OS iKON : JUNHYUK ระหว่างเราคือ???
คนหนึ่งชัดเจนกับความรู้สึกแต่กลับทำอะไรให้ชัดเจนไม่ได้เมื่ออีกคนยังไม่ชัดไจนอะไรสักอย่าง
ผู้เข้าชมรวม
1,217
ผู้เข้าชมเดือนนี้
4
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เคยไหมกับสถานะที่คลุมเครือ อยู่ครึ่งๆกลางๆระหว่างเพื่อนกับแฟน หากคุณไม่เคยอยู่ในสถานะนี้คุณคงไม่เข้าใจหรอกว่ามันอึดอัดมากแค่ไหน อยู่ด้วยกันทุกวัน นอนกอดกันทุกคืน แต่ไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวของอีกฝ่ายเลย หลายคนคงคิดว่าแล้วทำไมผมไม่ถามอีกฝ่ายให้มันชัดเจนไปเลยล่ะ หึ…ก็เพราะถามไปแล้วคำตอบที่ได้คือ “ไม่รู้ว่ะ” ยังไงล่ะครับ ความสัมพันธ์ของผมกับเขา “กูจุนฮเว” ถึงได้คลุมเครืออยู่แบบนี้
“นั่งหน้าเครียดอีกแล้วนะมึง ทะเลาะกับจุนฮเวมาอีกแล้วดิ”ยุนฮยองถามขึ้นมา สงสัยมันเห็นผมนั่งนิ่งอยู่นานมั้งครับ
“เปล่าหรอก ไม่ได้ทะเลาะ”ผมตอบยุนฮยองไปตามจริง เราไม่ได้ทะเลาะกัน จุนฮเวมันก็ไม่ได้มีอาการคิดมากอะไรด้วยซ้ำ มีแต่ผมนี่แหละที่เป็นฝ่ายคิดมาก นั่งเครียดอยู่คนเดียว บางทีแบบนี้มันก็ไม่ยุติธรรมเลยนะครับ ว่าไหม
“แล้วทำหน้าเครียดทำไมวะ มึงมีอะไรก็บอกกูได้นะเว้ยสาวน้อย”
“สาวน้อยพ่องสิ!!”กร่นด่าพร้อมฟาดมือลงหัวมันไปแรงๆหนึ่งที โทษฐานที่มันเรียกผมว่าสาวน้อย ผมโคตรเบื่อเลยนะเวลาที่คนอื่นทั้งรุ่นพี่ รุ่นน้องแล้วก็ไอ้เพื่อนเวรทั้งหลายบอกว่าผมน่ารัก บอกว่าผมสวย เรียกผมว่าน้องสาวบ้างล่ะ สาวน้อยบ้างล่ะ พ่องเถอะ เห็นหน้าหวานแบบนี้ผมก็แมนนะครับ แม้ว่าผมจะชอบกูจุนฮเวซึ่งมันเป็นผู้ชายก็เถอะ…ผมชอบจุนฮเวแค่คนเดียว ไม่ได้ชอบผู้ชายได้ทั้งโลกซะหน่อย
“ฮ่าๆๆๆ ทำใจให้ชินได้แล้วมึงอ่ะ เกิดมาหน้าหวานก็ทำใจไปครับเพื่อน”
“ศัลยกรรมแมร่งซะดีไหม”
“ตลกเหอะ เป็นแบบนี้แหละดีแล้ว แล้วสรุปมึงเป็นไรวะ บอกกูได้ไหม”ยุนฮยองเอื้อมมือมาลูบหัวผมอย่างที่มันชอบทำ ไม่สิต้องบอกว่าอย่างที่หลายๆคนชอบทำถึงจะถูก ก็ไม่รู้ว่าหัวผมมันมีอะไรดีเหมือนกัน
“กูอยากบอก แต่กูบอกไม่ได้ว่ะ โทษที”ผมไม่ใช่คนที่ชอบเก็บอะไรไว้คนเดียวหรอกครับ อึดอัดจะตาย แต่กลับเรื่องนี้ ผมบอกใครไม่ได้จริงๆ เพราะมันไม่ได้เป็นเรื่องของผมคนเดียว…ก็ผมไม่รู้นี่นา ว่าจุนฮเวมันต้องการบอกสถานะที่มันบัญญัติไว้ว่า “ไม่รู้” ให้ใครคนอื่นได้รู้ไหม
“เฮ้อ งั้นเอาเป็นว่าสู้ๆแล้วกันนะ”ผมยิ้มให้ยุนฮยองพร้อมกับก้มมองนาฬิกา 19:30 ชิบหายแล้ว ผมรีบเด้งตัวขึ้น คว้ากระเป๋าแล้วบอกลาเพื่อนรักก่อนจะกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกไปทันที
“ไปก่อนนะมึง กูมีนัด”
“ทำไมมาช้าวะ”ทันทีที่ผมมาถึงที่หมาย คนที่นัดกับผมไว้ก็ถามขึ้นมาทันที แต่ผมไม่ได้ตอบกลับไปในทันทีหรอกนะ ขอเอาออกซิเจนเข้าปอดก่อนแล้วกัน ตอนนี้หอบจนแทบจะหายใจไม่ทันอยู่แล้ว
“มึงโอเคไหมเนี่ย หายใจเข้าลึกๆดิ”ท่อนแขนแกร่งของมันโอบประคองร่างผมไว้หลวมๆ ก่อนจะพาเดินไปนั่งยังม้านั่งที่ใกลที่สุด…พวกคุณรู้สึกถึงอะไรบางอย่างไหมครับ อะไรบางอย่างที่เรียกว่าห่วงใย อะไรบางอย่างที่แมร่งทำให้ผมรู้สึกว่ามากเกินกว่าเพื่อน
“กูค่อยยังชั่วแล้ว”
“แน่ใจ? พักอีกหน่อยไหม เดี๋ยวกูไปซื้อน้ำให้”ไม่ทันได้เอ่ยตอบอะไรออกไป ร่างสูงของจุนฮเวก็วิ่งปรู๊ดออกไปแล้ว ผมจึงปล่อยเลยตามเลย นั่งพักอีกหน่อยก็ดีเหมือนกัน นั่งรอไปได้สักพักอีกฝ่ายก็กลับมา มันเปิดฝา ใส่หลอดพร้อมยื่นขวดน้ำมาตรงหน้า ผมจึงเอื้อมมือหมายจะหยิบขวดมาถือไว้ แต่อีกฝ่ายกลับชักขวดหนีแล้วก็ยื่นมันมาจ่อแถวปากของผมแทน
“เดี๋ยวกูป้อน”ดูมันสิครับ…ก็เป็นซะอย่างนี้…
“เฮ้อ”ผมถอนหายใจออกมาก่อนจะใช้ปากงับหลอดแล้วดูดน้ำแก้กระหาย
“ถอนหายใจทำไม”
“ไม่มีไรหรอก ไปกันเถอะจะได้กลับหอเร็วๆ”ผมลุกขึ้นแล้วเริ่มออกเดินโดยมีมันเดินตามมาติดๆ ก่อนที่มันจะเดินมาขนาบข้างพร้อมกับวาดมือมากอดคอผมไว้
“มึงแปลกไปนะ กลับหอแล้วเรามีเรื่องต้องคุยกัน”เสียงกระซิบที่มาพร้อมกับลมอุ่นๆ ทำเอาผมเผลอสะดุ้งเบาๆ แล้วก็ได้แต่กร่นด่าคนข้างๆอยู่ในใจ
“หน้าแดงนะมึงอ่ะ”สองมือของผมตะปบเข้าที่สองข้างแก้มเพื่อปิดบังร่องรอยของอาการเขิน รู้อยู่หรอกว่าปิดตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว แต่จะเปิดโล่งให้อีกฝ่ายมันเห็นเดี๋ยวก็โดนล้ออีก
“ฮ่าๆ มึงนี่ ทำไมน่ารักจังวะ”เก่งจริงๆกับการทำให้คนอืนเค้าหวั่นไหวคิดไปไกล ทำขนาดนี้แล้วก็ช่วยชัดเจนกับกูหน่อยเถอะ มึงไม่รู้หรือไงว่าความรู้สึกดีที่เกิดขึ้นในสถานะคลุมเครือแบบนี้ มันเจ็บนะเว้ย!
“หน้าบูดใส่กูอีก อ่ะๆ ไม่แกล้งแล้วก็ได้ ไปหาของอร่อยๆกินกันดีกว่าเนอะดงดงอ่า”และผมก็ทำได้แค่เดินตามมันไป จนสุดท้ายก็มาหยุดที่หน้าร้านอาหารญี่ปุ่นที่เราชอบกิน ผมกับมันเดินเข้าไปนั่งโต๊ะในสุดซึ่งเป็นโต๊ะที่ดูมีความเป้นส่วนตัวมากสุดเช่นกัน รายการอาหารต่างๆก็เป็นจุนฮเวนั่นแหละครับที่จัดการสั่ง
“กี่ปีแล้วนะดงฮยอก”อยู่ๆจุนฮเวก็พูดขึ้นมา
“สามปีแล้วมั้ง”ผมตอบกลับไป
“อืม สามปีแล้ว”สามปีที่เราพูดถึง หากใครผ่านมาได้ยินคงนึกอิจฉา คิดว่าเป็นเวลาที่เราคบกัน แต่หารู้ไม่ มันไม่ใช่เวลาที่เราคบกันหรอกครับ ก็แค่ครบรอบสามปีที่เราอยู่หอเดียวกันก็เท่านั้น ซึ่งผมอยู่มาก่อนจากนั้นจุนฮเวก็เข้ามาเป็นรูมเมทของผม ผมอยากจะรู้จริงๆว่ามีใครนับวันครบรอบแบบนี้บ้าง ผมไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติที่รูมเมทคู่อื่นเค้าทำกัน
“กูโคตรมีความสุขเลยนะที่มีมึงอยู่ด้วยกันแบบนี้อ่ะ”
“แบบนี้คือแบบไหนหรอวะจุนฮเว”บางทีปากมันก็ไปเองนอกเหนือจากคำสั่งของสมอง เฮ้อ ทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกแท้ๆ พลาดแล้วดงฮยอกเอ๋ย
“….”
“ช่างมันเถอะ คิดซะว่ากูไม่ได้ถามอะไรแล้วกัน”
“เพราะเรื่องนี้ใช่ไหมวันนี้มึงถึงดูแปลกๆไป”จุนฮเวพูดพร้อมกับจ้องตาผมนิ่ง ผมสัมผัสได้ถึงความไม่เข้าใจในแววตาของเขา มันเล่นงานหัวใจของผมจนบีบรัดไปหมด มันดูเป็นเรื่องไร้สาระและเข้าใจยากสำหรับเขาขนาดนั้นเลยหรือ…สุดท้ายผมก็ทนไม่ไหวจึงมองไปทางอื่นเพื่อหนีสายตาคู่นั้น และความเงียบระหว่างเราก็เกิดขึ้นในทันที
“ขออนุญาติเสริฟอาหารค่ะ”พนักงานสาวเข้ามาทำลายความเงียบให้กับเราแต่หลังจากที่เธอเดินจากไปบรรยากาศน่าอึดอัดและความเงียบก็ทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง ผมไม่ชอบว่ะ…โคตรจะไม่ชอบเลย
“กูขอโทษนะ”ผมพูดเท่านั้นก่อนจะลุกเดินออกมา เสียงเรียกแว่วดังตามหลังมาแต่ผมไม่พร้อมจะหันกลับไปมองเจ้าของเสียงเรียกนั้น สุดท้ายก็เลยเดินจากมาเงียบๆ ผมรีบเดินออกมานอกห้าง โบกแท็กซี่แล้วบอกปลายทางกับคนขับไป ไม่นานนักเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ไม่ต้องดูเบอร์ก็รู้ว่าใครโทรมา เพราะเสียงเรียกเข้าเสียงนี้ผมตั้งมันไว้ให้กับเค้าคนนั้นโดยเฉพาะ ผมไม่ได้รับสายแต่ก็ไม่ได้ตัดสายเช่นกัน
“ไม่รับโทรศัพท์หรอไอ้หนู โทรมาหลายสายแล้วนะนั่น” อ่า ลืมไปเสียสนิทเลยว่าไม่ได้อยู่คนเดียว คุณลุงคงรำคาญเสียงจนทนไม่ไหวแล้วล่ะมั้ง ถึงได้ทักขึ้นมา
“อ่า ขอโทษทีครับ”ผมกดตัดสายก่อนจะปิดเสียงให้เรียบร้อย และเมื่อไม่มีเสียงใดรบกวนผมก็เริ่มจมกับความคิดของตัวเองทันที รู้ตัวอีกทีก็ถึงที่หมายเสียแล้ว ผมจ่ายเงินให้คุณลุงคนขับก่อนจะเดินขึ้นไปยังห้องเป้าหมาย จัดการเคาะประตูตามมารยาทไปสองสามที เจ้าของห้องก็ออกมาเปิดประตูให้
“อ้าว มึงมาทำไมวะ”
“คืนนี้กูขอนอนด้วยนะ”
--JH PART--
“ทำไมไม่รับสายวะ!”หงุดหงิดคือสิ่งที่ผมรู้สึกอยู่ในขณะนี้ เพราะอะไรน่ะหรอ เพราะผมโทรหาดงฮยอกไม่ติดไง ตั้งแต่ที่หมอนั่นลุกเดินออกจากร้านไปผมก็พยายามโทรหาตลอด แต่ไอ้ตัวเล็กนั่นแมร่งไม่ยอมรับสายสักที ผมเลยรีบกลับมาที่ห้อง ด้วยหวังว่าจะได้เจออีกฝ่ายแล้วคุยกันให้รู้เรื่อง แต่สุดท้ายห้องก็ว่างเปล่า ไร้เงาของดงฮยอก…ไปอยู่ไหนของเขาวะ!! คิดสิวะจุนฮเว คิดให้ออกสิวะ!!....ยุนฮยอง….ใช่ ยุนฮยองไง! ไม่รอช้า ผมรีบต่อสายหาเพื่อนสนิทของดงฮยอกทันที รอไม่นานก็ได้ยินเสียงจากปลายสาย
[ไงมึง]
“ดงฮยอกอยู่กับมึงใช่ไหม”ผมจดจ่อรอคำตอบจากอีกฝ่าย แต่ทว่าคำตอบที่ได้กลับมาทำเอาผมผิดหวัง
[หืม ไม่อยู่หนิ มันจะมาห้องกูทำไมล่ะ]
“อย่าล้อกูเล่นนะ กูขอความจริง”
“เอ้า กูก็พูดจริงอยู่นี่ไง ทำไมวะ มีปัญหาอะไรกันหรือปะ...”ผมขว้างมือถือลงบนเตียงอย่างหัวเสีย สองมือทึ้งผมตัวเองไปมาจนมันยุ่งเหยิงไปหมด ผมไม่เข้าใจว่าทำไมดงฮยอกต้องให้ความสำคัญกับสถานะขนาดนั้นด้วย แค่มีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ก็พอแล้วไม่ใช่หรอวะ สำหรับผม ผมไม่รู้หรอกว่าความรักที่ผมมีต่อดงฮยอกเป็นแบบเพื่อนหรือแฟน ผมบอกไม่ถูกเหมือนกัน ไม่รู้ว่ามันคือรักหรือแค่ผูกพัน ผมไม่รู้ ผมแยกไม่ออก ผมรู้แค่ว่าดงฮยอกเป็นความสุขของผม เป็นคนที่ผมอยากอยู่ด้วยไปนานๆก็แค่นั้น…
--DH PART---
“ลมอะไรพัดที่รักมาที่นี่วะครับ ทำไมไม่ไปนอนกับเมทมึงล่ะ”บ็อบบี้ถามขึ้นหลังจากที่มันพาผมเข้ามาในห้อง
“ไม่อยากเจอหน้าจุนฮเวตอนนี้อ่ะ ขอนอนด้วยแล้วกันนะ”
“ตามสบาย แต่อย่าลืมเคลียกันให้จบๆล่ะ ปล่อยทิ้งไว้นานระวังจะมองหน้ากันไม่ติด”
“อืม”ตอบรับงึมงำในลำคอก่อนจะปลีกตัวไปอยู่คนเดียวเงียบที่ระเบียงห้อง พอคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหัวค่ำทีไร ก็ได้แต่ถอนหายใจร่ำไป ไม่เอา ไม่คิดแล้ว ปวดหัวชะมัด ผมสะบัดไล่ความคิดทั้งหลายทิ้งไป ก่อนจะเดินไปหยิบกีต้าร์ในห้องของบ็อบบี้มานั่งดีดที่ระเบียงพร้อมร้องเพลงคลอไปเบาๆ ปกติเวลาที่ผมมีเรื่องไม่สบายใจผมมักจะหยิบกีต้าร์มาเล่น มันทำให้ผมลืมเรื่องต่างๆไปได้ชั่วขณะ สักพักบ็อบบี้ก็มานั่งเล่นเป็นเพื่อนซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างนิดหน่อยนะ
“หืม เสียงเปิดประตูนี่หว่า ใครมาวะ”เล่นไปได้สักพักใหญ่ เราทั้งสองก็ได้ยินเสียงกุกกักที่ประตูห้อง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงทักทายของเพื่อนสนิทอีกคน
“อ้าว ยุนฮยอง”บ็อบบี้พูดพร้อมกลับลุกเดินไปผู้มาใหม่ ผมเอ่ยทักทายยุนฮยองก่อนจะก้มหน้าดีดกีต้าร์ต่ออีกนิด แล้วเดี๋ยวจะไปสมทบกับบ็อบบี้และยุนฮยอง
“ไม่คิดจะเงยหน้ามองกันหน่อยหรือไง”ผมหยุดกึกทันทีเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เดี๋ยวนะ จุนฮเวมาได้ไง!
“….”
“พูดอะไรหน่อยดิวะ”
“แล้วจะให้พูดอะไรล่ะวะ!”ผมตอบกลับไป ก่อนจะลุกเดินหมายจะหนีไปให้พ้นๆหน้าของรูมเมท ต้องเข้าใจนะว่าผมยังไม่อยากเจอหน้าเขาในตอนนี้
“จะไปไหนอีก เลิกทำตัวไร้สาระได้แล้วน่าดงฮยอก”ไร้สาระ ช่วยบอกผมทีเถอะว่าเขาพูดคำนี้ออกมาจริงๆ! เหอะ! ผมไร้สาระหรอ เป็นเขามากกว่ามั้งที่ไม่เอาสาระอะไรเลย!!
“ถ้ากูไร้สาระนัก ก็เลิกยุ่งกันไปเลยสิ!!!”
--JH PART--
“รู้ตัวไหมว่ามึงพูดอะไรออกมา” ถามว่าโมโหไหมบอกเลยว่าโมโห แต่ไม่มากเท่าความเสียใจหรอก ดงฮยอกมันจะรู้ไหมว่าไอ้เลิกยุ่งของมันน่ะคือคำต้องห้ามสำหรับผม เพราะมันทำให้ผมรู้สึกเจ็บแปลบๆที่อกข้างซ้าย…
“….”มันเงียบก่อนจะก้มหน้ามองพื้น โอเค ผมจะใช้ความเงียบนี้สงบจิตใจแล้วลองเคลียกับดงฮยอกใหม่ดู ตอนนี้เลยกลายเป็นดงฮยอกเงียบ และผมก็เงียบ เราทั้งคู่เงียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่ไม่นานนักผมก็ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆของอีกฝ่าย และนั่นทำให้ใจของผมอ่อนยวบทันที ไม่อยากเห็นมันร้องไห้เลย ไม่เอาน่าอย่าร้องสิดงฮยอก ผมก้าวเข้าไปหามันก่อนจะกอดอีกฝ่ายเอาไว้
“ไม่เอาน่า อย่าร้องไห้สิ”มือข้างหนึ่งใช้ลูบหลังอีกข้างใช้ลูบผมของคนในอ้อมกอดเพื่อปลอบให้ไอ้ตัวเล็กหยุดร้องเสียที
“มึงแมร่ง”เสียงอู้อี้แว่วดังออกมาจากอ้อมอกของผม ดงฮยอกพูดออกมาพร้อมกับใช้กำปั้นทุบลงมาที่อก มันเจ็บนะ แต่ทำไมผมถึงยิ้มออกมาก็ไม่รู้
“ดงดงอ่า ห้ามพูดแบบนั้นอีกนะ กูเจ็บว่ะ”
“สมน้ำหน้า”อีกฝ่ายยังคงพูดพร้อมมอบกำปั้นให้ผมอย่างต่อเนื่อง เดี๋ยวได้ช้ำในตายกันพอดี
“หยุดทุบได้แล้ว ช้ำในหมดแล้วเนี่ย”
“ก็ดีสิ มึงไม่รู้หรอกว่ามึงทำกูช้ำมามากขนาดไหน มึงช้ำแค่นี้ไม่ตายหรอก”เพราะสถานะของเราอย่างนั้นหรอ สถานะที่ไม่ชัดเจนน่ะหรอที่ทำให้คนในอ้อมกอดคนนี้ต้องเจ็บช้ำ ดงฮยอกมันใส่ใจกับสถานะขนาดนี้เลยหรอ
“มึงต้องการสถานะที่แน่นอนขนาดนั้นเลยหรอวะ”
“อยู่ด้วยกันทุกวัน นอนกอดกันทุกคืน มึงแคร์กู กูแคร์มึง มึงอยากอยู่กับกูไปนานๆ กูก็อยากอยู่กับมึงไปนานๆเหมือนกัน ทุกอย่างที่เราทำมันมากกว่าเพื่อน มึงก็รู้ แต่มึงก็ยังบอกไม่ได้ว่าระหว่างเราคืออะไร…กูอยากจะคิดว่ามึงรักกูก็ทำไม่ได้เพราะไม่รู้ว่ามึงแมร่งคิดยังไงกับกูกันแน่ อยากจะรักมึงให้เต็มร้อยกูก็ต้องมานั่งเผื่อใจ อยากจะกันผู้หญิงทุกคนออกจากมึงกูก็ทำไม่ได้เพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกัน กูแมร่งเหมือนมีสิทธิ์ทำได้ทุกอย่างแต่เอาเข้าจริงก็ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรสักอย่าง…กูอึดอัดนะเว้ย ฮึก” ดงฮยอกระบายทุกอย่างออกมาจบก็สะอื้นอีกแล้ว ผมจึงเชยคางของเขาขึ้นพร้อมกับก้มหน้าจูบซับน้ำตาให้ หลังจากที่ผมรับรู้ความในใจทั้งหมดของดงฮยอก ผมล่ะนับถือในความชัดเจนของเขาจริงๆ เขาพูดออกมาอย่างเต็มปากว่าเขารักผม ในขณะที่ผมกลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมรักเขาแบบไหน ไม่รู้ว่ารักหรือแค่ผูกพัน แต่ตอนนี้ผมคิดว่าผมเริ่มรู้ขึ้นมาบ้างแล้วนะ แม้จะยังไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์แต่เพื่อให้คนในอ้อมแขนอยู่กับผมตลอดไปแล้วล่ะก็…
“ดงฮยอก เป็นแฟนกันนะ”
“มึงควรจะขอตั้งนานแล้ว ไอ้บ้าเอ้ย”
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อย่าคาดหวังกับฟิคนะจ๊ะ ฮ่าๆ ชั่ววูบนะบอกเลย แล้วก็แต่งแบบโนพลอตนะตัวเธอ
เปลี่ยนวิธีการบรรยายจากมุมมองบุคคลที่สามมาเป็นมุมของตัวละครด้วยนะเธอ เรื่องแรกที่เขียนแบบนี้
เพราะงั้นมันอาจาจะแปลกๆไปบ้างนะ เค้าไม่ถนัดอ่ะ
ส่วนที่มาของฟิคนี้เกิดจากเราฟังเพลงใจความสำคัญของ musketeers แล้วชอบมากกกก อยากแต่งเป็นฟิคสั้นสักเรื่อง
เลยออกมาเป็น junhyuk คือคู่นี้โมเม้นไม่มีนะ แต่เรารู้สึกฟินกับคู่นี้อ่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม 555555
ชอบไม่ชอบก็เม้นบอกกันด้วยเน้อ อยากจะรู้ว่ามีคนชอบคู่นี้ไหม ้ผื่อจะได้แต่งฟิคคู่นี้ออกมาอีก
ผลงานอื่นๆ ของ MaYMerRyy ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ MaYMerRyy
ความคิดเห็น