อลเวงแห่งความรัก - นิยาย อลเวงแห่งความรัก : Dek-D.com - Writer
×

    อลเวงแห่งความรัก

    คนบ้า คนปากเสีย เป็นบอสที่ไม่เคยเข้าใจลูกน้องเลยคนที่ถือแฟ้มออกมาจากห้องรู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์ แต่เธอต้องข่มอารมณ์ไว้เพราะบอสที่เธอพูดถึงคือเพื่อนเก่าตอนมัธยมนี่เอง...อดทนไว้รัน อดทนไว้ ยังไม่ทันที่เธอจะนั่งโต๊ะ เสียงโทรศัทพ์บนโต๊ะก็ดังขึ้นอีก...

    ผู้เข้าชมรวม

    686

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    9

    ผู้เข้าชมรวม


    686

    ความคิดเห็น


    5

    คนติดตาม


    5
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    จำนวนตอน :  7 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  6 ก.ค. 63 / 06:00 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

        “ความสัมพันธ์ในออฟฟิศระหว่างชายหญิงเป็นสิ่งที่อันตราย” เสียงเจื้อยแจ้วของนฤมลดังลอยขึ้นมา หญิงสาวที่เด็กที่สุดในทีมออกแบบกำลังนั่งอ่านหัวข้อคอลัมน์ของเวปไซต์ชื่อดังที่มักจะเอาเรื่องในออฟฟิศมาเขียนเป็นประจำ ซึ่งคนในวัยทำงานก็มักจะชอบอ่านกันอยู่แล้ว ไม่ว่านักเขียนจะหยิบยกเรื่องอะไรก็ตาม อย่างอาทิตย์นี้ก็เช่นกันที่หัวข้อก็โดนใจคนวัยทำงานทั้งหลาย 
        “แล้วไงต่ออะเก๋ เล่าต่อสิ” วุฒิเพื่อนชายคนสนิทของนฤมลรีบเร่งทันทีที่เห็นว่าเพื่อนไม่อ่าน เขาเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่หน้าตาก็พอไปวัดไปวาได้ไม่ถึงกับหล่อมาก กำลังสนใจในสิ่งที่เพื่อนอ่านอยู่
        “ใจเย็นๆสิวุฒิมาเร่งแบบนี้ เก๋ก็อ่านไม่ได้ใจความนะสิ” ถึงเเม้จะเข้ามาทำงานกันได้ไม่นาน แต่ความสนิทสนมก็ทวีคูณขึ้นทุกวัน อาจเป็นเพราะต้องทำงานด้วยกันบ่อยๆ แถมบางงานก็ต้องอยู่ค้างคืนที่บริษัทด้วยซ้ำเวลาที่ลูกค้าเร่งมา 
        “เขาบอกว่า ความสัมพันธ์ในออฟฟิศเนี่ยเป็นเรื่องต้องห้าม ห้ามเลยนะที่จะมีแฟนอยู่ออฟฟิศเดียวกัน”
        “ทำไมอะ” 
        “ก็เพราะ...” นฤมลกำลังจะอ่านต่อแต่เธอก็เพ่งไปที่ตัวอักษรพร้อมกับทำปากจะอ่านต่อ
        “ก็เพราะ.....”
        “เพราะอะไรละเก๋” วุฒิเร่งเพื่อนอีกครั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายลังเลจะพูดออกไป หญิงสาวจึงทำหน้าขอโทษขอโพยก่อนจะพูดอีกครั้งหนึ่ง
        “เพราะว่าจะทำให้การทำงานของเราไม่คล่องตัว อาจมีการตกหล่นในเรื่องของงานได้ถ้าเกิดอีกฝ่ายทำอะไรผิดพลาด ก็จะเข้าข้างกันได้ง่าย เเม้กระทั่งการโกงบริษัท โดยเฉพาะถ้ามีอำนาจในฝ่ายบัญชี...” 
       “ไม่จริงหรอก ทำไมต้องฝ่ายบัญชีละ” วุฒิเกิดสงสัยจนต้องถามนฤมลออกไป เเต่คนที่กำลังอ่านอยู่ก็ไม่วางสายตาไปจากหน้าจอเพราะตนเองยังอ่านไม่จบ
       “ไม่รู้เหมือนกัน นักเขียนเขาเขียนมาแบบนี้เเล้วเก๋จะรู้มั้ยละ ในเมื่อยังอ่านไม่จบเลย” 
       “โชคดีที่พวกเราทำงานฝ่ายออกแบบ ถ้าคบกัน...ก็ได้นะ เรามาลอง...คบดูมั้ย” คนที่กำลังอ่านต่อต้องค่อยๆเลื่อนสายตามามองเพื่อน
       “ใครจะคบ..เราสองคนต้องเป็นเพื่อนกันจนวันตายย่ะ คบไปก็เท่านั้นเกิดทะเลาะกันได้ลาออกเเน่” ก่อนที่หญิงสาวจะมองเนื้อหาต่อ ก็ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงของรุ่นพี่ขึ้นมาเสียก่อน ทำให้ทั้งหมดหันไปมอง...พี่รัน
        “พี่รันคะ” นฤมลเรียกคนที่เพิ่งเดินเข้ามาต้องหยุดชะงักลงก่อนจะหันมามองรุ่นน้อง วรันลักษณ์ที่ควบตำแหน่งทั้งเลขาเเละผู้ช่วยผู้จัดการ หันมายิ้มอย่างเป็นกันเอง หญิงสาวคนนี้สวยคม ระดับหาตัวจับได้ยาก ทั้งผิวพรรณสีขาวบ่งบอกได้ว่าเป็นลูกคนจีน แต่หน้าตากับคมเข้มจนทำให้สวยเฉียบได้ทุกเวลาที่มอง หุ่นก็เรียวงามราวกับนางแบบที่หลุดมาจากแคสวอลค่อยๆเดินเข้ามาที่โต๊ะทำงานอย่างสง่างาม นฤมลนึกชื่นชมรุ่นพี่คนนี้ เพราะตั้งแต่ทำงานมาหญิงสาวไม่เคยโดนวรันลักษณ์ดุเลย มีเพียงกล่าวตักเตือนและให้คำสอน นฤมลเคยได้ข่าวมาว่าบ้านของรุ่นพี่คนนี้รวยมาก โดยที่ไม่ต้องมาทำงานที่นี้ก็ได้เพียงแต่หญิงสาวที่งดงามทั้งหน้าตาและจิตใจดีคนนี้ ไม่เคยคุยโว้โอ้อวดว่าบ้านรวยด้วยซ้ำ ไม่เหมือนกับใครบางคนในออฟฟิศที่ชอบโอ้อวดทั้งๆที่บ้านตัวเองไม่ได้รวย...น่าเบื่อ
         นี่เเหละที่เป็นข้อดีที่นฤมลยกให้วรันลัษณ์เป็นต้นแบบของการทำงาน เพราะดีกีรดีขนาดนี้จนเธอต้องให้คำนิยามไว้ว่า สวย เก่ง บ้านรวย นิสัยดี เเบบพี่รันมันมีอยู่จริงๆ ในโลกใบนี้...แค่ได้มองก็บุญตาเเล้ว
         “มีอะไรหรือเปล่าจ้ะ เก๋” คนถูกเรียกยิ้มเเย้มเเจ่มใส จนทำให้นฤมลอดยิ้มตามไม่ได้ วรันลักษณ์มองเด็กรุ่นน้องอย่างเก๋หรือนฤมลหญิงสาวรุ่นน้องประจำกลุ่ม เธอเป็นคนน่ารัก ผิวขาว ผมยาว รูปร่างเล็ก บอบบางน่าทะนุถนอม จนเป็นที่หมายปองของหนุ่มๆในออฟฟิศ แต่รุ่นน้องคนนี้ก็ไม่ใส่ใจใครเป็นพิเศษยกเว้นอย่างเดียวคือเรื่องงาน
         “ค่ะ พอดียังไม่ถึงเวลางาน เก๋เลยอยากชวนพี่รันมาอ่านคอลัมด้วยกันนะคะ มันเป็นเวปไซต์ที่เก๋ชอบเข้าไปอ่านกันคะ พี่รันลองฟังดูนะคะเดี๋ยวเก๋จะอ่านให้ฟัง”
         “คอลัม....”
         “ใช่ครับ พอดีเก๋เขาอ่านไม่จบซะที อาจเพราะเก๋เขาอยากรอให้พี่รันเดินเข้ามาเเล้วก็จะได้อ่านให้ฟังพร้อมๆกัน” หญิงสาวมองไปที่วุฒิก่อนจะมองกลับมาที่นฤมลเพื่อพยักหน้าอย่างเข้าใจ วรันลักษณ์จึงพูดขึ้นมา
         “ได้สิจ้ะ บอสยังไม่มา เก๋อ่านได้เลยจ้ะ เดี๋ยวพี่จะรอฟัง” เมื่อได้ยินเเบบนั้นคนอ่านก็มีกำลังใจทันที วุฒิมองเพื่อนพร้อมกับส่ายหน้า ถ้าเขาไม่รู้จักนฤมลจริงๆก็คงคิดว่าหญิงสาวอาจแอบชอบวรันลักษณ์ก็ได้ เพราะสีหน้าและท่าทางเเสดงออกชัดเจนแบบนี้ มันทำให้เขาอดหัวเราะเพื่อนไม่ได้ก่อนจะตั้งใจฟังว่านฤมลอ่านอะไรต่อ
        “ความสัมพันธ์ในออฟฟิศระหว่างชายหญิงเป็นสิ่งที่อันตราย เพราะว่าจะทำให้การทำงานของเราไม่คล่องตัว ถ้าเป็นเพื่อนร่วมงานก็ยังให้ช่วยเหลือกันได้ถ้างานมันยากเกินไป  เเต่ถ้าเกิดงานที่ทำผิดพลาดขึ้นมาก็จะทำให้โทษกันเองได้ง่าย แต่ถ้าพูดถึงระดับผู้บริหารกับรุ่นน้องจะทำให้เข้าข้างกันได้ง่ายเกินไป ถ้าเกิดอีกฝ่ายทำอะไรผิดพลาด ก็จะเข้าข้างกันได้โดยที่ไม่ยอมเเยะเเยกเรื่องงาน พี่รันว่ามันจริงไหมคะ” พออ่านจบได้แค่นั้นนฤมลก็หันไปถามรุ่นพี่ที่แอบปลื้ม โดยไม่ฟังความคิดเห็นของเพื่อนคนอื่นเลย
        “ความสัมพันธ์หรอ...” หญิงสาวนึกได้แค่นั้นก่อนจะปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในห้วงความคิด ที่เธอนึกขึ้นมาได้นั้นมันก็คือสิ่งที่เคยประสบพบเจอมาก่อนและไม่ใช่ใครที่ไหน นั้นก็คือตัวเธอเอง......
        พ.ศ. 2545
        “เรา...เราชอบนาย”
        “อะไรนะ เธอชอบเราหรอ แต่เราไม่ชอบ ยัยโง่ ” เสียงของเด็กชายที่ปฏิเสธขึ้นมา มันทำให้เด็กหญิงที่ถักหางเปียสองข้างน้ำตาซึม เเม้เธอจะอายุได้เพียงเเค่สิบสามปีแต่ก็เริ่มรู้แล้วว่าการแอบชอบใครสักคนมันเป็นยังไง เเละเมื่อได้มาอยู่โรงเรียนใหม่อย่างมัธยมต้นเเละมัธยมปลายใจกลางเมืองของกรุงเทพ เด็กหญิงก็พยายามตั้งใจเรียนมาตลอดเเต่สมองของเธอมันไม่ได้พัฒนาขึ้นเลย เเม้เธอจะพยายามเเล้ว จนกระทั่งเธอได้มาเจอเด็กชายคนหนึ่ง ความขยันเรียนก็ต้องเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ หลังจากที่ได้เรียนมาหนึ่งเทอม สายตาของเธอก็มีเเต่คนตรงหน้ามาตลอด และวันนี้เป็นวันที่เธอก็อยากจะบอกให้เด็กชายเข้าใจ เเต่เขาก็วิ่งหนีไปโดยไม่สนใจเธอเลยด้วยซ้ำ พร้อมกับคำที่พูดออกมาอย่างบาดหัวใจ เด็กหญิงเห็นได้เพียงด้านหลังที่เลือนลาง ก่อนที่จะร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายคนอื่น ถึงมันเป็นช่วงกลางวันที่เด็กๆต่างก็วิ่งเล่นกันอยู่ก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครสนใจใครเพราะกำลังสนุกสนานกันอยู่
        “ฮือ....ฮือ...ฮือ”
        “ชอบมันหรอ” เสียงของใครบางคนมี่ดังลอยขึ้นมา ทำให้คนที่ร้องไห้อยู่ต้องหยุดชะงักและมองไปยังต้นเสียง
        “นาย...นายรุท...นายมาแอบฟังหรอ” ศิวรุทธ์ยิ้มให้กับคนตรงหน้า ที่อย่างน้อยๆเธอก็ยังจำชื่อของเขาได้ แม้จะอยู่ห้องเดียวกันก็เถอะ
        “อืม พอดีฉันได้ยินว่าเธอ...บอกชอบไอ้ท็อป” คนพูดกอดอกและมองหน้าของเพื่อน ที่ตอนนี้เธอกำลังพยายามปาดน้ำตาอยู่
        “ทำไม...เราชอบเพื่อนนายไม่ได้หรอ” เด็กหญิงพูดออกไปพร้อมกับกอดอก แม้จะเพิ่งผ่านการร้องไห้มาเเต่เธอก็สามารถสั่งให้น้ำตาหยุดไหลได้ 
        “ชอบได้ ไม่มีใครว่าอะไรหรอก” วรันลักษณ์ได้ยินแบบนั้นก็คิดจะเดินหนี แต่ถูกเพื่อนร่วมห้องขวางทางไว้อยู่
        “ถอยไปนะ เราจะไปหาเพื่อนของเรา นายถอยไปเลย”
        “ฉันถอยเเน่ แต่จะบอกอะไรให้นะ” เด็กชายรุ่นเดียวกันทำหน้าตากวนใส่ จนทำให้วรันลักษณ์ถามออกไป
        “บอกอะไร”
        “เธอนะ...เรียนก็ไม่เก่ง หน้าตาก็ขี้เหร่ แถมยังจะบอกชอบเพื่อนเราอีก เขาเรียกว่าทั้งขี้เหร่ทั้งโง่เลยวะ ฮ่าๆ” คนพูดจบก็เเลบลิ้น ปริ้นตาใส่เด็กหญิงก่อนจะวิ่งหนีไป 
        “นายรุท กลับมานี่เลยนะ นายรุทมาว่าเราโง่หรอ นายรุทททท” กว่าเธอจะรู้ทัน คนที่ล้อก็วิ่งหนีไปไกลแล้ว ยังไงเธอก็ไม่ยอมหรอกนะที่จะเป็นตัวตลกของคนอื่น...ไม่ยอมเด็ดขาด
         เมื่อวิ่งตามไม่ทัน คนที่โดนว่ามาตลอดชีวิตกับรู้สึกว่าสิ่งที่ทุกๆคนเคยว่าเธอมามันช่างเสียดสี ดวงตาที่แข็งกร่าวของเธอเผยออกมาให้ว่าต่อไปนี้เธอจะไม่ยอมให้ใครมาว่า...ไม่ยอมอีกแล้ว
         “เด็กหญิงวรันลักษณ์  ณรงสิทธิ์ นี่จ้ะผลคะเเนนของเธอ” สมุดพกที่ยื่นตรงหน้าทำให้คนที่นั่งอยู่ต้องมอง ก่อนจะส่งยิ้มแบบเบาบางไปให้คุณครูตรงหน้า เด็กหญิงรับมาก่อนจะเปิดมันออกมาอ่าน 
         “ได้ที่ สามสิบหก วันนี้ก็ต้องอยู่เรียนพิเศษกับครูนะ เดี๋ยวครูจะโทรไปบอกคุณพ่อให้” น้ำเสียงของคุณครูอาจไม่ดุเท่าไร แต่ก็ทำให้ทุกสายตาในห้องจับจ้องมาที่เธอ เด็กหญิงจึงรีบพยักหน้าก่อนจะรีบปิดสมุดพกของตัวเองลง จริงอยู่ที่เธอเรียนไม่เก่งเลย มันทำให้เธอรู้สึกท้อแท้ทุกครั้งที่ต้องเเต่งตัวมาโรงเรียน แม้จะเป็นโรงเรียนเอกชนที่ดี มีครูติวพิเศษให้ทุกเย็นตลอดจนกระทั่งวันเสาร์ถึงวันอาทิตย์ มันก็ไม่ช่วยทำให้สมองของเธอดีขึ้นได้เลย เเละคนที่พอจะเป็นจูงใจให้เธอได้อย่างท็อปก็มาว่าเธอว่าโง่อีก เด็กหญิงอยากจะร้องไห้ออกมาเมื่อนึงถึงคำเมื่อกลางวันที่ท็อปพูดใส่หน้าเธอ
         ‘เเต่เราไม่ชอบเธอ ยัยโง่’
         ‘ยัยโง่’
         ‘ยัยโง่’
         ‘เธอนะ...เรียนก็ไม่เก่ง หน้าตาก็ขี้เหร่ แถมยังจะบอกชอบเพื่อนเราอีก เขาเรียกว่าทั้งขี้เหร่ทั้งโง่เลยวะ ฮ่าๆ’ เสียงของศิวรุทธ์ที่ดังขึ้นมาอีก ทำให้เด็กหญิงอยากจะหายไปจากตรงนี้ น้ำตาใสๆก็ไหลออกมาจนทำให้เธอต้องปาดน้ำตาและรีบวิ่งออกไป โดยมีสายตาของใครบางคนมองอยู่
         “เอ้ย ไอ้รุท แกมองอะไรวะ” ท็อปถามเพื่อนทันทีที่เห็นว่าคนที่นั่งข้างๆไม่ได้สนใจในคำพูดของเขาเลย 
         “หา เปล่า” เมื่อได้สติเด็กชายจึงนั่งมองสมุดพกของตนเอง ก่อนจะมองไปที่เดิม จนท็อปอดสงสัยไม่ได้
         “แกมองไปที่โต๊ะยัยโง่ของห้อง อย่าบอกนะโว้ยว่าแกชอบยัยรัน” พอได้ยินเพื่อนพูดแบบนั้น เด็กชายก็รีบแก้ตัวทันทีอย่างไม่รอช้า
         “จะบ้าหรอ ใครจะไปชอบยัยโง่นั้นได้ อีกอย่างยัยนั้นชอบแกไม่ใช่หรอวะ”
         “ไอ้รุท! อย่าเสียงดังไปสิวะ ข้าไม่ชอบที่ได้ยินเอ็งมาพูดแบบนี้” กลายเป็นท็อปที่ฉุดเฉียวแทน ก่อนที่จะเลิกคุยกับเพื่อนเเละหันไปมองสมุดพกของตนเอง ศิวรุทธ์เห็นเพื่อนเลิกพูดแล้วก็หันกลับไปมองที่เดิม ถ้าถามว่าเขาชอบวรันลักษณ์ไหม เรียกได้ว่าตลอดที่เรียนหนังสือกันมาก็คุยกันนับครั้งได้ ก่อนที่เขาจะมาแอบฟังว่าเธอคนนั้นเเอบชอบเพื่อนของเขาอยู่ ความจริงเขาไม่ตั้งใจฟังเลยด้วยซ้ำเพียงแค่มาเตะบอลเล่นอยู่แถวนั้นเเล้วก็ออกตามหาเพื่อนที่นัดกันไว้ กว่าจะเจอตัวไอ้ท็อปได้เขาก็ไปได้ยินการสารภาพรักแบบไม่ได้ตั้งใจ จะว่าไปเขาก็อดสงสารเธอคนนั้นไม่ได้...จะเป็นยังไงบ้างนะ
         ส่วนคนที่วิ่งออกมานอกห้องก็มานั่งร้องไห้อยู่ในห้องน้ำ เด็กสาวก้มหน้าร้องไห้อย่างสะอึ้นสะอื้น เธอเสียใจที่ตนเองตัดสินใจผิดพลาดที่ดันไปสารภาพรักกับคนแบบนั้น คนที่เธอแอบปลื้มมาตลอดหกปีกลับมาพูดใส่อย่างร้ายกาจ เขาเป็นเด็กชายที่หน้าตาน่ารัก เเละมีเด็กผู้หญิงมาชอบมากมาย จนเธอกลัว...กลัวว่าเขาจะไปชอบคนอื่น ถึงได้รีบมาบอก แต่สุดท้ายความคิดของเธอก็พังทลาย เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นออกมา ดวงใจดวงน้อยๆก็แตกสลาย
         ได้...เมื่อคนๆนั้นใจร้ายแบบนี้เธอก็จะไม่สนใจ เด็กหญิงคิดได้แบบนั้นเธอจึงปาดน้ำตาให้หมด วันนี้เธอจะร้องไห้แค่ครั้งเดียว และเธอสัญญาว่าจะไม่ร้องไห้อีกแล้ว ถ้าเปิดประตูออกไปจากห้องน้ำเธอจะต้องเป็นคนใหม่ เธอจะตั้งใจเรียนหนังสือ จะไม่สนใจต่อผู้ชายคนไหนอีกแล้วในโลกนี้ วรันลักษณ์ให้กำลังใจตัวเองก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นยืน ยังไงเธอก็จะเปลี่ยนตัวเอง จะไม่ยอมให้ใครมาว่าเธอได้อีกแล้ว
         เด็กหญิงจึงเอื้อมมือไปเปิดประตู พร้อมกับเดินออกไปด้วยขาที่มั่นคง ต่อแต่นี้ไปเธอจะไม่สนใจใครอีกแล้ว เธอจะสนใจเรื่องเดียวนั่นก็คือการเรียนหนังสือ...
     
          ภาพในความทรงจำที่ลอยขึ้นมา มันทำให้เธอจมไปกับความคิด ตอนนี้สิ่งที่เธอปราถนาก็ได้ทำตามเเล้ว เหลืออยู่เพียงเรื่องเดียวที่เธอยังไม่อยากทำนั้นก็คือ...การมีแฟน จริงอยู่ที่ตอนนี้เธอทั้งสวย ทั้งรวย เพียบพร้อมกับตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดี จึงทำให้มีผู้ชายเข้ามาสนใจมากมาย แต่จนเเล้วจนรอดเธอก็ไม่เคยสนใจพวกนั่นเลยอาจจะตั้งแต่สมัยเรียนเเล้วที่เธอมักจะโดนผู้ชายเข้ามาจีบ เธอยอมรับว่าเธอกลัว กลัวกับความสัมพันธ์ที่มันจะเกิดขึ้น กลัวว่าตัวเธอเองอาจจะไม่ดีพอสำหรับใครบางคน วรันลักษณ์จึงส่ายหน้าให้กับความคิดของตนเองก่อนที่จะมองงานตรงหน้า แต่ยังไม่ทันจะมองงานก็มีข่าวด่วนจากสำนักข่าวชื่อดังกระเด้งเข้ามาในหน้าจอของโทรศัทพ์ หญิงสาวจึงเอื้อมมือไปหยิบพร้อมกับเปิดดูก็พบว่าข่าวที่อ่านก็คืองานหมั้นหมายที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววันของศรศิลป์
           จริงอยู่ที่เธอไม่ได้สนใจใครมานานแล้ว แต่เมื่อหลายปีก่อนสีหน้าและท่าทางที่จริงจังของศรศิลป์มันกระเเทกเข้ามาที่ใจของเธอ วรันลักษณ์เองก็ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้ไม่ลืมใบหน้าอันหล่อเหลานั้นเสียที ทั้งๆที่ตอนนั้นมันก็เป็นแค่ข่าวเกี่ยวศรศิลป์ที่เป็นประธานรุ่นใหม่ไฟเเรงที่เข้ามาบริหารงานของบริษัท...รู้สึกว่าจะเป็นข่าวที่ศรศิลป์กวาดซื้อหุ้นบริษัททั้งหมดที่เคยเป็นของตัวเอง ให้กลับคืนไปอยู่กับของครอบครัวของเขาเหมือนเดิม ที่เมื่อก่อนชื่อบริษัทเก่าคือ บริษัท ประพงศ์ภรณ์ Designe จำกัด แต่พอศรศิลป์เข้ามาบริหารงานก็เปลี่ยนใหม่เป็น บริษัท PPP Designe จำกัด เพื่อบริหารงานให้ทันสมัยเเละก้าวหน้าระดับโลก และเธอก็เชื่อว่าเขาทำแบบนั้นได้ ช่างเป็นรายละเอียดที่เธอจดจำได้แม่นจำเสียจริง
           หญิงสาวพยักหน้าให้กับความคิดของตนเอง หลังจากนั้นมาเธอก็อดชื่นชมเขาไม่ได้ ที่ชายหนุ่มมีความมุ่งมานะในการทำงาน ทั้งหล่อ ทั้งรวย จนสาวๆทั้งประเทศเทใจให้ ก็แน่ละขนาดเธอยังอดปลื้มเขาไม่ได้เลย และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เธอได้เข้ามาทำงานอยู่ในออฟฟิศของเขา จนกระทั่งต้องมารู้ข่าวว่าเขากำลังจะหมั้นหมายกับผู้หญิงที่มาจากนามสกุลลูกผู้ดีเก่า...
           ตื้ด...ตื้ด
           เสียงโทรศัทพ์ตั้งโต๊ะดังขึ้น ทำให้เธอต้องรีบรับสายพร้อมกับเอาหูแนบไปที่ตัวเครื่องเพื่อรอให้คนปลายทางถามขึ้นมา 
           ‘คุณรัน อีกสิบห้านาทีช่วยเตรียมงานที่จะนำเสนอลูกค้าของอาทิตย์หน้ามาให้ผมตรวจสอบด้วยละ’
           “ได้คะ” เมื่อรับคำเสร็จ หญิงสาวก็วางสายโทรศัทพ์ก่อนจะมองไปที่งานตามที่เจ้านายสั่ง เมื่อนึกถึงคำว่าเจ้านายทีไรใบหน้าของเขาก็ลอยขึ้นมาทันที...ศิวรุทธ์
           ไม่รู้ว่าโลกจะกลมอะไรขนาดนั้น ถึงทำให้เธอต้องกลับมาเจอกับเขาอีกครั้ง ศิวรุทธ์เป็นเพื่อนวัยมัธยมที่พูดกันนับครั้งได้ แถมเขายังเคยล้อเลียนอีกว่าเธอเป็นทั้งยัยขี้เหร่เเละก็ยัยโง่ ถึงเธอจะเคยเคืองเขามาบ้าง แต่พอได้ต้องแยกย้ายกันไปเรียนมหาลัย เธอก็แทบจะไม่ได้เจอกับเขาอีกเลย...แม้จะเห็นตามข่าวสังคมก็ตาม
            จนกระทั่งกลับมาทำงานร่วมกัน ความโกรธในวัยเด็กก็หายไป มีแต่การทำงานของผู้ใหญ่ที่เข้ามาแทนที่ เขาจริงจังเวลาทำงานมากจนไม่เคยพูดถึงเรื่องวัยเด็กอีกเลย พอคิดได้เเบบนั่นเธอก็อดยิ้มไม่ได้ที่ตอนนี้เขาก็ต้องพึ่งเธอเเทบทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องการทำงาน ไม่น่าเชื่อว่าที่เขาเคยว่าเธอไว้ ต้องกลับคำเสียใหม่พร้อมกับคำชมที่ว่าเธอเป็นคนเก่งคนหนึ่งที่บริษัทต้องรักษาไว้
           หญิงสาวจึงรวบรวมงานก่อนที่จะตรวจสอบอีกครั้ง เพื่อให้ความมั่นใจว่างานที่จะเอาไปให้เจ้านายตรวจงานจะต้องไม่ผิดพลาด เมื่อตรวจเสร็จเรียบร้อยวรันลักษณ์ก็หยิบไอแพตที่มีงานอยู่ ก่อนจะเดินไปเคาะประตูเพื่อให้คนในห้องได้รู้ตัว
           ก็อกๆ
           “เชิญ” วรันลักษณ์จึงเดินเข้ามาก่อนที่จะเห็นว่าเจ้านายของตนกำลังนั่งอยู่ สีหน้าไม่ได้เเสดงออกมาว่าอะไร จนเธอต้องเอางานไปไว้ข้างหน้า ชายหนุ่มรับมาก่อนที่จะเปิดไอเเพตขึ้นดูเพื่อดูตัวเเบบของบ้าน สายตาของเขาตรวจไปทั่วในเรื่องของโครงสร้าง เเละการออกเเบบภายในอย่างละเอียด โดยมีหญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพร้อมกับอธิบายรายละเอียดให้เขาฟัง จริงอยู่ที่เธอทำงานกับเขามาหลายปีแล้ว เเต่ท่าทางของเขาก็ไม่เคยที่จะเจ้าชู้ประตูดินกับใครทั้งนั้น เเม้กระทั่งกับเธอ เขาก็ไม่เคยที่จะทำตาหวานใส่หรือจะจีบเธอเลยด้วยซ้ำ ซึ่งมันก็เป็นข้อดีที่ทำให้เธอรู้สึกสบายใจเวลาที่ต้องทำงานกับเขา
            หญิงสาวยกให้เขาเป็นเจ้านายที่ดีเเละก็เป็นแบบอย่างในการทำงาน ถึงเธอจะมารู้ทีหลังว่าบ้านของชายหนุ่มร่ำรวยก็ตอนที่เธออยู่มหาลัยเเล้ว รู้สึกเป็นช่วงที่กำลังจะขึ้นปีสองเพราะเห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์สังคมที่ลงข่าวอวยบริษัทยักษ์ใหญ่เกี่ยวกับการทำดีเพื่อสังคม และอีกไม่กี่ปีต่อมาเธอก็เห็นว่าบ้านของเขาล้มละลายจากบริษัทยักษ์ใหญ่ก็กลายไปตกอยู่ในมือของผู้ที่กวาดหุ้นทั้งหมด จนแทบจะไม่เหลืออะไรด้วยซ้ำเท่าที่เธอจะได้ในข่าวของหนังสือพิมพ์ ตอนนั้นเธอยอมรับว่ารู้สึกสงสารเขาไม่ได้พร้อมกับการหายหน้าหายตาไปจากข่าวสังคม วรันลักษณ์ก็ไม่ได้สนใจอีกเลย ตอนนั้นเธอเองก็ไม่ได้ติดต่อกับเขาเเล้วเลยไม่รู้จะปลอบใจเพื่อนเก่าคนนี้ได้อย่างไร จึงทำได้เพียงภาวนาขอให้เขาผ่านเรื่องเลวร้ายไปได้ 
            จนเธอได้มาทราบอีกทีก็ตอนที่มาสมัครงานที่บริษัทเก่าของเขา มันก็ทำให้รู้ว่าเวลาเพียงไม่กี่ปีครอบครัวของชายหนุ่มก็ฟื้นคืนมาได้เพราะศรศิลป์ก็คือพี่ชายเเท้ๆของศิวรุทธ์นั้นเอง ที่เข้ามาบริหารจนบริษัทอยู่ในกำมือของครอบครัวเดิม เเละมันก็คงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เธออยากมาสมัครงานที่นี้ ยอมเเม้กระทั่งลาออกจากที่ทำงานงานเก่าเพื่อมาทำงานที่นี้ หญิงสาวตั้งใจเข้ามาทำงานเพื่ออยากจะได้มาเจอคนที่ทำงานเก่งๆเเบบศรศิลป์ แต่ผลพลอยได้คือการมาเจอเพื่อนเก่าเเบบเขาด้วยและยิ่งต้องมาเป็นเลขาบวกกับผู้ช่วยผู้จัดการแล้ว เธอก็ต้องรีบคว้ามันไว้ก่อน พอเธอได้เข้ามาทำงานกับเขา เเล้วได้เห็นว่าเขาสุขสบายดีมันก็ทำให้เธอรู้สึกโล่งใจ ซึ่งตอนนี้เขาก็นั่งอยู่ตรงหน้าเพร้อมกับถามเรื่องงานอย่างเคร่งเครียด วรันลักษณ์ดีใจที่เพื่อนของตนผ่านพ้นเรื่องเลวร้ายมาได้ 
             “ยิ้มอะไร” คำถามของเขาทำให้คนที่เหม่อลอยอยู่ต้องปรับสีหน้าทันที หญิงสาวจึงรีบตอบเขาทันที ยิ่งได้เห็นสายตาเเบบนั้นยิ่งทำให้หล่อนรู้สึกเกรงใจ
             “เป...เปล่าคะ พอดีกำลังคิดเรื่องอะไรนิดหน่อย บอสมีอะไรจะเพิ่มเติมอีกไหมคะ”
             “ไม่มีนะ ผมไม่มีอะไรจะเเก้หรือว่าปรับเปลี่ยนตรงไหน เพราะงานที่คุณทำมาให้มันก็ดีเเทบทุกอย่าง” ชายหนุ่มส่งไอเเพตให้หญิงสาว ก่อนจะนั่งพิงเก้าอี้ด้วยท่าทีสบาย จนทำให้คนที่ถูกชมต้องรับคำอย่างเสียไม่ได้
             “ขอบคุณคะ” 
             “พรุ่งนี้ผมมีนัดอะไรไหม พอดีจะให้คุณช่วยเคลียร์ให้หมด พอดีมีงานด่วนผมต้องบินไปต่างประเทศพรุ่งนี้” 
              “งานด่วน...งานด่วนอะไรหรอคะ พอดีไม่มีตารางที่ฉันจัดไว้ให้นะคะ” 
              “อ้อ พอดีเลขาทางนู้นเขาส่งเข้าเมลผมมาเลยนะ เลยไม่ได้ผ่านคุณ ยังไงช่วยจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินให้ด้วยนะ” 
              “ค่ะ” 
              “สรุปแล้วพรุ่งนี้มีงานอื่นอีกมั้ย ถ้ามีอย่าลืมเคลียร์ให้ผมด้วย” 
             “มีคะ พรุ่งนี้งานหมั้นของท่านประธาน บอสจะไม่ไปร่วมงานหรอคะ” เหมือนเเววตาของเขาจะเศร้าลงจนทำให้เธอเห็นได้ชัด เเต่วรันลักษณ์ไม่พูดอะไรนอกจากลุกขึ้นยืนเพื่อรอรับคำสั่ง
             “‘งานหมั้นหรอ...” 
             “ค่ะ” เธอไม่รู้หรอกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เเต่ที่รู้ๆเหมือนเธอจะพอเดาคำตอบของเขาได้ หญิงสาวจึงได้เเต่ยืนสงบพร้อมกับรอคำตอบจากเขา
             “ผมว่า...ผมไม่อยู่น่าจะดีกว่า ยังไงถึงผมไม่ไปร่วมงานพี่ศรก็น่าจะหมั้นกันได้ คุณไปอยู่เเล้วไม่ใช่หรอ ช่วยเรียนคุณเเม่ให้ทราบด้วยนะ” ราบเรียบ...เธอรู้สึกแบบนั้น ถึงหน้าตาของเขาจะไม่ได้เเสดงอะไรออกมา เเต่เธอก็พอจะเดาออกอยู่บ้างเนื่องจากทำงานกับเขามาหลายปี
             “ได้คะ งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ” 
             “เชิญเถอะ” หญิงสาวรับไอแพตมาพร้อมกับเดินไปที่ประตู แต่ยังไม่ทันจะเอื้อมมือไปเปิด ก็เหมือนประตูจะมีเเรงดันเข้ามาเองเสียก่อน คนที่เปิดประตูเข้ามาเป็นหญิงสาวรูปร่างผอมบาง ผิวสวย ผมยาวดำขลับ จนถึงกลางหลัง ใบหน้าแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางค์ชั้นดีที่ทำให้คนที่สวยอยู่แล้วดูเปรี้ยวได้ถนัดตา ยิ่งลิปสติกสีเเดงที่ฉาบอยู่บนปากก็บ่งบอกได้ทันทีว่าเธอคนนี้เเซ่บแค่ไหน วรันลักษณ์แทบจะไม่ต้องเดาเลยว่าเธอตรงหน้ามาหาใคร ยิ่งเข้ามาแบบไม่มีมารยาทด้วยแล้วก็คงไม่พ้นมาหาเจ้านายของเธอ
             “อ้าว...คุณผู้ช่วยนี่เอง สวัสดีคะ” นางแบบสาวทักทายเสร็จก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาเป้าหมาย วรันลักษณ์มองตามก่อนที่จะพยักหน้าให้กับศิวรุทธ์ 
             หญิงสาวเดินออกมาจากห้องทำงานของเขาก่อนที่จะนั่งลงที่เก้าอี้ของตัวเอง เธอรู้ว่าเจ้านายของตนคบหากับนางแบบและดาราดังมาหลายคน แต่ส่วนมากก็เหมือนจะไปกันไม่รอด บางคนคบได้เพียงเเค่หกเดือนเท่านั้นก่อนจะแยกย้ายกันไป เธอจะไปรู้อีกทีก็เมื่อมีข่าวซุปซิบนินทาของเหล่าดาราออกมาตามเพจดังๆ โดยส่วนมากฝ่ายหญิงจะออกมาให้สัมภาษณ์ว่า...ความคิดไม่ตรงกัน หรือไม่ก็ไปกันไม่ได้บ้างเเหละ...ล้านเหตุผล
             วรันลักษณ์ทำได้เพียงมองไปที่บานประตูของเขาก่อนจะตั้งใจทำงานอีกครั้ง เธอต้องรีบเคลียร์ให้เสร็จก่อนที่จะเจ้านายของตนจะบินไปเมืองนอก ไหนจะเคลียร์เรื่องตารางงานของศิวรุทธ์อีก...งานช่างยุ่งดีเเท้
             “นั้นหรอคะ ผู้ช่วยของคุณ...” คนโดนถามเงยหน้ามองด้วยความสงสัย เขาไม่นึกว่าคู่ขาของเขาคนนี้จะถามขึ้นมา พร้อมกับเว้นประโยคไปเสียนานก่อนที่เขาจะต้องเอ่ยถาม
             “มีอะไรหรอ”
             “อ้อ เปล่าคะ แค่อยากชมว่าสวยดีแต่อาจสู้เจนนี่ไม่ได้ จริงไหมคะ” จินลดายกตัวเองเทียบกับผู้หญิงที่เพิ่งเดินออกไปอย่างไม่กระดากปาก ก่อนที่จะเอามือกอดอกเพื่อภูมิใจกับความสวย ที่หญิงสาวดูแลด้วยเครื่องประทินผิวต่างๆมากมาย ไหนจะต้องบินไปเสริมที่เกาหลี เพื่อไปให้คุณตบๆแปะๆให้เข้ารูป เท่านี้ก็หมดไปหลายล้านเเล้วกว่าจะสวยได้ขนาดนี้ คำพูดของเธอที่หลุดออกมานั้นมันทำให้คนตรงหน้าอดที่จะส่ายหน้าไม่ได้...ว่าเขานะพอจะรู้อะไรมาบ้าง
            “คุณจะพูดแค่นี้หรอ”
            “ค่ะ เจนนี่แค่สงสัย ทำไมคุณรุทไม่เอาคุณผู้ช่วยมาเป็นคู่ขาละคะ ออกจะดูดีขนาดนั้น” เธอพูดเพื่อลองใจของเขา ความจริงเธอตกลงกับเขาไว้ว่าจะไม่เป็นอะไรทั้งนั้นนอกจากคู่ขาของกันเเละกัน เเล้วถ้าเธอกับเขาเจอคนที่ถูกใจก็ต่างแยกย้ายกันได้เลย แต่คงยกเว้นเธอที่อยากได้เขามาเป็นสามี...คงอีกไม่นาน
             “เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ” เขาก้มหน้าทำงานต่อโดยไม่สนใจว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าจะพูดอะไร หล่อนก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาก็แค่เอาไว้ประดับข้างกายเวลาออกงานสังคม พร้อมกับไว้เป็นเพื่อนนอนเวลาที่ต้องการ
             “ก็ได้คะ” คนโดนขัดรู้สึกไม่พอใจแต่ก็ยังเก็บอารมณ์ไว้ เธอหน้าเง้าหน้าง้อพร้อมกับหยิบโทรศัทพ์ขึ้นมาเล่น แต่สายตาของเธอก็ยังไม่วายที่จะมองคนตรงหน้า ที่ตอนนี้เขาเเทบจะไม่สนใจเธอเลยด้วยซ้ำ
              ผิดกับคนที่ก้มหน้าทำงานที่ตอนนี้ใจของเขากับคิดไปถึงผู้หญิงอีกคน เธอคือคนรักเก่าที่กำลังจะมีข่าวดีในเร็ววัน เธอเป็นคนที่เขาลืมไม่ได้เเละพอได้มาเจอกัน มันยิ่งทำให้ความทรงจำเก่าๆยิ่งผุดออกมา แม้เขาอยากจะลืมเท่าไรคงทำไม่ได้ พอต้องมาเจอหน้ากันแบบนี้ยิ่งตอกย้ำว่าเขารักเธอมากแค่ไหน ชายหนุ่มลบความคิดออกไปก่อนจะสนใจงานตรงหน้า ทุกวันนี้ถึงแม้เขาจะมีผู้หญิงข้างกายมากมาย แต่กลับไม่เคยจริงจังกับใครสักคน จนมารดาเริ่มเป็นห่วงว่าเขาอาจไม่ลงหลักปักฐานกับใครทังนั้น จึงหมั่นหาหญิงสาวลูกผู้ดีมาให้ดูตัวอยู่สม่ำเสมอ จนเขาต้องเปิดอกคุยกับผู้เป็นเเม่อยู่หลายครั้งว่ายังไงเขาก็ไม่ชอบ
              ชายหนุ่มรู้สึกปวดหัวทุกทีที่เห็นความตั้งใจของมารดา เเต่เขาเองก็ต้องปฎิเสธทุกครั้ง เวลาที่คุณนายเกศรินมาพูดเรื่องนี้ยิ่งทำให้เขาปวดหัวตลอด เมื่อคิดไปก็เท่านั้น สู้เขานั่งทำงานให้สบายใจดีกว่าที่จะตั้งคิดเรื่องไร้สาระพวกนั้น ในเมื่อการหาคู่ชีวิตมันยากเย็นนักมันก็สมควรเเล้วละที่เขาจะไม่คิดเรื่องนี้อีก
             ‘รุท ทำไมเเกถึงได้ดื้อเเบบนี้ เเค่ไปดูตัวน้องลูกคุณหญิงพิมลเท่านั้นเอง’
             ‘ไม่อะครับ ผมขอเถอะคุณแม่ อย่าบังคับผมเรื่องอะไรแบบนี้อีกเลยนะ ผมพอใจกับสิ่งที่มีอยู่เเล้ว’
             ‘พอใจหรอ แกเล่นควงผู้หญิงแต่ละคนเนี่ยนะ เเม่ละเเทบอยากจะบ้าตาย ไม่นางแบบก็ดารา พวกนั้นมันทำให้เเกมีความสุขได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว เเม่ขอเถอะ’ สีหน้าของมารดาที่กำลังอ้อนวอนเขา มันทำให้ชายหนุ่มต้องเงียบลงเเละฟังมารดาพูด
             ‘นะ...รุท เเม่เองจะได้ตายตาหลับ ถ้าลูกมีคนดีๆมาดูเเล เเม่ก็จะได้เบาใจเหมือนอย่างพี่ชายเราไง รายนั้นก็จะเป็นฝั่งเป็นฝาเเล้ว เเม่ก็หมดห่วงไปหนึ่ง’ เขานึกถึงคำพูดของเเม่ก็อดสะท้อนใจตัวเองไม่ได้ ชายหนุ่มจึงตั้งใจทำงานต่อเเม้เขาจะสายตาของคนตรงหน้าที่ส่งมา ราวกับว่าเหมือนกำลังเชิญชวนให้เขาสนใจเธอ แต่ฝันไปเถอะยังไงเขาก็อยากสนใจกับงานมากกว่าหญิงสาวเเสนสวยอย่างจินลดา
             “คุณรุทคะ” 
             “ว่าไง” เขาตอบเเต่ไม่มองหน้าของเธอ เเต่หล่อนก็ไม่ละความพยายามที่จะดึงดูดสายตาของชายหนุ่มมองมาที่เธอ พร้อมกับสายตาที่เหมือนจะฟาดฟัน...น่ากลัว
             “เปล่าคะ ทำงานต่อเถอะคะ เจนนี่ไม่กวนเเล้ว”  เมื่อเห็นว่าเขามองมาเป็นสายตาแบบไหน เธอจึงรีบเปลี่ยนเรื่องพร้อมกับหยิบโทรศัทพ์มือถือของตนมากด หญิงสาวจึงต้องจำใจปล่อยชายหนุ่มบ้างานไปก่อน เพราะยังไงซะพอเลิกงานแล้วเขาก็ต้องหันมาใส่ใจเธออยู่ดี
             ส่วนใครอีกคนที่นั่งทำงานอยู่ข้างนอก ก็ลงมือทำงานอย่างเต็มที่โดยการให้คำปรึกษาแก่รุ่นน้องที่เข้ามาขอคำปรึกษา พร้อมกับแก้ไขแบบบ้านบางตัวให้เข้ารูปเข้าทางอย่างที่เจ้านายต้องการ จนเวลาผ่านเลยซึ่งเป็นเวลาเลิกงาน วรันลักษณ์แทบจะไม่เงยหน้ามามองอะไรเลยนอกจากงานบนโต๊ะ และยิ่งมีนฤมลมากับวุฒิมายินอยู่ตรงหน้า หญิงสาวก็ยังไม่เงยหน้าขึ้นมาจนคนที่เรียกต้องเคาะโต๊ะเอา
             ก๊อกๆ
            “พี่รันคะ เลิกงานแล้วนะคะ” วรันลักษณ์จึงเงยหน้าขึ้นมามองรุ่นน้องก่อนที่จะมองไปยังนาฬิกา 
            “จริงด้วย เก๋กับวุฒิกลับไปก่อนเถอะ พี่ยังต้องอยู่เคลียร์งานอีกนิดหน่อย” นฤมลมองไปที่วุฒิก่อนจะสะกิดให้เพื่อนพูดอะไรบ้างอย่างออกไป
            “แต่วันนี้เรามีนัดกินเลี้ยงกันนะครับ งานวันเกิดพี่พลแผนกของเราไง” 
            “งั้นหรอ...ตายจริงพี่ลืมไปเลย งั้นเอางี้เดี๋ยวเก๋กับวุฒิไปก่อน พี่เคลียร์งานเสร็จจะตามไป บอกพี่ด้วยร้านไหน โอเคมั้ย” 
            “ก็ได้คะ งั้นเราสองคนจะไลน์มาบอกนะคะ”
            “จ้ะ” ทั้งสองคนจึงขอตัวเดินออกมาเพื่อสมทบกับเพื่อนๆคนอื่นๆ ซึ่งวรันลักษณ์เป็นแบบนี้ประจำในเรื่องของการไปสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงาน บางทีเธอก็อาจไม่ได้ไปเพราะงานรัดตัว แต่อย่างวันนี้ที่จะไปเพราะพลวัตรเป็นรุ่นพี่อาวุโสในแผนกซึ่งทำให้เธอปฏิเสธไม่ได้ หญิงสาวจึงรีบจัดการงานตรงหน้าให้เสร็จเพื่อจะไปให้ทันงานเลี้ยง
            เมื่อกำลังตั้งใจทำงานโทรศัทพ์บนโต๊ะก็ดังขึ้นมาทันที วรันลักษณ์จึงมองไปที่ประตูของเจ้านาย ก่อนที่จะยกหูมันขึ้นมาฟัง เธอเกือบลืมไปเลยว่าศิวรุทธ์ยังไม่กลับ เเละก็ลืมไปเลยว่าเธอต้องรอเขาออกจากห้อง โชคยังดีที่งานยังไม่เสร็จ
            “ค่ะ”
            ‘คุณรัน มีงานอะไรให้ผมดูอีกไหม’ ปลายสายถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จนทำให้เธอต้องรีบมองงานบนโต๊ะของตัวเองก่อนจะตอบกลับไป
            “ไม่มีคะ วันนี้งานที่บอสต้องดูก็เรียบร้อยหมดแล้วคะ”
            ‘โอเค งั้นคุณกลับบ้านเถอะ เดี๋ยวผมก็จะกลับเเล้ว จริงสิ...คุณได้จองร้านอาหารที่ผมบอกไว้หรือเปล่า’
            “ร้านอาหารญี่ปุ่นใช่ไหมคะ จองเรียบร้อยคะ ประมาณสองทุ่มนะคะ”
            ‘ขอบใจมาก’ สายวางไปแล้วหญิงสาวก็เคลียร์ของบนโต๊ะด้วยเช่นกัน ทั้งงานเอกสารเเละแบบบ้านต่างๆให้เป็นระเบียบเรียบร้อย วรันลักษณ์หันไปหยิบกระเป๋าตนเองก่อนจะเห็นเจ้านายของตนเดินออกมาพร้อมกับสาวสวยเดินออกมาเคียงคู่กัน หญิงสาวมองคนทั้งคู่เดินออกไป เธอคิดว่าจินลดาดูเหมาะสมกับบอสมาก แต่ยังไงเธอก็ดูออกว่าศิวรุทธ์ไม่ได้จริงใจกับจินลดาหรือสาวคนไหนทั้งนั้น และเธอก็ไม่รู้ด้วยว่าทำไมเขาเองก็ไม่เคยจะคบกับใครได้ยืดยาว. แม้จะเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยมัธยมก็เถอะ แต่เพราะไม่ได้คุยกันมานานมากแล้ว หญิงสาวก็ไม่กล้าถามเขาอยู่ดีว่าทำไมถึงได้ทำตัวแบบนี้...เรื่องของเขาเถอะ
           ชุดไทยที่เเขวนอยู่หน้าตู้ทำให้คนที่มองรู้สึกปลื้มปลิม พรุ่งนี้เป็นวันสำคัญของเธอแล้วที่กำลังจะได้หมั้นหมายกับชายหนุ่มที่ตนรัก นลินีเอามือลูบไปที่ชุดอย่างเบามือราวกับว่ามันคือของที่มีค่าที่สุดที่เธอกำลังจะได้สวมใส่ ความจริงเธออยากเเต่งเลยด้วยซ้ำแต่เนื่องจากฝ่ายเจ้าบ่าวบอกมาว่าฤกษ์งามยามดีต้องรออีกสามเดือนข้างหน้า มันจึงทำให้คนที่อยากจะรวมหอลงโรง ต้องยกนิ้วขึ้นมานับเพื่อรอไปก่อน แต่ก็ยังดีที่จะได้หมั้นหมายไว้ก่อนเท่านี้มันก็เหมือนประกาศแน่ชัดแล้วว่าเธอจะเป็นอะไรกับศรศิลป์
             ก๊อกๆ
             เสียงประตูดังขึ้นทำให้คนที่ชื่นชมอยู่ต้องเอ่ยปากออกไปว่าไม่ได้ล็อค หญิงสาวพอจะรู้เลยทันทีว่าใครที่มายืนเคาะประตูเวลานี้ถ้าไม่ใช่มารดาของเธอเอง ที่กำลังโผล่หน้าเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มที่ชื่นบานสุดๆ หญิงสาวก็พอจะรู้แล้วว่าเรื่องอะไร
             “ยังไม่นอนอีกหรอลูก พรุ่งนี้ต้องตื่นมาแต่งหน้าอีกนะ”
             “กำลังจะนอนคะ คุณแม่มีอะไรหรือเปล่าคะ”
             “มีสิ คือแม่อยากบอกกับบัวนะว่าเเม่ดีใจจริงๆ ที่จะได้เห็นลูกหมั้นหมายกับตาศร” มารดาค่อยๆเดอนเข้ามาใกล้หญิงสาวพร้อมกับโอบไหล่ของลูกเอาไว้
             “ค่ะ”
             “แม่เชื่อแล้วจริงๆ ว่าการเปลี่ยนชื่อมันทำให้ชีวิตของลูกแม่ดีขึ้น” สองคนแม่ลูกนั่งอยู่บนเตียงนอนด้วยสีหน้าที่มีความสุข
             “คุณแม่มีเรื่องจะพูดแค่นี้หรอคะ” นลินีลองโยนหินถามดู เพราะวันเดือนปีมารดาไม่เคยมาพูดเรื่องอะไรแบบนี้กับเธอด้วยซ้ำ นอกจากเรื่องเงิน
             “บัวก็ รู้ทันแม่ตลอดเลย” คนโดนจับได้หัวเราะอย่างชอบใจก่อนจะเอ่ยออกไป
             “แม่อยากจะบอกว่า สินสอดพรุ่งนี้ แม่ขอทั้งหมดเลยได้ไหมลูก”
             “สินสอด!”
             “จ้ะ เเม่อยากเอาไปใช้หนี้ใช้สินเเล้วก็...เก็บไว้ใช้ยามแก่เฒ่าด้วย เพราะต่อไปถึงวันแต่งงานของลูกจริงๆ แม่จะได้ไม่ต้องไปรบกวนอะไรลูกไง” เธอมองหน้าเเม่อย่างจับผิด ความจริงเธอเองก็พอรู้อยู่แล้วว่าแม่ของตนไม่เคยพอใช้กับเงินทองที่เธอหามาให้ อาจเป็นเพราะท่าน...ชอบเล่นการพนัน แต่ดวงของมารดาโชคดีทุกครั้งเวลาที่ไปเล่นตามบ่อนต่างๆ ก็ไม่เคยโดนตำรวจจับหรือเข้าซังเตมาก่อนเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงจะโชคดีอย่างไรก็ยังมีโชคร้ายอยู่ดีตรงที่ว่าหนี้สินเพิ่มพูมขึ้นมากกว่าเดิม
              “แม่พูดจริงหรอคะ”
              “จริงสิลูก แม่พูดจริง บัว...แม่สัญญานะถ้าลูกแต่งงานเข้าบ้านนั้นไปแม่จะไม่รบกวนอะไรบัวอีกเลย” กานดาจริงจังมากจนทำให้คนที่สงสัยเริ่มรู้สึกคลายกังวลกับคำพูด หญิงสาวพยักหน้าออกมาก่อนจะพูดออกไป
              “ค่ะ บัวจะเชื่อที่แม่บอกเเล้วกันนะคะ”
              “ขอบใจนะบัว ขอบใจลูกจริงๆงั้นเเม่ไปนอนเเหละ พรุ่งนี้จะรีบมาดูลูกแต่เช้านะ”
              “ค่ะแม่ พรุ่งนี้เจอกัน” เมื่อมารดาเดินออกไปแล้ว หญิงสาวก็เดินกลับมาที่ชุดเจ้าสาวพร้อมกับเอามือลูบไล้อย่างเบามือ ราวกับว่ากลัวชุดที่เเขวนอยู่จะเสียหาย เธอนึกย้อนไปในวันที่ได้เจอกับเขา ชายหนุ่มที่เธออยากจะฝากชีวิตไว้ให้ เขาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเธอ ความรักมักทำให้คนตาบอดได้เสมอ แม้กระทั่งนามสกุลของเขาเธอก็แทบจะไม่มองเลยด้วยซ้ำ ยิ่งเธอรู้ว่าเขาเป็นอภิมหาเศษฐีเบอร์หนึ่งของเมืองไทย เเถมยังเป็นเจ้าของธุรกิจอีกหลายอย่าง ตำแหน่งหน้าที่การงานก็ดี และเขาเองก็ตกหลุมรักเธอเช่นกัน
              กว่าจะมารู้ความจริงทีหลังว่าเขาคนนี้เป็นพี่ชายของเเฟนเก่าเธอ...ศิวรุทธ์
              จริงๆแล้วเธอก็รู้มาตั้งแต่ต้นที่ศรศิลป์เข้ามาจีบเธอ เพราะรู้มาจากนามสกุลของเขา หญิงสาวพยายามเลี่ยงเเล้วแต่มันอดใจอ่อนไม่ได้ที่ศรศิลป์เข้ามาจีบ ทั้งดูแล ทั้งเอาใจใส่ อีกทั้งแม่ของทั้งสองก็รู้จักกัน ยิ่งทำให้เธอเห็นความดีของเขา เเม่ของเธอเป็นคนสร้างภาพเก่ง เธอจำได้ว่าตอนที่คุณนายเกศรินล้มละลาย แม่ของเธอที่เป็นเพื่อนกันมาก่อนก็รีบตีตัวออกห่างทันที เเละให้เธอเลิกคบกับศิวรุทธ์ เมื่อทางนั้นลืมตาอ้าปากได้แล้วก็ดูเหมือนว่ากานดาแทบจะลืมทันทีว่าบ้านนั้นเป็นแบบไหนมาก่อน พร้อมกับให้เธอรีบรับรักศรศิลป์โดยไม่สนใจศิวรุทธ์ด้วยซ้ำ หญิงสาวรู้สึกลำบากใจทุกทีที่เจอหน้าเขา จึงต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้จักกัน คราที่เจอกันครั้งเเรกในรอบหลายปี 
               เธอรู้สึกเลวแต่ก็ทำได้เเต่เฉยชา นลินีคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรต่อไปจึงได้แต่นิ่งอย่างเดียว สายตาที่เธอใช้มองเขาคือคนที่ไม่เคยรู้จัก เเล้วจะให้เธอทำอย่างไรในเมื่อตอนนี้เธอเองก็ตกลงปลงใจจะเเต่งงานกับคนพี่ ทั้งๆที่ตัวเองยังลืมน้องชายอย่างเขาไม่ได้เลย
               “บัวขอโทษนะรุท...” แววตาที่เเสดงออกมามันคือความจริงใจทั้งหมดที่มีต่อเขา แม้เขาจะตราหน้าว่าเธอเป็นคนเลวแค่ไหน เธอก็ต้องน้อมรับไว้พร้อมกับการหมั้นที่จะมีในวันพรุ่งนี้ เธอคงภาวนาได้แค่นั้นจริงๆ...

               เสียงประกาศของสายการบินต่างๆที่ดังขึ้นมา ทำให้คนที่กำลังจะเดินทางไปต่างประเทศต้องรีบเดินเข้าไปในเกท และบางคนที่กำลังร่ำลาญาติเพื่อไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง บางคนก็ไปเที่ยว บางคนก็ไปมีอาชีพใหม่ บางคนก็ไปติดต่อเพื่อลงทุนในธุรกิจต่างประเทศ ก็คงไม่ต่างจากเขาที่ต้องไปดูงานที่ต่างประเทศเหมือนกัน ศิวรุทธ์จงใจจะไปในวันงานหมั้นของพี่ชาย โดยที่เขาไม่ยอมบอกให้คนที่บ้านได้รับรู้ ยกเว้นผู้ช่วยอย่างวรันลักษณ์เท่านั้น
                “ขอบคุณนะ ที่จัดการเรื่องตั๋วให้”
                “ค่ะ มันเป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้วนะคะ ยังไงก็ต้องจัดการให้ แต่ไหนบอสถึงอยากไปคืนนี้เลยละคะทั้งๆที่พรุ่งนี้ก็ยังเดินทางทัน...” เมื่อก้มมองนาฬิกาเวลาตอนนี้ก็เกือบจะเที่ยงคืนเเล้ว ความจริงเธอกลับเข้าไปที่คอนโดแล้วพร้อมกับกำลังจัดการธุระส่วนตัว แต่ยังไม่ทันจะทำอะไรก็มีเสียงโทรศัทพ์ดังขึ้นมา หญิงสาวจึงรับสายทันทีที่เห็นว่าเป็นเบอร์ของเจ้านาย เขาโทรมาสั่งระหว่างที่เธอกำลังจะอาบน้ำเเละตัวเขาเองก็ยังอยู่ที่ร้านอาหารญึ่ปุ่น เขาโทรมาบอกเธอว่าต้องการเดินทางออกนอกประเทศภายในคืนนี้ แถมยังไม่เกี่ยงดรื่องราคาที่อาจแพงกว่าปกติหลายเท่าตัว วรันลักษณ์จึงรีบออกมาจากคอนโดเพื่อจัดการเรื่องให้ทั้งหมดให้เจ้านาย พร้อมกับมาส่งเขาที่สนามบินด้วย
               หญิงสาวมองหน้าของเจ้านายก่อนจะรู้ได้ทันทีว่าเขาไม่อยากตอบคำถามของเธอ เพราะมีเพียงรอยยิ้มออกมาอย่างเเผ่วเบา
               “งั้นผมไปก่อนนะ เดือนหน้าค่อยเจอกัน ฝากดูแลงานทางนี้ด้วยละ”
               “ค่ะ” ชายหนุ่มจึงยิ้มให้ผู้ช่วยอีกครั้งก่อนจะเดินเข้าไปในทางของผู้โดยสารขาออก หญิงสาวมองด้วยความสงสัยเธอเองก็รู้สึกได้ว่าเหมือนเจ้านายของตนเองกำลังหนีอะไรสักอย่าง จะว่าไปแล้วเขากับพี่ชายก็ออกจะรักกันดี ครอบครัวก็ดูจะรักและอบอุ่น แม้จะไม่มีบิดาของศิวรุทธ์อยู่ด้วยแล้ว ยิ่งวิเคราะห์เธอก็ยิ่งไม่เข้าใจ สู้ไม่คิดอะไรเลยจะดีกว่าก่อนที่เธอจะเตรียมตัวกลับคอนโด เมื่อคิดได้แบบนั้นหญิงสาวจึงหมุนตัวเดินออกมา พร้อมกับฝีเท้าที่เดินอย่างสับไวไปที่รถตู้ของเจ้านายที่จอดรออยู่...เลิกคิดได้แล้วรัน
               ส่วนคนที่เดินเข้าในเกทก็นั่งรอสายการบินที่ตนกำลังจะขึ้น ใจจริงของเขาก็อยากอยู่ร่วมเเสดงความยินดีกับพี่ชาย เพราะมีกันแค่สองคนพี่น้องเท่านั้น มันจึงทำให้เขารักพี่ชายของตนมาก อีกทั้งเมื่อนึกใบหน้าที่เเสนงามของใครคนนั้น ยิ่งทำให้เขาไม่อยากจะเผชิญหน้าเลย งานหมั้นวันพรุ่งนี้เขาเลือกขอที่จะไม่อยู่เอง เพราะไม่อยากนลินีต้องอึดอัดไปมากกว่านี้ ถึงชื่อของเธอจะเปลี่ยนไปแต่ใบหน้าและเเววตายังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง เหมือนกับแฟนเก่าของเขาที่เลิกราไปตอนที่ยังอยู่ช่วงมหาลัย เขายอมรับว่าทุกวันนี้ก็ยังลืมเธอไม่ได้ ยิ่งเห็นเธอต้องมายืนเคียงข้างพี่ชายอย่างศรศิลป์ มันก็ทำให้ใจของเขาแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ชายหนุ่มนั่งหลับตาพร้อมกับหยิบกาแฟขึ้นมาจิบ ห้องที่นั่งรอเป็นเลาท์ส่วนตัวที่เหล่าพนักงานเสริฟ์จะไม่ค่อยเดินมารบกวนเสียเท่าไร พอได้อยู่คนเดียวแบบนี้หัวสมองของเขากับคิดเรื่องของเธอขึ้นมาอีกครั้ง เขาหวังว่าถ้าอีกหนึ่งเดือนเขากลับมาทุกอย่างจะดีขึ้น ขอให้มันเป็นแบบนั้น...
               
    **จากใจนักเขียน ขอโทษผู้อ่านที่นักเขียนคนนี้ห่างหายไปนาน เพราะอยากจะแต่งนิยายให้ออกมาดีกว่าเดิม พร้อมกับอยากขอบคุณนักอ่านที่ให้การสนับสนุนนะคะ ยังไงอันนี้คือบทนำเเละจะมาต่อบทที่ 1 วันในศุกร์นี้ ขอบคุณทุกกำลังใจ จะนำเอาความคิดเห็นไปปรับปรุงคะ ขอบคุณจากใจจริงๆคะ^_^
        
       จาก ศริภาดา

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น