[แฟนฟิควันเด็ก มอมเมาเยาวชน]- เด็กหญิงไม้ใกล้ฝั่ง -
แฟนฟิคเรื่องนี้ผมได้แรงบัลดาลใจมาจาก "เบนจามิน บัตตัน" ซึ่งแต่งโดยหยิบเอา คาแรคเตอร์ของเรื่อง มาดัดแปลงใส่ใน เหตุการณ์วันเด็กของบ้านเราครับ ผิดพลาดอย่างไรขออภัยไว้ ณ ที่นี้
ผู้เข้าชมรวม
747
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
แฟนฟิคมอมเมาเยาวชนเรื่อง
ยายน้อย เด็กหญิงไม้ใกล้ฝั่ง
[ให้เสียงภาษาไทยโดย พันธมิตร]
เช้าตรู่วันหนึ่งภายในพื้นที่ด้านนอกของทำเนียบรัฐบาล มันเป็นเช้าที่อากาศดีมากที่สุดนับตั้งแต่เข้าสู่ศักราชใหม่
เจ้าหน้าที่ที่ควรจะหยุดพักผ่อนในช่วงวันหยุด กลับออกจากบ้านของตนเดินทางมายังทำเนียบ
เพื่อที่จะเตรียมงานอะไรบางอย่าง ทุกคนเมื่อมาถึงก็ต่างลงมือทำงานหน้าที่ของตนโดยไม่ปล่อยให้เวลาอันมีค่าผ่านไปแข่งกับแสงแดดที่เริ่มส่องแสงแรงขึ้น จนแทบจะขับไล่ความรู้สึกเย็นสบาย ของอากาศวันหยุดยามเช้าในเมืองกรุงไปเสียจนเกือบหมดสิ้น
อาคารรับรองภายนอกของทำเนียบรัฐบาล ถูกแตกแต่งประดับประดาไปด้วยริบบิ้นสีสันต่างๆ ลูกโป่งหลายหลากสีนับสิบใบถูกนำมัดรวมกันจนใหญ่ราวกับบอลลูนขนาดยักษ์
มีเวทีขนาดเล็กถูกสร้างขึ้นมาอย่างชั่วคราว ฉากหลังของเวทีเป็นภาพวาดตัวการ์ตูนหลากหลายตัวละคร พร้อมแต่งแต้มด้วยสีสันจนเป็นที่สวยสะดุดตา หากใครทำงานของตนเสร็จ ก็จะรีบไปช่วยงานของคนอื่นในทันที
เจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งกำลังช่วยกันลำเลียงขนม และเครื่องดื่มจำนวนมากออกมาจากท้ายรถขนส่ง
ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งก็กำลังขะมักเขม้น กับการตกแต่งบริเวณทางเข้าของอาคารับรองภายนอก
หากถ้าพวกท่านมองทำเนียบรัฐบาลในขณะนี้จากทางด้านนอก สภาพอาคารเก่าแก่ที่ผ่านแดดฝนมานานหลายสิบปี กลับถูกเนรมิตขึ้นใหม่ ให้เป็นเหมือนกับปราสาทที่สวยงามอย่างในนิยายแฟนตาซี ด้วยความร่วมแรงร่วมใจของเจ้าหน้าที่ทุกๆคน
วันนี้ไม่มีข่าวใหญ่เรื่องการเมือง ไม่มีการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ไม่มีการปฏิวัติ ไม่มีการรัฐประหาร หรือไม่มีแม้กระทั่งการกลับมาของผู้ที่เคยมีอำนาจเมื่อครั้งก่อน
แปดนาฬิกาเศษ ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ ต่างหลั่งไหลกันมายังหน้าทำเนียบรัฐบาลจนแน่นขนัด มีทั้งสื่อจากต่างประเทศในประเทศ บุคคลที่มีตำแหน่งสำคัญต่างๆ ดารา นักร้อง ตลอดไปจน นักท่องเที่ยวอีกจำนวนมาก
ทุกคนกำลังรอการมาของนายกรัฐมนตรีด้วยความใจจดใจจ่อ ในขณะนี้บรรดาเหล่านักข่าว ต่างแยกย้ายกันเพื่อทำหน้าที่รายงานเหตุการณ์อยู่ทั่วบริเวณงาน ให้ท่านผู้ชมทางบ้านที่ไม่มีโอกาสได้เดินทางมาเยือนยังทำเนียบแห่งนี้ได้มีส่วนรวมกับงานสำคัญงานแรกของปีนั่นคือ " งานวันเด็กแห่งชาติ "
ไม่นานนักรถประจำตำแหน่งของนายกฯก็แล่นผ่านเข้ามาในหน้าบริเวณงาน เมื่อลงมาจากรถ นายกฯไม่ยอมให้เสียเวลาเลยสักนิด แม้กระทั่งจะหันไปดื่มนํ้าเพื่อดับกระหาย ท่านเดินมุ่งมายังหน้าปรัมพิธี พร้อมกล่าวทักทายกับประชาชนทุกคนที่มารอท่านมาเกือบค่อนชั่วโมง
หลังกล่าวเปิดงาน ท่านนายกได้หยิบยกเอาประเด็นความสำคัญของเยาวชนว่า เราต้องผลักดันให้เป็นวาระของชาติ ตลอดจนต้องหยิบยื่นโอกาสในการศึกษาให้เท่าเทียมและทั่วถึงทั้งประเทศ
เมื่อเวลาผ่านไปจนกระทั่งนายกฯกล่าวจบ ต่อมาก็จะเป็นช่วงที่เรียกได้ว่าเป็น "ไฮไลท์"ของงาน อย่างที่เข้าใจครับท่านผู้อ่าน นั่นคือการที่ตัวแทนเยาวชนในส่วนต่างๆ จะได้รับอนุญาตให้สัมภาษณ์นายกรัฐมนตรีแบบตัวต่อตัว
ตัวแทนเยาวชนจากภาคส่วนต่างๆ ถูกเรียกขึ้นมาทีละคน บ้างก็มาจากโรงเรียนชั้นนำ บ้างก็เป็นนักกีฬาที่ทำชื่อเสียงให้ประเทศ เด็กบางคนถึงกับอายหน้าแดง ลืมบทสัมภาษณ์ที่ท่องมาอย่างดีเพื่อสัมภาษณ์นายก
แต่ที่เป็นสีสันที่สุดก็คงจะเป็นเยาวชนที่ต้องการให้ท่านนายก ร่างกฎหมายให้มีการเขียนนิยายNCได้อย่างมีอิสระ กับ เด็กชายดามาติค ที่แสดงละครใบ้ล้อเลียนการใช้ภาษาวิบัติกับเด็กที่ชอบอ่านนิยายNC เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมได้อย่างสนุกสนาน จนแทบทำให้ลืมอากาศที่ร้อนอบอ้าวในเวลานั้นเลยทีเดียว
เยาวชนหลายคนผลัดกันขึ้นถามปัญหาต่อนายก เด็กบางคนมีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่เกินตัว
ถามตอบปัญหาของบ้านเมืองได้อย่างฉะฉาน จนผู้ใหญ่บางคนอายก็ยังมี เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่ง...
"ต่อไปเป็นคนสุดท้ายแล้วครับ ขอเชิญ ยายน้อย ก้าวออกมาด้านหน้าได้เลย" สิ้นเสียงของพิธีกรในงาน หญิงชราร่างแคระ ก็ค่อยๆเดินลากเท้าอย่างช้าๆ แหวกเหล่าบรรดาเด็กๆที่มาร่วมงาน โดยที่มีเจ้าหน้าที่สองคนช่วยพยุงยายน้อยเอาไว้เพื่อไม่ให้ล้ม
ท่ามกลางเสียงซุบซิบของคนที่เข้าร่วมงาน เพราะเข้าใจว่ายายแกคงมาให้นายกฯช่วยตามหาลูกหลานที่พัดพรากไปเป็นแน่
หญิงชราคนนี้เป็นใคร? ยังไม่ถึงวันผู้สูงอายุไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใดเธอจึงมีสิทธิเข้ามาร่วมงานในวันเด็กได้เพื่อที่จะร้องเรียนปัญหาเดือดร้อนส่วนตัวโดยไม่ถูกกาลเทศะ
"ยายน้อย"เกิดที่จังหวัดทางภาคเหนือของประเทศ พ่อแม่มีอาชีพผู้ใช้แรงงานแต่ด้วยที่สองสามีภรรยาเป็นคนขยัน ประหยัด ทำให้มีฐานะดีขึ้นในไม่ช้า เมื่อพร้อมคนทั้งสองจึงตกลงใจที่จะมีบุตรคนแรก
แต่อนิจจาเหมือนสวรรค์เล่นตลก บุตรสาวคนแรกของทั้งคู่ ถือกำเนิดขึ้นมาโดยผิดแปลกไปจากมนุษย์ทั่วไปนั่นคือ มีร่างกายที่เหยี่ยวย่นราวคนแก่อายุ 90 ปี ทั้งระบบประสาทสัมผัส กล้ามเนื้อ กระดูก ไขข้อ คณะแพทย์พยาบาลที่ทำการรักษาจึงเรียกชื่อเด็กประหลาดคนนี้ว่า "ยายน้อย"
ยายน้อย ต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาลกว่า 2ปี โดยใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลา อีก 5 ปีให้หลังจึงจะออกมาพักฟื้นที่บ้านได้ ผลการตรวจจากแพทย์ระบุว่า "ยายน้อย" เกิดมาในสภาพที่ชราตั้งแต่แรก
และเมื่อเวลาผ่านไป ยายน้อย จะค่อยๆ อ่อนวัยและสาวขึ้นเรื่อยๆ นั่นหมายถึง "อายุของยายน้อย กำลังเดินถอยหลัง’’
ยายน้อยแต่งกายในชุดพื้นบ้าน สวมเสื้อลายดอกสีขาวตัดกับพื้นสีชมพู นุ่งผ้าซิ่นสีกรมท่าที่แม่ของเธอถักทอขึ้นมาด้วยมือ ใบหน้าของยายน้อยเล็กเรียว ผมสีดอกเลากับคิ้วขึ้นบางเป็นหย่อมๆ ดวงตาอันฝ้าฟางถูกบดบังด้วยแว่นตาที่หนาเตอะ
เมื่อเจ้าหน้าที่นำเก้าอี้มาจัดวางให้ยายน้อยและท่านนายกฯได้นั่งเพื่อทำการสนทนากัน ยายน้อยก็เป็นฝ่ายยิงคำถามใส่ท่านนายกฯก่อนเป็นชุดๆ เสียจนไม่มีจังหวะให้ได้พักหายใจ
"ท่านนายกฯชอบกินอะไรค่ะ","ท่านนายกฯชอบอ่านการ์ตูนเรื่องอะไร" ,"ท่านนายกฯชอบภาพยนตร์เรื่องไหนมากที่สุด","ท่านนายกฯอยากไปเที่ยวที่ไหน" ฯลฯ...
มันเป็นคำถามที่แปลกมากในงานวันเด็ก ในขณะที่เด็กสวนใหญ่ในงานมักจะถามว่า "ท่านนายกฯมีนโยบายจะแก้ปัญหาการศึกษา แก้ปัญหาเศรษฐกิจ หรือทำให้คนไทยที่แตกความสามัคคีกลับมาคืนดีกันอย่างไร
แต่ยายน้อยกลับถามในคำถามที่เปรียบเสมือนหนึ่งว่ากำลัง"ผูกมิตร"กับเพื่อนใหม่ของเธออยู่ ปัญหาข้อพิพาทต่างๆไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นในระหว่างการสนทนาของคนทั้งคู่
ยายน้อยถามนายกฯในสิ่งที่ตนอยากรู้เท่านั้น และมันก็เป็นไม่ผิดที่จะถาม เนื่องจากมันเป็นคำถามที่สมกับวัยของเธอ ถึงร่างกายเธอจะชรากว่าทุกๆคนในงานก็ตามที
"แล้วยายน้อยมีเรื่องอะไรที่จะขอนายกฯไหมครับ" นายกฯถามกลับในขณะที่ยายน้อยกำลัง ยกแก้วนํ้าขึ้นมาดื่ม เพราะเหนื่อยจากการเป็นฝ่ายถามอยู่คนเดียว เธอไม่ตอบแต่พยักหน้ารับ เมื่อเธอดื่มนํ้าเสร็จ ยายน้อยล้วงเอากระดาษใบเล็กที่พับจนยับยู่ยี่ออกมาจากกระเป๋า
จากนั้นยายน้อยคลี่มันออกอย่างช้าๆ ขยับแว่นตาแล้วจึงเริ่มอ่านมันด้วยนํ้าเสียงที่แหบพร่า ให้นายกฯฟัง
เนื้อความในจดหมายเป็นเรื่องของ"บินหลา"เด็กชายในจังหวัดทางภาคใต้ ยายน้อยรู้จักกับบินหลา ในขณะที่เธอรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลผ่านทางจดหมายให้กำลังใจ บินหลาเล่าเรื่องความทุกข์ของตนจากเหตุการณ์ความไม่สงบ เขาเสียพ่อที่เป็นอาสาสมัครในเหตุความรุนแรง ไม่ได้เรียนหนังสือ
ต้องทำงานช่วยแม่และเลี้ยงน้องชายอีกคน บินหลาเล่าถึงความหวาดกลัวทุกครั้งที่มีการยิงปะทะกัน หรือเมื่อมีเสียงระเบิด
ใน ปล.ลงท้ายเขาฝากว่าถ้ายายน้อยมีโอกาสได้เจอนายกฯในวันเด็ก เขามีสิ่งหนึ่งที่จะขอเพื่อเป็นของขวัญในวันเด็กนี้ ยายน้อยหยุดอ่านชั่วขณะ เพื่อพักหายใจ ก่อนที่อ่านต่อว่า บินหลาต้องการอะไรในวันเด็ก
บินหลาบอกว่า เขาแค่ต้องการให้วันเด็กปีนี้ ที่บ้านเกิดของเขา อย่าให้มีเสียงปืน เสียงระเบิด ตลอดจนเสียงร้องรํ่าไห้ของผู้เสียชีวิตเลย แค่สักวัน...สักวันเดียวก็เกินพอ
นั่นคือเรื่องที่ยายน้อยขอกับนายกฯ ส่วนนายกฯก็รับปากแล้วว่าจะช่วยเหลือครอบครัวเยาวชนทุกคนที่กำลังประสบปัญหาความยากลำบากอยู่ทางภาคใต้อย่างเร่งด่วน ยายน้อยยกแขนข้างซ้ายอันผอมลีบของเธอ ขึ้นมาพร้อมกับยื่นนิ้วก้อยไปยังนายกฯ ทำสัญญาเกี่ยวก้อยกันด้วยปากเปล่า
ไม่มีการบันทึกเป็นตัวอักษร ไม่มีทั้งแบบแผนนโยบาย มีแค่ผู้คนที่เข้ามาร่วมงานเท่านั้นที่เป็นสักขีพยานให้กับยายน้อย
จวบจนเกือบได้เวลาสิ้นสุดของงาน ท่านนายกฯถ่ายภาพร่วมกับเยาวชนทุกคนที่เข้าร่วม และเมื่อถึงพิธีปิดนายกฯจะเป็นคนกล่าวให้คำอวยพรแก่เยาวชนทุกๆคน แต่ปีนี้เรามีแขกพิเศษมาร่วมงานด้วย ทางเจ้าหน้าที่จึงเปลี่ยนกำหนดการกะทันหัน
โดยให้ยายน้อยทำหน้าที่กล่าวปิดงานแทน ส่วนตัวนายกฯเองจะลงไปนั่งรวมกับพวกเด็กเพื่อรอรับคำอวยพรจากยายน้อย
เมื่อถึงเวลาอันสมควร ยายน้อยถูกอุ้มมานั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่หนานุ่มบนเวที ทั้งกล้องถ่ายภาพและกล้องโทรทัศน์กว่าร้อยตัว โฟกัสภาพไปที่ยายน้อย พร้อมจับจ้องว่ายายน้อยจะกล่าวอะไรออกมากจากจากปากของเธอให้คนทั้งประเทศได้รับชม
ภายในสถาวะอันกดดัน แต่ยายน้อยกลับใจเย็น และดูนิ่งสงบ เธอสูดหายใจเข้าอย่างช้าๆก่อนที่จะกล่าวอวยพรผ่านนํ้าเสียงที่แหบแห้งแก่เยาวชนทั่วประเทศว่า
"เมื่อใดก็ตามที่พวกเพื่อนๆเข้าสู่ช่วงเทศกาลแห่งความสุข จะมีคนมากมายอวยพรแก่พวกเธอว่า ขอให้เธอจงมีความสุขยิ่งๆขึ้นไป และให้พบเจอกับเรื่องดีๆทั้งในการเรียนและชีวิตส่วนตัว
แต่แทบจะไม่มีใครเลย ที่จะคอยบอกให้พวกเธอเตรียมรับมือกับทุกๆสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะดีหรือร้ายได้อย่างมีสติ ไม่มีเลย..."
" วันนี้ฉันมาในฐานะของเด็กที่ไม่ได้มีความสุขทั้งในวันเด็กหรือวันธรรมดา และฉันก็เชื่อว่าเด็กที่ประสบชะตากรรมยิ่งกว่าฉันคงมีมาก จนฉันไม่สามารถนับได้ และจะยิ่งมีมากขึ้นอีกเรื่อยๆ "
ขอบคุณมากที่รับฟังค่ะ ฉันพูดจบแล้ว
ทุกคนที่นั่งฟังเงียบ ไม่มีใครกล้าปรบมือ ทุกคนยอมรับว่ามันจริง มีเด็กนับล้านๆคนที่ปีนี้เขาไม่ได้มีความสุขอย่างที่มันควรจะเป็น แค่พวกเขาไม่ได้มาร่วมงานไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มี
จนกระทั่งงานเลิก บรรดานักข่าวต่างพากันมาห้อมล้อมเพื่อขอสัมภาษณ์ยายน้อยเป็นการใหญ่ มีรายการโทรทัศน์หลายรายการต้องการตัวยายน้อยไปสัมภาษณ์สดออกอากาศ ซึ่งรายการทอล์คโชว์ของช่อง 4 ที่เป็นรายการใหญ่และมีเรทติ้งผู้ชมสูงเป็นอันดับ 1 ก็ได้สิทธิพิเศษนั้น
ภายหลังจากยายน้อยกลับจากงานวันเด็กในช่วงเช้า กินอาหารและนอนพักผ่อนอย่างเต็มที่ จนได้เวลารถจากรายการทอล์คโชว์จะมารับ
ในช่วงคํ่า ยายน้อยนั่งรถตู้โดยสารปรับอากาศเย็นฉํ่า เพลิดเพลินกับทัศนียภาพเมืองหลวงอันแสนศิวิไลซ์ในยามคํ่า ซึ่งยายน้อยไม่เคยเห็นมันมาก่อนในชีวิต
เมื่อเข้ามาถึงห้องส่ง ทีมงานพายายน้อยเดินเข้ามาท่ามกลางผู้ชมนับร้อยที่ทราบว่าวันนี้ ยายน้อยจะมาออกรายการที่นี้เพื่อมารอชม เมื่อได้เวลา พิธีกรสาวหน้าตาสละสวยของรายการ กล่าวเชิญยายน้อยออกมาในฐานะแขกคนพิเศษคนแรกของปีในรายการนี้
ตลอดเวลาเกือบๆ 2ชั่วโมง ผู้ชมในห้องส่งได้มีโอกาสสอบถามข้อสงสัยต่างๆ กับยายน้อยทั้งในเรื่องการใช้ชีวิตประจำวัน มุมมอง ทัศนคติต่างๆ ตลอดจนเรื่องของร่างกายที่มันไม่สัมพันธ์กับอายุ
ได้อย่างสนุกสนานด้วยกันทั้งสองฝ่าย
มันคงเป็นเรื่องแปลกที่เด็กคนหนึ่งเกิดมาในสภาพร่างกายของคนที่กำลังจะลาจากโลก ได้ยินเสียงร้องไห้ของการจากลา แทนที่จะได้ยินเสียงโห่ร้องยินดีของการเริ่มต้นถือกำเนิด
เนื่องจากตอนที่ ยายน้อยพักรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล เธออยู่ร่วมกับบรรดาคนชราที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายสิบปี และทุกคนที่อยู่ในนี้ทุกคนยกเว้นเธอกำลังรอวาระสุดท้ายของชีวิตเดินทางมาถึง
บางคนก็มีลูกหลานมากมายมาดูใจจนวินาทีสุดท้าย บางคนก็ไม่มีญาติพี่น้องมาเหลียวแลจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต กว่า 8 ปีในโรงพยาบาล วัยเด็กของยายน้อยเรียนรู้ที่จะปล่อยวางกับชีวิตก่อนที่จะ หัดคลาด หัดเดิน หรือหัดพูดออกเสียง
ก่อนจะปิดเบรครายการ พิธีกรสาวสวยของเรา บอกกับยายน้อยว่า เธอช่างน่าอิจฉาที่จริงๆที่ เมื่อเวลาผ่านไป ยายน้อยจะอายุน้อยลงและสาวขึ้น ในขณะที่พิธีกรเองกลับจะต้องแก่ลง และสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดของหญิงสาวนั่นคือ "ความงาม"ไป
แต่ยายน้อยตอบแก่พิธีกรสาวนั้นว่า "ชีวิตของหนูไม่เหมือนคนอื่นตรงที่เวลาเดินถอยหลัง ในขณะคนทั่วๆไปชีวิตจะต้องเดินไปข้างหน้า หนูจะอ่อนวัยขึ้น ในขณะที่คุณชราภาพลง แต่นั่นหมายความว่า
กับทุกๆคนที่หนูผูกพันด้วย หนูทำได้แค่นั่งมองพวกเขาค่อยๆเสื่อมสลายและตายจากหนูไปทีละคน โดยที่ตัวหนูเองกลับค่อยๆมีชีวิตที่เติมเต็มขึ้นเรื่อยๆ คิดว่าหนูต้องการแบบนั้นหรือ? "
เป็นแบบนี้แล้วทำไมยายน้อยถึงไม่ดูเศร้า หรือ ท้อแท้ในชีวิตบ้างเลยล่ะค่ะ ผู้ชมคนหนึ่งตะโกนถามเสียดังลั่นโดยไม่ต้องพึ่งไมค์
"เพราะชีวิตมีช่วงเวลาของมันค่ะ หนูเข้าใจว่าในชีวิตๆของทุกคนตั้งแต่วัยเด็กขึ้นไปต้องมีพบ มีจาก มีพรากและก็มีเจอ หนูคิดว่าไม่มีใครที่สามารถได้ไปในแบบ"ทั้งชีวิต"ว่าแต่คนเลยสิ่งของ
มันก็ยังมีช่วงเวลาของมันที่หมดอายุ เหมือนวัยของเรา ซึ่งคุณจะยอมรับมันได้ในระดับไหนว่ามันถึงเวลา"
------------จบบริบูรณ์-------------
แฟนฟิคเรื่องนี้หลอกให้ท่านเชื่อว่า เมื่อครั้งที่เรายังเด็ก เราจะคิดว่าเมื่อเติบโตขึ้น เราอยากจะทำแบบนั้นแบบนี้ แต่ไม่เคยคิดว่าในขณะที่ท่านยังเด็กอยู่ ท่านได้ทำอะไรลงไปบ้าง
แต่เมื่อเราโตขึ้น เรากลับอยากย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง และมีคนจำนวนมากอยากกลับไปแก้ไข เรื่องบางอย่างในวัยเด็ก
มันคือสิ่งที่ตอนเด็กท่านไม่ได้ทำ กับสิงที่ตอนเป็นผู้ใหญ่ท่านไม่สามารถทำได้
ดังนั้นใครที่อยู่ในวัยเด็ก จงใช้ชีวิตให้สมวัย และเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อเราโตขึ้นได้อย่างมีสติ
ส่วนคนที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่ จงอย่าละทิ้งความเป็นเด็ก ในขณะเดียวกันก็จงเรียนรู้ที่จะเข้าใจในช่วงเวลาของตน
ผลงานอื่นๆ ของ -o- แจ๊ค บาวเออร์ -o- ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ -o- แจ๊ค บาวเออร์ -o-
ความคิดเห็น