เรื่องจริง จากโรงเรียน อัญสัมชัญ - เรื่องจริง จากโรงเรียน อัญสัมชัญ นิยาย เรื่องจริง จากโรงเรียน อัญสัมชัญ : Dek-D.com - Writer

    เรื่องจริง จากโรงเรียน อัญสัมชัญ

    เรื่องจริงจาก ร.ร.อัสสัมชัญ เรื่องจริงจาก ร.ร.อัสสัมชัญ อ่านเถอะ ... แล้วจะกลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่ ......

    ผู้เข้าชมรวม

    650

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    650

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  11 ต.ค. 49 / 15:47 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับ "มิสอุไรพร"
      ครูที่มี จิตวิทยาสูง ในการสอนเด็ก
      รักใดไหนเล่าเท่ารักแม่...วีรกรรมสุดยิ่งใหญ่ของแม่ที่ลูกทุกคนต้องอ่าน!
      ตึกเซนต์หลุยส์มารี โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม ราวกลางปี
      พ.ศ.2539
      “มิสคะ ช่วงพักเที่ยงจะมีผู้ปกครองมารอพบสองท่านที่หน้าห้องรับรองค่ะ”
      โทรศัพท์แจ้งจากห้องประชาสัมพันธ์ทำให้มิสอุไรพร นาคะเสถียร
      ครูสาวประจำระดับชั้นป.4
      รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเพราะจำได้ว่ามีการโทรนัดหมายจะมาพบจากคุณแม่ท่านหนึ่งเพียงท่านเดียวในวันนี้
      เอ...ใครล่ะนี่ จะมีเรื่องอะไรรึเปล่านะ

      เมื่อมิสอุไรพรเดินมาถึงหน้าห้องประชาสัมพันธ์
      ครูสาวก็แทบยกมือรับไหว้จากสุภาพสตรีทั้งสองท่านไม่ทัน
      หากก็รู้สึกแปลกใจที่เห็นคุณแม่ท่านหนึ่งยกมือไหว้แต่เพียงแขนข้างเดียว
      อย่างไรก็ตามมิสได้เชิญคุณแม่ท่านแรก
      เข้าไปคุยก่อนตามลำดับการนัดโดยเก็บงำความแปลกใจไว้
      หลังจากคุยกับคุณแม่ท่านแรกเสร็จมิสจึงเชิญคุณแม่อีกท่านเข้ามาคุยในห้องรับรอง
      ภาพแรกที่ได้เห็นชัดๆทำให้ครูสาวตกใจเล็กน้อย
      แขนซ้ายของคุณแม่เป็นแขนเทียม คุณแม่มาปรึกษาเรื่อง
      การเรียนของลูก
      เพราะไม่ได้มาในวันนัดพบผู้ปกครองประจำปี
      เมื่อต้นปีการศึกษาที่ผ่านมา
      “ลูกเขาไม่อยากให้มา เขาว่าเขาอายที่แม่ใส่แขนเทียม
      กลัวโดนเพื่อนล้อแม่มาทีเพื่อนก็ล้อกันประจำว่าแม่แขนเดียว
      แม่เป็นหุ่นยนต์เหรอ อะไรนี่น่ะค่ะ เลยไม่ได้มา”

      น้ำเสียงของคุณแม่แฝงแววเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธหรือไม่พอใจ

      มิสอุไรพรขออนุญาตซักถามเกี่ยวกับสาเหตุที่คุณแม่ต้องใส่แขนเทียม
      เมื่อได้ทราบความจริงทั้งหมดครูสาวก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องจัดการเรื่องที่ลูก
      ไม่ยอมรับและไม่เข้าใจแม่นี้โดยเร็ว
      หากปล่อยเรื่องนี้ไป...ก็จะเป็นบาปอันหนักยิ่งติดตัวเด็กไปในภายหน้า
      ทั้งตัวลูกชายและคนที่ล้อเพื่อนด้วย
      ช่วงเย็นวันนั้นมีชั่วโมงลูกเสือแต่ฝนตกหนัก
      มิสอุไรพรจึงได้โอกาสนำเรื่องนี้มาเล่าให้นักเรียนฟังในห้องเรียน

      เรื่องราวที่ว่านั้น มีดังต่อไปนี้

      วันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2536

      หลังวันแม่เพียงไม่กี่วัน...ครอบครัวหนึ่งได้เดินทางไปเที่ยวนากุ้งที่จังหวัดสตูล
      ครอบครัวนี้ประกอบด้วยคุณพ่อ คุณแม่
      และลูกชายอีกสามคนพวกเขาเดินชมนากุ้งไปตามทางเดินซึ่งเป็นคันดิน
      ท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นของธรรมชาติ
      โดยคุณพ่อเดินนำหน้ากับลูกชายคนโตสองคนส่วนคุณแม่เดินตามหลังมากับลูกชายคนเล็ก
      ทางเดินที่เป็นคันดินนั้นมีการแบ่งเป็นท้องร่องเพื่อติดตั้งระหัดวิดน้ำ
      ซึ่งมีใบพัดทำจากเหล็กสูงจากคันดินราว 25ซม

      คุณพ่อและลูกคนโตสองคนก็ข้ามท้องร่องแล้วเดินนำต่อไปข้างหน้า
      ไม่มีใครฉุกใจคิดระวังถึงเหตุร้าย
      แต่แล้วลูกชายคนเล็กกลับก้าวพลาดล้มลงไปในท้องร่อง
      ขากางเกงเข้าไปติดกับร่องของระหัดวิดน้ำที่กำลัง

      หมุนอยู่และฉุดขาของลูกทั้งสองข้างเข้าไปในใบพัดเหล็ก

      “ถ้าเป็นพวกคุณ น้องตกลงไปอย่างนี้คุณจะทำอย่างไร”

      มิสหยุดเรื่องไว้ก่อนเพื่อซักถาม มองหน้าเด็กนักเรียน
      ทั้งห้องที่นั่งเงียบกริบ หน้าซีด โดยเฉพาะ “ลูกชาย”
      ของคุณแม่ท่านนั้น

      “ทุกคนตกตะลึงใช่มั้ย คิดไม่ทันใช่มั้ย

      แต่นักเรียนรู้มั้ยว่าคุณแม่ท่านตัดสินใจทำอย่างไร”
      คุณแม่ไม่ยอม เสียเวลาคิดอะไรเลย


      ท่านรีบยึดดึงตัวลูกเอาไว้แล้วเอาแขนซ้ายที่ว่างอยู่เข้าไปขวางใบพัดเหล็กไว้ก่อน...


      ใบพัดจึงหมุนเอาแขนของคุณแม่เข้าไป...คนงานที่เห็นเหตุการณ์รีบปิดเครื่องทันที

      แต่แรงเฉื่อยทำให้ใบพัดยังหมุนต่อด้วยกำลังแรง...แรงจนกระชากแขนซ้ายของคุณแม่ขาดสะบั้นลง
      !


      คุณแม่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสสติสัมปชัญญะดับวูบลงในทันที
      ท้องร่องทั่วบริเวณแดงฉานไปด้วยเลือด...เลือดของแม่...


      ใบพัดเหล็กยังหมุนต่อไปอีกเล็กน้อยและบดเอาขาทั้งสองข้างของลูกชายคนเล็กจนกระดูกหัก...
      แต่ไม่ขาด


      ไม่ขาด...เพราะแขนซ้ายของแม่ขาดแทน...ไม่ขาด...เพราะแม้จะไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ
      มือขวาของคุณแม่ก็ยังยึดตัวลูกเอาไว้แน่น...ไม่ยอมปล่อย...



      คุณพ่อและลูกคนโตทั้งสองคนหันกลับมามองตามเสียงตะโกนเอะอะโวยวายของคนงานพร้อมๆกับ
      เสียงกรีดร้อง
      ของคุณแม่ ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาช็อกจนแทบสิ้นสติ!
      คุณพ่อกระโจนพรวดเดียวถึงตัวคุณแม่และลูกน้อย แต่...มันสายเกินไปแล้ว!
      สิ่งเดียวที่ทำได้คือรีบพาสองแม่ลูกส่งโรงพยาบาลทันที

      ผลของการรักษาคือคุณแม่ต้องใส่แขนเทียมแทนแขนซ้ายที่ขาดไป


      ส่วนลูกคนเล็กที่ขาหักต้องอยู่โรงพยาบาลนานราวสามเดือนจึงสามารถเดินเหินได้เป็นปกติ
      มิสอุไรพรกวาดสายตามองไปรอบๆห้องถามขึ้นอีกว่า
      “นักเรียนคิดว่าคุณแม่ท่านนี้กล้าหาญมั้ยคะ”
      “กล้าหาญมาก” เด็กๆพากันตอบเป็นเสียงเดียวกันพลางพยักหน้า
      หลายๆคนยังหน้าซีดเซียวเมื่อนึกภาพเหตุการณ์ไปตามที่ครูเล่า
      มิสมองหน้า
      “ลูกชาย”

      ของคุณแม่แล้วบอกต่อว่า“นักเรียนทราบมั้ยว่าคุณแม่ท่านนี้เป็นคุณแม่ของเพื่อนเราในห้องนี้เองไหน
      ใครเป็นลูกของคุณแม่ท่านนี้ยืนขึ้นให้เพื่อนเห็นหน่อยสิ”
      เด็กนักเรียนคนนั้นยืนขึ้น ท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อนทั้งห้อง



      “วันนี้เมื่อคุณกลับไปบ้านมิสฝากเรียนคุณแม่ด้วยว่าพวกเราชื่นชมและยกย่องท่านมากจริงมั้ยพวก
      เรา”
      “จริงครับๆ ใช่ครับๆ” เสียงเล็กๆตอบมาเป็นทางเดียวกัน
      “มิสได้ทราบมาว่ามีหลายๆคนไปล้อเลียนเพื่อน ไหน
      คนไหนบ้างคะที่เคยล้อคุณแม่เขา ถ้ามีเราเป็นลูกผู้ชายต้องกล้ารับค่ะ”
      มีนักเรียน 3-4
      คนยืนขึ้น สีหน้าของ แต่ละคนซีดเซียวอย่างสำนึกผิด
      มิสอุไรพรมองหน้าของเด็กกลุ่มนี้อย่างอ่อนโยน ถามว่า
      “ดีมากนักเรียน ตอนนี้คุณคงอยากพูดอะไรกับเพื่อนใช่มั้ยคะ”
      เด็กชายกลุ่มนั้นเดินเข้าไปโอบกอดคอแล้ว
      กล่าวขอโทษเพื่อนด้วยความจริงใจ
      ครูสาวน้ำตาคลอ
      ยืนมองภาพนั้นด้วยความปลาบปลื้มยินดีหนักใจอยู่เหมือนกันว่าหากถามขึ้นมาแล้วไม่มีใคร
      ยอมรับว่าเคยล้อเพื่อน...จะทำอย่างไร?



      เธอไม่เคยผิดหวังในตัวนักเรียนอัสสัมชัญและจนถึงเวลานี้ก็ยังคงไม่ผิดหวัง
      ใครเล่า...จะเข้าใจความเจ็บช้ำ


      ขมขื่นในหัวใจเล็กๆของเด็กชายคนหนึ่งที่ถูกเพื่อนล้อเลียนประสาเด็กโดยไม่ทันคิด


      หากบัดนี้...ความรักของแม่และน้ำใจของเพื่อนได้สลายปมด้อยในใจของเด็กคนนี้ลงจนสิ้นแล้ว
      เหลือเพียงความรักและภาคภูมิใจในตัวคุณแม่เท่านั้น

      เมื่อหมดชั่วโมงเรียน มิสอุไรพรได้เรียกตัว “ลูกชาย”
      เข้าไปคุยอีกครั้ง
      “วันนี้เรามีอะไรในใจที่คิดว่าควรพูดกับคุณแม่มั้ยคะ”
      เด็กคนนั้นนิ่งคิดไปชั่วครู่ก่อนจะตอบเสียงสั่นปนสะอื้นไห้ว่า
      “ผม...ผมจะไปขอโทษคุณแม่
      แล้ว...แล้วบอกคุณแม่ว่าผมรักคุณแม่ที่สุดในโลกเลยครับ”

      รู้มั้ยน้ำนมหยดหนึ่งซึ่งไหลมาต้องใช้น้ำตาหยาดเหงื่อสักเท่าไหร่
      บอกแม่เถอะนะ บอกทุกวัน ว่ารักท่านมากมาย
      กอดแม่เถอะนะ ให้คุ้นเคย กอดเลยไม่ต้องอาย
      ก่อนไม่มีแม่ให้กอด... (เพลง ก่อนไม่มีแม่ให้กอด)

      คุยกับผู้เขียน


      เรื่องราวนี้ถ่ายทอดจากบทความหนึ่งของอัสสัมชัญสาส์นฉบับเดือนสิงหาคม
      พ.ศ. 2540 ซึ่งเขียนโดยมิสอุไรพร นาคะเสถียร



      เป็นเรื่องจริงของครอบครัวหนึ่งที่มิสบังเอิญทราบมาจากการได้พบคุณแม่ตามที่เล่าไว้



      บทความต้นฉบับเป็นการบรรยายเรื่องธรรมดาแต่ฉันนำมาเล่าใหม่โดยเขียนในลักษณะจำลองเหตุ
      การณ์ดังกล่าว



      ขึ้นมาเพื่อให้เห็นภาพและได้รับความประทับใจครบถ้วนตามเจตนารมณ์ของผู้เขียนเดิม



      ใครอยากทราบชื่อและนามสกุลของคุณแม่ท่านนี้สามารถไปค้นอ่านได้จากอัสสัมชัญสาส์นฉบับดัง
      กล่าว
      ทั้งนี้ผมขอไม่บอกไว้ ณ
      ที่นี้เพราะไม่ได้ขออนุญาตจากครอบครัวดังกล่าวว่าให้เปิดเผยได้
      เพียงนำเรื่องราวมาให้ได้ชื่นชมกันเท่านั้น

      ใครรักแม่...อ่านจบแล้ว...อย่าลืมไปกอดแม่นะครับ
      กอดแน่นๆ หอมแก้มซ้ายแก้มขวา หอมแล้วหอมอีก
      หอมหลาย ๆ ที...รักมากแค่ไหนหอมเข้าไปแค่นั้น

      บทความข้างต้นตัดย่อมาจากตอนที่ 79 ของนิยายเรื่อง
      "ใต้ร่มธงแดงขาว" ของผมเองนำมาโพสไว้เพราะคุยกับ
      คนอ่านหลายคนเห็นว่าน่าจะเอามาให้ได้อ่านกันให้ทั่วๆ
      ไม่สนใจนิยายผมไม่เป็นไร แค่ตอนนี้เท่านั้นที่อยากให้ได้อ่านกัน
      โดย team2005

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×