแบบนั้นไม่ได้”
“จะยังไงก็ช่าง เธอต้องทำตัวให้ชินเข้าไว้”
“ไม่มีทาง ถ้านายยังจะขับรถแบบนี้อีก ขากลับฉันจะกลับเอง”
“เธอจะกลับยังไง” รอยยิ้มอย่างผู้ชนะส่งมาให้ฉันอย่างหยามเหยียด
“ฉันจะกลับกับวอดก้า” ฉันพูดขึ้นอย่างไม่ระหยี่ และแน่นอนมันทำให้อัลฟองเซ่เริ่มขุ่นเคืองอย่างเห็นได้ชัด
โดยที่ฉันยังไม่ทันตั้งตัว อัลฟองเซ่ขยับเข้าใกล้จนตอนนี้ยึดครองริมฝีปากฉันเรียบร้อย จูบรสกาแฟที่ไม่ทันตั้งตัวทำให้ฉันยังคงนิ่งงันอยู่อย่างนั้น และกว่าจะรู้ตัวอีกทีเขาก็ถอนริมฝีปากออกมาเรียบร้อยแล้ว
“บอกมาว่าเธอยังจะกลับกับมันอยู่ไหม”
ฉันหลับตานิ่งก่อนสะบัดหัวไปมาเพื่อเรียกคืนสติ นี่เขาเพิ่งจูบฉันหลังจากที่ฉันเพิ่งไปอ้วกมาเนี่ยนะ ช่างน่าขายหน้าซะจริง T_T
“นายจูบฉันทั้งๆที่ฉันเพิ่งอ้วกมาเนี่ยนะ”
“นั่นมันไม่สำคัญ บอกมาว่าเธอจะกลับกับฉัน”
“ไม่สำคัญได้ไง นั่นมันเลวร้ายมาก มากที่สุด”
“มันไม่เลวร้ายสำหรับฉันไง ตอบมาสักทีสิ”
“น่าอายจริงๆ”
ฉันส่ายหน้าไปมาเหมือนควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยทำอะไรที่ขายหน้าเท่าวันนี้มาก่อน ฉันอ้วกต่อหน้าผู้ชายคนนี้ แถมยังมาจูบกับเขาทั้งๆที่เพิ่งอ้วกไปไม่ถึงห้านาที
โอ้! ไม่ มันเป็นอะไรที่เกินกว่าผู้หญิงแสนอลังการอย่างฉันจะรับได้
“เฮ้อ~”
เสียงถอนหายใจดังมากจากคนข้างหน้า เขาดึงใบหน้าฉันให้โน้มลงมาแล้วริมฝีปากของเราก็สัมผัสกันอีกครั้ง กลิ่นกาแฟอ่อนๆทำเอาฉันเคลิบเคลิ้มได้อย่างไม่ยากเย็น ฉันหลับตาลงรับสัมผัสนุ่มนวลก่อนตอบรับจูบแสนหวาน
“บอกแล้วไงมันไม่ได้เลวร้ายสักหน่อย ^^”
“โอ้วๆ ไม่ O_O;” ฉันถึงกับใช้สองมือประกบแก้มอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันเพิ่งทำลงไป นี่ฉันเผลอทำเรื่องน่าละอายแบบนั้นจริงๆด้วย
“ตกลงตอนนี้ เธอยังจะกลับกับไอ้วอดอยู่ไหม J” อัลฟองเซ่ยิ้มอย่างผู้ชนะ ฉันยังคงค้างตึงกับความผิดพลาดของตัวเองเกินกว่าจะสนใจเรื่องนั้น อัลฟองเซ่จับที่ต้นคอของฉันให้โน้มเข้าใกล้อีกครั้ง จนฉันต้องผลักใบหน้าเขาออกไป และรีบล้มตัวนอนงุดหน้าลงหมอน
น่าขายหน้าเป็นที่สุด T_T
“อะไรของเธอเนี่ย ใบหน้าของฉันมีค่ามากนะ -*-”
“นายน่ะ ถ้าจะจูบกันละก็อย่างน้อยก็ควรให้ฉันได้แปรงฟันซะก่อนสิ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า อะไรกัน ฉันออกจะรู้สึกดีนะ” อัลฟองเซ่พูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วน่ารักจริงๆ เขาขยี้หัวฉันไปมาจนคิดว่าผมลอนสวยๆของฉันคงได้กลายเป็นรักนกไปแล้วอย่างแน่นอน
“ไม่ๆ ฉันไม่รู้สึกดีสักนิด”
“แต่เธอก็จูบตอบฉันนี่นา” อัลฟองเซ่หัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ พร้อมกับใช้นิ้วมวนผมฉันเล่นอย่างสนุก
“...” รู้สึกเหมือนกับขุดหลุมฝังศพตัวเอง ฉันโต้ตอบไม่ได้เลยเพราะมันเป็นเรื่องจริง
“ตอนเธอเขินนี่ก่อน่ารักพิลึกนะ ^^”
คำว่าน่ารักกับพิลึกนี่ฉันควรให้น้ำหนักกับฝั่งไหนมากกว่ากันนะ =_=;
“นายไปได้แล้ว ฉันอยากพักผ่อน” ฉันไล่อัลฟองเซ่เพราะอยากพักผ่อนจริงๆ การที่มีเขาอยู่ใกล้ๆทำให้จิตใจไม่สงบเลย
“ไม่อยากให้ฉันอยู่ข้างๆรึไง”
“ไม่ล่ะ นายไปเตรียมของเถอะ”
“ได้ ดูเหมือนไอ้พวกนั้นจะมาแล้ว เธอนอนพักอยู่ที่นี่นะ อย่าเพิ่งลุกจนกว่าจะดีขึ้นรู้ไหม” อัลฟองเซ่กำชับก่อนเดินจากไปโดยไม่ลืมโยกหัวฉันไปมา ฉันพลิกตัวกลับมานอนหงายเนื่องจากหายใจไม่ออก รู้สึกว่าตัวเองดูงี่เง่ามากจากท่าทางเขินอายเหมือนเด็กน้อยแบบนี้ =^=;
เสียงเครื่องยนต์ดับลงที่หน้าบ้านพัก ดูเหมือนทุกคนจะมาถึงแล้ว ความจริงวันนี้ก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษ แค่ความเอาแต่ใจของทิมโมธีที่อยากจะกินบาร์บีคิวริมทะเล เน้นให้ทราบกันชัดๆว่าต้องเป็นริมทะเล=_=; ทุกคนเลยบึ่งรถออกมาโดยที่ไร้การเตรียมแต่อย่างใด ฉันที่นั่งในรถกับอัลฟองเซ่ก็เลยต้องตามเขามาแบบไม่เต็มใจมากนักเพราะมีนัดกับลิลิเน็ต แต่แล้วสุดท้ายฉันเองก็ต้องโทรไปเลื่อนนัดเธอพร้อมกับต้องทนเสียงบ่นที่ฉันได้ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง
พูดถึงลิลิเน็ตแล้ว ความจริงอันน่าแปลกใจอย่างหนึ่ง คือทันทีลิลิเน็ตได้เจออัลฟองเซ่หลังจากที่เราคืนดีกันเรียบร้อยแล้ว เธอตรงปรี่เข้าไปตบหน้าอัลฟองเซ่จนเขาหน้าเหวอไปเล็กน้อย และยังไม่ทันที่เขาจะได้ตั้งตัวลิลิเน็ตก็ตวาดใส่เขาอย่างแค้นใจและบ่นต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ฉันรู้สึกสะใจนิดหน่อยกับท่าทางเหนื่อยหน่ายและสายตาอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ ซึ่งฉันเองก็ทำเป็นไม่สนใจ
ฉันเปลี่ยนท่าทางเป็นนอนตะแคง แล้วหลับตาลงอย่างสงบ ริมฝีปากอุ่นๆเมื่อกี้ทำเอาฉันยิ้มไม่หุบ จนต้องรีบหยุดยิ้มเพราะเริ่มกลัวตัวเอง =_=; เสียงเอะอะโวยวายข้างนอกเดาได้ว่าพวกเค้าคงเริ่มย่างบาร์บีคิวกันแล้ว ความจริงฉันเองก็อยากไปช่วย มันคงสนุกพิลึก แต่เพราะยังเวียนหัวอยู่นิดๆเลยคิดว่าพักอีกสักหน่อยคงดีกว่า
“ถ้าคุณหายดีแล้ว ผมคิดว่าคุณควรออกไปข้างนอกจะดีกว่านะครับ”
เสียงทุ้มที่แสนเย็นยะเยือกดังขึ้นใกล้หูทำให้ฉันต้องรีบลืมตาก่อนกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นผู้ชายแก่นั่งกอดเข่าอยู่ข้างๆโซฟา เขาชะโงกมองจนหน้าเราทั้งคู่แทบจะติดกัน ผมหงอกสีขาวดูยุ่งเหยิงปิดดวงตาของเขาทั้งสองข้าง ผิวขาวซีดน่ากลัวจนฉันแอบกลืนน้ำลายลงคอ
คุณตาคนนี้... ใช่คนรึเปล่า T_T
“หืม ก็ดูแข็งแรงดีนี่ครับ ถึงแม้หน้าจะซีดกว่าเมื่อกี้นิดหน่อยก็เถอะ”
คุณตายื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างพยายามวิเคราะห์ ฉันเขยิบถอยหนีจนแผ่นหลังติดกับโซฟา กำมือแน่นและสั่นไม่หยุด อย่าบอกนะว่าฉันกำลังโดนผีอำอยู่
ไม่จริง... TOT
ปัง!
เสียงเปิดประตูทำเอาใจฉันหายวูบ อัลฟองเซ่ปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับแสงสว่างที่เจิดจ้าอยู่ด้านหลัง เขาตรงเข้ามากระชากคอเสื้อคุณตาคนนั้นจากด้านหลังให้ออกห่าง ฉันทำหน้าเหลอหลาไม่รู้ว่าสมควรตกใจหรือดีใจกันแน่ แต่อย่างน้อยฉันก็รู้ว่าคุณตาคนนี้ไม่ใช่ผีอย่างแน่นอน นั่นทำให้ฉันโล่งอกไปเปราะหนึ่ง
“ไอ้แธน แกทำอะไรของแก -*-” อัลฟองเซ่ถามเสียงขุ่น ก่อนกระชากคอเสื้อขึ้นจนคุณตาต้องลุกขึ้นตามแรงดึง
“เปล่านี่ครับ ผมก็แค่เป็นห่วงเห็นหน้าพี่สาวดูซีดลงน่ะครับ” ฉันสะดุดกับคำว่าพี่สาว ถ้าคาดเดาจากภายนอกแล้วคิดว่าเขาคงแก่กว่าฉันมากๆ แต่ทำไมถึงเรียกฉันว่าพี่สาว
“ฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นอย่างที่แกพูด”
“เป็นคนที่ขี้ระแวงจริงๆนะครับพี่อัล”
ฉันมองเขาสลับกับอัลฟองเซ่อย่างงงๆ นี่เขาไม่ได้แก่อย่างที่ฉันคิดงั้นเหรอ ถ้าหากอัลฟองเซ่เป็นพี่ละก็เขาคงอายุน้อยกว่าฉัน แต่ลักษณะของเขาเหมือนคนแก่จริงๆแม้จะมองอีกกี่รอบก็ตาม
เออ ยกเว้นผิวพรรณที่ดูเหมือนจะยังไม่เหี่ยวนะ =_=;
“ใครมันจะไว้ใจคนอย่างแกกัน”
“โดยรวมแล้วคิดว่าผมเองก็น่าไว้ใจในระดับหนึ่งนะครับ”
“ถ้าเป็นแกสมควรไว้ใจแค่ระดับหนึ่ง ที่เหลืออีกเป็นล้านๆระดับคือไม่น่าไว้ใจ”
“ใจร้ายจังนะครับ ทั้งๆที่ผมเองก็เคยช่วยพี่แท้ๆ”
ผู้ชายที่ชื่อแธนคนนั้นตัดพ้อพร้อมกับก้มหน้าลงเล็กน้อยเหมือนกับแสดงอาการเศร้าใจ แต่เพราะไม่เห็นดวงตาทำให้รู้ว่าเขาทำหน้ายังไง
“เดี๋ยว! หยุดก่อน ใครสักคนก็ได้ช่วยอธิบายทีว่านี่มันเรื่องอะไร แล้วผู้ชายคนนี้เป็นใคร” ฉันร้องห้ามเพราะดูเหมือนฉันยังตามสถานการณ์ตอนนี้ไม่ทัน
“น้องชายฉันเอง ^^” ทิมโมธีเดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างอัลฟองเซ่กับผู้ชายคนนั้น แล้วอ้อมแขนไปกอดคอน้องชายตัวเองไว้แน่นอย่างภาคภูมิใจ =_=;
ฉันมองตาค้างด้วยความงุนงง ภาพตรงหน้าทำเอาฉันแปลกใจ สองพี่น้องที่ดูไม่เหมือนกันเลยสักนิด ทุกอย่างดูตรงข้ามกันไปหมด มีเพียงสีผมและส่วนสูงเท่านั้นที่ดูเหมือนจะใกล้เคียงกัน
“แนะนำตัวสิแธน ^^” ทิมโมธีเขย่าไหล่น้องชายเล็กน้อย
“สวัสดีครับ ผมไลท์แธน” เขากล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงเนือยๆเย็นๆ ฉันรู้สึกเหมือนกำลังถูกจ้องมองผ่านเส้นผมสีขาวที่ปรกหน้าเขาอยู่ ทำให้ฉันความรู้สึกสยองจนขนแขนแทบลุก
แต่ไลท์แธน ชื่อนี้คุ้นจริงๆเหมือนเคยได้ยินมาจากใครสักคน?
“สวัสดี ฉันทะเล”
“เรื่องนั้นผมทราบดีครับ เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้เจอพี่สาว แต่สำหรับพี่สาวนี่คงเป็นครั้งแรกที่ได้เจอผม”
“พอสักทีไอ้แธน หยุดเลย” อัลฟองเซ่ร้องห้ามก่อนดึงมือฉันให้เดินตามไป โดยทิ้งสองพี่น้องไว้ข้างหลัง เสียงหัวเราะคิกคักที่ฉันรู้ทันทีว่าเป็นเสียงของทิมโมธีดังไล่หลังเรามา
ฉันหยุดคิดนิดหนึ่ง เหมือนเศษเสี้ยวในความจำของฉันกำลังระลึกได้ว่าชื่อไลท์แธนฉันเคยได้ยินแน่ๆ และได้ยินจากคนที่กำลังจับมือของฉัน
“อัล ฉันเคยได้ยินชื่อไลท์แธนแน่ๆ และได้ยินจากนายด้วยใช่ไหม”
“เธอจะสนใจไอ้เด็กนั่นทำไม มันตัวอันตรายชัดๆ -*-”
“บอกมานะ ฉันไม่อย่างค้างคาใจ” ฉันหยุดเดินสะบัดมือออกแล้วกอดอกตัวเองอย่างเอาแต่ใจ โดยไม่สนใจแววตาเบื่อหน่ายของอัลฟองเซ่
“มันเป็นคนปลดล็อกห้องของเธอไง ฉันไม่น่าให้มันปลดล็อกห้องนอนเธอด้วยเลย” ฉันพยักหน้าอย่างจำได้ ก่อนยิ้มนิดๆเพราะหน้าตาขุ่นเคืองของเขา “แย่แล้วสิ มันเห็นหน้าเธอไปแล้ว -*-;”
“อะไรกัน แค่เห็นหน้าเอง เขาจะสาปฉันรึไง” ฉันถามติดตลก
“ถ้ามันเกิดท่องมนต์ทำให้เธอหลงรักมันขึ้นมาจะทำยังไง ไอ้แธนมันทำน้ำมันพรายได้รึเปล่าวะ” อัลฟองเซ่พูดด้วยสีหน้าคิดหนักและจริงจังจนฉันอดหมั่นไส้ไม่ไหวเลยดึงแก้มเขาไปหนึ่งครั้ง เขาย่นจมูกอย่างไม่พอใจ “อย่างยุ่งกับมันเชียวล่ะ”
“ไร้สาระ นายทำให้ฉันมนุษยสัมพันธ์ลดลงนะ”
“เธอนี่มัน! -*-” อัลฟองเซ่กัดฟันกรอดอย่างอารมณ์เสีย “จะบอกให้รู้ไว้ ถ้ามันไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง ป่านนี้เธอคงได้ยินชื่ออาชญากร ไม่ก็จอมโจร หรือไม่อาจเป็นหมอผีที่ชื่อว่าไลท์แธนแล้วล่ะ”
“อันตรายขนาดนั้นเชียว”
“เอาไว้เธอจะได้รู้เอง”
อัลฟองเซ่พูดทิ้งท้ายแล้วจับมือฉันให้เดินออกที่ชายหาดด้วยกัน ท้องฟ้าตอนเย็นถูกระบายไปด้วยสีส้มเกือบทั้งหมดแต่น่าเสียดายที่ดวงอาทิตย์กลมๆกลับไม่ตกที่ขอบฟ้าของน้ำทะเล ตรงจุดหมายของเรามีวอดก้ากำลังจุดไฟที่เตาย่าง ดีลุกซ์และผู้หญิงหน้าตาน่ารักราวกับหลุดออกมาจากการ์ตูนญี่ปุ่นกำลังช่วยกันหมักเนื้ออยู่ไม่ไกล ฉันเดาว่านั่นคงเป็นน้องสาวของใครสักคนแน่ๆ
“ไอ้อัล แกมาก็ดีแล้ว ช่วยกันจุดไฟหน่อยสิ =_=;” วอดก้าที่ใบหน้าเปื้อนไปด้วยคราบสีดำของถ่านร้องให้ช่วยเพราะเตาถ่านที่จุดไม่ติดสักที
“ทำเองสิวะ”
“งั้นดี๋ยวฉันช่วยเอง” ฉันโพลงขึ้นแล้วเดินไปเข้าหาวอดก้าที่กำลังจุดไฟแช็คอย่างงุ่นง่าน แต่อยู่ๆอัลฟองเซ่ก็มากั้นกลางระหว่างฉันกับวอดก้าจนตัวฉันกระเด้งออกมา
“เธอไปช่วยเตกีล่าทางโน้นเลย ทางนี้ฉันจัดการเอง”
“อะไรของนายเนี่ย” ฉันมองหน้าอัลฟองเซ่อย่างงงๆ แล้วก็เดินออกไปแต่โดยดี
“ความคิดของใครวะ ยุ่งยากชะมัด -*-”
“สองพี่น้องผมหงอกที่คลั่งการย่างเนื้อบนเตาถ่านนั่นแหละ แกไปคิดบัญชีกับพวกมันได้เลย” เสียงบ่นปนความหงุดหงิดของอัลฟองเซ่และวอดก้ายังตามมาให้ฉันได้ยิน
ฉันเดินไปยืนข้างๆดีลุกซ์ที่กำลังโรยเครื่องปรุงลงบนหมูสามชั้นสไลด์ยาว สาวน้อยที่คิดว่าน่าจะชื่อเตกีล่ายืนถัดจากดีลุกซ์ เธอมองหน้าฉันพร้อมกับกระพริบตาปริบๆ ถ้ามองดูดีแล้วเธอเหมือนวอดก้ามากทีเดียว แต่เตกีล่ามีดวงตากลมโตสีน้ำตาลไม่ได้ดูเจ้าเล่ห์เหมือนวอดก้าและก็น่ารักกว่ามากเท่านั้น เธอคงเป็นน้องสาวของวอดก้าสินะ
“สวัสดี ^^” ฉันทักด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย
“สวัสดีค่ะ พี่ทะเลใช่ไหมคะ ^^” เสียงเล็กตอบกลับมาพร้อมกับเผยรอยยิ้มน่ารักน่าหยิก “เตได้ยินว่าพี่ทะเลสวยมาก แต่ไม่คิดว่าจะสวยขนาดนี้ สวยกว่าที่พี่วอดบอกเตเยอะเลย ^O^”
“ขอบใจจ๊ะ มีอะไรให้ฉันช่วยรึเปล่า”
ฉันถามออกไปเพราะไม่แน่ใจว่ามีอะไรให้ฉันช่วยอีกไหม บาร์บีคิวพวกเขาก็ซื้อแบบสำเร็จรูปมา ส่วนหมูสามชั้นก็กำลังถูกปรุงด้วยเชพหนุ่มแสนสวยที่ไม่สนใจการคุยกันของคนที่ขนาบข้างอย่างฉันกับเตกีล่า
“หยิบซอสให้ที” ดีลุกซ์หันหน้ามาทางฉัน ก่อนใช่สายตามองตำแหน่งของขวดซอสที่ห่างจากฉันไม่มากนัก ฉันหยิบขวดซอสส่งไปให้แล้วมองดูเขาเทซอสพร้อมกับคลุกเคล้าเนื้อด้วยท่าทางแสนชำนาญ “มีอะไรรึเปล่า” ดีลุกซ์หันมาถามด้วยสีหน้างุนงง
“นายทำอาหารเก่งเหรอ”
“อืม ก็นิดหน่อย ว่าแต่เธอล่ะอยากลองทำรึเปล่า” ดีลุกซ์ยื่นถุงมือพลาสติกมาให้ ฉันรับมาอย่างลังเลเพราะไม่อยากสัมผัสเนื้อหมูดิบแสนหยึกหยึย
“ไม่ดีกว่า นายทำต่อเถอะ”
“เตล่ะ อยากลองทำไหม”
“คะ ค่ะ” เตกีล่าตอบอย่างเขอะเขิน ฉันยื่นถุงมือที่ได้รับจากดีลุกซ์เมื่อกี้ส่งไปให้เตกีล่า แต่จู่ก็มีมือหนึ่งแทรกเข้ามากั้นระหว่างฉันกับเตกีล่า อืมไม่ใช่สิ กั้นระหว่างฉันกับดีลุกซ์ เตกีล่าจะถูกต้องกว่า
“อัล ทำอะไรของนายน่ะ มันเฉียดหน้าฉันไปเลยนะ” ฉันเหวใส่ตัวการที่กำลังยืนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ มือที่เปื้อนถ่านของเขาเอื้อมไปหยิบกล่องใส่บาร์บีคิวที่ปรุงสำเร็จรูปเอาไว้แล้ว
“บาร์บีคิว ฉันจะเอามันไปย่าง”
“ทำไมไม่บอกดีๆล่ะ ฉันจะได้หยิบให้ มือนายไม่ได้ล้างนะ”
“ช่างมันเหอะน่า ไอ้ดีลแกมีผู้ช่วยคนเดียวก็เกินพอ ส่วนเธอไปกับฉัน” เขาโอบไหล่ฉัน แล้วพาเดินออกมาโดยมีรอยยิ้มแปลกของดีลุกซ์และเสียงหัวเราะใสๆของเตกีล่าไล่ตามหลังมา
“อะไรของนายเนี่ย -*-” ฉันบ่นเพราะเริ่มรำคาญ เขาจะเอายังไงกันแน่นะทั้งๆที่เมื่อกี้เพิ่งไล่ฉันออกไปและจู่ๆก็ลากฉันกลับมา
“เธอไม่พอใจอะไร อยากอยู่กับไอ้ดีลใช่ไหม!” อัลฟองเซ่พูดด้วยน้ำเสียงเคืองๆแกมประชด ซึ่งฉันไม่ชอบ
“จะบ้าเหรออัล นายพูดเรื่องอะไร”
“ก็เธอทำเหมือนไม่อยากมากับฉัน”
“ฉันแค่ไม่ชอบที่นายลากฉันไปมาตามใจชอบ” ฉันถอนหายใจแล้วมองไปที่อัลฟองเซ่ตรงๆ นี่เขาจะหาเรื่องทะเลาะกับฉันตลอดเวลาเลยใช่ไหม (-*-)
“โอเค ฉันเข้าใจ โทษทีฉันมันไร้เหตุผล” อัลฟองเซ่มองหน้าฉันด้วยแววตาที่อ่อนลง เขาเอามือปิดหน้าเหมือนกำลังสงบใจ
“ฉันไม่ได้มาเที่ยวเพื่อจะทะเลาะกับนาย ถูกไหม”
“อืม ฉันแค่หวงเธอ” อัลฟองเซ่มองมาแบบสำนึกผิด ซึ่งคำพูดนั้นทำเอาฉันยิ้มออกมาอย่างปลงๆ “หวงแค่นิดเดียวเท่านั้นนะ -^-”
“นายหึงรุนแรงเลยต่างหาก” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดาก่อนเดินนำหน้าเขาไปแล้วแอบลอบยิ้มกับคำพูดอัลฟองเซ่ อะไรของผู้ชายคนนี้กันนะ ปกติเขาไม่ใช่คนที่จะมาพูดอะไรแบบนี้
ฉันเดินไปหาวอดก้าที่ยิ้มรออยู่แล้ว เขายื่นพัดมาให้ฉันช่วยพัดให้ถ่านติดไฟเร็วยิ่งขึ้น ก่อนเปิดบทสนทนาด้วยการนินทาอัลฟองเซ่ที่กำลังเดินตามฉันมาด้วยท่าทางหงอยๆ
“ไอ้อัลมันทำหน้าตาแบบนั้นเป็นด้วยเรอะ ตลกชะมัด”
“เฮ้อ~ วอดก้าฉันจะทำยังไงกับเขาดีนะ วันนี้เขาทำตัวน่าเบื่อสุดๆ” ฉันยังคงติดนิสัยที่ชอบปรึกษาวอดก้าไม่หายวอดก้าขำนิดๆ
“มันก็แค่หึง”
“กับพวกนายเนี่ยนะ หึงไม่เข้าเรื่อง”
“แต่เธอก็ไม่โกรธมันไม่ใช่รึไง”
“ทำหน้าแบบนั้นแล้วใครจะไปโกรธลงกันล่ะ” ฉันถอนหายใจแบบปลงตก
อัลฟองเซ่เดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างฉันกับวอดก้าอีกครั้ง ซึ่งนั่นทำให้วอดก้าหัวเราะพรืดออกมา
“หัวเราะอะไรของแกไอ้วอด ถอยไปไกลๆเลย”
“เปล่า คิดว่าวันนี้แกน่ารักเหมือนกันนะ”
“เสียใจด้วยที่จะต้องบอกแกว่าฉันมีแฟนแล้ว และเขาคนนั้นก็อยู่ข้างๆฉัน” อัลฟองเซ่พูดด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนเอาบาร์บีคิวที่เขาถือมาวางบนตะแกรง
“=_=; พูดเรื่องน่ากลัวขนาดนั้นด้วยน้ำเสียงยโสแบบนี้อ่ะนะ แกนี่หลงตัวเองจริงๆ” วอดก้าส่ายหัวอย่างเอือมระอา ซึ่งฉันเองก็เห็นด้วยในคำพูดนั้น
“ขนาดฉันยังหลงตัวเอง คนอื่นก็ต้องหลงฉันเหมือนกัน”
“คนอื่นที่แกว่าใช่ทะเลรึเปล่า” วอดก้าตั้งคำถามพร้อมกับเปรยตามาทางฉัน
“ถ้าหมายถึงฉัน คิดว่าเขาต้องกลับไปมองตัวเองใหม่แล้วว่ามีอะไรให้ฉันหลงใหล” ฉันมองอัลฟองเซ่ด้วยหางตา “ในตัวเด็กน้อย ที่ชื่อเด็กชายอัลฟองเซ่คนนี้”
“โอ้~ เธอฟันฉันยับเลยว่ะเพื่อน”
“ฉันว่าเธอฝังระเบิดมากกว่า ตู้มเดียว ไม่เหลือซาก”
เสียงหัวเราะของพวกเราดังขึ้นพร้อมกัน แสงจากดวงอาทิตย์หายลับไปพร้อมกับพระอาทิตย์ดวงโต แสงไฟสีขาวจากหลอดนีออนเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็วโดยไม่รอให้ความมืดปกคลุมพื้นดิน ตอนนี้บาร์คิวกำลังย่างได้ที่สุกพอดี เตกีล่ากำลังช่วยวอดก้ากลับด้านเนื้อย่างอย่างเงอะงะ เดาว่าเธอคงไม่ค่อยได้ทำอาหาร ส่วนดีลุกซ์เองก็กำลังพักนอนอยู่บนเปลผ้าใบอย่างสงบ แต่ที่น่าแปลกคือจนถึงตอนนี้ฉันยังไม่เห็นทิมโมธีและไลท์แธน
“ไอ้สองพี่น้องผมหงอกนั่นหายไปไหนนะ”
อัลฟองเซ่นั่งลงข้างฉันที่นั่งอยู่บนชายหาดขาวสะอาดตา เขายื่นบาร์บีคิวที่มีอยู่เต็มจานมาให้ ฉันหยิบมาหนึ่งไม้ก่อนส่งเข้าปากด้วยความหิว
“ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเขาหรอกน่า โตๆกันแล้ว” ฉันบอกก่อนวางไม้เสียบเปล่าลงในจาน แล้วหยิบไม้ใหม่ขึ้นมา
“ฉันไม่ได้ห่วงพวกมัน ฉันห่วงตัวเองมากกว่า ไอ้พวกนี้ไม่อยู่นานๆแบบนี้เสียวสันหลังพิลึก”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า อะไรของนายเนี่ย ฉันนึกว่าห่วงพวกเขาซะอีก”
“จะห่วงทำไมอย่างสองคนนั่น ถึงถูกเผ่ากินคนจับไปก็กินไม่ลง” ฉันหัวเราะกับท่าทางของอัลฟองเซ่ พอจะนึกภาพออกเหมือนกัน แต่เขาบรรยายได้ตลกจริงๆ
ฉันนิ่งเงียบไปเมื่อเห็นอัลฟองเซ่กำลังเหม่อมองไปที่ทะเล ทำให้ฉันเองก็หันมองตามบ้าง คลื่นทะเลที่ซัดเข้ามาที่ฝั่งเรื่อยๆ ละอองน้ำที่ซัดกระเซ็นโดนตัวเรา ทั้งฉันและอัลฟองเซ่ต่างเหมือนถูกดึงด้วยด้วยเสน่ห์ของทะเลสีดำ
“ทะเลตอนนี้ดูเหมือนเธอเลย” อัลฟองเซ่พูดขึ้นหลังจากที่เงียบไปนาน
“อืม นั่นสินะ ฉันคงไม่เหมาะที่จะเป็นทะเลสดใสหรอก” ฉันพูดพร้อมยิ้มน้อยๆให้กับตัวเองแล้วหันไปทางอัลฟองเซ่ที่ตอนนี้กำลังจ้องหน้าฉันอยู่ก่อนแล้ว
“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” อัลฟองเซ่ยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ “ฉันคิดว่าเธอมีเสน่ห์มากต่างหาก”
“อย่างงั้นเหรอ” ฉันจ้องมองเขาไปในดวงตาของอัลฟองเซ่ที่กำลังจับใบหน้าฉันอย่างแผ่วเบา
“อืม เหมือนกำลังถูกดึงดูดให้เข้าไปทั้งๆที่รอบๆมืดสนิท” ฉันยิ้มให้กับคำพูดหวานเลี่ยนนั่น ก่อนที่ริมฝีปากจะถูกยืดครองโดยคนตรงหน้า ฉันยิ้มรับจูบนั้นอย่างช่วยไม่ได้ มันช่างหอมหวานและมีความสุขมากจริงๆ “เธอน่าหลงใหลจริงๆ”
วี๊ด~ ตู้ม!
แสงสีทองทะยานจากกลางทะเลขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็วก่อนกระจายประกายไฟขนาดใหญ่ขึ้นเต็มท้องฟ้า ดอกไม้ไฟหลากหลายสีเริ่มแต่งแต้มท้องฟ้าอย่างสวยงาม อัลฟองเซ่เอื้อมมือมาโอบไหล่ขยับให้ฉันเข้าไปในอ้อมกอด ฉันมองไปที่อัลฟองเซ่ที่กำลังตั้งใจมองดอกไม้ไฟโดยไม่ให้เขารู้ตัว แสงไฟจากดอกไม้ไฟที่สาดส่องมาทำให้รอยยิ้มเขาดูอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด
“ดูเหมือนฉันต้องไปให้รางวัลสองพี่น้องนั่น... ที่ทำให้เธอมองฉันได้อย่างเคลิบเคลิ้มขนาดนี้ ^^” อัลฟองเซ่ส่งรอยยิ้มมาให้ทันทีที่จับได้ว่าฉันกำลังจ้องมองเขาอยู่
“พวกเขาทำงั้นเหรอ” ฉันแกล้งไม่ให้ความสนใจกับประโยคที่ดูเหมือนเข้าข้างตัวเองนั่น แล้วหันกลับไปสนใจดอกไม้ไฟอีกครั้ง
“เธอนี่มันจริงๆ(-*-) ทั้งๆที่รู้ว่าฉันอยากให้เธอจดจำประโยคหลังมากกว่ายังแกล้งยั่วโมโหฉันอีก” อัลฟองเซ่ส่งสายตาไม่พอใจพร้อมกับทำสีหน้าหงุดหงิดงุ่นง่าน
“งั้นเหรอ :)” ฉันเอียงคอตอบแล้วยิ้มอย่างเป็นต่อ
“ให้ตายสิ! เธอนี่มันใจร้ายชะมัด” อัลฟองเซ่ค้อนให้ทีหนึ่งก่อนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกครั้ง ฉันหัวเราะเบาๆกับท่าทางเหมือนเด็กของเขา แล้วเอนตัวไปพิงกับไหล่กว้างก่อนค่อยๆหลับตาลง
“อยู่นิ่งๆ สักพักนะ” ฉันเอ่ยเสียงเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ
“อืม”
เสียงลมแรงที่พัดมาอย่างแรงจนผมปลิวสยายไปด้านหลัง เสียงคลื่นที่ซัดซาดประทะกับชายหาดรุนแรงจนใบหน้าฉันชื้นไปด้วยละอองน้ำ เสียงพลุที่ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย พอหลับตาลงเสียงทุกอย่างกลับดังขึ้นไม่เว้นแม้แต่เสียงหัวใจของเขา เสียงตึกตักที่ดังสม่ำเสมอ ไม่เร็วเกินไป ไม่ช้าเกินไป และที่น่าแปลกใจคือดูเหมือนว่าเสียงหัวใจของเขาจะเต้นไปพร้อมกันกับเสียงหัวใจของฉัน
“ฉันมีความสุขจริงๆ”
“ฉันเองก็เหมือนกัน” อัลฟองเซ่ตอบรับก่อมจุมพิตที่หน้าผากของฉัน “ตอนนี้เหตุผลเดียวที่ทำให้ฉันยิ้มได้ ก็คือเธอ”
“เลี่ยนจัง” ฉันตอบอย่างตำหนิทั้งๆที่เผลอยิ้มออกมา
“แล้วชอบรึเปล่าล่ะ”
“มั้ง” ฉันตอบอย่างหยั่งเชิง ก่อนใช้มือโน้มใบหน้าของเขาเข้ามาใกล้แล้วจุมพิตที่ริมฝีปากเขาเบาๆเนิ่นนาน อัลฟองเซ่ยิ้มอย่างได้ใจก่อนกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นแล้วขยับริมฝีปากให้เราได้สัมผัสกันมากขึ้น สัมผัสที่ทั้งอบอุ่นและร้อนแรงจนทำให้หัวใจฉันเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ
“ฉันรักเธอนะ” อัลฟองเซ่กระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูหลังจากที่เขาถอนริมฝีปากออกไปแล้ว “เราไปสานต่อกันในบ้านพักกันนะ ^O^”
“อัล!” ฉันเหวใส่อย่างตกใจที่อยู่ๆอัลฟองเซ่ก็ช้อนตัวฉันขึ้นแล้วเดินจ้ำอ้าวไปบ้านพักอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจเสียงหัวเราะของทุกๆคนที่ไล่หลังมาและฉันที่กำลังพยายามทุบตีอย่างสุดแรงเพื่อให้เขาปล่อย แต่ดูเหมือนเขากลับไม่สะเทือนแถมยังส่งรอยยิ้มของผู้ชนะที่ฉันแสนเกลียดมาให้
“กลับไปฉันคงต้องให้รางวัลไอ้ทิมกับเจ้าแธนสักหน่อย ดูเหมือนมันจะได้ผลเกินคาด”
“นี่นายวางแผนไว้งั้นเหรอ อัลฟองเซ่!” ฉันตะโกนถามอย่างตกใจ
“ฮึ! แน่นอนและเกมส์นี้เธอแพ้ฉันแล้ว ทะเล”
“ไม่! ปล่อยฉันนะ”
“ฮึฮึ :)”
“อัลฟองเซ่!”
[The And]
*************************************************************************************************************************************************
NJ Part : และแล้วก็ถึงตอนจบสักที กว่าจะจบต้องนั่งปั่นจนตัวเองอ้วนอืด *).(* ขอโทษลูกหลานที่กำลังติดตามออยู่ด้วยที่ดองนานเกินเหตุ วันนี้เลยจัดเต็มให้ไปสองตอนรวด จบเลย 5555+
ขอบคุณเด็กๆในเว็บเด็กดีทุกคนที่คอยให้กำลังใจเสมอ
ฝากหนุ่มๆไว้ด้วยน้า เรื่องหน้าจะเป็นคิวขิงใครมาติดตามกัน ^_<b
ความคิดเห็น