จดหมายของแม่ - จดหมายของแม่ นิยาย จดหมายของแม่ : Dek-D.com - Writer

    จดหมายของแม่

    แม้จะไม่มีอะไรทัดเทียมเพื่อนๆแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางจะต้องมีเงินให้ลูกไปกินขนมที่โรงเรียนเสมอตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยขาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว

    ผู้เข้าชมรวม

    159

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    159

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  26 ก.พ. 49 / 22:24 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


                 

      เสียงไก่ตัวแรกของหมู่บ้านโก่งคอขัน อันเป็นการให้สัญญาณการมาถึงของเช้าวันใหม่ สามชีวิตในกระท่อมหลังเล็กค่อยทยอยกันลืมตาตื่น “ แม่จ๋าๆหนูช่วยจ๊ะ” เ สียงของมะขิ่นสาวน้อยเสียงใส มะขิ่นเป็นเด็กสาวตัวเล็กๆ โดยเธอเป็นคนภาคอีสานแต่กำเนิด ซึ่งเธออยู่อาศัยกับแม่และยาย ส่วนพ่อของเธอเสียไปตั้งแต่เธอยังไม่ลืมตาดูโลก ทุกๆเช้าเธอต้องตื่นแต่เช้ามาช่วยแม่ของเธอหุงข้าว ทำกับข้าว ทำความสะอาดบ้าน และช่วยแม่และช่วยยายห่อขนมขาย โดยเธอไม่เคยปริปากบ่นเลยสักคำ จากนั้นเธอก็จะไปโรงเรียน ซึ่งเธอจะนำขนมที่ยายของเธอทำไปช่วยขายที่โรงเรียนด้วยทุกวัน ส่วนแม่ของเธอก็จะไปรับจ้างทำงานทุกอย่างที่มีคนจ้างไป แม้ว่าค่าแรงจะวันละไม่กี่บาทแต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ครอบครัวของนางมีกินในแต่ละวัน แม้ว่าจะยากลำบากยากแค้นสักเพียงใด นางก็จะสู้อดทนเลี้ยงดูลูกของนางให้ดีที่สุดเท่าที่นางจะทำได้ เงินทองที่หาได้ทุกวัน นางต้องมีเงินให้ลูกสาวไปกินขนมที่โรงเรียน ซึ่งเรื่องนี้นางไม่เคยทำเฉย ไม่ว่านางจะยากลำบากลำบนสักเพียงใด อย่างน้อยก็ต้องมีเงินให้ลูกของนางไปกินขนมที่โรงเรียนเหมือนเพื่อนๆ นางลองหลับตานึกภาพหากว่าลูกของนางไปโรงเรียนตัวเปล่า หลังจากกินข้าวกลางวันแล้ว และเพื่อนๆพากันไปซื้อขนมขบเคี้ยวมากิน ลูกสาวของนาง

      จะนั่งซึมขนาดไหน ลูกสาวของนางคงมองเพื่อนตาละห้อย ด้วยความอยากกินขนมเหล่านั้นยิ่งนัก แม้จะไม่มีอะไรทัดเทียมเพื่อนๆแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางจะต้องมีเงินให้ลูกไปกินขนมที่โรงเรียนเสมอตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยขาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว

      พอตอนเย็นหลังโรงเรียนเลิก“ แม่จ๋า ยายจ๋า หนูกลับมาแล้วจ๊ะ”

      มะขิ่น บอกกับแม่และยายของเธอ “วันนี้เรียนเป็นอย่างไรบ้างละลูก”แม่ของเธอถาม “ก็ดีจะแม่ อ้อ !แม่จ๋าวันนี้หนูได้รับทุนเรียนดีด้วยแหละจ๊ะ” “แม่ดีใจด้วยนะลูกรัก” แม่ของเธอบอก “หลานต้องตั้งใจเรียนอย่างนี้เสมอนะ โตขึ้นจะได้ทำงานดีๆ ได้เป็นเจ้าคนนายคน จะได้ไม่ต้องมาลำบากอย่างแม่และยายนะหลานเอ๊ย!” “จ๊ะยาย”มะขิ่นรับปากกับยายของเธอ “มะขิ่นลูกมากินข้าวเถอะกับข้าววันนี้มีน้ำพริกผักต้ม และโสนทอด ของโปรดของหนูไงลูก” “จ๊ะแม่ อร่อยมากเลยจ๊ะแม่จ๋า” หลังจากเธอ แม่และยายของเธอกินข้าวเย็นอิ่มแล้ว เธอก็เก็บสำรับเข้าไปในครัวและล้างจานเลยจะได้ไม่ต้องเป็นภาระในวันรุ่งขึ้น

      เสียงไก่ตัวแรกของหมู่บ้านโก่งคอขัน อันเป็นการให้สัญญาณการมาถึงของเช้าวันใหม่ สามชีวิตในกระท่อมหลังเล็กค่อยทยอยกันลืมตาตื่น “ แม่จ๋าๆหนูช่วยจ๊ะ” เ สียงของมะขิ่นสาวน้อยเสียงใส มะขิ่นเป็นเด็กสาวตัวเล็กๆ โดยเธอเป็นคนภาคอีสานแต่กำเนิด ซึ่งเธออยู่อาศัยกับแม่และยาย ส่วนพ่อของเธอเสียไปตั้งแต่เธอยังไม่ลืมตาดูโลก ทุกๆเช้าเธอต้องตื่นแต่เช้ามาช่วยแม่ของเธอหุงข้าว ทำกับข้าว ทำความสะอาดบ้าน และช่วยแม่และช่วยยายห่อขนมขาย โดยเธอไม่เคยปริปากบ่นเลยสักคำ จากนั้นเธอก็จะไปโรงเรียน ซึ่งเธอจะนำขนมที่ยายของเธอทำไปช่วยขายที่โรงเรียนด้วยทุกวัน ส่วนแม่ของเธอก็จะไปรับจ้างทำงานทุกอย่างที่มีคนจ้างไป แม้ว่าค่าแรงจะวันละไม่กี่บาทแต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ครอบครัวของนางมีกินในแต่ละวัน แม้ว่าจะยากลำบากยากแค้นสักเพียงใด นางก็จะสู้อดทนเลี้ยงดูลูกของนางให้ดีที่สุดเท่าที่นางจะทำได้ เงินทองที่หาได้ทุกวัน นางต้องมีเงินให้ลูกสาวไปกินขนมที่โรงเรียน ซึ่งเรื่องนี้นางไม่เคยทำเฉย ไม่ว่านางจะยากลำบากลำบนสักเพียงใด อย่างน้อยก็ต้องมีเงินให้ลูกของนางไปกินขนมที่โรงเรียนเหมือนเพื่อนๆ นางลองหลับตานึกภาพหากว่าลูกของนางไปโรงเรียนตัวเปล่า หลังจากกินข้าวกลางวันแล้ว และเพื่อนๆพากันไปซื้อขนมขบเคี้ยวมากิน ลูกสาวของนาง

      จะนั่งซึมขนาดไหน ลูกสาวของนางคงมองเพื่อนตาละห้อย ด้วยความอยากกินขนมเหล่านั้นยิ่งนัก แม้จะไม่มีอะไรทัดเทียมเพื่อนๆแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางจะต้องมีเงินให้ลูกไปกินขนมที่โรงเรียนเสมอตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยขาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว

      พอตอนเย็นหลังโรงเรียนเลิก“ แม่จ๋า ยายจ๋า หนูกลับมาแล้วจ๊ะ”

      มะขิ่น บอกกับแม่และยายของเธอ “วันนี้เรียนเป็นอย่างไรบ้างละลูก”แม่ของเธอถาม “ก็ดีจะแม่ อ้อ !แม่จ๋าวันนี้หนูได้รับทุนเรียนดีด้วยแหละจ๊ะ” “แม่ดีใจด้วยนะลูกรัก” แม่ของเธอบอก “หลานต้องตั้งใจเรียนอย่างนี้เสมอนะ โตขึ้นจะได้ทำงานดีๆ ได้เป็นเจ้าคนนายคน จะได้ไม่ต้องมาลำบากอย่างแม่และยายนะหลานเอ๊ย!” “จ๊ะยาย”มะขิ่นรับปากกับยายของเธอ “มะขิ่นลูกมากินข้าวเถอะกับข้าววันนี้มีน้ำพริกผักต้ม และโสนทอด ของโปรดของหนูไงลูก” “จ๊ะแม่ อร่อยมากเลยจ๊ะแม่จ๋า” หลังจากเธอ แม่และยายของเธอกินข้าวเย็นอิ่มแล้ว เธอก็เก็บสำรับเข้าไปในครัวและล้างจานเลยจะได้ไม่ต้องเป็นภาระในวันรุ่งขึ้น

      ครั้นรุ่งเช้า มะขิ่นก็ตื่นแต่เช้าไปช่วยแม่ของเธอทำงานเหมือนเคย “ โอ๊ย โอ๊ย” เสียงของยายมะขิ่นร้อง “ ยาย ยาย เป็นอะไรไปจ๊ะ” มะขิ่นถามยายของเธอ “ยายรู้สึกปวดหัวใจแทบจะระเบิดเลยลูก” ยายบอกมะขิ่น “ยายไปโรงพยาบาลกันเถอะ” มะขิ่นบอกกับยายของเธอ “แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายค่ารักษาละลูก” ยายของมะขิ่นบอก “ก็บัตรทอง30บาทไงละจ๊ะยาย ถ้าไม่พอยังไงก็เอาเงินที่หนูได้ทุนจากโรงเรียนก็ได้นี่จ๊ะ”

      ณ ที่โรงพยาบาล “ยายจ๋านั่งรอก่อนนะเดี๋ยวคุณหมอแสนใจดีเค้าก็จะมาตรวจยายแล้วนะ” “ อื้อ” ยายของเธอรับคำ จากนั้นคุณหมอก็มาตรวจและบอกว่ายายของมะขิ่นเป็นโรคหัวใจกำเริบ ต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เพราะอาการของยายเป็นมาก และในคืนวันนั้นเองยายก็จาก มะขิ่นไปอย่างสงบ

      ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา บ้านของมะขิ่นก็เงียบเหงามากกว่าเดิม ไม่มีเสียงเพลงของยายที่ร้องให้มะขิ่นฟังก่อนนอน ไม่มีเสียงตำหมากของยายที่มักจะดังขึ้นอยู่เสมอๆ ทุกๆอย่างมันช่างดูเงียบเหงาไปหมด มะขิ่นมักจะชอบเก็บตัวอยู่ในห้องเงียบๆคนเดียว โดยเธอจะตั้งใจอ่านหนังสือเป็นอย่างมาก เพื่อจะได้ทำงานดีๆตามที่ได้สัญญาไว้กับยาย เวลาออกไปไหน เธอก็มักจะนำหนังสือออกไปอ่านด้วยเสมอ “นี่นังมะขิ่น แกไม่ต้องอ่านหรอกหนังสือน่ะ

      ถึงแกอ่านไปมันก็แค่นั้นแหละ แกก็คงจะเป็นได้แค่คนทำงานรับจ้างเหมือนแม่ของแกแหละ เพราะแม่ของแกนะคงไม่มีปัญญาส่งเสียให้แกได้เรียนสูงๆได้หรอก นังมะขิ่นเอ๋ย” ป้าเจียกเศรษฐีประจำหมู่บ้านกล่าวดูถูกมะขิ่น “ แล้วป้าเจียกคอยดูนะมันจะต้องมีสักวันที่หนูจะทำให้ป้าเจียกเห็น หนูจะต้องมีฐานะที่ดีกว่านี้ มีการศึกษาที่สูงๆ” มะขิ่นตอบ ”เออแล้วข้าจะคอยดู” ป้าเจียกค้อนใส่มะขิ่น

      และตั้งแต่วันนั้นมะขิ่นก็ขยันอ่านหนังสือมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม จนในที่สุดเธอก็สามารถสอบชิงทุนไปเรียนต่อต่างประเทศได้สำเร็จ และวันสุดท้ายก่อนที่เธอจะขึ้นเครื่องบิน แม่ของเธอได้สั่งเสียเธอก่อนไปว่า”มะขิ่นลูกรัก รักษาเนื้อรักษาตัวดีๆนะลูก อย่าลืมนำใบปริญญามาอวดแม่นะลูก” หลังจากนั้นเธอและแม่ก็เขียนจดหมายเล่าถึงสารทุกข์สุขดิบหากันเรื่อยๆ โดยที่มะขิ่นไม่รู้เลยว่าแม่ของเธอป่วยเป็นโรคมะเร็ง จนในปีสุดท้ายที่เธอจะเรียนจบ

      ในวันหนึ่งขณะที่แม่ของเธอนอนหายใจรวยรินเพราะเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย แม่ของเธอได้ฝากจดหมายฉบับสุดท้ายให้แก่ป้าเนียม หญิงแก่วัยกลางคนซึ่งเปรียบเสมือนเป็นญาติของมะขิ่นคนหนึ่ง “พี่เนียมฉันฝากจดหมายฉบับนี้ให้มะขิ่นด้วยนะ” “เออ! เดี๋ยวข้าจะให้จดหมายมะขิ่นมันเอง” “ขอบใจนะพี่เนียม” หลังจากนั้นเธอก็สิ้นลมอย่างสงบในบ้านหลังนั้น

      อีก 2 เดือนข้างหน้ามะขิ่นก็จะกลับเมืองไทยแล้ว เธอได้มีแฟนเป็นชาวต่างชาติคนหนึ่ง ชื่อ เดวิด เดวิดนั้นขอมะขิ่นแต่งงานหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย แต่ขอให้เมื่อเธอแต่งงานกับเขาแล้ว เขาขอให้เธอใช้ชีวิตอยู่กับเขาในต่างแดน สำหรับมะขิ่นแล้วแม้ว่าเธอจะรักเดวิดมากแค่ไหน แต่เธอก็ไม่อาจผิดสัญญาที่ให้กับแม่และยายได้ เธอจึงเขียนจดหมายถึงเดวิดโดยภายในจดหมายมีใจความว่า

      ถึงเดวิดที่รัก

      ความรักของเราคงต้องถึงจุดหมายแล้วล่ะ ฉันไม่อาจยืนหยัดในความรักระหว่างเราได้ ไม่ใช่ว่าฉันไม่รักเธอนะ แต่ความรักของหนุ่มสาว ไม่อาจลบล้างคำสัญญาที่ฉันมีกับแม่และยายได้ ถ้าเธออยากให้ฉันอยู่ที่นี่ ฉันยิ่งทำให้เธอไม่ได้ ประเทศไทยเป็นดินแดนเกิดของฉัน ฉันคงทิ้งมันไปไม่ได้หรอกนะ ความเป็นไทยยังอยู่ในสายเลือดของฉันตลอดเวลาและไม่มีวันจางหายไปกับวันเวลา และอีกอย่าง ฉันก็เป็นนักเรียนทุนจากเมืองไทยต้องนำความรู้ที่ได้รับกลับไปพัฒนาประเทศ เพื่อตอบแทนคุณผืนแผ่นดินแม่ที่ให้ความรู้และอนาคตกับฉัน ขอโทษกับหัวใจของเธอ ฉันคงต้องบอกลา

      มะขิ่น หลังจากนั้นเธอก็กลับมาเมืองไทย ป้าเนียมนำจดหมายฉบับสุดท้ายของแม่มาให้ พร้อมบอกว่าแม่ของเธอเสียชีวิตแล้วแต่ฝากจดหมายฉบับนี้มาให้ เมื่อเธอเปิดอ่าน น้ำตาทั้งสองข้างของเธอก็ค่อยๆไหลมากขึ้น เธอคิดถึงแม่มาก ในเนื้อความจดหมายนั้นบอกว่า

      หลังจากนั้นเธอก็กลับมาเมืองไทย ป้าเนียมนำจดหมายฉบับสุดท้ายของแม่มาให้ พร้อมบอกว่าแม่ของเธอเสียชีวิตแล้วแต่ฝากจดหมายฉบับนี้มาให้ เมื่อเธอเปิดอ่าน น้ำตาทั้งสองข้างของเธอก็ค่อยๆไหลมากขึ้น เธอคิดถึงแม่มาก ในเนื้อความจดหมายนั้นบอกว่า

      มะขิ่นลูกรัก

      เมื่อลูกได้อ่านจดหมายฉบับนี้ แม่คงจากลูกไปแล้ว ที่แม่จากไปไม่ใช่ว่าแม่ไม่อยากรอดูความสำเร็จของลูกหรอกนะลูกรัก แต่เพราะว่าแม่เชื่อใจลูก แม่รู้ว่าถ้าลูกมีความตั้งใจจริง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ลูกหวัง ลูกต้องทำมันได้ด้วยมือของลูกเอง ถึงบนโลกนี้ลูกจะไม่เหลือใคร แต่แม่มั่นใจเสมอว่า ลูกรักของแม่จะต้องเข้มแข็ง เป็นคนที่มีคุณค่า สักวันลูกจะพบว่าความดีในตัวของลูก จะเป็นสิ่งค้ำจุนลูกเอง ขอให้ลูกรู้ว่าแม่รักลูกมาก มะขิ่นคนดีจะอยู่ในใจแม่ตลอดไป

      รักลูกมาก

      แม่

      เมื่อลูกได้อ่านจดหมายฉบับนี้ แม่คงจากลูกไปแล้ว ที่แม่จากไปไม่ใช่ว่าแม่ไม่อยากรอดูความสำเร็จของลูกหรอกนะลูกรัก แต่เพราะว่าแม่เชื่อใจลูก แม่รู้ว่าถ้าลูกมีความตั้งใจจริง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ลูกหวัง ลูกต้องทำมันได้ด้วยมือของลูกเอง ถึงบนโลกนี้ลูกจะไม่เหลือใคร แต่แม่มั่นใจเสมอว่า ลูกรักของแม่จะต้องเข้มแข็ง เป็นคนที่มีคุณค่า สักวันลูกจะพบว่าความดีในตัวของลูก จะเป็นสิ่งค้ำจุนลูกเอง ขอให้ลูกรู้ว่าแม่รักลูกมาก มะขิ่นคนดีจะอยู่ในใจแม่ตลอดไป

      รักลูกมาก

      แม่

      รักลูกมาก

      แม่

      มะขิ่นจึงเอามือค่อยๆบรรจงเช็ดคราบน้ำตาที่ไหลอาบแก้มทั้งสองข้างของเธอ

      หลังจากนั้น เธอจึงเดินหน้ามุ่งมั่นที่จะพัฒนาท้องถิ่นของเธอให้พัฒนายิ่งๆขึ้นไป โดยนำความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาจากต่างประเทศมาพัฒนาบ้านเกิดตนเอง แม้ว่าเธอจะเหนื่อยยากเพียงใดเธอก็ไม่เคยหยุด หรือท้อแท้หมดหวัง จนในที่สุดท้องถิ่นของเธอก็ได้กลายเป็นชุมชนดีเด่น ชาวบ้านทุกคนล้วนมีงานทำ มีความสามัคคีกัน เด็กๆทุกคนล้วนได้เรียนหนังสือดังใจหวัง รวมทั้งป้าเจียกที่เคยดูถูกเธอก็ยอมรับในตัวเธอด้วย และจากวันนั้นถึงจนวันนี้วันที่เธอเฝ้าพยายามมาตลอดก็ทำให้เธอหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง แม้ว่าเธอจะไม่ได้แต่งงานกับคนที่เธอรัก แต่เธอก็ภาคภูมิใจที่ได้ทำในสิ่งที่เธอทำเพื่อยาย แม่ และท้องถิ่นของเธอ

      ครั้นรุ่งเช้า มะขิ่นก็ตื่นแต่เช้าไปช่วยแม่ของเธอทำงานเหมือนเคย “ โอ๊ย โอ๊ย” เสียงของยายมะขิ่นร้อง “ ยาย ยาย เป็นอะไรไปจ๊ะ” มะขิ่นถามยายของเธอ “ยายรู้สึกปวดหัวใจแทบจะระเบิดเลยลูก” ยายบอกมะขิ่น “ยายไปโรงพยาบาลกันเถอะ” มะขิ่นบอกกับยายของเธอ “แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายค่ารักษาละลูก” ยายของมะขิ่นบอก “ก็บัตรทอง30บาทไงละจ๊ะยาย ถ้าไม่พอยังไงก็เอาเงินที่หนูได้ทุนจากโรงเรียนก็ได้นี่จ๊ะ”

      ณ ที่โรงพยาบาล “ยายจ๋านั่งรอก่อนนะเดี๋ยวคุณหมอแสนใจดีเค้าก็จะมาตรวจยายแล้วนะ” “ อื้อ” ยายของเธอรับคำ จากนั้นคุณหมอก็มาตรวจและบอกว่ายายของมะขิ่นเป็นโรคหัวใจกำเริบ ต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เพราะอาการของยายเป็นมาก และในคืนวันนั้นเองยายก็จาก มะขิ่นไปอย่างสงบ

      ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา บ้านของมะขิ่นก็เงียบเหงามากกว่าเดิม ไม่มีเสียงเพลงของยายที่ร้องให้มะขิ่นฟังก่อนนอน ไม่มีเสียงตำหมากของยายที่มักจะดังขึ้นอยู่เสมอๆ ทุกๆอย่างมันช่างดูเงียบเหงาไปหมด มะขิ่นมักจะชอบเก็บตัวอยู่ในห้องเงียบๆคนเดียว โดยเธอจะตั้งใจอ่านหนังสือเป็นอย่างมาก เพื่อจะได้ทำงานดีๆตามที่ได้สัญญาไว้กับยาย เวลาออกไปไหน เธอก็มักจะนำหนังสือออกไปอ่านด้วยเสมอ “นี่นังมะขิ่น แกไม่ต้องอ่านหรอกหนังสือน่ะ

      ถึงแกอ่านไปมันก็แค่นั้นแหละ แกก็คงจะเป็นได้แค่คนทำงานรับจ้างเหมือนแม่ของแกแหละ เพราะแม่ของแกนะคงไม่มีปัญญาส่งเสียให้แกได้เรียนสูงๆได้หรอก นังมะขิ่นเอ๋ย” ป้าเจียกเศรษฐีประจำหมู่บ้านกล่าวดูถูกมะขิ่น “ แล้วป้าเจียกคอยดูนะมันจะต้องมีสักวันที่หนูจะทำให้ป้าเจียกเห็น หนูจะต้องมีฐานะที่ดีกว่านี้ มีการศึกษาที่สูงๆ” มะขิ่นตอบ ”เออแล้วข้าจะคอยดู” ป้าเจียกค้อนใส่มะขิ่น

      และตั้งแต่วันนั้นมะขิ่นก็ขยันอ่านหนังสือมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม จนในที่สุดเธอก็สามารถสอบชิงทุนไปเรียนต่อต่างประเทศได้สำเร็จ และวันสุดท้ายก่อนที่เธอจะขึ้นเครื่องบิน แม่ของเธอได้สั่งเสียเธอก่อนไปว่า”มะขิ่นลูกรัก รักษาเนื้อรักษาตัวดีๆนะลูก อย่าลืมนำใบปริญญามาอวดแม่นะลูก” หลังจากนั้นเธอและแม่ก็เขียนจดหมายเล่าถึงสารทุกข์สุขดิบหากันเรื่อยๆ โดยที่มะขิ่นไม่รู้เลยว่าแม่ของเธอป่วยเป็นโรคมะเร็ง จนในปีสุดท้ายที่เธอจะเรียนจบ

      ในวันหนึ่งขณะที่แม่ของเธอนอนหายใจรวยรินเพราะเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย แม่ของเธอได้ฝากจดหมายฉบับสุดท้ายให้แก่ป้าเนียม หญิงแก่วัยกลางคนซึ่งเปรียบเสมือนเป็นญาติของมะขิ่นคนหนึ่ง “พี่เนียมฉันฝากจดหมายฉบับนี้ให้มะขิ่นด้วยนะ” “เออ! เดี๋ยวข้าจะให้จดหมายมะขิ่นมันเอง” “ขอบใจนะพี่เนียม” หลังจากนั้นเธอก็สิ้นลมอย่างสงบในบ้านหลังนั้น

      อีก 2 เดือนข้างหน้ามะขิ่นก็จะกลับเมืองไทยแล้ว เธอได้มีแฟนเป็นชาวต่างชาติคนหนึ่ง ชื่อ เดวิด เดวิดนั้นขอมะขิ่นแต่งงานหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย แต่ขอให้เมื่อเธอแต่งงานกับเขาแล้ว เขาขอให้เธอใช้ชีวิตอยู่กับเขาในต่างแดน สำหรับมะขิ่นแล้วแม้ว่าเธอจะรักเดวิดมากแค่ไหน แต่เธอก็ไม่อาจผิดสัญญาที่ให้กับแม่และยายได้ เธอจึงเขียนจดหมายถึงเดวิดโดยภายในจดหมายมีใจความว่า

      ถึงเดวิดที่รัก

      ความรักของเราคงต้องถึงจุดหมายแล้วล่ะ ฉันไม่อาจยืนหยัดในความรักระหว่างเราได้ ไม่ใช่ว่าฉันไม่รักเธอนะ แต่ความรักของหนุ่มสาว ไม่อาจลบล้างคำสัญญาที่ฉันมีกับแม่และยายได้ ถ้าเธออยากให้ฉันอยู่ที่นี่ ฉันยิ่งทำให้เธอไม่ได้ ประเทศไทยเป็นดินแดนเกิดของฉัน ฉันคงทิ้งมันไปไม่ได้หรอกนะ ความเป็นไทยยังอยู่ในสายเลือดของฉันตลอดเวลาและไม่มีวันจางหายไปกับวันเวลา และอีกอย่าง ฉันก็เป็นนักเรียนทุนจากเมืองไทยต้องนำความรู้ที่ได้รับกลับไปพัฒนาประเทศ เพื่อตอบแทนคุณผืนแผ่นดินแม่ที่ให้ความรู้และอนาคตกับฉัน ขอโทษกับหัวใจของเธอ ฉันคงต้องบอกลา

      มะขิ่น หลังจากนั้นเธอก็กลับมาเมืองไทย ป้าเนียมนำจดหมายฉบับสุดท้ายของแม่มาให้ พร้อมบอกว่าแม่ของเธอเสียชีวิตแล้วแต่ฝากจดหมายฉบับนี้มาให้ เมื่อเธอเปิดอ่าน น้ำตาทั้งสองข้างของเธอก็ค่อยๆไหลมากขึ้น เธอคิดถึงแม่มาก ในเนื้อความจดหมายนั้นบอกว่า

      หลังจากนั้นเธอก็กลับมาเมืองไทย ป้าเนียมนำจดหมายฉบับสุดท้ายของแม่มาให้ พร้อมบอกว่าแม่ของเธอเสียชีวิตแล้วแต่ฝากจดหมายฉบับนี้มาให้ เมื่อเธอเปิดอ่าน น้ำตาทั้งสองข้างของเธอก็ค่อยๆไหลมากขึ้น เธอคิดถึงแม่มาก ในเนื้อความจดหมายนั้นบอกว่า

      มะขิ่นลูกรัก

      เมื่อลูกได้อ่านจดหมายฉบับนี้ แม่คงจากลูกไปแล้ว ที่แม่จากไปไม่ใช่ว่าแม่ไม่อยากรอดูความสำเร็จของลูกหรอกนะลูกรัก แต่เพราะว่าแม่เชื่อใจลูก แม่รู้ว่าถ้าลูกมีความตั้งใจจริง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ลูกหวัง ลูกต้องทำมันได้ด้วยมือของลูกเอง ถึงบนโลกนี้ลูกจะไม่เหลือใคร แต่แม่มั่นใจเสมอว่า ลูกรักของแม่จะต้องเข้มแข็ง เป็นคนที่มีคุณค่า สักวันลูกจะพบว่าความดีในตัวของลูก จะเป็นสิ่งค้ำจุนลูกเอง ขอให้ลูกรู้ว่าแม่รักลูกมาก มะขิ่นคนดีจะอยู่ในใจแม่ตลอดไป

      รักลูกมาก

      แม่

      เมื่อลูกได้อ่านจดหมายฉบับนี้ แม่คงจากลูกไปแล้ว ที่แม่จากไปไม่ใช่ว่าแม่ไม่อยากรอดูความสำเร็จของลูกหรอกนะลูกรัก แต่เพราะว่าแม่เชื่อใจลูก แม่รู้ว่าถ้าลูกมีความตั้งใจจริง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ลูกหวัง ลูกต้องทำมันได้ด้วยมือของลูกเอง ถึงบนโลกนี้ลูกจะไม่เหลือใคร แต่แม่มั่นใจเสมอว่า ลูกรักของแม่จะต้องเข้มแข็ง เป็นคนที่มีคุณค่า สักวันลูกจะพบว่าความดีในตัวของลูก จะเป็นสิ่งค้ำจุนลูกเอง ขอให้ลูกรู้ว่าแม่รักลูกมาก มะขิ่นคนดีจะอยู่ในใจแม่ตลอดไป

      รักลูกมาก

      แม่

      รักลูกมาก

      แม่

      มะขิ่นจึงเอามือค่อยๆบรรจงเช็ดคราบน้ำตาที่ไหลอาบแก้มทั้งสองข้างของเธอ

      หลังจากนั้น เธอจึงเดินหน้ามุ่งมั่นที่จะพัฒนาท้องถิ่นของเธอให้พัฒนายิ่งๆขึ้นไป โดยนำความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาจากต่างประเทศมาพัฒนาบ้านเกิดตนเอง แม้ว่าเธอจะเหนื่อยยากเพียงใดเธอก็ไม่เคยหยุด หรือท้อแท้หมดหวัง จนในที่สุดท้องถิ่นของเธอก็ได้กลายเป็นชุมชนดีเด่น ชาวบ้านทุกคนล้วนมีงานทำ มีความสามัคคีกัน เด็กๆทุกคนล้วนได้เรียนหนังสือดังใจหวัง รวมทั้งป้าเจียกที่เคยดูถูกเธอก็ยอมรับในตัวเธอด้วย และจากวันนั้นถึงจนวันนี้วันที่เธอเฝ้าพยายามมาตลอดก็ทำให้เธอหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง แม้ว่าเธอจะไม่ได้แต่งงานกับคนที่เธอรัก แต่เธอก็ภาคภูมิใจที่ได้ทำในสิ่งที่เธอทำเพื่อยาย แม่ และท้องถิ่นของเธอ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×