คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : ตอนที่ 12
12
หมับ!
ฉันตกใจที่จู่ๆ ก็ถูกกระชากจนออกจากอ้อมกอดของวอดก้าโดยไม่ทันตั้งตัว ภาพตรงหน้าทำเอาฉันแทบหยุดหายใจ ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่ตั้งใจ ทันทีที่เห็นผมสีแดงเพลิง อัลฟองเซ่ฉุดฉันให้ลุกขึ้นแล้วดึงฉันให้เดินตาม
เป็นเขาจริงๆ ใช่ไหม
... คนคนนี้ คืออัลฟองเซ่สินะ
ฉันมองไปยังแผ่นหลังของคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกสับสนเกินกว่าสมองจะประมวลผลได้ทัน มีเพียงความรู้สึกที่หน้าอกข้างซ้ายเท่านั้น ที่เป็นเครื่องเตือนว่าตอนนี้ฉันยังคงอยู่ในโลกของความเป็นจริง
“อัล...” เสียงของฉันแหบพร่าแทบไม่ได้ยิน มันเบามากซะจนตัวฉันเองยังคิดว่ามันเป็นเพียงเสียงในความคิดเท่านั้น
“เธอต้องการอะไรจากฉันกันแน่!” อัลฟองเซ่หันหน้ากลับมาตวาดเสียงดังสั่น ก่อนผลักฉันให้ติดกับผนัง มือทั้งสองข้างบีบไหล่ฉันแน่น “ตอนที่ฉันอ้อนวอนเธอกลับผลักไสฉันออกไป แต่พอมาตอนนี้เธอกลับวิ่งตามฉัน เธอทำแบบนี้ทำไม!”
อัลฟองเซ่เขย่าตัวฉันไปมา น้ำตาไหลทะลักออกมาอย่างไร้เหตุผล ตัวแข็งทื่อราวกับตุ๊กตาที่ไม่มีชีวิต
“เธอเห็นฉันเป็นอะไรกันแน่ เป็นตัวตลกที่เธออยากจะล้อเล่นเมื่อไหร่ก็ได้รึไง!”
“…”
“ฉันพยายามไม่คิดถึงเธอ แต่มันกลับไม่ได้ผลเลยสักครั้ง”
แววตาเกรี้ยวโกรธแปรเปลี่ยนเป็นแววตาสั่นไหวส่งมาให้ฉันอย่างไม่หยุดหย่อน อัลฟองเซ่โน้มหน้ามาซบกับไหล่ฉันเบาๆ ก่อนจะปล่อยมือที่บีบไหล่ให้คลายออกแล้วโอบกอดฉันแทน
“เธอรู้รึเปล่า เสียงฝีเท้าที่วิ่งตามมามันทรมานฉันแค่ไหน”
“...”
“รอยช้ำบนหน้าเธอทำให้ฉันเจ็บปวดมากขนาดไหน”
“...”
“ตอนที่เธอร้องไห้ในอ้อมกอดไอ้วอด ฉันคิดว่าถ้าคนที่ปลอบเธอเป็นฉันมันคงดี แต่ฉันกลับ...” เขาหยุดคำพูดนั้นไว้แล้วกัดฟันแน่น “เป็นคนที่ทำให้เธอร้องไห้”
“...”
“ฉันผิดเอง ทุกๆอย่างมันเป็นเพราะฉัน”
อัลฟองเซ่ทิ้งน้ำหนักบนไหล่ฉันอย่างอ่อนแรง ฉันรู้สึกได้ถึงความของเหลวที่ซึมผ่านเนื้อผ้าเข้ามา นี่เขากำลังร้องไห้อยู่งั้นเหรอ เขาเองก็เสียใจไม่ต่างจากฉัน เจ็บปวดและทรมานไม่ต่างจากฉันสินะ
“ฉันขอโทษ”
“อัล นาย...” น้ำเสียงฉันสั่นเครือเกินกว่าจะห้ามมันได้ น้ำเสียงเจ็บปวดของอัลฟองเซ่แทงทะลุเข้ามาจนฉันไม่รู้ว่าต้องทำยังไงดี
“ฮึ! น่าสมเพชสิ้นดี”
อัลฟองเซ่แค่นหัวเราะแล้วคลายวงแขนออกจากตัวฉัน ดวงตาที่รื้นไปด้วยน้ำตาของเขาทำเอาฉันใจหายวาบเหมือนขาดอากาศหายใจ เขาเอื้อมมือปาดน้ำตาที่ยังคงไหลไม่ยอมหยุดของฉัน ก่อนฝืนยิ้มในแบบที่ไม่ใช่ตัวเขาเลย
“เธอบอกให้ฉันออกไปจากชีวิตเธอแต่ฉันกลับทำไม่ได้ ฉันรู้ว่าการเข้าใกล้มีแต่จะทำให้เธอเจ็บปวด แต่จะให้ฉันทนเห็นเธอเป็นแบบนี้ได้ยังไง” อัลฟองเซ่ลดมือมาลูบรอยช้ำที่แก้มอย่างแผ่วเบา ความอ่อนโยนจากฝ่ามือของเขาไม่เข้ากันเลยกันแววตาเจ็บปวดเลยสักนิด
“อัล...” ฉันหลับตาลงพร้อมกับเอามือมาวางทับมือของเขาที่กำลังสัมผัสอยู่บนแก้ม
อยากให้ทุกๆอย่างหยุดลง ณ เวลานี้ หยุดลงตรงนี้.. จริงๆ
“ฉันอยากรู้ว่าใครเป็นคนทำร้ายเธอ แต่กลับไม่อยากถามเพราะไม่ว่ายังไงสาเหตุมันก็มาจากฉันอยู่ดี”
“อืม มันเป็นเพราะนาย” ฉันตอบรับคำตัดพ้อของอัลฟองเซ่อย่างอ่อนแรง
“ฉันรู้ดีและไม่ได้อยากจะให้เธอให้อภัย เพราะมันเป็นไปไม่ได้”
“รู้ไหม นายมันเห็นแก่ตัว”
“ทะเล ฉันมันเห็นแก่ตัว ไม่เคยคิดถึงจิตใจเธอเลย ทำร้ายเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่ว่ายังไงสุดท้ายฉันก็ยังอยากจะอยู่ด้วยกันกับเธอ... ฉันจะอยู่ข้างเธอได้ไหม”
เสียงของอัลฟองเซ่เงียบหายไปหลังจากที่ริมฝีปากของเขาทาบลงเปลือกตาของฉันอ่อนโยนก่อนค่อยๆเคลื่อนต่ำลงมาที่ปลายจมูก และริมฝีปาก
ลมหายใจของฉันถูกความคิดถึงค่อยๆกลืนกินไปอย่างช้าๆ ฉันยังจับมือของอัลฟองเซ่ไม่ยอมปล่อย แม้จะทรมานและขมขื่นมากขนาดไหน สุดท้ายฉันก็ไม่อาจหยุดยั้งหัวใจที่โง่เขลาของตัวเอง ฉันเลือกที่จะอยู่กับความเจ็บปวด ถ้าหากฉันยังได้สามารถหายใจได้ทุกวันในอ้อมกอดของเขา
เพราะฉันคิดถึงคนตรงหน้ามากจริงๆ
“ฉันรักเธอ” เสียงของอัลฟองเซ่พร่ำบอกหลังจากที่เขาถอนริมฝีปาก แววตาที่มองมาสั่นไหวอย่างเจ็บปวด “รักมากจริงๆ”
คำว่า ‘รัก’ ของเขาทลายทุกอย่างแม้แต่ศักดิ์ศรีของฉัน โดยที่ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลใดๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเคยทำร้ายฉันสลายไปราวกับถูกลมพัดให้ปลิวไปจนหมดสิ้น เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ได้เห็นดวงตาคู่นั้น
ฉันเคยภาวนากับดวงดาวแรงกล้าเพราะต้องการให้เขาออกไปจากชีวิต แต่ตอนนี้ฉันกลับรู้สึกขอบคุณคำภาวนานั้นที่มันไม่เป็นจริงขึ้นมา
“ถ้าลืมตาขึ้นมา ฉันยังจะเห็นนายรึเปล่า” ฉันถามเสียงเบา รอยยิ้มของอัลฟองเซ่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“ลองหลับตาลงสิ” ฉันมองเข้าไปในดวงตาเขาก่อนค่อยๆปิดเปลือกตาลง เพราะกลัวจริงๆว่าคนตรงหน้าจะหายไป
เสียงฝีเท้าขยับเข้ามาใกล้จนปลายเท้าเราทั้งสองคนชิดกัน ตัวฉันถูกโอบกอดเบาๆจากด้านหน้า อัลฟองเซ่เอาคางมาเกยบนศีรษะ เขาหายใจเข้าออกเบาๆจนทำให้ฉันคลายกังวลลง
“ถึงเธอจะหลับตาฉันก็ยังจะอยู่ตรงนี้ อยู่กับเธอตรงนี้”
“ฉันจะเชื่อนายได้แค่ไหน”
“ฉันไม่คาดหวังให้เธอเชื่อหรอก แต่ขอให้รู้ไว้ ทุกอย่างที่ฉันทำไปมันออกมาจากตรงนี้” อัลฟองเซ่ดึงมือฉันให้ทาบกับหน้าอกข้างซ้ายของเขา “หัวใจ”
แรงเต้นตึกตักที่สัมผัสได้จากฝ่ามือทำให้ฉันต้องลืมตาขึ้นมา อัลฟองเซ่ขยับฉันให้ออกห่างแล้วส่งยิ้มให้บางๆ
“ฉันยังคงอยู่ที่เดิมนะ ^^”
ฉันย้ายมือจากหน้าอกของเขาเคลื่อนที่ไปสัมผัสที่แก้มของเขา อัลฟองเซ่หลับตาลงราวกับจะซึมซับสัมผัสนั้นได้ เขาเอื้อมมือมาทาบบนมือฉันก่อนหันหน้ามาจุมพิตบนมืออย่างแผ่วเบา
“นายทำร้ายฉันมากจริงๆ ความรู้สึกของฉันไม่มีทางเหมือนเดิม”
“ฉันเข้าใจดี”
“และมันแย่ เพราะฉันไม่สามารถไว้ใจนายได้ อัล” เสียงของฉันเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบเพราะคำพูดแสนเจ็บปวดของตัวเอง
“อืม ไม่จำเป็นต้องไว้ใจ ฉันยินดีที่จะยอมรับทุกอย่างถ้าหากมันจะทำให้ฉันได้อยู่กับเธอ”
“ฉันเจ็บปวด ฉันเสียใจมามากพอแล้ว นายจะไม่โกหกฉันอีกใช่ไหม”
“ฉันไม่เคยโกหกเธอแม้แต่ครั้งเดียว” หากลองนึกทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา ไม่มีสักครั้งที่เขาพูดโกหกฉัน แต่กลับเลือกที่จะไม่พูดถึงมัน
“สัญญากับฉันได้ไหม นายจะไม่หลอกลวงฉันอีก”
“สัญญา” อัลฟองเซ่ลืมตาขึ้นมาแล้วจุมพิตที่มือฉันอีกครั้ง “ฉันจะรักเธอ แค่เธอคนเดียวเท่านั้น”
น้ำตาไหลอาบแก้มอีกครั้ง แต่ความรู้สึกกลับต่างจากเมื่อกี้อย่างสิ้นเชิง อัลฟองเซ่โน้มหน้าประทับริมฝีปากอุ่นบนหน้าผากของฉัน เขาถอนริมฝีปากออกก่อนจะให้หน้าผากของเขาเข้าแทนที่ ลมหายใจร้อนที่ห่างฉันเพียงไม่กี่เซ็นต์ทำให้ฉันหลับตาลงเพราะหวั่นไหวในความใกล้เกินลิมิตนี้
โป๊ก!
“อ๊าก!”
ฉันตกใจจนลืมตาอย่างรวดเร็ว อัลฟองเซ่นั่งเอามือกุมหัวน้ำตาปริ่มอยู่ตรงหน้าฉันโดยที่ข้างๆมีกล่องยา และขวดยาตกเกลื่อนกลาด นี่มันอะไรกัน
“คืนดีกันแล้วก่ออย่ามัวแต่แจกออร่าแห่งความรักกระจายเกลื่อนกลาด”
“ไอ้วอด แกยังกล้าโผล่หน้ามาให้ฉันเห็นอีกเรอะ -*-” อัลฟองเซ่กัดฟันกรอดอย่างโกรธแค้น วอดก้าทำหน้าไม่ระหยี่กับสิ่งที่เกิดขึ้น และแน่นอนเขาเป็นคนปากล่องปฐมพยาบาลใส่อัลฟองเซ่จนต้องนั่งกุมศีรษะน้ำตาเล็ด
“ถ้ามีเวลามาโกรธแค้นฉันล่ะก็ แกรีบไปทำแผลให้ทะเลไม่ดีกว่ารึไง”
“ฮึ่ม! ไว้ฉันจะคิดบัญชีกับแกทีหลัง ทั้งเรื่องกล่องยานั่นและเรื่องทะเล”
“วุ่นวายจริง =_=;” วอดก้าบ่นกระปอดกระแปด ก่อนจะหันหน้ามาสบตากับฉัน เขาส่งยิ้มให้ก่อนขยิบตาแสนมีเสน่ห์กลับมา “ยังไงฉันก็อยู่ข้างเธอนะ ^_<”
ฉันถอนหายใจพร้อมกับระบายยิ้มออกมาบางๆอย่างโล่งอก ที่แท้ที่เขาพูดจาแปลกนั่นเพราะต้องการช่วยฉัน เขาเลยต้องยั่วโมโหอัลฟองเซ่สินะ
นั่นสินะ ฉันไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหัวใจของเขายังเต้นปกติทั้งๆที่กำลังบอกรักฉัน แม้จะไม่ชอบใจที่ฉันถูกหลอก แต่ก็รู้สึกโล่งอกอย่างประหลาดเมื่อรู้ว่าเขาไม่ได้คิดอะไรกับฉัน
“ขอบคุณมากนะ ^^” ฉันรู้สึกขอบคุณเขาจากใจจริง
“เธอติดหนี้ฉัน ^^” วอดก้าพูดแกมติดตลก แต่มันกลับทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ เหมือนกับว่าในวันข้างหน้าฉันต้องลำบากเพราะหนี้บุญคุณครั้งนี้ รึฉันคิดไปเองกันนะ =_=;
“เธอไปขอบคุณมันทำไม มันทำร้ายฉันนะ” อัลฟองเซ่ทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจ
“ขอบคุณที่เขาช่วยทำร้ายนายไง”
“เธอนี่ เฮอะ! เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยดีจริงๆนะ” อัลฟองเซ่เชิดปากขึ้นพร้อมน้ำเสียงประชดประชันที่ทำให้ฉันรู้สึกขำขันกับท่าทางเหมือนเด็กอนุบาลนั่น
ฉันคิดว่าอัลฟองเซ่คงไม่ได้โกรธเกลียดวอดก้าอย่างเขาพูดจริงๆ เพราะมันจริงเขาคงใช่กำปั้นคุยแทนจะนั่งโอดครวญอยู่บนพื้นแบบนี้
“แกเองก็ควรขอบคุณฉันนะ”
“เรื่องอะไรฉันต้องขอบคุณ แกกล้ามากที่มาแทงข้างหลังฉัน อย่านึกนะว่าฉันไม่ได้ยินเรื่องที่แกพูดกับทะเล -*-”
“ถ้าฉันไม่ทำแบบนั้น ชาตินี้แกก็คงจะไม่รู้ว่าเวลาต้องเสียคนรักมันเจ็บปวดขนาดไหน แล้วแกก็คงไม่เปิดใจถึงขนาดนี้”
“ไม่ต้องเอาเหตุผลอ้าง แกมันลอบกัด”
วอดก้าทำสีหน้าเบื่อหน่าย เขาถอนหายใจอย่างเซ็งๆแล้วหมุนตัวเดินกลับไป โดยไม่ลืมยกมือขึ้น ภาพด้านหลังของเขาช่างดูมีเสน่ห์จนน่าตกใจ
“ไอ้อัล รู้ไว้ซะว่าถ้าฉันรักทะเลจริงๆ ฉันไม่มีวันปล่อยทะเลแน่นอน”
“เคลียร์กันตอนนี้ บอกมาซะแกไม่ได้ชอบทะเลสักนิดเดียว” เสียงอัลฟองเซ่ดูจริงจังจนบรรยากาศเริ่มมาคุขึ้นมา วอดก้ายังคงไม่หันหน้ากลับมา แต่เท้าของเขากลับหยุดอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน
“ไม่ได้ชอบ” เสียงของวอดก้าที่เปล่งออกมาหลังจากเงียบไปนาน ทำเอาฉันเผลอถอนหายใจอย่างโล่งอก
“แกแน่ใจ!”
“อืม”
“ดีมาก ^O^” อัลฟองเซ่ยิ้มแย้มอย่างยินดี ฉันเองก็พลอยโล่งอกไปด้วย
“แต่รู้ไว้ซะว่าถ้าแกทำทะเลเสียใจเมื่อไหร่ คนที่ทะเลจะมาหาคนแรกคือ... ฉัน”
วอดก้าค่อยหันมาช้าๆ พร้อมกับเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ มุมปากของเขายกขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ การมองโดยหางตาเรียวคมนั่นทำให้รู้สึกเหมือนทุกอย่างถูกควบคุมไว้แล้วทั้งหมด เมื่อเทียบกับอัลฟองเซ่แล้วดูเหมือนรอยยิ้มของวอดก้าจะเหนือชั้นกว่ามาก
“แก!!!!”
“บายเพื่อนรัก ฮ่า ฮ่า ฮ่า” วอดก้ากระตุกรอยยิ้มอย่างร้ายกาจ ก่อนเดินจากไปพร้อมเสียงหัวเราะกวนประสาทที่ทำให้อัลฟองเซ่แทบคลั่ง
“เดี๋ยว! ไอ้วอด แก๊! -*-#”
อัลฟองเซ่กัดฟันแน่นพร้อมกับกำหมัดไว้แน่น ฉันหลุดหัวเราะเบาๆ เพราะการทะเลาะแบบเด็กๆของทั้งสองคนนานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้ยิ้มแบบนี้ หัวเราะแบบนี้ ในแบบที่ไม่ต้องฝืนตัวเอง อัลฟองเซ่เงยหน้ามองจนฉันต้องหุบยิ้มไป เขาส่งยิ้มให้ก่อนดึงมือฉันให้นั่งลงข้างก่อนเริ่มทำแผลให้ฉัน
ท่าทางเงอะงะของเขาที่กำลังพยายามทำแผลให้ทำเอาฉันระบายยิ้มบางๆไม่ได้
“อย่าขยับสิ ฉันพยายามทำเบาๆอยู่นะ ถ้าเจ็บก็อย่ามาร้องโวยวายทีหลังแล้วกัน”
“ฉันไม่ใช่เด็กๆที่จะร้องตอนทำแผลเล็กๆแบบนี้”
“เพราะงั้นไงละ ฉันถึงต้องเบาๆ เพราะเธอไม่เคยพูดอะไรออกมาเลยไม่ว่าจะเจ็บแค่ไหน”
“อัล”
“ต่อจากนี้ช่วยบอกฉัน บอกความรู้สึกของเธอ แสดงให้ฉันเห็นในทุกด้านของเธอ ไม่ว่าจะเรื่องเศร้าใจ เจ็บปวด หรือมีความสุข ช่วยบอกฉันที ^^”
“อืม” ฉันตอบรับเบาๆ ก่อนระบายยิ้มบาง
“ตอนนี้ เธอรู้สึกยังไง”
อัลฟองเซ่มองเข้ามาในดวงตาฉัน ซึ่งฉันเองก็มองเขากลับไปเหมือนกัน แววตาจริงที่ฉันไม่เคยได้เห็นมันมาก่อนบวกกับแววตาคาดหวังบางอย่างทำให้ฉันรู้สึกอยากแกล้งเขาขึ้นมานิดๆ
“ก็โอเคนะ” ฉันพูดด้วยท่าทางสบายๆ แต่อัลฟองเซ่กลับขมวดคิ้วเข้าหากัน ภาพคุ้นเคยทำเอาฉันเผลอยิ้มออกมา
“หมายความว่าไง ไอ้ที่ว่าโอเคเนี่ย มันดีหรือไม่ดีล่ะ”
“ก็แค่โอเคไง ^^” ฉันยิ้มอย่างขำขันในท่าทางผิดหวังของเขา
“อืม โอเคก็โอเค มันก็ยังดีกว่าเธอบอกว่ามันเลวร้ายละนะ ^^” อัลฟองเซ่วางแขนทั้งสองข้างลงบนไหล่ฉัน ก่อนยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “ถึงแม้ว่าฉันอยากจะได้ยินคำอื่นก็ตาม แต่แค่นี้ก่อดีมากแล้ว”
ทันทีที่หน้าผากของฉันและเขาชนกัน ลมหายใจร้อนขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แววตาอัลฟองเซ่ฉายประกายวิบวับอย่างน่าขนลุกจนฉันโพล่งหัวเราะออกมา เขาทำหน้าหงิกงอนิดหน่อยแต่ยังไม่ยอมขยับไปไหน
“รู้ตัวไหม เธอทำบรรยากาศเสียหมด”
“นายต่างหากที่ทำ แววตานั่นน่าขนลุกนะ” ฉันหัวเราะอย่างขำๆก่อนดันตัวเขาให้ออกห่าง อัลฟองเซ่หันหน้าหนีพร้อมกับเสยผมด้วยสีหน้างุ่นง่าน
“ให้ตายสิ” อัลฟองเซ่สบถกับตัวเอง เขาเอามือข้างหนึ่งมากุมหน้าที่กำลังแดงเรื่อๆท่าทางเหมือนคนกำลังผิดหวัง แต่ฉันกลับเข้าใจว่านั่นเขาคงกำลังเขินอาย
“อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมดังขึ้น ฉันหันไปมองตามก็พบว่าเป็นทิมโมธี
“ฉันเริ่มเบื่อละครพลังรักกลางทางเดินของแก และชักอยากจะแบ่งปันคนในมหาลัยได้เห็นแล้วละสิ ^^”
“ทางที่ดี ฉันว่าแกไปพลอดรักกันที่อื่นจะดีกว่า เพราะฉันเริ่มเมื่อยกับการกันคนขึ้นมาบนตึกนี้แล้ว =_=;”
คำพูดของทิมโมธีและดีลุกซ์ทำเอาฉันได้แต่ก้มหน้าหนีงุดๆด้วยความอาย ไม่เอะใจเลยสักนิดว่านี่เป็นทางเดิน เพราะไม่มีใครเดินผ่านมา ที่แท้ก็เพราะพวกเขาคอยกันผู้คนไว้นี่เอง
“ฮึ ^^”
อัลฟองเซ่ยิ้มยียวนก่อนดึงฉันเข้าไปจุ๊บแก้มเบาๆพร้อมกอดคอไว้แน่นราวกับจะประกาศตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ แล้วหัวเราะร่าเยาะเย้ยเพื่อนที่กำลังมองเขาด้วยสายตาเอือมระอา
“อิจฉาฉันใช่ไหมพวก วะฮ่า ฮ่า ฮ่า >O<”
ฉันมองการกระทำเหมือนเด็กขี้อวดของอัลฟองเซ่อย่างระอาใจ แต่ก็ไม่ได้คิดอยากจะลุกหนีไปไหน ความจริงสภาพตอนนี้ก็ไม่ได้แย่อะไรมากมายมั้ง(?) อัลฟองเซ่กำลังหัวเราะร่าขณะกำลังกอดฉันที่อยู่ในสภาพเลือดกลบปาก=_=; เราสองคนนั่งอยู่กลางทางเดินตึก โดยมีเพื่อนๆของเขาเฝ้าอยู่ตรงบันไดทั้งสองด้าน
ไม่ได้แย่มากมาย แต่เป็นทุเรศที่สุด เลวร้ายที่สุด
ความอลังการในชีวิตของฉันหายไปหมด เพราะผู้ชายคนนี้คนเดียว T_T
ความคิดเห็น